Custom Search By Google

Custom Search

วันเสาร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2551

“การประกาศข่าวประเสริฐ” 1 โครินธ์ 11: 1


“การประกาศข่าวประเสริฐ” 1 โครินธ์ 11: 1

การรับใช้ในงานประกาศซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพระมหาบัญชาที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงมอบไว้ให้กับผู้เชื่อทุกคน และเห็นว่าสำหรับคนที่ได้เชื่อหรือเรียกตัวเองว่าเป็นคริสเตียนนั้น เขาจะต้องมีทัศนะต่อการประกาศเช่นเดียวกับอาจารย์เปาโลอย่างน้อย 5 ประการดังนี้

1. ต้องสำนึกว่าการได้มีโอกาสรับใช้พระเจ้านั้นเป็นพระคุณที่ยิ่งใหญ่จริง ๆ

เมื่อเราศึกษาข้อพระคัมภีร์เกี่ยวกับการแนะนำตัวของอาจารย์เปาโล เราจะเห็นว่าท่านได้แนะนำ
ตัวของท่านเอง 3 ครั้งด้วยกัน เริ่มตั้งแต่ท่านรับใช้พระเจ้าในช่วงแรก ช่วงต่อมาและช่วงสุดท้ายซึ่งการแนะนำตัวของท่านในแต่ละครั้งนั้นไม่เหมือนกันเลย ช่วงแรกท่านได้แนะนำตัวเองว่า “ท่านนั้นเล็กที่สุดในท่ามกลางอัครทูตทั้งปวง” (1คร.15:9) และต่อมาท่านก็ได้แนะนำว่าท่านนั้นเล็กน้อยที่สุดในท่ามกลางคนที่เล็กน้อยที่สุดในธรรมิกชนทั้งปวง (อฟ.3:8) และในช่วงสุดท้ายของการรับใช้ท่านก็ได้แนะนำว่าท่ามกลางคนบาปนั้น ท่านเป็นตัวเอก(ตัวที่ร้ายที่สุด แย่ที่สุด บาปที่สุด)(1ทธ.1:15) เพราะเหตุไร เปาโลยิ่งรับใช้ ยิ่งแนะนำตัวเองให้ต่ำลงเรื่อย ๆ เริ่มจากอัครทูตมาเป็นธรรมิกชนและสุดท้ายกลายมาเป็นคนบาป...คำตอบคงจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากเมื่อท่านยิ่งรับใช้ ยิ่งเห็นพระคุณของพระเจ้าในชีวิตของท่านมากขึ้น
ยิ่งเห็นว่าท่านไม่สมครที่จะได้รับใช้พระเจ้าเลย แต่พระเจ้ายังมีพระคุณและเมตตาทรงใช้ท่านในการทำการประกาศ ควรเป็นท่าทีของทุกคนที่ได้รับพระคุณของพระเจ้าเช่นกัน

2. ต้องดำเนินชีวิตให้สมกับข่าวประเสริฐ (ฟป.1:27)

สิ่งที่เปาโลหนุนใจพี่น้องคริสเตียนก็คือให้เขาเหล่านั้นไม่เพียงแต่ประกาศข่าวประเสริฐเท่านั้น
แต่ให้พวกเขาดำเนินชีวิตให้สมกับข่าวประเสริฐที่เขาประกาศด้วย คือ การเป็นพยานที่ดี สัตย์ซื่อให้กับพระเยซูคริสต์ เราต้องสำแดงออกมาในชีวิตว่าข่าวประเสริฐนั้นเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราได้จริง ๆ แต่ไม่ได้หมายความว่า เราต้องสมบูรณ์แบบเสียก่อนจึงค่อยประกาศ แต่เราต้องสำแดงให้คนอื่นเห็นว่าข่าวประเสริฐนั้นกำลังเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราให้ดีขึ้นทุก ๆ วัน เมื่อเป็นเช่นนี้ตัวของเราจะไม่เป็นอุปสรรคของข่าวประเสริฐที่เราประกาศออกไปอย่างแน่นอน

3. ต้องใช้ความสามารถที่มีหรือสถานะที่เขาอยู่นั้นเพื่อการประกาศข่าวประเสริฐ

ใช้อาชีพตำแหน่งถวายเกียรติแด่พระองค์ ใช้สถานะในการประกาศข่าวประเสริฐของพระองค์
(รม.1:14-15) อาจารย์เปาโลกล่าวว่า ท่านนั้นเป็นหนี้คนทุกประเภท และท่านก็ขวนขวายที่จะใช้หนี้ข่าวประเสริฐนั้น ถ้าจะถามว่าท่านจะเอาอะไรใช้หนี้ นั่นก็คือความสามารถทั้งสิ้นที่พระเจ้าทรงให้แก่ท่านนั้นเอง(1คร.3:5)

4. ต้องทำทุกอย่างและยอมเป็นคนทุกประเภทเพื่อเห็นแก่ข่าวประเสริฐ(1คร.9:19-23)

เมื่ออาจารย์เปาโลประกาศข่าวประเสริฐท่านทราบดีว่าท่านนั้นต้องเจอก้บคนหลายประเภท
ดังนั้นท่านได้ฝึกและยอมที่จะปรับตัวตามสถานการณ์ หรือ กลุ่มคนที่ท่านประกาศ โดยที่ยังคงยึดความจริงของข่าวประเสริฐไว้ แต่ปรับเปลี่ยนวิธีการและคำพูดในการประกาศ ข่าวประเสริฐนั้นจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่วิธีการประกาศนั้นสามารถจะปรับเปลี่ยนได้ให้เหมาะสมกับสังคมของโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เพื่อเป็นสะพานนำข่าวประเสริฐไปสู่คนทั้งปวงได้

5. ต้องมีน้ำใจแห่งการประกาศข่าวประเสริฐที่ไม่จำกัด

ถ้าเราสามารถที่จะมองเห็นหัวใจของอาจารย์เปาโลเกี่ยวกับขอบเขตในการประกาศข่าว
ประเสริฐของท่าน ก็จะเห็นอย่างชัดเจนว่า หัวใจของท่านปรารถนาที่จะให้ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์นั้นกระจายไปทั่วโลก สถานที่ทำงานของเรานั้นไม่เพียงแต่แค่จังหวัดที่เราอยู่ หรือ ประเทศที่เราอาศัย แต่เป็นทั้งโลกที่พระเจ้าเปิดโอกาสให้เรามีส่วนร่วมได้ เราจะตอบสนองต่อพระคุณพระเจ้าเช่นไร? ภาระกิจที่ยิ่งใหญ่ที่พระเจ้ามอบให้ คือ ทำงานมิชชั่นให้ข่าวประเสริฐกระจายไปจนถึงสุดปลายแผ่นดินโลก


คริสตจักรจะขาดการประกาศข่าวประเสริฐไม่ได้เลย
คนสุดท้ายที่เราเล่าข่าวประเสริฐให้เขาฟังนั้น นานมาแล้วหรือยัง ? หวังว่าทัศนะของอาจารย์เปาโลจะทำให้พี่น้องคริสเตียนลุกขึ้นมาทำการประกาศข่าวประเสริฐ เราอย่าสักแต่รับพระคุณของพระเจ้าเท่านั้นหรือ... ให้เรารีบเร่งทำงานของพระองค์ด้วยกัน ถึงแม้จะเหนื่อย จะยากลำบากสักเพียงใด ก็ต้องทำต่อไปเพราะเป็นคำสั่งของพระเยซูคริสต์ต่อเราทุกคน
“เหตุฉะนั้นเจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้เป็นสาวกของเรา ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์ สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้ นี่แหละเราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค" มธ.28:19-20

พระคัมภีร์ไบเบิล หนังสือมหัศจรรย์ The Holy Bible


ตอนที่ 1 ความน่าเชื่อถือของพระคัมภีร์


กำเนิดพระคัมภีร์
ชนชาติอิสราเอลได้ถูกเลือกโดยพระเจ้า และได้ถูกมอบหมายให้รักษาพระบัญญัติของพระเจ้า ในประมาณปี 1400 ก่อน ค.ศ. ได้มีการเริ่มเขียนถึงสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงสำแดง เริ่มเขียนโดยโมเสสหลังจากที่ได้พบพระเจ้าที่ภูเขาซีนาย และได้เขียนย้อนหลังไปถึงการสร้างโลก โดยการดลใจของพระเจ้า และได้มีการรวบรวมพระวจนะ ประวัติศาสตร์ คำพยากรณ์ กฎหมาย และอื่นๆอีกมากมาย ตามการดลใจของพระเจ้า



หลังจากนั้นก็มีการร่วมรวมเข้าเป็นพระคัมภีร์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จำถึงเล่มสุดท้ายประมาณปี ค.ศ. 96 – 97 ซึ่งเป็นปีที่พระคัมภีร์เล่มสุดท้ายของยอห์น คือ พระธรรมวิวรณ์ (Revelation of John) ใช้เวลารวบรวมทั้งสิ้น 1600 ปี ถูกเขียนโดยคนประมาณ 40 คน มีทั้งสิ้น 66 เล่ม

พระคัมภีร์มาถึงปัจจุบันได้อย่างไร
พระคัมภีร์อยู่มาถึงปัจจุบันได้เนื่องจากการข่มเหงคริสตจักรในสมัยแรก จดหมายหรือคำสอน ของอัครทูตรวมทั้งพันธสัญญาเดิม ที่คริสเตียนได้คัดลอกไว้จึงเป็นอันตรายสำหรับผู้ที่ครอบครองไว้ เป็นส่วนช่วยให้ได้พระคัมภีร์ที่มีเนื้อหาตรงกับของแท้ เพราะการเก็บพระคัมภีร์ในสมัยนั้นเป็นอันตายถึงชีวิต จึงมีการเก็บเฉพาะส่วนที่ถูกต้องเท่านั้น และเก็บไว้อย่างดีเลิศมิดชิด จึงไม่มีปัญหาเรื่องฉบับปลอม เพราะในเวลานั้นอัครทูตก็ยังมีชีวิตอยู่



ต่อมาเมื่อมี ค.ศ. 1454 เครื่องพิมพ์ได้ถูกสร้างขึ้น โดยมีสำเนาพระคัมภีร์ถึง 2000 ฉบับ ในการเปรียบเทียบกัน เพื่อสร้างพระคัมภีร์ฉบับที่สมบูรณ์ที่สุดในสมัยนั้น ซึ่งจัดพิมพ์โดยนาย John Gutenberg เป็นภาษาเยอรมัน ต่อมาได้ถูกแปลออกมาเป็นภาษาอังกฤษ ในยุคของกษัตริย์ King James ในปี ค.ศ. 1611 และต่อมาก็ได้แปลออกเป็นภาษาอื่นๆเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบันได้ถูกแปลกว่า 1200 ภาษา รวมทั้งภาษาไทยด้วย

เอกลักษณ์ของพระคัมภีร์ไบเบิล
พระคัมภีร์มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างน่าอัศจรรย์

เป็นเรื่องที่ยากมากที่หนังสือ 66 เล่มจะมีความสอดคล้องกัน โดยไม่ขัดกันเลยแม้แต่เล่มเดียว โดยที่มีผู้เขียนกว่า 40 คน ที่เกิดในยุคและสมัยแตกต่างกัน

พระคัมภีร์อ้างสิทธิอำนาจของการดลใจจากพระเจ้า
พระคัมภีร์ไบเบิลเป็นหนังสือที่กล้าอ้างว่าได้รับการดลใจในการเขียนโดยพระเจ้า

2 ทิโมธี 3:16
พระคัมภีร์ ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสอน การตักเตือนว่ากล่าว การปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี และการอบรมในทางธรรม
พระคัมภีร์เป็นหนังสือที่ไม่มีการปรับปรุงแก้ไขใดๆทั้งสิ้นจึงมั่นใจได้ว่าไม่มีการตกหล่นหรือเพิ่มเติมเนื้อหาอย่างแน่นอน เนื่องจากยอห์นผู้เขียนพระคัมภีร์เล่มสุดท้ายนั้นได้บอกไว้แล้ว

วิวรณ์ 22:18 - 19
ข้าพเจ้าเตือนทุกคนที่ได้ยินคำพยากรณ์ในหนังสือนี้ว่า ถ้าผู้ใดจะเพิ่มเติมคำเข้าไปในหนังสือนี้ พระเจ้าก็จะทรงเพิ่มภัยพิบัติที่เขียนไว้ในหนังสือเล่มนี้แก่ผู้นั้น และถ้าผู้ใดตัดข้อความออกจากหนังสือพยากรณ์นี้ พระเจ้าก็จะทรงเอาส่วนแบ่งของผู้นั้น ที่มีอยู่ในต้นไม้แห่งชีวิตและที่มีอยู่ในวิสุทธนครนั้น ซึ่งบรรยายไว้ในหนังสือเล่มนี้ไปเสีย

มีหนังสืออรรถาธิบายมากมาย
พระคัมภีร์เป็นหนังสือที่มีผู้เขียนหนังสือเพื่ออธิบาย และตีความหมายเนื้อหาของพระคัมภีร์มากที่สุดในโลก ซึ่งต่างจากหนังสือเล่มอื่นๆที่ไม่จำเป็นต้องมีอรรถาธิบายก็สามารถเข้าใจได้หมดแล้ว



พระคัมภีร์เป็นหนังสือที่อ่านได้ทั้งชีวิต
พระคัมภีร์เป็นหนังสือเพียงเล่มเดียวที่อ่านได้ตลอดทั้งชีวิต ไม่ว่าจะอ่านจบกี่รอบแล้ว แต่เมื่อมาอ่านใหม่ก็จะได้รับข้อคิดใหม่ๆเสมอ คริสเตียนจะอ่านพระคัมภีร์ทุกวันเพื่อรับการสอนจากพระเจ้า เชื่อหรือไม่ว่า ไม่มีมนุษย์สักคนในโลกที่อ่านพระคัมภีร์หมดจนเข้าใจถี่ถ้วน 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่มีใครที่รู้หมดทั้งเล่ม แม้จะอ่านสักร้อยรอบก็เป็นเรื่องยาก คริสเตียนทุกคนต่างก็ต้องเรียนพระคัมภีร์อยู่เสมอ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะพระเจ้าต้องการให้อ่านไปตลอดทั้งชีวิตนั่นเอง

เหตุผลที่พระคัมภีร์ไบเบิลเชื่อถือได้
1. ความตรงไปตรงมา
พระคัมภีร์เป็นหนังสือที่ซื่อตรงมาก แม้ความจริงจะน่าเจ็บปวดแค่ไหนก็ตาม
พระคัมภีร์กล่าวว่า
ยาโคบ ผู้เป็นต้นกำเนิดแห่งชนชาติอิสราเอล เป็นคนหลอกลวง ซึ่งเขาได้หลอกลวงพี่ชายตนเองเพื่อจะได้รับสิทธิบุตรหัวปี
โมเสส ผู้นำชนชาติอิสราเอล เป็นผู้นำที่ไม่มีความมั่นคงและโลเล ก่อนที่โมเสสจะมาช่วยเหลือชนชาติอิสราเอลนั้น โมเสสได้ฆ่าคนแล้วหลบหนีไปยังทะเลทราย นอกจากนั้นโมเสสยังไม่วางใจในพระเจ้า โดยได้ปฏิเสธคำสั่งของพระเจ้าอยู่หลายหน และยังละเมิดคำสั่งพระเจ้า จนพระเจ้าไม่พอใจเพราะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีแก่ชนชาติอิสราเอล จนโมเสสถูกลงโทษไม่ให้มีโอกาสเข้าสู่ดินแดนพันธสัญญา
ดาวิด กษัตริย์ที่ชาวอิสราเอลรักมากที่สุด พระคัมภีร์ได้กล่าวว่าพระองค์ได้เอาภรรยาของทหารคนหนึ่งของพระองค์มา และได้วางอุบายให้สามีของนางไปออกรบเพื่อจะได้ถูกฆ่าเพื่อปกปิดความผิดบาป



พระคัมภีร์ได้กล่าวโทษคนของพระเจ้าคือชนชาติอิสราเอลว่า เลวร้ายมากยิ่งกว่าเมืองโสโดมและโกโมราห์เสียอีก พระคัมภีร์ยังแสดงถึงธรรมชาติของมนุษย์ที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า และยังทำนายถึงอนาคตที่เต็มไปด้วยปัญหา พระคัมภีร์สอนว่าทางไปสู่สวรรค์นั้นแคบ แต่ทางไปสู่นรกนั้นกว้าง
เห็นได้ชัดว่าพระคัมภีร์ไม่ได้เขียนขึ้นเพื่อต้องการ คำตอบสบายๆ หรือง่ายๆ ที่มองศาสนาและธรรมชาติของมนุษย์ในแง่ดีเพียงด้านเดียว

2. การรักษาพระคัมภีร์ไว้ให้เหมือนต้นฉบับเดิม
เมื่อประเทศอิสราเอลได้ถูกจัดตั้งขึ้นใหม่หลังจากได้กระจัดกระจายไปหลายพันปี คนเลี้ยงแกะชาวเบดูอินคนหนึ่งได้พบสมบัติทางโบราณคดีที่สำคัญที่สุดชิ้นหนึ่ง เป็นเวลากว่า 2000 ปีมาแล้วที่เอกสารนี้ได้ถูกซ่อนอยู่ในไหแตก ในถ้ำแห่งหนึ่งทางชายฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของทะเลตาย นอกจากนี้ยังมีการค้นพบต้นฉบับคัดลอกซึ่งมีอายุเก่ากว่าสำเนา ที่เก่าที่สุดที่มีอยู่ ถึง 1000 ปี ฉบับคัดลอกฉบับหนึ่งที่สำคัญที่สุดคือฉบับคัดลอกของพระธรรมอิสยาห์ ที่ปรากฎว่าเหมือนกับหนังสืออิสยาห์ในพระคัมภีร์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน สิ่งเหล่านี้ได้ลบคำกล่าวอ้างของบรรดาผู้ที่เชื่อว่า ต้นฉบับพระคัมภีร์ ได้สูญหายไปกับกาลเวลา และถูกบิดเบือนไป

3. ข้ออ้างในพระคัมภีร์เองว่าได้รับการดลใจจากพระเจ้า
2 ทิโมธี 3:16
พระคัมภีร์ ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสอน การตักเตือนว่ากล่าว การปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี และการอบรมในทางธรรม
ถ้าผู้เขียนพระคัมภีร์ ไม่ได้กล่าวว่าตนกำลังพูดแทนพระเจ้า เราก็คงจะทึกทักไปเอง แต่ว่าหากไม่ได้เป็นเช่นนั้นแล้ว พระคัมภีร์ก็เป็นเพียงแค่วรรณกรรมทางประวัติศาสตร์และจริยธรรม ธรรมดาๆเล่มหนึ่งเท่านั้น และปัจจุบันนี้ก็คงจะไม่มีคริสเตียนและชาวยิวทั่วโลกอยู่เป็นล้านๆคนได้ แต่ว่ามีหลักฐานและข้อโต้แย้งมากมายที่สนับสนุนว่าผู้เขียนได้รับแรงบันดาลใจจากพระเจ้า พระคัมภีร์คงจะเป็นหนังสือที่ดีไม่ได้ หากผู้เขียนโกหกเรื่องแหล่งที่มาของข้อมูล

4. การอัศจรรย์ของพระคัมภีร์
การอพยพออกจากอียิปต์ของชาวอิสราเอล เป็นพื้นฐานทางประวัติศาสตร์ที่สนับสนุนให้เชื่อว่าพระเจ้าทรงสำแดงต่อชาวอิสราเอล ถ้าทะเลแดงไม่ได้แยกออกตามในพระคัมภีร์ พระคัมภีร์เดิมก็คงสูญเสียสิทธิอำนาจที่จะกล่าวในนามพระเจ้า



พระคัมภีร์ใหม่ก็มีเรื่องราวของการอัศจรรย์ต่างๆเช่นกัน อัครทูตเปาโลยอมรับว่า ถ้าพระเยซูไม่ได้ทรงฟื้นขึ้นมาจากความตาย ความเชื่อของคริสเตียนก็มีพื้นฐานอยู่บนการหลอกลวงเท่านั้น


1 โครินธ์ 15:14 - 17
ถ้าพระคริสต์มิได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมา การเทศนาของเรานั้นก็ไม่มีหลัก ทั้งความเชื่อของท่านทั้งหลายก็ไม่มีหลักด้วยและก็จะปรากฏว่าเราอ้างพยานเท็จในเรื่องพระเจ้า เพราะเราอ้างพยานว่าพระองค์ได้ทรงชุบพระคริสต์ให้เป็นขึ้นมา แต่ถ้าคนตายไม่ถูกทรงชุบให้เป็นขึ้นมาแล้ว พระองค์ก็ไม่ได้ทรงชุบพระคริสต์ให้เป็นขึ้นมา เพราะว่าถ้าการชุบให้เป็นขึ้นมาไม่มี พระคริสต์ก็ไม่ได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมา และถ้าพระคริสต์ไม่ได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมา ความเชื่อของท่านก็ไร้ประโยชน์ ท่านก็ยังตกอยู่ในบาปของตน

เพื่อเป็นการยืนยันความน่าเชื่อถือ พระคัมภีร์ใหม่ได้อ้างรายชื่อพยานหลายคนไว้ ซึ่งพยานเหล่านี้อยู่ในช่วงเวลาที่พิสูจน์ได้ด้วย พยานหลายคนยอมสละแม้ชีวิต มิใช่เพื่อศีลธรรมที่ไม่อาจจับต้องได้หรือเพื่อความเชื่อมั่นฝ่ายวิญญาณ แต่เพื่อคำกล่าวอ้างที่พวกเขายืนยันว่าพระเยซูทรงฟื้นขึ้นมาจากความตาย
การสละชีวิตตนเองเพื่อความเชื่อไม่ใช่เรื่องแปลก แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่าคนเหล่านั้นยอมสละชีวิตของตนเองบนพื้นฐานอะไร คงไม่มีใครยอมตายเพื่อเรื่องที่รู้ว่าเป็นเรื่องโกหก

5. เอกภาพของพระคัมภีร์
ผู้เขียน 40 คน ใช้เวลากว่า 1600 ปีเขียนพระคัมภีร์ 66 เล่ม ซึ่งประกอบขึ้นเป็นพระคัมภีร์ แม้จะมีช่วงเวลาในช่วงยุค เงียบ 400 ปีที่พระเจ้าไม่ได้ตรัสอะไร (แต่ก็มีบันทึกไว้ในพระธรรมนอกสารบบของคาทอลิก) อย่างไรก็ตามหนังสือปฐมกาลไปจนถึงวิวรณ์ ทุกเล่มต่างก็ให้คำตอบไปในทางเดียวกันต่อคำถามทุกคำถามที่เราสงสัยกันว่าทำไมเราจึงมาอยู่ที่นี่? เราจะขจัดความกลัวของเราได้อย่างไร? เราจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขได้อย่างไร? เราจะคืนดีกับพระเจ้าได้อย่างไร? และอีกหลายๆคำถาม พระคัมภีร์ทุกเล่มได้ตอบคำถามเหล่านี้อย่างสอดคล้องกัน แสดงให้เห็นว่าพระคัมภีร์ไม่ได้เป็นหนังสือหลายเล่ม แต่เป็นเล่มเดียว

6. ความเที่ยงตรงทางประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์
ทุกยุคทุกสมัยมีคนมากมายที่คลางแคลงใจในความเที่ยงตรงทางประวัติศาสตร์ของพระคัมภีร์ แต่ครั้งแล้วครั้งเล่าที่นักโบราณคดีสมัยปัจจุบันได้ขุดพบหลักฐานของบุคคล สถานที่ และวัฒนธรรมที่ปรากฏในพระคัมภีร์อยู่เสมอ บ่อยครั้งที่เห็นได้ชัดว่าเรื่องราวที่บันทึกในพระคัมภีร์นั้นน่าเชื่อถือกว่าข้อสันนิษฐานของบรรดานักวิชาการเสียอีก

และนับวันเข้าก็มีการค้นพบหลักฐานมากมายที่พิสูจน์ให้เห็นว่าเรื่องราวที่มีอยู่ในพระคัมภีร์นั้นเป็นเรื่องจริง ไม่ว่า ล้อรถม้าของทหารอียิปต์ในทะเลแดง เรือโนอาห์ที่ยอดเขาอารารัต กำมะถันที่เมือโสโดมและโกโมราห์ เป็นต้น

7. ความแม่นยำของคำพยากรณ์
พระคัมภีร์เป็นหนังสือที่บันทึกคำพยากรณ์ไว้มากมายและล้วนแล้วเป็นจริงทั้งสิ้น ตั้งแต่ยุคของโมเสสมาแล้ว พระคัมภีร์ได้พยากรณ์ถึงเหตุการณ์ที่ไม่มีใครอยากจะเชื่อ ก่อนที่อิสราเอลจะเข้าสู่ดินแดนพันธสัญญา โมเสสได้ทำนายว่า อิสราเอลจะไม่สัตย์ซื่อจนทำให้ต้องสูญเสียแผ่นดินที่พระเจ้าประทานให้ และต้องกระจัดกระจายไปทั่วโลก แต่ในที่สุดก็จะรวมตัวกันอีก และกลับมาตั้งถื่นฐานอีกครั้งหนึ่ง (เฉลยธรรมบัญญัติ 28 – 31 )
แต่หัวใจสำคัญของคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์เดิมคือ พระสัญญาเกี่ยวกับการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ผู้จะทรงช่วยประชากรของมนุษย์โลกให้พ้นจากความบาปผิดของเขาทั้งหลาย และในที่สุดจะนำการพิพากษาและสันติสุขมาในวันสุดท้าย

8. ความอยู่รอดของพระคัมภีร์
ตลอดช่วงประวัติศาสตร์อันยาวนานนั้น ไม่มีหนังสือเล่มใดเป็นที่รักและเกลียดชังเท่ากับพระคัมภีร์ ไม่มีหนังสือเล่มใดที่มีผู้ซื้อ ผู้ศึกษาและอ้างอิงอย่างมากมายเท่ากับหนังสือเล่มนี้ ในขณะที่หนังสือเล่มอื่นๆเป็นล้านๆเล่มได้ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แต่พระคัมภีร์ยังคงอยู่จนถึงทุกวันนี้ แม้ว่าบ่อยครั้งผู้ที่ไม่ชอบใจคำสอนของพระคัมภีร์จะไม่ใส่ใจ แต่พระคัมภีร์เองก็เป็นหนังสือที่เป็นศูนย์กลางของอารยธรรมตะวันตกตลอดมา

พระคัมภีร์นั้นมีประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน และไม่มีการสังคายนาเลยแม้แต่ครั้งเดียว ดังนั้นจึงมั่นใจได้ว่า เนื้อหาพระคัมภีร์ทุกตอนตรงกับต้นฉบับจริงๆ


ส่งท้าย
เหตุผลหลายประการเหล่านี้คงจะยืนยันความน่าเชื่อถือของพระคัมภีร์ไบเบิลได้เป็นอย่างดี และมีข้อสนับสนุนมากมายที่ยืนยันเช่นนั้น ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่มักจะมีการอ้างอิงข้อพระคัมภีร์อยู่เสมอ แสดงให้เห็นว่าพระคัมภีร์ไบเบิลไม่ใช่แค่หนังสือธรรมดาๆทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด


บทความนี้มาจาก Mythland
http://www.mythland.org

URL สำหรับเรื่องนี้คือ:
http://www.mythland.org/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=216

คำหนุนใจจาก นคร เวชสุภาพร


การดำเนินชีวิตของคริสเตียนเราอยู่ในโลกใบนี้ พระคัมภีร์บอกว่าอยู่บนโลกนี้อย่างที่โลกนี้ ไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนของเรา ไม่ใช่เราจะอยู่ที่นี่ตลอดไป ดังนั้น เป้าหมายชีวิตของคริสเตียนคือการอยู่เพื่อสวรรค์ ทำอะไรก็ตามคิดอยู่ในใจตลอดเวลาว่าเพื่อสวรรค์ ในที่ที่มองไม่เห็น เพราะสิ่งที่มองไม่เห็นถาวรนิรันดร์ แต่สิ่งที่มองเห็นในโลกใบนี้ ลาภ ยศ สรรเสริญ อยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้นเอง สักวันหนึ่งมันก็เปลี่ยนแปลงไป แต่สิ่งที่เรามองไม่เห็น คือสวรรค์ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้กับเรา คือร่างกายใหม่ ที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับเรา อันนี้มองไม่เห็น แต่มีอยู่ นี่คือความหวังใจนิรันดร์ คือเป้าหมายชีวิตของคริสเตียนทุกคน ที่จะดำเนินชีวิตอย่างนี้ ดังนั้น ความทุกข์ยากลำบากที่เข้ามาในชีวิตของเรา เราก็อดทนและผ่านไป ถ้าจะผ่านไปได้ง่ายดายมากขึ้น ก็ต่อเมื่อเรามองไปที่สวรรค์เบื้องบน มองไปที่สถานที่ที่พระคริสต์ทรงสถิตอยู่ มองไปที่ร่างกายใหม่ที่เราจะได้รับ ตามพระสัญญาที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ในพระคัมภีร์ มองไปที่พระเจ้าตลอดเวลา นึกตลอดเวลา นี่คือคำอธิษฐาน คือเฝ้าระลึกตลอดเวลาว่า เราไม่ได้อยู่เพื่อที่จะตั้งรกรากบนโลกใบนี้ เราไม่ได้มีความหวังใจบนโลกใบนี้เลย เราดำเนินชีวิตไม่ได้เป็นไปด้วยกันกับโลกใบนี้ โลกใบนี้ไม่ได้เป็นบ้านเกิดเมืองนอนของเรา แต่บ้านเกิดเมืองนอนของเราอยู่ที่สวรรค์สถาน เราจะอยู่ในสวรรค์สถานกับพระบิดาของเรา กับพระเยซูคริสต์ของเราตลอดชั่วนิจนิรันดร์กาล


โดยความเชื่อเท่านั้นที่จะทำให้พระเจ้าพอพระทัยได้

ต้องคิดอย่างนี้ตลอดเวลา เป้าหมายเราไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้ โลกใบนี้ที่บางครั้งเราอธิษฐานขอพระเจ้าให้ช่วย ตรงโน้น ตรงนี้บ้าง เป็นเพียงแค่ของแถม หรือเมื่อเราทุกข์ยากลำบากเราก็ทูลขอต่อพระเจ้าได้ ส่วนจะเกิดขึ้นเป็นอย่างไร ก็ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า เราไม่สามารถที่จะเข้าใจพระเจ้าหมดทุกอย่าง เพราะว่าเราไม่ใช่พระเจ้า และการที่จะเข้ามาหาพระเจ้าได้ ก็ต้องใช้ความเชื่อฟังและความไว้วางใจในพระเจ้า ใช้ความเชื่อเอา โดยความเชื่อเท่านั้นที่จะทำให้พระเจ้าพอพระทัยได้ เพราะพระเจ้าของเรา เรามองไม่เห็นด้วยตา แต่พระองค์มีชีวิตอยู่จริง สัมผัสได้โดยจิตวิญญาณของเรา สัมผัสได้โดยการอ่านพระคัมภีร์ โดยความรู้เรื่องราวแท้ๆ ของพระองค์ในพระคัมภีร์ว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่ พระองค์มีชีวิตอยู่จริงๆ และดำเนินชีวิตไปกับพระองค์ ด้วยความเชื่อ เชื่อฟังและไว้วางใจ


ดังนั้น เป้าหมายชีวิตของคริสเตียนจึงต้องอยู่บนพื้นฐานที่ถูกต้อง คือที่สวรรค์ นี่คือการรับใช้พระเจ้า นี่คือการเป็นคริสเตียนอย่างที่พระเจ้าพอพระทัย ไม่ได้ดำเนินชีวิตด้วยกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง แต่ดำเนินชีวิตด้วยจิตวิญญาณและความจริง และด้วยถ้อยคำของพระเจ้าในแต่ละวันๆ ทุกอย่างใช้ถ้อยคำของพระเจ้า เป็นตัววัด เป็นโคมส่องนำทางชีวิตของเรา ไม่ว่าเจออะไร นึกถึงถ้อยคำของพระเจ้า ถ้อยคำพระเจ้าว่าอย่างไร เจอความทุกข์ยากลำบาก ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าเป็นเรื่องธรรมดา เพราะว่าโลกใบนี้เสียหายไปแล้ว บิดเบี้ยวไปแล้ว แต่พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะให้โลกใหม่กับเรา โลกใบนี้รวมไปถึงเนื้อหนังร่างกายของเราด้วย เพราะโลกใบนี้ประกอบไปด้วย ดิน น้ำ ลม ไฟ ร่างกายของเราก็ประกอบไปด้วยดิน น้ำ ลม ไฟ เมื่อสูญสิ้นจากร่างกายนี้ ในพระคัมภีร์ก็บอกว่ากลับไปเป็นดิน คำว่า “เป็นดิน” ในพระคัมภีร์หมายถึงกลับไปสู่โลก กลับไปสู่ที่ที่เป็นอยู่ ก็คือดินกลับไปสู่ดิน น้ำกลับไปสู่น้ำ ไฟก็กลับไปสู่ไฟ ลมก็กลับไปสู่ลม คนที่ตายปุ๊บ ร่างกายก็จะค่อยๆ กลับไปตามสถานที่ตำแหน่ง 4 อย่างที่ร่างกายเป็นอยู่ นั่นคือโลก


แต่ตัวจริงของเราคือวิญญาณของเรา จะอยู่เป็นนิจนิรันดร์

ในพระคัมภีร์บอกว่าเราจะไม่เปื่อยเน่า แต่เราจะได้รับร่างกายใหม่ ซึ่งเป็นร่างกายที่เหมือนพระเยซูคริสต์ นี่คือความหวังใจของคริสเตียน เราจึงสามารถปีติยินดี สามารถมีสันติสุขในองค์พระเยซูคริสต์ได้ ก็เพราะเป้าหมายชีวิตของเราเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ไม่ได้ขึ้นอยู่กับลาภ ยศ สรรเสริญบนโลกใบนี้อีกต่อไป เพราะเราได้รับชีวิตนิรันดร์จากพระเจ้าแล้ว

ถึงแม้ว่าเรามีความหวังใจในชีวิตนิรันดร์ที่เราได้รับแล้ว แต่เรายังอยู่ในร่างกายเก่า ซึ่งเป็นร่างกายของเนื้อหนังที่เป็นดิน ที่ตกอยู่ในความบาป ตกอยู่ในกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในร่างกายเก่านี้ไปชั่วคราว จนกว่าจะเสร็จสิ้นภาระกิจ ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้กับเราแต่ละคน กำหนดให้กับเราแต่ละคนบนโลกใบนี้ ว่าจะต้องทำงานอยู่อีกนานเท่าไหร่ อยู่ถึงอายุเท่าไหร่ถึงจะหมดสิ้นการงานของเรา เราก็มีความหวังว่าเมื่อหมดสิ้นการงานนั้นแล้ว เราก็จะได้รับร่างกายใหม่ ที่พระเจ้าสัญญาไว้ว่า จัดเตรียมไว้ให้กับเราเรียบร้อยแล้ว อันนี้ยังไม่ได้รับ ซึ่งเป็นร่างกายที่เหมือนกับพระเยซูคริสต์ ที่เต็มไปด้วยพระสิริของพระเจ้า


เพราะเรามีเป้าหมายชีวิตที่แน่นอน ชีวิตเราจึงแตกต่างกว่าคนที่ไม่มีพระเจ้า

ชีวิตจึงเต็มไปด้วยสันติสุขในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า เต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี เต็มไปด้วยความปลาบปลื้มใจ เต็มไปด้วยความอดทน อุตสาหะ ซึ่งไม่มีใครจะเข้าใจ เพราะเข้าใจไม่ได้เลย อะไร มีความทุกข์ยากลำบากเข้ามา เขาก็ยังสามารถสงบนิ่งอยู่ได้ ไม่หวั่นไหวต่อเหตุการณ์ต่างๆ รอบข้างที่เกิดขึ้น ชีวิตไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมรอบกายอีกต่อไป แต่ชีวิตขึ้นตรงต่อถ้อยคำพระเจ้า และความหวังใจในชีวิตนิรันดร์ ที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมและสัญญาไว้ให้ ในพระคัมภีร์ได้บันทึกเอาไว้แล้ว และบันทึกอีก และตอกย้ำประทับตรา มัดจำไว้อย่างแน่นหนาในจิตวิญญาณของเรา โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ผู้ทรงสถิตอยู่กับเรา ย้ำยืนยันให้กับเราทุกครั้งที่เราระลึกถึงถ้อยคำตรงนี้ เอเมน

วันอังคารที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2551

พระเยซูทรงเป็นพระเจ้า

24 ธันวาคม 2006
โดย นคร เวชสุภาพร

วันคริสตมาสคือวันอะไรใครรู้บ้าง หลายๆ คนบอกว่าวันคริสตมาส คือวันประสูติของ พระเยซูคริสต์ ก็ถูกต้อง แต่ถ้าจะพูดให้ตรงๆ และชัดๆ วันคริสตมาส คือวันที่พระเจ้าลงมาเกิดเป็นมนุษย์ ตรงนี้สำคัญที่สุด จะเถียงกัน ก็เถียงกันตรงนี้แหละ จะไม่เชื่อก็เพราะตรงนี้แหละ ตรงที่ว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ มีผู้เดียวเท่านั้นตั้งแต่ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ มาจนถึงปัจจุบัน อนาคตและจนถึงนิรันดร์กาล มีผู้เดียวที่เป็นพระเจ้า แล้วมาเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์ทรงพระนามว่า “เยซู”

เป็นวันที่มนุษยชาติได้รับของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจากพระบิดาเจ้า

วันนี้ทั่วโลก ทุกคนก็ตื่นเต้น โดยเฉพาะเด็กๆ เพราะรอคอยของขวัญ จะมีการรับของขวัญอย่างมากมาย เขามีการบันทึกเป็นสถิติไว้ทุกปี ในช่วงคริสตมาสของประเทศอเมริกา เขาบอกว่ากระดาษห่อของขวัญใช้ไปกว่า 30 ล้านม้วน โบว์ผูกของขวัญประมาณ 60 ล้านม้วน การ์ดอวยพรประมาณ 380 ล้านใบ และต้นคริสตมาสประมาณ 35 ล้านต้น เฉพาะอเมริกาประเทศเดียว เทศกาลที่เขาฉลองกัน และร่วมยินดี เพราะเป็นธรรมเนียมว่า เมื่อถึงเทศกาลคริสตมาสจะมีการให้ของขวัญกัน เพราะคริสตมาสแรก เมื่อ 2,000 กว่าปีที่ผ่านมาแล้ว เป็นวันที่มนุษยชาติได้รับของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจากพระบิดาเจ้า พระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นของขวัญวันคริสตมาสที่ประทานให้กับมนุษย์ทั่วๆ ไปทุกๆ คน


การฉลองคริสตมาสในทุกๆ ปี ทุกคนก็พยายามที่จะหาซื้อของขวัญแจกจ่ายกัน

จิตใจเรามีความสุข มีความชื่นชมยินดี เพราะว่าในโลกวิญญาณ ได้รู้ว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ และพระเจ้าได้ทรงประทานพระเยซูคริสต์ให้มาเป็นของขวัญ เพื่อให้มนุษย์ได้รับความรอด เพราะฉะนั้นเราทั้งหลายจึงมีจิตใจชื่นชมยินดีในช่วงเทศกาลคริสตมาส ก็เลยหาของขวัญแปลกๆ ใหม่ๆ หากันทุกปี เพื่อให้ลูกๆ แล้วก็คนที่เรารักใคร่สนิทสนมกัน เป็นการเฉลิมฉลองวันคริสตมาส


แต่ของขวัญของพระเจ้าที่ประทานให้กับมนุษย์ เมื่อ 2,000 ปีมาแล้วนั้น คือการเสด็จลงมาเกิดของพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้เตรียมและบอกล่วงหน้าไว้ ไม่ใช่แค่ไม่กี่พันปี แต่จริงๆ แล้วพระเจ้าทรงรู้ล่วงหน้าแล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้น ตั้งแต่ปฐมกาลก็บอกไว้แล้ว ว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรของพระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์ จากหญิงพรหมจารีย์ ในหนังสือปฐมกาล 3:15 ไล่ลงไป พระเจ้าบอกล่วงหน้ามาเรื่อยๆ


พระคัมภีร์ทั้งเล่มเป็นเรื่องเกี่ยวกับคริสตมาสและวันอีสเตอร์

วันประสูติของพระเยซูคริสต์ และวันที่พระองค์ถูกตรึงตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม คือวันอีสเตอร์ พระคัมภีร์ทั้งเล่มพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับการไถ่ถอนของพระเยซู ว่าพระเยซูจะมาเกิดอย่างไร เกิดที่ไหน เป็นอย่างไร อย่างละเอียดยิ๊บเลย ตั้งแต่ตัวอักษร ตัวแรกของหนังสือพระคัมภีร์ ไปจนกระทั่งถึงบทสุดท้าย คือหนังสือวิวรณ์


เมื่อสองครั้งที่แล้ว ได้พูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ในสมัยปฐมกาลมาแล้ว ว่าพระองค์ทรงเตรียมพระเยซูคริสต์ไว้เรียบร้อยแล้ว แต่วันนี้ผมจะยกตัวอย่างจากหนังสืออิสยาห์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาประมาณ 600 หรือ 700 ปีก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิดเป็นมนุษย์ ในหนังสืออิสยาห์ 7:14


อิสยาห์ 7:14

“เพราะฉะนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าจะประทานหมายสำคัญเอง ดูเถิด หญิงสาวคนหนึ่งจะตั้งครรภ์ และคลอดบุตรชายคนหนึ่ง และเขาจะเรียกนามของท่านว่า อิมมานูเอล”


ตรงที่เขียนไว้ว่า “หญิงสาวคนหนึ่งจะตั้งครรภ์ และคลอดบุตรชายคนหนึ่ง” ในหนังสือพระคัมภีร์เดิมฉบับภาษากรีก ซึ่งเขาเรียกกันว่าเซ็ปตัวจิน คำว่า “หญิงสาวคนหนึ่ง” แปลว่าหญิงพรหมจารีย์



หญิงพรหมจารีย์ คลอดบุตรชาย มีผู้เดียวในโลกที่ได้ถูกบันทึกเอาไว้

อิสยาห์ 9:6

“ด้วยมีเด็กคนหนึ่งเกิดมาเพื่อเรา มีบุตรชายคนหนึ่งประทานมาให้เรา และการปกครองจะอยู่ที่บ่าของท่าน และท่านจะเรียกนามของท่านว่า "ที่ปรึกษามหัศจรรย์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระบิดานิรันดร์ องค์สันติราช"


“เด็กคนหนึ่ง” ที่มาเกิดก็คือองค์พระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า


ทุกครั้งที่ผมพูดถึงพระเยซูคริสต์ ให้ท่านจำตรงนี้ไว้แม่นๆ ว่าองค์พระเยซูคริสต์คือพระเจ้า องค์พระเยซูคริสต์ คือพระบุตรของพระเจ้า


มีคาห์ 5:2-4

“โอ เบธเลเฮม เอฟราธาห์ แต่เจ้า ผู้เป็นหน่วยเล็กในบรรดาตระกูลของยูดาห์ จากเจ้าจะมีผู้หนึ่งออกมาเพื่อเรา เป็นผู้ที่จะปกครองในอิสราเอล ดั้งเดิมของท่านมาจากสมัยเก่า จากสมัยโบราณกาล ดังนั้น พระองค์จะทรงมอบเขาไว้จนถึงเวลา ที่หญิงผู้เจ็บครรภ์จะคลอดบุตร แล้วบรรดาพี่น้องที่เหลืออยู่จะกลับมายังคนอิสราเอล และพระองค์จะทรงยืนมั่น ทรงเลี้ยงฝูงแกะของพระองค์ด้วยพระกำลังแห่งพระเจ้า ด้วยสง่าราศีแห่งพระนามพระเยโฮวาห์พระเจ้าของพระองค์ และเขาทั้งหลายอยู่ได้ เพราะบัดนี้พระองค์จะทรงเป็นใหญ่ ตลอดจนถึงที่สุดท้ายปลายพิภพ”


ตอนนี้บอกถึงเรื่องสถานที่ที่จะเกิด คือเบธเลเฮม

“จนถึงเวลาที่หญิงคนนี้เจ็บครรภ์จะคลอดบุตร” บุตรคนนี้คือพระเยซู พระบุตรของพระเจ้า จะมาเกิดเป็นมนุษย์ ในวันคริสตมาส


แปลว่าผู้ช่วยให้รอด

วันนี้เราจะมาคุยกัน ถึงความหมายสำคัญที่สุดของวันคริสตมาส คือวันที่พระเจ้าเสด็จลงมาประสูติเป็นมนุษย์ชื่อเยซู “เยซู” แปลว่าผู้ช่วยให้รอด


พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งปวงบนโลกใบนี้ และบนจักรวาลนี้ เราจะนำข้อพระคัมภีร์บางส่วน ซึ่งบันทึกเกี่ยวกับเรื่องพระเยซูเป็นพระเจ้ามาอ่านกัน



โคโลสี 1:15-16

“พระองค์ทรงเป็นพระฉายของพระเจ้า ผู้ซึ่งไม่ประจักษ์แก่ตา ทรงเป็นบุตรหัวปีเหนือสรรพสิ่งทั้งปวง เพราะว่าในพระองค์สรรพสิ่งได้ถูกสร้างขึ้น ทั้งในท้องฟ้าและที่แผ่นดินโลก สิ่งซึ่งประจักษ์แก่ตาและซึ่งไม่ประจักษ์แก่ตา ไม่ว่าจะเป็นเทวบัลลังก์ หรือเป็นเทพอาณาจักร หรือเป็นเทพผู้ครองหรือศักดิเทพ สรรพสิ่งทั้งสิ้นถูกสร้างขึ้นโดยพระองค์และเพื่อพระองค์”


“สรรพสิ่งทั้งสิ้นถูกสร้างขึ้นโดยพระองค์ และเพื่อพระองค์”

“พระองค์” คำนี้ก็คือพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า และพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดองค์นี้ ก็ได้ทรงมาบนโลกมนุษย์และอยู่กับมนุษย์ ใช้ชีวิตเหมือนมนุษย์

ฟิลิปปี 2:5-8

“ท่านจงมีน้ำใจต่อกัน เหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงสภาพของพระเจ้า แต่มิได้ทรงถือว่าการเท่าเทียมกับพระเจ้านั้น เป็นสิ่งที่จะต้องยึดถือ แต่ได้กลับทรงสละ และทรงรับสภาพทาส ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์ และเมื่อทรงปรากฏพระองค์ในสภาพมนุษย์แล้ว พระองค์ก็ทรงถ่อมพระองค์ลงยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา กระทั่งความมรณาที่กางเขน”


สภาพเหตุการณ์คืนที่พระเยซูมาประสูติ เราจะเห็นถึงความลึกซึ้งของพระเจ้า

“พระเยซูคริสต์ผู้ทรงสภาพของพระเจ้า ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์” นี่ถูกบันทึกอยู่ในพระคัมภีร์ ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าจริงๆ และเป็นมนุษย์จริงๆ ถ้าเราดูรายละเอียด สภาพเหตุการณ์คืนที่พระเยซูมาประสูติ เราจะเห็นถึงความลึกซึ้งของพระเจ้าว่า พระเจ้าทรงมาเกิดเป็นมนุษย์อย่างไร พระองค์ทรงเสียสละสภาพความเป็นพระเจ้า ซึ่งสูงส่ง ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก และยอมมาเกิดเป็นมนุษย์ที่ต่ำต้อย และพระองค์ทรงประสูติที่โรงนา อยู่ในรางหญ้า


สูงกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ

เรารู้แล้วว่าพระเยซูคือพระเจ้าผู้สูงสุด ถ้าคิดอย่างมนุษย์ เราก็คิดว่ามีตั้งหลายวิธีที่พระเจ้าจะเสด็จลงมาช่วยมนุษย์ ใช่ไหมครับ เราคิดของเราเอง ถ้าเป็นพระเจ้า น่าจะช่วยเราเหมือนในลิเก เสด็จลงมาเป็นพระเจ้าเลย “มนุษย์บาปหรือ! หายบาปเดี๋ยวนี้” แบบง่ายๆ แต่พระเจ้าทรงมีแผนการของพระองค์ ที่สูงกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ


นั่นคือความรู้สึกของมนุษย์ที่ถูกทอดทิ้ง

ทำไมพระองค์ต้องเลือกมาเกิดเป็นทารกน้อยในโรงนา และต้องเติบโตมาเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากต่างๆ บนโลกใบนี้ พระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูทรงมีสภาพเป็นมนุษย์ทุกประการ เกิดเหมือนมนุษย์ เติบโตเหมือนมนุษย์ ทำงานเหมือนมนุษย์ มีความคิดความรู้สึกทุกอย่างเหมือนมนุษย์เลย แต่พระองค์ก็ทรงเป็นพระเจ้าจริงๆ แม้หลายครั้งจะได้ทรงแสดงการอัศจรรย์ ให้รู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า แต่หลายครั้งในพระคัมภีร์ เราก็ได้เห็นถึงความรู้สึกของพระเยซู ซึ่งไม่ต่างอะไรกับความรู้สึกของพวกเรา คือความสุข ความทุกข์ ความเหนื่อย ความเพลีย ความอ่อนล้า ความท้อแท้ และแม้กระทั่งความกลัว ตอนที่พระเยซูจะถูกตรึงที่ไม้กางเขน ถูกจับที่สวนเกเสมเน พระองค์ทรงอธิษฐานตั้ง 3 ครั้ง กลัวจนกระทั่งเหงื่อเป็นเลือด กลัวมากๆ นั่นคือความรู้สึกของมนุษย์ ไม่ใช่พระเจ้า และตอนที่พระองค์จะทรงสิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขน พระองค์ทรงร้องตะโกนเสียงดังว่า “พระเจ้า พระเจ้าทำไมถึงทอดทิ้งข้าพระองค์” นั่นคือความรู้สึกของมนุษย์ที่ถูกทอดทิ้ง


พระเจ้าทรงเลือกที่จะลงมาเกิดเป็นมนุษย์ด้วยวิธีนี้ เพื่อพระองค์จะสามารถบอกเราทั้งหลายได้ว่า พระองค์ทรงเคยเป็นอย่างที่เราเป็น เคยเดินเหมือนที่เราเดิน

บนโลกใบนี้ เรารู้สึกอย่างไร พระองค์ทรงเข้าใจ พระองค์ทรงลำบากเหมือนที่เราลำบากอยู่บนโลกใบนี้ ความคิด ความรู้สึกของเราทุกอย่าง พระองค์ทรงเข้าใจดี เพราะพระองค์ทรงเดินเหมือนชีวิตของเราทั้งหลาย คือเป็นมนุษย์อย่างเรา เพื่อต้องการที่จะสื่อสารกันได้ เราอาจจะคิดว่า “พระเจ้าไม่เข้าใจในความทุกข์ยากลำบากของเราหรอก พระเจ้าอาจจะไม่เข้าใจปัญหาของเราหรอก เพราะว่ามันลึกซึ้งมาก” แต่พระเจ้าบอก “ฉันเข้าใจ เพราะตอนฉันมาเกิดเป็นมนุษย์นั้น ฉันก็ผ่านความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้นด้วย” และเป็นความทุกข์ยากลำบากที่มากเสียด้วย คือรับเอาความบาปทั้งหมดของมวลมนุษยชาติมาไว้ที่พระองค์เอง ไม่มีมนุษย์คนไหน เคยได้รับความกลัวถึงขนาดเหงื่อเป็นเลือดออกมา เหมือนพระเยซูเลย


ลองฟังเรื่องเล่าเรื่องนี้ดู เป็นอุทาหรณ์เรื่องหนึ่ง ซึ่งทำให้เราเห็นว่าทำไมพระเจ้าต้องมาเกิดเป็นมนุษย์

มีครอบครัวชาวไร่ครอบครัวหนึ่ง ทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์อยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ชาวไร่คนนี้เขามีภรรยาที่เชื่อพระเจ้า และรักพระเจ้ามาก แต่ตัวเขาเองยังไม่เชื่อพระเจ้าเลย วันคริสตมาสปีหนึ่ง ภรรยาพยายามชวนให้เขาไปโบสถ์ด้วยกัน แต่เขาไม่ยอมไป และบอกว่าเขาไม่เคยเชื่อเรื่องพระเจ้าลงมาเกิดเป็นมนุษย์เลย ไม่เข้าใจว่าในเมื่อพระเจ้ามีฤทธิ์เดชอำนาจมากมาย ทำไมต้องลดตัวลงมาเกิดเป็นมนุษย์ และต้องทนทุกข์ทรมานตัวเองแบบนี้


“…นี่ถ้าเราเป็นห่านด้วย พวกมันคงเข้าใจเราดีกว่านี้”

คืนนั้นภรรยาพาลูกๆ ไปโบสถ์และปล่อยให้เขาอยู่บ้านคนเดียว ปรากฏว่าคืนนั้น ในขณะที่เขานั่งพักผ่อนอยู่บ้านคนเดียว ก็เกิดพายุหิมะหนักมาก และเขาก็เห็นฝูงห่านฝูงหนึ่งพลัดหลงมา เข้าใจว่าเป็นฝูงห่านที่บินหลบหนาวมาอีกฝั่งหนึ่ง แต่มาเจอพายุหิมะเสียก่อน ก็เลยพยายามหาที่หลบ ฝูงห่านฝูงนี้กำลังตกใจกลัวและหนาวสั่นมาก ชายคนนี้ก็คิดที่จะช่วยฝูงห่านฝูงนี้ เขาจึงเดินไปเปิดโรงนาที่ว่างอยู่ ซึ่งข้างในมีกองฟางอยู่เต็ม น่าจะเป็นที่หลบหนาวชั่วคราวให้กับฝูงห่านฝูงนี้ได้ แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไร ฝูงห่านก็ไม่ยอมเดินเข้าไปในโรงนานั้นสักที ยิ่งเขาพยายามกวาดต้อน ฝูงห่านก็ยิ่งตกใจกลัว พากันหนีกระเจิดกระเจิง แล้วเขาก็รำพึงออกมาว่า (ฟังตรงนี้ให้ดีๆ) “เจ้าห่านพวกนี้ไม่รู้หรือไงว่าเรากำลังต้องการช่วยเจ้าให้รอดชีวิต นี่ถ้าเราเป็นห่านด้วย พวกมันคงเข้าใจเราดีกว่านี้” คิดได้ดังนั้น เขาก็เดินไปที่คอกห่าน แล้วก็อุ้มห่านตัวหนึ่งที่เขาเลี้ยงเอาไว้จนเชื่องออกมา แล้วก็ปล่อยห่านของเขาตัวนั้น ลงไปท่ามกลางฝูงห่านที่พลัดหลง ที่กำลังหนาวสั่น

เจ้าห่านตัวนี้ ซึ่งคุ้นเคยกับบริเวณนี้เป็นอย่างดี ก็รีบเดินเข้าไปในโรงนา เพื่อหลบหนาว ทันใดนั้นฝูงห่านที่พลัดหลงก็ค่อยๆ เดินตามเข้าไปทีละตัว จนหมด คืนนั้นห่านทุกตัวก็ได้หลบพายุหิมะในโรงนา จนหิมะหยุด ก็พากันบินต่อไป


เขาไม่เคยเข้าใจว่าทำไมพระเจ้าต้องมาเกิดเป็นมนุษย์

ในระหว่างที่เขากำลังยืนดูฝูงห่านเดินเข้าไปในโรงนานั้น เขาก็คิดขึ้นมาได้ถึงคำพูดที่เขาพูดกับภรรยาเมื่อเช้านี้ที่ว่า เขาไม่เคยเข้าใจว่าทำไมพระเจ้าต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เขาเพิ่งประสบกับตัวเอง เขาจึงรู้ว่าพระเจ้ามีวัตถุประสงค์อะไร เพื่ออะไร และเพื่อใคร


อาทิตย์ต่อมาเขาก็ได้ไปปรากฏตัวที่โบสถ์ และได้รับเชื่อในเช้าวันนั้น

นี่คืออุทาหรณ์เรื่องหนึ่ง ที่ทำให้เราเห็นว่าทำไมพระเจ้าต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็เพื่อที่จะเข้าใจ พระองค์รู้ว่าคุยกับเราอย่างไร เราก็ไม่เข้าใจ จะบอกเราอย่างไรว่าพระองค์ทรงรัก ทรงเข้าใจเราดี จะทำตัวอย่างไรให้เราเข้าใจว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้านะ จะทำอย่างไรให้เราวางใจในพระองค์ได้ นี่ขนาดเกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว เดินอยู่บนโลกใบนี้แล้ว เรายังสามารถวางใจในพระเจ้าได้เพียงแค่นี้ เหมือนกับทุกวันนี้ที่ขึ้นบ้าง ลงบ้าง แล้วถ้าพระองค์ไม่มาเกิดเป็นมนุษย์อย่างนี้ เราก็ยิ่งไม่สามารถเข้าใจพระองค์ได้เลย


คราวนี้เราจะมาดูว่าพระเจ้าเสด็จลงมาประสูติที่โลกใบนี้ เพื่ออะไร และเพื่อใคร จากบันทึกในพระคัมภีร์ เราพอจะสรุปได้อย่างคร่าวๆ


มีเหตุผลหลักๆ อยู่ 4 ประเด็นด้วยกันก็คือ.-

ข้อที่ 1 เพื่อให้ผู้คนได้รับรู้ถึงพระฉายของพระเจ้า ให้รู้ว่าพระเจ้าทรงเป็นอย่างไร พระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูคือพระเจ้า ใครที่ได้พบพระเยซู ก็คือได้พบพระเจ้านั่นเอง


ยอห์น 14:6-7

“พระเยซูตรัสกับเขาว่า "เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา ถ้าท่านทั้งหลายรู้จักเราแล้ว ท่านก็จะรู้จักพระบิดาของเราด้วย ตั้งแต่นี้ไปท่านก็จะรู้จักพระองค์และได้เห็นพระองค์"


เราอาจจะมองเห็นได้ว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่ ทรงฤทธิ์อำนาจสูงสุด จากสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น ทั้งธรรมชาติ จักรวาล แต่ก็มีหลายสิ่งหลายอย่างในความเป็นพระเจ้าที่เราไม่สามารถสัมผัสหรือมองเห็นได้ด้วยตา เช่น บอกเราว่าพระเจ้าเป็นความรัก พระเจ้าทรงเสียสละ พระเจ้าทรงเข้าใจเราทุกอย่าง สิ่งเหล่านี้ที่เราสามารถรับรู้ได้ และทำให้เรารู้จักพระเจ้าดีขึ้น ก็โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ ที่ลงมาเกิดเป็นมนุษย์เหมือนเราทั้งหลาย และกระทำการเหล่านี้ให้เราได้เห็น



ยอห์น 14:8-11

“ฟีลิปทูลพระองค์ว่า "พระองค์เจ้าข้า ขอสำแดงพระบิดาให้ข้าพระองค์ทั้งหลายได้เห็น ก็พอใจข้าพระองค์แล้ว" พระเยซูตรัสกับเขาว่า "ฟีลิปเอ๋ย เราได้อยู่กับท่านนานถึงเพียงนี้ และท่านยังไม่รู้จักเราอีกหรือ ผู้ที่ได้เห็นเราก็ได้เห็นพระบิดา ท่านจะพูดได้อย่างไรอีกว่า 'ขอสำแดงพระบิดาให้ข้าพระองค์ทั้งหลายเห็น' ท่านไม่เชื่อหรือว่า เราอยู่ในพระบิดาและพระบิดาทรงอยู่ในเรา คำซึ่งเรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายนั้น เรามิได้กล่าวตามใจชอบ แต่พระบิดาผู้ทรงสถิตอยู่ในเรา ได้ทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์ จงเชื่อเราเถิดว่า เราอยู่ในพระบิดาและพระบิดาทรงอยู่ในเรา หรือมิฉะนั้นก็จงเชื่อเพราะกิจการเหล่านั้นเถิด”


“จงเชื่อเถิดว่าเราอยู่ในพระบิดา และพระบิดาทรงอยู่ในเรา”



“เรา” ในที่นี้ก็คือพระเยซูคริสต์

กับพระบิดาเป็นหนึ่งเดียวกัน ก็คือเป็นพระเจ้าลงมาเกิดเป็นมนุษย์ สำแดงความรัก สำแดงความท้อใจ สำแดงความเมตตา สำแดงว่าพระเจ้าเป็นผู้ที่มีพระลักษณะ หรือมีนิสัยแบบนี้ รักเราขนาดนี้ ให้เราเห็นกับตาเลย จับต้องมองเห็นได้





ข้อที่ 2 เพื่อที่จะประกาศข่าวประเสริฐเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า และสั่งสอนมนุษย์ทั้งหลาย



มัทธิว 4:23

“พระเยซูได้เสด็จไปทั่วแคว้นกาลิลี ทรงสั่งสอนในธรรมศาลาของเขา ทรงประกาศข่าวประเสริฐเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า และทรงรักษาโรคภัยไข้เจ็บของชาวเมืองให้หาย”


“ทรงประกาศข่าวประเสริฐ เรื่องแผ่นดินของพระเจ้า”



ลูกา 4:42-44

“ครั้นรุ่งเช้า พระองค์เสด็จออกไปยังที่เปลี่ยว ประชาชนเที่ยวเสาะหาพระองค์ ครั้นพบแล้วก็หน่วงเหนี่ยวพระองค์ไว้ ไม่ให้ไปจากเขา แต่พระองค์ตรัสแก่เขาว่า "เราต้องไปประกาศข่าวประเสริฐ แห่งแผ่นดินของพระเจ้าแก่เมืองอื่นด้วย เพราะว่าที่เราได้รับใช้มา ก็เพราะเหตุนี้เอง" พระองค์ทรงประกาศในธรรมศาลาทั่วยูเดีย”


“เราต้องไปประกาศข่าวประเสริฐ แห่งแผ่นดินของพระเจ้าแก่เมืองอื่นด้วย เพราะว่าที่เราได้รับใช้มา ก็เพราะเหตุนี้”



พระเยซูได้ถูกใช้มา เพื่อมาประกาศกับมนุษย์ ในภาษาของมนุษย์

เพื่อให้มนุษย์เข้าใจถึงเรื่องเกี่ยวกับอาณาจักรของพระเจ้า แผ่นดินของพระเจ้า สวรรค์ที่พระเจ้าทรงตระเตรียมไว้ให้กับเราว่า “สวรรค์นั้นมีจริงๆ บ้านในสวรรค์มีอยู่ ถ้าไม่มีเราคงได้บอกเจ้าแล้ว” พระเยซูได้ตรัสไว้อย่างนั้น บอกเป็นภาษามนุษย์ที่พยายามให้มนุษย์เข้าใจมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ พระเยซูยอมสละสภาพของพระเจ้าลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อประกาศข่าวประเสริฐและเรื่องราวของพระเจ้า เพราะใครจะรู้เรื่องราวของพระเจ้าได้เท่ากับตัวของพระองค์เอง เมื่อพระเจ้าลงมาประกาศเอง ก็ย่อมต้องทำให้คนสามารถที่จะเชื่อได้มากขึ้น เข้าใจได้มากขึ้น พระเจ้าก็ตระเวนสั่งสอนมนุษย์เรื่องการดำเนินชีวิตในโลกใบนี้ ว่าเราควรจะทำตัวอย่างไร ให้เป็นที่ถวายเกียรติและเป็นที่พอพระทัยพระเจ้ามากที่สุด


ยอห์น 15:14-15

“ถ้าท่านทั้งหลายประพฤติตามที่เราสั่งท่าน ท่านก็จะเป็นมิตรสหายของเรา เราจะไม่เรียกท่านทั้งหลายว่าบ่าวอีก เพราะบ่าวไม่ทราบว่านายทำอะไร แต่เราเรียกท่านว่ามิตรสหาย เพราะว่าทุกสิ่งที่เราได้ยินจากพระบิดาของเรา เราได้สำแดงแก่ท่านแล้ว”




โดยการทำเป็นตัวอย่าง

“เพราะว่าทุกสิ่งที่เราได้ยินจากพระบิดาของเรา เราได้สำแดงให้แก่ท่านแล้ว” พระเยซูตรัสอย่างนั้น ลักษณะเหมือนกับพ่อแม่ที่เลี้ยงลูก และต้องการอบรมสั่งสอนลูก โดยการทำเป็นตัวอย่าง ถ้าเราบอกลูก สอนลูกว่าอย่ากินเหล้า อย่าสูบบุหรี่ แล้วตัวพ่อเอง กินเหล้าด้วย สูบบุหรี่ด้วย คำสอนนั้นก็ไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับลูก ลูกก็ไม่กระทำตาม พระเจ้าลงมาทำเป็นตัวอย่างเลยว่าพระองค์ทรงมีพระเมตตาอย่างไร พระองค์มีบุคลิกเป็นอย่างไร พระองค์ทรงสงสารคนทุกข์ยากลำบากอย่างไร



ข้อที่ 3 เพื่อที่เราทั้งหลายจะสามารถวางใจในพระเจ้าได้

เพราะว่าคนเราก่อนที่จะเชื่อใครหรือวางใจใครได้ อย่างน้อยเราก็อยากจะมีความสนิทสนม ใกล้ชิดกันมากขึ้นเสียก่อน พระเจ้าจึงต้องเสด็จมาเป็นมนุษย์ เพื่อให้พวกเราได้รู้จักพระองค์ (ผ่านทางถ้อยคำของพระเจ้า) และเมื่อเรารู้จักพระองค์แล้ว เราก็สามารถวางใจในพระองค์ได้ต่อไป และบอกกันต่อๆ ไป


ยอห์น 12:44-46

“และพระเยซูทรงประกาศว่า "บรรดาผู้ที่วางใจในเรานั้น หาได้วางใจในเราเองไม่ แต่วางใจในพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา และผู้ที่เห็นเราก็เห็นพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา เราเข้ามาในโลกเป็นความสว่าง เพื่อทุกคนที่วางใจในเราจะมิได้อยู่ในความมืด”




ผู้ที่อยู่ในความมืดก็คือผู้ที่ไม่รู้ว่าตัวเองจะไปทางไหน

ในข้อนี้บอกว่าคนที่วางใจในพระเยซู ก็จะไม่ต้องอยู่ในความมืด ผู้ที่อยู่ในความมืดก็คือผู้ที่ไม่รู้ว่าตัวเองจะไปทางไหน มีชีวิตอยู่แบบไม่รู้จุดหมายปลายทาง ไม่มีความหวัง ไม่มีเป้าหมาย อยู่ไปวันๆ หนึ่ง แต่ผู้ที่รู้จักพระเจ้าและวางใจในพระเจ้า ก็จะมีชีวิตอยู่ท่ามกลางแสงสว่าง อยู่ด้วยความหวังใจทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ในโลกนี้ก็ได้รู้ว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วย พระองค์มีแผนการสำหรับเรา มีพระประสงค์ในตัวของเราอย่างไร ไม่ว่าเราจะเดินทางไปไหน หรืออยู่ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากขนาดไหน พระองค์ทรงทำให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่งได้ และทรงเข้าใจพวกเราดี และในโลกหน้าก็คือเรามั่นใจได้ว่า เมื่อหยุดพักการงานในโลกใบนี้แล้ว เราก็ได้มีบ้านถาวรที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้พวกเราเรียบร้อยไปแล้ว มีชีวิตนิรันดร์อยู่ร่วมกับพระองค์ในสวรรค์



ข้อที่ 4 เพื่ออภัยในความบาปผิดของพวกเราทั้งหลาย ให้เราทั้งหลายได้รับความรอดและมีชีวิตนิรันดร์

ยอห์น 3:16-18

“เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก มิใช่เพื่อพิพากษาลงโทษโลก แต่เพื่อช่วยกู้โลกให้รอดโดยพระบุตรนั้น ผู้ที่วางใจในพระบุตรก็ไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษ ส่วนผู้ที่มิได้วางใจก็ต้องถูกพิพากษาลงโทษอยู่แล้ว เพราะเขามิได้วางใจ ในพระนามพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”


เหตุผลสำคัญที่สุด

เหตุผลสำคัญที่สุดที่พระเจ้าทรงสละความเป็นพระเจ้า ลงมาเกิดเป็นแบบมนุษย์ ทนทุกข์ทรมานแบบมนุษย์ และตายแบบมนุษย์บนโลกใบนี้ ก็เพื่อให้เราทั้งหลายได้รับการอภัยในความผิดบาป และได้รับความรอด เพราะจำเป็นที่จะต้องกระทำแบบนั้น


1 ยอห์น 3:5

“ท่านทั้งหลายรู้แล้วว่า พระองค์ได้ทรงปรากฏ เพื่อกำจัดบาปของเราให้หมดไป และพระองค์ไม่ทรงมีบาปเลย”


ด้วยการเสียสละชีวิตของพระองค์เอง

“พระองค์” คือพระเยซู พระบุตรของพระเจ้า ผู้ทรงเป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์เราเกิดมาก็มีบาปแล้ว และยังมีความผิดบาปในระหว่างที่เราใช้ชีวิต อยู่บนโลกใบนี้อีกมากมาย แต่ไม่ว่าบาปของเราจะหนักหนาแค่ไหนก็ตาม พระเยซูได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ ได้ลบล้างความบาปผิดของเรา ด้วยการเสียสละชีวิตของพระองค์เอง ด้วยการตายที่ไม้กางเขน เพื่อทำให้เราทั้งหลายได้รับความรอด


ฟีลิปปี 2:8

“และเมื่อทรงปรากฏพระองค์ในสภาพมนุษย์แล้ว พระองค์ก็ทรงถ่อมพระองค์ลง ยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา กระทั่งความมรณาที่กางเขน”


ถ้าถามว่าพระเยซูยอมสละพระองค์อย่างนั้น เพื่ออะไร ก็ตอบได้อย่างง่ายๆ เลย ก็เพราะความรักที่พระเจ้ามีต่อเราทั้งหลาย


1 ยอห์น 4:9-10

“โดยข้อนี้ ความรักของพระเจ้าก็เป็นที่ประจักษ์แก่เราทั้งหลาย คือพระเจ้าทรงใช้พระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เข้ามาในโลก เพื่อเราทั้งหลายจะได้ดำรงชีวิตโดยพระบุตร ความรักที่ข้าพเจ้าพูดถึงนี้มิใช่ที่เรารักพระเจ้า แต่ที่พระองค์ทรงรักเรา และทรงใช้พระบุตรของพระองค์ มาทรงเป็นผู้ลบล้างพระอาชญาที่ตกกับเราทั้งหลาย เพราะบาปของเรา”




โดยสรุปแล้ว เหตุผลทั้งสี่ประเด็นที่พูดมาทั้งหมดนี้ พระเจ้าทรงลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อลบล้างความผิดบาปของเรา และนำทางเราไปสู่ความรอดในชีวิตนิรันดร์นั่นเอง

ซึ่งทางเดียวเท่านั้นที่จะช่วยเราให้รอดได้ คือได้รับชีวิตนิรันดร์ในพระเจ้า ก็คือเราต้องเชื่อและวางใจในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระเจ้าและลงมาเกิดเป็นมนุษย์ และมาประกาศข่าวประเสริฐ ข่าวดีด้วยตัวของพระองค์เอง เพื่อให้มนุษย์ได้รู้จักพระเจ้าดีขึ้น และสามารถวางใจในพระเจ้าได้มากขึ้น


พระองค์ให้มาแล้ว เราก็แอบเก็บไว้ ไม่ไปเปิดดู

ที่กล่าวในตอนต้นว่า พระเจ้าได้มอบของขวัญที่ยิ่งใหญ่ให้กับมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ คือพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นพระบุตรของพระเจ้าเอง แต่ก็น่าเสียใจที่หลายท่าน หรือแม้แต่เราในอดีต ก็ไม่ได้สนใจของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าทรงประทานให้ เพราะเราไม่ต้อนรับพระเยซูคริสต์ เพราะเราไม่อยากได้ของขวัญชิ้นนี้ พระองค์ให้มาแล้ว เราก็แอบเก็บไว้ ไม่ไปเปิดดู หรือบางคนก็ทิ้งไปเลย หรือเก็บไว้ในห้องเก็บของ ไม่เปิดดูสักนิด ไม่ใช้เลย แต่ผู้ที่ให้นั้น ได้ให้เราเรียบร้อยแล้ว ในทางของพระเจ้า พระเยซูได้มาบังเกิดบนโลกใบนี้ 2,000 กว่าปีมาแล้ว แต่มีอีกหลายคนที่ยังไม่ได้รับของขวัญนี้เลย ทั้งๆ ที่ของขวัญได้ให้มาแล้ว 2,000 กว่าปี
ควรจะมีชีวิตอยู่อย่างไร ให้สมกับคุณค่าที่เราได้เริ่มรู้

เมื่อเราได้รับความรักมากมายขนาดนี้จากพระเจ้า เราควรจะทำตัวอย่างไร ให้เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์ ในแต่ละปีเมื่อเราระลึกถึงวันคริสตมาส ซึ่งเป็นของขวัญอันยิ่งใหญ่ เป็นความรัก ความอดทน เสียสละให้กับเราทั้งหลาย เราควรจะทดแทนพระคุณของพระองค์อย่างไร ควรจะกตัญญูรู้คุณพระองค์อย่างไร ควรจะมีชีวิตอยู่อย่างไร ให้สมกับคุณค่าที่เราได้เริ่มรู้ เริ่มเข้าใจแล้วว่าพระเจ้ารักเรามากขนาดไหน!


ดำเนินชีวิตให้สมกับที่พระเจ้าได้ทรงรักเรา

เพราะฉะนั้น อยากให้คริสตมาสอยู่ในหัวใจของเรา อย่าให้คริสตมาสอยู่ข้างนอกตัวเรา หรืออยู่แค่รอบๆ ตัวเฉยๆ ให้เราเอาความรัก ความเมตตา ความห่วงใยของพระเจ้า เข้ามาอยู่ในจิตใจของเรา และดำเนินชีวิตให้สมกับที่พระเจ้าได้ทรงรักเรา คือดำเนินชีวิตด้วยความรักเหมือนพระองค์นั่นเอง ถวายเกียรติด้วยชีวิตของเรา ด้วยความประพฤติที่ดีของเรา ด้วยการกระทำที่ดีงามของเรา ด้วยการเชื่อฟังต่อพระองค์ ในหนังสือพระคัมภีร์ที่ทรงสอนเราไว้ พระโอวาทที่สอนเราไว้ว่าควรจะทำตัวอย่างไร ดำเนินชีวิตด้วยความรัก ความรักคืออดทนนาน กระทำคุณให้ ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติผิด แต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ


การทำอย่างนี้ เป็นการทดแทนพระคุณของพระเจ้า

พระเจ้าไม่ต้องการสิ่งต่างๆ จากเราเลยแม้แต่นิดเดียว พระองค์เป็นเจ้าของทุกสิ่ง พระองค์ทรงครอบครองและควบคุมอยู่เหนือทุกสิ่ง ทุกสิ่งที่ทรงสร้างเป็นของพระองค์ เกียรติเป็นของพระองค์ เงินและทองเป็นของพระองค์ ที่เราถวายอะไรต่างๆ ไปแล้ว พระองค์ไม่ได้ทรงต้องการเลย สิ่งที่พระองค์ต้องการที่สุดก็คือชีวิตของเราทั้งหลาย ที่ดำเนินตามแบบอย่างของพระเยซูคริสต์


นี่คือชีวิตที่สามารถที่จะถวายแด่พระองค์ได้

เหมือนบทเพลงที่เราร้องไปเมื่อสักครู่นี้ว่า ชีวิตขอมอบถวายแด่พระองค์ทุกสิ่ง ทุกอย่างที่เป็นอยู่และมีอยู่ ก็เพื่อพระองค์ทั้งสิ้น ถวายให้พระองค์ ให้เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์ ดำเนินชีวิตอยู่ในทางของพระองค์ พระองค์สอนว่าอะไรควรทำ เราก็ทำ พระองค์สอนว่าอะไรอย่าทำ เราก็ไม่ทำ เราตั้งใจจริง และเราอธิษฐานเสมอต่อพระเจ้าว่า



“ขอทรงช่วยเหลือเรา ที่เราทั้งหลายจะกระทำสิ่งที่ถูกต้องดีงาม ขอทรงประทานกำลังและสติปัญญาให้กับเราทั้งหลาย ที่เราจะสามารถตัดสินใจในการกระทำทุกสิ่ง ให้อยู่ในน้ำพระทัยของพระองค์ ให้เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์ ขอมอบถวายกาย ถวายชีวิตของข้าพระองค์ทั้งหลาย เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่ ที่สะอาดศักดิ์สิทธิ์จำเพาะพระพักตร์ของพระองค์ ยอมรับการเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่ ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ จะไม่ดำเนินชีวิตตามอย่างกิเลสตัณหาของฝ่ายเนื้อหนัง แต่จะดำเนินชีวิตตามพระบัญญัติของพระองค์ ตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งสถิตอยู่ในเรา”



ชีวิตอย่างนี้แหละถึงจะเป็นการทดแทนพระคุณ และความรักที่พระองค์ทรงให้เรา ขอพระเจ้าอวยพรครับ

การเฝ้าเดี่ยว

การเฝ้าเดี่ยว

การเฝ้าเดี่ยว หมายถึง เวลาส่วนตัวที่เราอยู่สนทนากับพระเจ้า โดยการอ่านพระคัมภีร์และการอธิษฐาน พระเยซูคริสต์
ทรงใช้เวลาเช้าแต่ละวันในการอธิษฐานเฝ้าเดี่ยว "ครั้นเวลาเช้ามืด พระองค์ได้ทรงลุกขึ้น เสด็จออกไปยังที่เปลี่ยวและ
ทรงอธิษฐานที่นั่น"(มาระโก 1:35) เช่นเดียวกัน ที่เราต้องการเวลาแต่ละวันที่จะเข้าเฝ้าพระเจ้าด้วย

ข้อเสนอแนะในการใช้เวลาเฝ้าเดี่ยวอย่างมีคุณค่า
1.จัดเวลาเฉพาะที่จะถวายแด่พระเจ้าในเวลาเช้า หลังจากตื่นนอนเริ่มต้นจาก 10 นาทีก่อน แล้วจึงค่อยๆเพิ่มขึ้นเป็น
15 นาที 20 นาที หรือมากกว่านั้น
2.เริ่มต้นด้วยการอธิษฐานกับพระเจ้า ขอบพระคุณพระองค์ที่ทรงอวยพระพรในสิ่งต่างๆ ที่ผ่านมา ขอการทรงนำที่จะ
เริ่มต้นชีวิตในวันใหม่ อธิษฐานเผื่อผู้อื่น ครอบครัวและตัวเอง
3.อ่านพระคัมภีร์ ควรเริ่มที่พระธรรมยอห์น อ่านอย่างน้อยวันละ 15 ข้อ ตั้งคำถามกับตัวเองดังนี้ว่า
3.1.มีความบาปอะไรที่ต้องสารภาพ
3.2.พระเจ้าทรงสัญญาอะไรที่มีสิทธิ์ขอได้
3.3.มีตัวอย่างอะไรที่ควรปฏิบัติตาม
3.4.มีบัญญัติหรือคำสั่งใดที่ต้องเชื่อฟัง
3.5.มีบาปอะไรที่ต้องหลีกเลี่ยง
4.มีสมุดจดบันทึกสิ่งที่ได้เรียนรู้ หรือข้อคิดที่ได้ระหว่างเฝ้าเดี่ยว พยายามทำเช่นนี้ทุกวัน

วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2551

การกลับใจใหม่

1. การกลับใจใหม่สำคัญต่อเราอย่างไร?
การกลับใจใหม่เป็นเงื่อนไขที่สำคัญในการเข้าในแผ่นดินสวรรค์ เป็นสาระที่สำคัญของข่าวประเสริฐที่พระเยซูคริสต์์และ
สาวกของพระองค์ประกาศ เป็นด่านแรกที่จะนำเราเข้าสู่ "ชีวิตนิรันดร์"

2. การกลับใจใหม่คืออะไร?
เมื่อประกาศว่า "จงกลับใจเสียใหม่" พระเยซูคริสต์และสาวกของพระองค์หมายถึง "การหันหนีจากความบาปและหันมา
แสวงหาพระเจ้า" เป็นการหันกลับทั้งการกระทำ ทั้งความคิดและจิตใจ เป็นความเข้าใจและเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็น
พระเจ้าที่บริสุทธิ์และรักคนบาปอย่างเรา เป็นความรู้สึกที่สำนึกตัวว่าเป็นคนบาปและเสียใจในความบาปที่เคยทำเป็น
ความปรารถนาอย่างลึกล้ำที่จะรู้จักและ รักพระเจ้า เราจะกลับใจใหม่ได้อย่างไร? การกลับใจใหม่มีองค์ประกอบสำคัญ
3 ประการ คือ

การสำนึกผิด คือ ความตระหนักว่าตนเองเป็นคนบาปและรู้สึกเสียใจในความผิดบาปที่เคยกระทำ ทำให้เกิดการ
สารภาพความผิดบาปทั้งสิ้นแด่พระเจ้า และขอการอภัยโทษจากพระองค์
การต้อนรับพระเยซูคริสต์ เพราะพระองค์เป็นทางเดียวเท่านั้นที่จะนำเรามาถึงพระเจ้าและรับการอภัยโทษบาป
จากพระองค์ เราต้องต้อนรับพระองค์เข้าสถิตในจิตใจของเราโดยความเชื่อและไว้วางใจในพระองค์ เป็นการ
ยอมรับให้พระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดในชีวิตของเรา
การยอมจำนน เมื่อเราได้รับการอภัยบาปแล้วพระเยซูคริสต์ทรงกำชับไม่ให้เรากลับไปทำบาปอีกเราจะมีีธรรมชาติใหม่ที่บริสุทธิ์และรังเกียจบาปรูปแบบ เรา
จะรับการสร้างใหม่โดยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าและผู้รับใช้ของพระองค์ จนกว่าเราจะ
เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ทั้งความคิด-จิตใจและการกระทำ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้จนกว่า เราจะยอมจำนน
ต่อพระเยซูคริสต์อย่างแท้จริง นั่นหมายความว่า เราจะต้องให้พระเยซูคริสต์เป็นที่หนึ่งในชีวิต ยกย่องพระองค์
เป็นเจ้าชีวิตของเรา และดำเนินชีวิตตามแบบที่พระองค์วางไว้สำหรับเรา

เติบโตในพระเจ้า

เริ่มต้นใหม่


โดย ดร. นรินิตย์ จินดาขันธ์ (29/8/2008)


เราคงเคยได้ยินคำพูดที่ว่า “เริ่มต้นดี มีชัยไปกว่าครึ่ง” แต่คงไม่มีใครสามารถปฏิเสธความจริงในข้อนี้ได้ อย่างไรก็ตามหลายครั้งที่เรามักจะเริ่มต้นด้วยดี แต่พอมาถึงกลางทางสิ่งที่ดีก็เริ่มจะหดหาย วินัยต่าง ๆ ความขยันขันแข็งหรือความอดทนที่เคยมีก็เริ่มที่จะจืดจางลง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ย่อมส่งผลกระทยต่อเป้าหมายข้างหน้าที่เรากำลังจะเดินไป


ในชีวิตคริสเตียนก็เช่นเดียวกัน หลายคนอาจจะมีความกระตือรือร้นในพระเจ้าอย่างมากเมื่อเริ่มเชื่อใหม่ ๆ และดำเนินชีวิตตามพระคำของพระองค์ทุกประการ อย่างไรก็ตามเมื่อเวลาเปลี่ยนไป สิ่งต่าง ๆ ก็เริ่มเปลี่ยนตาม ยิ่งเราได้รู้จักพระเจ้านานเท่าใด ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระองค์ก็ยิ่งห่ามมากเท่านั้น เราเริ่มไม่ใส่ใจกับความถูกต้องในการดำเนินชีวิตเท่าใดนัก เพราะคิดว่าตนเองเติบโตในพระเจ้ามากพอเกินกว่าที่จะคิดถึงเรื่องเหล่านั้น เรากลายเป็นคนที่รู้จักพระเจ้าผ่านทางสมอง ผ่านทางสติปัญญาของเราเท่านั้น แต่เราไม่เคยมีประสบการณ์กับพระเจ้าในการดำเนินชีวิตเลย เราจำได้หรือไม่ว่าครั้งสุดท้ายที่พระเจ้าตอบคำอธิษฐานของเรานั้นเมื่อไร ? ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้าเมื่อครั้งเริ่มเชื่อตอนนี้นั้นแตกต่างกันอย่างไร ? ยังไม่สายเกินไปหากเราจะเริ่มต้นใหม่ตั้งแต่วันนี้ เริ่มต้นที่จะกลับไปสู่ความรักดั้งเดิมของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง


สิ่งสำคัญอันดับแรกในการเริ่มต้นกับพระองค์อีกครั้งก็คือการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้า เพราะชีวิตคริสเตียนเป็นชีวิตแห่งความสัมพันธ์ เหมือนที่ได้บอกไว้ใน 1 โครินธ์ 1:9 ว่า “พระเจ้าเป็นผู้ทรงความสัตย์ พระองค์ได้ทรงเรียกท่านให้สัมพันธ์สนิทกับพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา” จำเป็นที่เราจะต้องตั้งเวลาเพื่อที่จะพูดคุยกับพระองค์เป็นประจำทุกวัน เพื่อที่เราจะได้ประสบการณ์กับพระองค์ เพื่อที่เราจะได้รู้จักพระองค์มากขึ้น ไม่ใช่แค่ความรู้ทางสมองเท่านั้น แต่เป็นความรู้ที่ได้มาจากประสบการณ์กับพระองค์อย่างแท้จริง “แต่ขอท่านทั้งหลายจงเจริญขึ้นในพระคุณและในความรู้ ซึ่งมาจากพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า พระผู้ช่วยให้รอดของเรา” 2 เปโตร 3:18


สิ่งสำคัญประการต่อมาคือ การที่เราต้องมีชีวิตที่เหมือนกันทั้งภายในและภายนอก หลายคนมีชีวิตที่ดีในวันอาทิตย์ มีชีวิตที่เป็นแบบอย่างเมื่ออยู่ที่โบสถ์ แต่เมื่อกลับมาถึงบ้าน เมื่ออยู่ในที่ทำงาน เรากลับมีชีวิตอีกแบบหนึ่ง เราควรที่จะเริ่มต้นใหม่ เริ่มทำให้ชีวิตภายนอกที่เราแสดงออกนั้นสอดคล้องกับชีวิตที่อยู่ภายใน อย่าเป็นเหมือนพวกธรรมจารย์ หรือพวกฟาริสี ที่หน้าซื่อใจคดทั้งหลาย เพราะปลายทางของเขาเหล่านั้นก็คือความพินาศนั่นเอง “วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมจารย์และพวกฟารีสี คนหน้าซื่อใจคด ด้วยเจ้าขัดชำระถ้วยชามแต่ภายนอก ส่วนภายในถ้วยชามนั้นเต็มด้วยการโจรกรรมและการมัวเมากิเลส โอพวกฟาริสีตาบอด จงชำระถ้วยชามภายในเสียก่อน เพื่อข้างนอกจะได้สะอาดด้วย” มัทธิว 23:25-26


ไม่เพียงแต่การมีชีวิตที่เป็นแบบอย่างเท่านั้น สิ่งสำคัญคือ เราต้องสามารถนำพระคำของพระองค์มาใช้ในชีวิตประจำวันด้วย หากเราไม่สามารถนำพระคำของพระองค์มาใช้ได้อย่างเกิดผลแล้ว ก็คงเปรียบเหมือนกับการที่เรามีปืนที่ดีมาก ๆ อยู่ในมือ แต่ก็ไม่สามารถนำมายิงให้เข้าเป้าได้ ซึ่งไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใดเลย เราจำเป็นต้องให้พระคำของพระเจ้าเป็นเหมือนกับโคมส่องเท้าของเรา เป็นเหมือนกับเสาเมฆและเสาเพลิงที่คอยนำพาชีวิตของเราเพื่อที่เราจะได้มีชีวิตที่เป็นแบบอย่างสมกับที่เรียกตนเองว่า “คริสเตียน” “พระวจนะของพระองค์เป็นโคมสำหรับเท้าของข้าพระองค์ และเป็นความสว่างแก่มรรคาของข้าพระองค์........ข้าพระองค์โน้มจิตใจข้าพระองค์ปฏิบัติตามกฏเกณฑ์ของพระองค์เป็นนิตย์จนอวสาน” สดุดี 119:105, 112


ข้อควรระวังเมื่อเราได้เดินกับพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอก็คือ อย่าพอใจกับสภาพฝ่ายจิตวิญญาณที่เป็นอยู่ หลาย ๆ คนคิดว่าตนเองเติบโตในพระเจ้ามากแล้ว เป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณแล้ว ทำให้ไม่สนใจที่จะพัฒนาตนเองให้เติบโตมากยิ่งขึ้น ทำให้ไม่มีจิตใจที่หิวกระหายน้ำนมฝ่ายวิญญาณเหมือนแต่ก่อน อาจารย์เปาโลเตอนเราทุกคนให้ระวังให้ดี โดยเฉพาะผู้ที่คิดว่าตนเองมั่นคงดีแล้ว เพราะหากเขาพลาดลง จะเป็นการยากหรือใช้เวลานานกว่าจะสามารถเข้ามายืนที่จุดเดิมได้ “เหตุฉะนั้นคนที่คิดว่าตัวเองมั่นคงดีแล้ว ก็จงระวังให้ดี กล้วว่าจะล้มลง” 1 โครินธ์ 10:12 ไม่เพียงแต่คนที่ไม่ยอมเติบโตเท่านั้น แต่คนที่ไม่มีความกระตือรือร้นในทางของพระเจ้าก็เช่นกัน พระเจ้าทรงเตือนให้ปรับปรุงตัวเสียใหม่ ไม่เช่นนั้นอาจจะต้องพบกับการตีสอนจากพระองค์ก็เป็นได้ “เรารู้จักแนวการกระทำของเจ้า เจ้าไม่เย็นไม่ร้อน เราใคร่ให้เจ้าเย็นหรือร้อน เพราะเหตุที่เจ้าเป็นแต่อุ่น ๆ ไม่เย็นและไม่ร้อน เราจะคายเจ้าออกจากปากของเรา” วิวรณ์ 3:15-16


ไม่มีคำว่าสายเกินไปสำหรับการเริ่มต้นกับพระเจ้าใหม่อีกครั้ง เพราะการเติบโตในทางของพระองค์นั้นเป็นกระบวนการที่เราต้องเรียนรู้ตลอดชีวิตของเรา แต่อาจจะสายเกินแก้หากเรายังคงพลัดวันประกันพรุ่ง ไม่ยอมเริ่มต้นกับพระองค์เสียที เพราะวันนั้นก็ใกล้เข้ามา และเราไม่รู้ว่าพระองค์จะเสด็จกลับมาเวลาใด ดังนั้นจงเตรียมตัวให้พร้อมก่อนที่จะไม่มีเวลาให้เตรียม


ขอพระเจ้าทรงอวยพระพร.

วันศุกร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2551

การอธิษฐาน

การอธิษฐาน

การอธิษฐานเป็นการสนทนากับพระเจ้าพระบิดาเหมือนดังเด็กสนทนากับบิดาของตน ซึ่งเป็นความจริงว่าพระเจ้า
จะทรงฟังเราเพราะเมื่อเรามาเป็นคริสเตียนนั้นเรามีฐานะเป็นบุตรของพรเจ้า พระองค์ทรงสัญญาว่า "จงทูลเรา และเราจะตอบเจ้า และจะบอกสิ่งที่ใหญ่ยิ่งและที่ซ่อนอยู่(เยรเมีย์ 33:3)"

ครั้งหนึ่งพระเยซูคริสต์ได้ตรัสแก่สาวกของพระองค์ว่า "แม้จนบัดนี้ท่านยังไม่ได้ขอสิ่งใดในนามของเรา จงขอเถิด
แล้วจะได้ เพื่อความชื่นชมยินดีของท่านจะมีเต็มเปี่ยม"(ยอห์น 16:24) ในพระธรรมยากอบ 1:6-7 กล่าวว่า "แต่จงให้
้ผู้นั้นทูลขอด้วยความเชื่อ..." และมีพระคัมภีร์ข้อหนึ่งที่เราควรจะจดจำไว้ก็คือ ยากอบ 4:3 ที่กล่าวว่า "ท่านขอและ
ไม่ได้รับ เพราะท่านขอผิด หวังได้ไปเพื่อสนองกิเลสตัณหาของท่าน" เมื่อเราอธิษฐานขออย่างถูกต้อง หรือขอด้วย
ความบริสุทธิ์ใจโดยปราศจากความเห็นแก่ตัวและไม่มีบาปแอบแฝงอยู่ พระเจ้าก็จะทรงตอบตามที่ขอนั้น"

วันพุธที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2551

การทรงนำของพระเจ้า

พระเจ้าทรงสำแดงอธิบายให้เราเข้าใจ น้ำพระทัยของพระองค์
ข้อมูลจากฝ่าย พัฒนาผู้นำ คริสตจักรใจสมาน
วันที่ 21/06/2002


การสังเกตการทรงนำของพระเจ้า

พระเจ้าทรงสำแดงอธิบายให้เราเข้าใจ น้ำพระทัยของพระองค์ ไม่ว่าจะเป็นการประกอบอาชีพการงาน การรับใช้ พระองค์ทรงประทานหนทางแก่เรา และทรงกำหนดชีวิตของเรา ดังนั้น ชีวิตเราต้องถูกผูกพันและติดสนิทกับพระองค์ เพื่อที่เราจะได้ทราบและสังเกตุ น้ำพระทัยพระบิดาได้ (รม.12:1-2)
สดด.25:12 "ผู้ใดเล่าที่เป็นผู้ที่ยำเกรงพระเจ้า พระองค์จะทรงสั่งสอนผู้นั้นในทางที่เขาเลือกได้"

I. เราจะรู้การทรงนำจากพระเจ้าได้อย่างไร
1. ต้องรู้ว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้นำ -- สดด.48:14
พระเจ้าทรงเป็นผู้กำหนด และมีน้ำพระทัยพิเศษสำหรับชีวิตของบุตรของพระองค์ทุกคน (ยรม.29:11-13 )
ตัวอย่าง ชีวิตคริสเตียนไม่ใช่แกลบ ที่จะถูกพัดตามลมไปทางไหนก็ได้ แต่ทุกสิ่งขึ้นอยู่กับน้ำ พระทัยของพระเจ้า
2. การทรงนำของพระเจ้าผ่านทางพระคัมภีร์
“พระวจนะของพระเจ้าเป็นประโยชน์ในการสอน การตักเตือนว่ากล่าว การปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี และอบรมในทางธรรม” (2ทธ.3:16)
“ถ้าผู้ใดถือว่าตนเป็นผู้เผยพระวจนะหรืออยู่ฝ่ายพระวิญญาณ ก็ควรยอมรับว่าข้อความซึ่งข้าพเจ้าเขียนมาถึงท่านนั้น เป็นพระบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้า” (1คร.14:37)
ตัวอย่าง พระเจ้าตรัสกับโยนาห์เสมอในพระธรรม โยนาห์ ตั้งแต่บทที่ 1 ว่า "พระเจ้าตรัสดังนี้.........." ดังนั้นเราต้องเชื่อฟัง และทำตาม
3. ผ่านทางการอธิษฐาน
เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ซึ่งเราจะเห็นได้จากชีวิตของพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงอธิษฐานก่อนเลือกสาวก (ลก.6:12-13) อธิษฐานก่อนการรับใช้ (มธ.4:1-2) และอธิษฐานก่อนจะถูกทรงตรึงที่กางเขน ที่สวนเก็ธเสมนี
พระองค์ทรงสัญญาว่าจะประทานสติปัญญาในการตัดสิน เมื่อเราทูลขอ (ยก.1:5-7)
4. ผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ภายในเรา (กจ.11:12, 16:17)
จากพระธรรมยอห์น 14:15-17 พระเยซูทรงประทานผู้ช่วยให้แก่เรา ซึ่งเป็นผู้รอบรู้ทุกสิ่งคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราเห็นตัวอย่างของการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์
- พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำ พระเยซูทรงไปในถิ่นทุรกันดาร (มธ.4:1)
- พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำ ฟิลิปไปพบขันที (กจ.8:29)
- พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำ เปาโลให้ไปประกาศแคว้นเอเซีย (กจ.16:6,10)
- พระวิญญาณทรงนำไปสู่ความจริงทั้งมวล (รม.8:14)
5. ผ่านทางเหตุการณ์สิ่งแวดล้อม (รม.8:28)
เหตุการณ์ทุกอย่างมีจุดประสงค์จากพระเจ้า แต่เราอย่าเน้นเหตุการณ์เสมอไป แม้เหตุการณ์ ไม่ดีพระเจ้าก็สามารถเปลี่ยนเป็นดีได้
ตัวอย่าง ความทุกข์ยากของอิสราเอลในอียิปต์ ฟาโรห์ไม่ยอมปล่อยคนยิวให้ไปนมัสการที่ภูเขาซีนาย แต่สุดท้ายพระเจ้าทรงกลับกลายให้เป็นผลดีด้วยการอัศจรรย์
ตัวอย่าง ชีวิตของโยเซฟที่ตกต่ำลงในตอนแรก แต่ตอนสุดท้ายพุ่งสูงขึ้น
6. ผ่านทางผู้นำฝ่ายวิญญาณ ที่มีของประทานในการสังเกตุวิญญาณ สภษ.15:22, สดด.1:1, สภษ.1:15
บุคคลเหล่านี้จะช่วยตักเตือน และเป็นที่ปรึกษาแนะนำเราได้ แต่ต้องสอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้า
ตัวอย่าง สิวนัสกับอควิลลา สังเกตุเห็นอปอลโลมีของประทานจึงนำมาสอนเพิ่มเติม
7. คนที่รับผิดชอบเรา (ฮบ.13:17)
ผู้มีอำนาจเหนือเรา มีส่วนในการปกครองเรา ดูแลและแนะแนวทางแก่เรา
ตัวอย่าง โยเซฟอยู่ใต้การปกครองของนายคุก ท่านก็เชื่อฟังจนได้รับการไว้วางใจ
พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้เราเชื่อฟังบุคคลเหล่านี้
1. บิดา-มารดา (ฮบ.6:1-3)
2. หัวหน้างาน-นายจ้าง (อฟ.6:5-8)
3. รัฐบาล (รม.13:7)
4. ผู้นำคริสตจักร (ฮบ.13:17)
8. ผ่านทางกฎเกณฑ์ที่คนอื่นให้เรา (1ปต.2:13-16)
แต่ต้องเป็นกฎเกณฑ์ที่สามารถปฏิบัติได้ สอดคล้องกับหลักการประพฤติในชีวิตคริส
เตียน และถูกต้องตามหลักศีลธรรม
9. ผ่านมาทางความสามารถของเราเอง (1คร.12:4, 11, รม.12:13)
พระเจ้าย่อมทรงนำเราในการทำงาน ตามตะลันที่เรามีอยู่ และทำให้ดีที่สุด พระองค์ไม่มีพระประสงค์แน่ที่จะให้ เราทำในสิ่งที่ยากเกินไป หรือเกินความสามารถของเรา
10. ทางความคิดของเรา
ก. ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี (สดด.26:1)
งานที่สุจริต หรือทุจริต และขัดต่อความเชื่อ
ข. ความปรารถนาของเรา (สดด.37:4)
เป็นงานที่เราต้องการทำไหม ?
ค. สันติสุขในจิตใจ (คส.3:15)
ผิดจากพระคัมภีร์หรือไม่ ทำให้ห่างจากทางของพระเจ้าไหม ? (อฟ.1:7, รม.13:1)

II. สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง
1. อย่าตัดสินใจเองแต่จงทำเพื่อพระเจ้า จงทำให้พระองค์ทรงนำและอธิษฐาน
2. อุปสรรคความยากลำบากในชีวิตไม่ใช่เครื่องแสดงว่าอยู่ในน้ำพระทัยพระเจ้า (2คร.4:7, 2คร.2:14)
3. อย่าคิดว่าการที่เราทำผิดพลาด จะไม่ทำให้เราหันกลับมาหาพระเจ้าได้อีก (1ยน.1:9)

จงวางใจในพระเจ้า

เคยหรือป่าว ที่รู้สึกหมดหวัง กระวนกระวาย
ท้อแท้ ไม่แน่ใจ รู้สึกไม่มั่นคงในชีวิต
และเหน็ดเหนื่อยจากสิ่งต่างๆ รอบตัว ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การเรียน การงาน ครอบครัว ความรัก ฯลฯ

ช่วงนี้ รอบตัวข้าพเจ้า มีหลายคนที่ตกอยู่ในสภาพนี้
เขาถามข้าพเจ้าว่า เขาจะหลุดจากอาการนี้ได้อย่างไร??

...???....

คำตอบอยู่ ที่ "พระเจ้า" และ พระวจนะของพระองค์

สำหรับข้าพเจ้าเอง ทุกครั้งที่รู้สึกแบบนี้
จะทบทวนประโยคที่ว่า
"จงวางใจในพระเจ้าเถิด"

เป็นประโยคที่มหัศจรรย์ และเยียวยาโรคทางใจได้เป็นอย่างดี

(ยอห์นฺ 14:1 )
อย่าให้ใจท่านทั้งหลายวิตกเลยท่านวางใจในพระเจ้า
{หรือจงวางใจในพระเจ้า}จงวางใจในเราด้วย

ในพระกิตติคุณยอห์น สาวกได้พูดกับพระเยซูว่า . .

6:28 แล้วเขาทั้งหลายก็ทูลพระองค์ว่า "ข้าพเจ้าทั้งหลาย
จะต้องทำประการใด จึงจะทำงานของพระเจ้าได้"
6:29 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "งานของพระเจ้านั้นคือ
การที่ท่าน “วางใจ”ในท่านที่พระองค์ทรงใช้มา"

พระเจ้าตรัสอะไรกับเราบ้าง

มาดูกัน . .

คุณบอกว่า: "มันเป็นไปไม่ได้"
พระเจ้าตรัสว่า: "ทุกอย่างเป็นไปได้"
(ลูกา 18:27)

คุณบอกว่า: "ฉันเหนื่อยเหลือเกิน"
พระเจ้าตรัสว่า: "เราจะให้เจ้าได้หายเหนื่อย"
(มัทธิว 11:28-30)

คุณบอกว่า: "ไม่มีใครรักฉันเลย"
พระเจ้าตรัสว่า: "เรา...รักเจ้า"
(ยอห์น 3:16)

คุณบอกว่า: "ฉันสู้ต่อไปไม่ไหวแล้ว"
พระเจ้าตรัสว่า: "พระคุณของเรานั้นมีเพียงพอ"
(2 โครินธ์ 12:9 ,สดุดี 91:15)

คุณบอกว่า: "ฉันไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปดี"
พระเจ้าตรัสว่า: "เราจะนำย่างเท้าของเจ้า"
(สุภาษิต 3:5-6)

คุณบอกว่า: "ฉันจะผ่านมันไปได้อย่างไร"
พระเจ้าตรัสว่า: "เจ้าจะเผชิญทุกสิ่งได้"
(ฟิลิปปี 4:13)

คุณบอกว่า: "ฉันทำไม่ได้"
พระเจ้าตรัสว่า: "เรา..ทำได้"
(2 โครินธ์ 9:8)

คุณบอกว่า: "ไม่คุ้มเลย"
พระเจ้าตรัสว่า: "ผลที่ได้จะดีคุ้มค่าแน่นอน"
(โรม 8:28 )

คุณบอกว่า: "ฉันจะไม่ให้อภัยตัวเองเด็ดขาด"
พระเจ้าตรัสว่า: "เราอภัยให้เจ้าเสมอ"
(1 ยอห์น 1:9 & โรม 8:1)

คุณบอกว่า: "มันเกินกำลังของฉัน"
พระเจ้าตรัสว่า: "เราจะจัดเตรียมสิ่งที่จำเป็นให้แก่เจ้า
ไม่ให้ขาดเลย"
(ฟิลิปปี 4:19)

คุณบอกว่า: "ฉัน..กลัว"
พระเจ้าตรัสว่า: "เราไม่ได้มอบจิตที่ขลาดกลัวให้แก่เจ้า"
(2 ทิโมธี 1:7)

คุณบอกว่า: "ฉันท้อแท้ และกังวลใจ "
พระเจ้าตรัสว่า: "จงละความกระวนกระวายใจเอาไว้ที่เรา"
(1 เปโตร 5:7)

คุณบอกว่า: "ฉันไม่ฉลาดพอ"
พระเจ้าตรัสว่า: "เราให้สติปัญญาแก่เจ้า"
(1 โครินธ์ 1:30)

คุณบอกว่า: "ฉันรู้สึกอ้างว้างเดียวดาย"
พระเจ้าตรัสว่า: "เราจะไม่ละเจ้า หรือทอดทิ้งเจ้าเลย"
(ฮีบรู 13:5)

ลองอ่านอีกครั้งก็ได้

"จงวางใจในพระเจ้าเถิด"

ให้ทุกคนตั้งคำถามและตอบในใจว่า
อ่านแล้วรู้สึกอย่างไร
พระเจ้าต้องการบอกอะไรกับคุณบ้าง ??? . . .

(ฮีบรู 10:35 )
เหตุฉะนั้นขออย่าได้ละทิ้งความไว้วางใจของท่าน
ซึ่งจะได้รับบำเหน็จอันยิ่งใหญ่

ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน เอเมน

http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y4555748/Y4555748.html

วันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2551

ผลของการยอมแพ้ต่อการทดลอง

สิ่งที่ดีที่สุดทสิ่งหนึ่งในการยับยั้งมิให้ยอมแพ้ต่อการทดลองคือ ความเข้าใจว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเรา เมื่อเราทำอย่างนั้น เมื่อเราเริ่มที่จะเข้าใจถึงผลกระทบระยะยาวของความบาปแล้ว การจัดการกับการทดลองก็จะง่ายขึ้นมาก



ผลร้ายของการยอมแพ้ต่อการทดลองมีมากมาย ต่อไปนี้ เป็นความเลวร้าย สิบอย่างที่เกิดขึ้น เมื่อเราทำสิ่งนั้น…



1.ความบิดเบี้ยวและลดค่าของพระวจนะของพระเจ้า

เมื่อเราฟังคำพูดของมาร เราย่อมต้องถุกหลอกลวงแน่ๆ มันจะบิดเบือนทัศนะของเราที่มีต่อพระวจนะของพระเจ้า เรายังไม่เคยพบใครสักคนที่เอาตัวเข้าไปพัวพันกับความบาปโดยไม่มีข้ออ้าง หรือเหตุผลแก้ตัวเลย การปรากฎขึ้นของความบาปเป็นเหตุให้เราเพิกเฉยหรือบิดเบือนคำสั่งและคำสอนของพระเจ้า กล่าวโดยสรุป คือ ความบาปหลอกลวงเรา

2.การหักเหจากความรับผิดชอบและวินัยฝ่ายจิตวิญญาร

เมื่อเรายอมแพ้ต่อการทดลอง ความคิดและความสนใจของเราก็ถูกดึวไปสู่เรื่องอื่นๆ เรากลายเป็นคนที่เฉื่อยชาฝ่ายจิตวิญญาณ และหยุดทำสิ่งที่ช่วยให้จิตวิญญาณของเราเข้มแข็ง ผลก็คือ สภาวะฝ่ายจิตวิญญาณของเราตกต่ำลงเรื่อยๆ

3.การลดลงของประสิทธิภาพผลฝ่ายจิตวิญญาณของเรา

การยอมแพ้ต่อการทดลองทำให้การเดินทางฝ่ายจิตวิญญาณของเราชะลอลง และท้ายที่สุดจะนำเราไปสู่สภาวะที่การเจริญเติบโตฝ่ายวิญญาณของเราหยุดชะงักโดยสิ้นเชิง บริเวณใดที่เคยบังเกิดผลในการเดินทางฝ่ายจิตวิญญาณของเรา ความกันดารไร้ผลกลายเป็นภาวะปกติ การไหลเวียนของฤทธานุภาพของพระเจ้าในตัวเราและผ่านตัวเราถูกจำกัดขัดขวาง และสิ่งนี้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและสิทธิอำนาจฝ่ายจิตวิญญาณของเราในพระคริสต์

4.ความท้อแท้ในความสัมพันธ์กับพระเจ้าและประชากรของพระเจ้า

ความบาปปล้นเอาความกระหายหาพระเจ้าของเราไป ทั้งยังทำลายความปรารถนาที่จะมีความสัมพันธ์กับประชากรของพระเจ้าด้วย เมื่อเราเข้าไปข้องแวะกับความบาป ไม่ช้าเราจะเสียความสัมพันธ์ส่วนตัวอันแนบแน่นของเรากับพระเจ้าไป รวมทั้งความตั้งใจมั่นของเราในการเข้าร่วมนมัสการกับประชากรของพระเจ้าด้วย ความบาปผลักไสเราไปสุ่การแยกตัวโดดเดี่ยวจากแหล่งทรพยากรที่สามารถช่วยเราให้คืนสู่สภาพดีได้

5.การทำลายความน่าเชื่อถือของคำพยานคริสเตียนของเรา

การยอมแพ้ต่อการทดลองส่งผลกระทบต่อคำพยานคริสเตียนของเราเสมอ ความบาปกัดกร่อนความเชื่อมั่นฝ่ายจิตวิญญาณของเรา กระทบความกล้าและความกระตือรือร้นเพื่อพระคริสต์ของเรา ความบาปที่เด่นชัดน่ารังเกียจไม่เพียงทำให้ผู้ไม่เชื่อสงสัยในคุณค่าแห่งความเชื่อของเราเท่านั้น แต่ยังทำให้พวกเขามีเหตุผลในการเย้ยหยันผู้เชื่อด้วย เป็นการสร้างความเสื่อมเสียไปถึงพระคริสต์

6.ความจืดจางลงของการอุทิศตัวและค่านิยมเพื่อพระเจ้า

การยอมแพ้ต่อบาปทำให้ความเข้มแข็งของการอุทิศตัวถวายแด่พระเจ้าของเราจืดจางลงทำให้ระบบค่านิยมของเราอ่อนแอลง เมื่อเวลาผ่านไปเราเริ่มยอมรับสิ่งที่เราเคยปฏิเสธ นอกจากนี้ เรายังเริ่มคิดในแบบที่ครั้งหนึ่งเราเคยเกลียดชัง เราเริ่มเปลี่ยนไปเป็นคนละคน การอุทิศถวายตัวของเราถูกประนีประนอม แม้แต่ครอบครัวและการอุทิศตนด้านความสัมพันธ์ของเราก็ประสบความยุ่งยากลำบากด้วย เมื่อเราเอาตัวเข้าไปเกลือกกลั้วกับความบาป

7.ความเสื่อมถอยของสันติสุขในตัวเรา

เมื่อเราขาดจากพระเจ้าเพราะความบาป เราก็ขาดจากต้นกำเนิดแห่งสันติสุขภายใน เมื่อนั้น เราจะเริ่มล่อแหลมต่อความวิตกกังวลและความกลัว เราจะรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้างมากขึ้น

8.การรบกวนสันติสุขของคนอื่น

เมื่อเราเองขาดสันติสุข เราก็มีแนวโน้มมากขึ้นที่จะรบกวนสันติสุขของคนอื่นๆ คนที่ถูกรบกวนก็จะรบกวนคนอื่น การรบเร้าของความผิดบาปในตัวเราส่งผลกระทบต่อผู้คนรอบข้างเรา

9.การดับความสำนึกผิดชอบของเรา

เมื่อเราตอบรับคำว่า “ใช่” ต่อความบาป เราก็ดับความสำนึกผิดชอบของเราให้สูญสิ้นไปทุกที โดยความบาปเสียงแห่งความสำนึกผิดชอบของเราให้สิ้นสูญลงไปทุกที โดยความบาปเสียงแห่งความสำนึกผิดชอบของเราจะค่อยๆ เบาลงๆ ความสำนึกผิดชอบของเราจะเฉาแห้งไป ท้ายที่สุด เสียงแห่งความสำนึกผิดชอบก็ถุกทำลายไปโดยสิ้นเชิง การดับความสำนึกผิดชอบของเราเป็นเรื่องอันตราย การทำเช่นนั้นเท่ากับการปิดกั้นมิติแห่งพระสุรเสียงของพระเจ้า

10.การครอบงำโดยความมืดในชีวิตของเรา

ในการยอมแพ้ต่อการทดลองนั้น เรากำลังเชื้อเชิญให้ความมืดเข้าครอบงำชีวิตของเรา

ยกตัวอย่างเช่น ไม่มีใครที่จิตปกติจะเปิดประตูหน้า แล้วปล่อยให้งูพิษเข้ามาในบ้านของตน ร้ายกว่านั้นคือ ยามเราเปิดชีวิตของเราให้ความบาป แท้จริงเราก็กำลังเปิดประตูให้งูพิษฝ่ายจิตวิญญาณ มันเคลือนไหว เคลื่อนตัวเข้ามาและเข้ายึดครอง ความบาประบาดลุกลามได้และร้ายแรง มันหาทางทวีการครอบงำ นี่คือสาเหตุที่มันเป็นภัยอย่างยิ่ง



***การตัดสินใจของเราเมื่อเผชิญการทดลองส่งผลกระทบต่อสิ่งต่างๆมากมาย หากเราต้องการคงความเป็น “ไท” ฝ่ายจิตวิญญาณ ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เราจะต้องเรียนรู้ว่า จะเอาชนะการทดลองอย่างไรเมื่อมันผ่านเจ้ามาหาเรา วิธีที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งในการทำเช่นนี้คือ การเข้าใจถึงผลร้ายของการยอมแพ้ต่อการทดลอง***...



ขอพระเจ้าทรงเสริมกำลังให้ทุกคน ผ่านทุกสถานการณ์ไปได้ ด้วยน้ำพระทัยของพระเจ้านะคะ

เรื่องดีดีอย่างนี้ ได้รับพระพรจากหนังสือเรื่อง “สู่อิสรภาพ” ของ เดล เอ. โอชิลดล์

พระเจ้าอวยพระพรจ้า...

วันพุธที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2551

Bible on www.youtube.com

ช่วยไขเมื่อขัดข้อง HELP IN TIME OF NEED



ทางแห่งความรอด The Way of SALVATION

ยอห์น บทที่3 ข้อ3 John 3:3
ยอห์น 3:16 John 3:16
โรม 10:9 Romans 10:9

ความสงบในยามกระวนกระวาย PEACE is Time of Anxiety

ฟิลิปปี 4:6,7 Philippians 4:6,7
ยอห์น บทที่ 14 John 14

กล้าหาญในยามคร้ามกลัว COURAGE in Time of Fear

ฮีบรู 13:5,6 Hebrews 13:5,6
2โครินธ์ 4:8-18 2Corinthians 4:8-18

ความทุเลาในยามทนทุกข์ RELIEF in Time of Suffering

2โครินธ์ 12:8-10 2Corinthians 12:8-10
ฮีบรู 12:3-13 Hebrews 12:3-13

แนะแนวในคราวตัดสินใจ GUIDACE in Time of Decision

ยากอบ 1:5,6 Jame 1:5,6
ฮีบรู 4:16 Hebrews 4:16

หยุดพักในยามเหน็ดเหนื่อย REST in Time of Weariness

มัทธิว 11:28-30 Matthew 11:28-30
โรม 8:31-39 Romans 8:31-39

การปลอบโยนในยามโศกเศร้า COMFORT in Time of Sorrow

2โครินธ์ 1:3-5 2Corinthians 1:3-5
โรม 8:26-28 Romans 8:26-28

พลังในยามถูกทดลอง STRENGTH in Time of Templation

ยากอบ 1:12-16 Jame 1:12-16
1โครินธ์ 10:6-13 1Corinthians 10:6-13

สรรเสริญในเวลาขอบพระคุณ PRAISE in Time of Thanksgiving

1เธสะโลนิกา 5:18 1Thessalonians 5:18
ฮีบรู 13:15 Hebrews 13:15

ปลื้มปิติในเมื่อได้รับการอภัย Rejoicing in Time of Forgiveness

1ยอห์น 1:7-10 1John 1:7-10

วันจันทร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2551

พระวิญญาณบริสุทธิ์



2008September1
สวสดีพี่เเกะ....
ขอบพระคุณพระเจ้าที่พี่ป๊อบตื่นเต้นกับพระคำของพระเจ้า
ฟิลิปปี
1:8 เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นพยานของข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้าเป็นห่วงพี่ป๊อบเพียงไรตามพระทัยเมตตาของพระเยซูคริสต์
1:9 และข้าพเจ้าอธิษฐานขอให้ความรักของพี่ป๊อบจำเริญยิ่งๆขึ้นในความรู้และในวิจารณญาณทุกอย่าง
1:10 เพื่อพี่ป๊อบจะสังเกตได้ว่าสิ่งใดประเสริฐที่สุด และเพื่อพี่ป๊อบจะได้เป็นคนซื่อสัตย์ และไม่เป็นที่ติได้ จนถึงวันของพระคริสต์
1:11 จะได้เป็นผู้ที่บริบูรณ์ด้วยผลของความชอบธรรม ซึ่งเกิดขึ้นโดยพระเยซูคริสต์ เพื่อถวายพระเกียรติและความสรรเสริญแด่พระเจ้า

พี่ป๊อบ...ไม่ใช่ด้วยกำลังสติปัญญาของอิ๋วเเต่ เป็นงานของพระวิญาณบริสุทธิ์ล้วนๆจ้า อิ๋วไม่รู้ว่าพี่ป๊อบกำลังอยู่ในสถานการณืไหนเเต่พระวิญาณบริสุทธิ์ ทรงสัพพัญญู
ยอห์น
14:26 แต่พระองค์ผู้ปลอบประโลมใจนั้นคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ซึ่งพระบิดาจะทรงใช้มาในนามของเรา พระองค์นั้นจะทรงสอนท่านทั้งหลายทุกสิ่ง และจะให้ท่านระลึกถึงทุกสิ่งที่เราได้กล่าวไว้แก่ท่านแล้ว

พระดำรัสของพระเจ้ามาจากพระองค์โดยตรง
2:9 ดังที่มีเขียนไว้แล้วว่า `สิ่งที่ตาไม่เห็น หูไม่ได้ยิน และสิ่งที่ใจมนุษย์คิดไม่ถึง คือสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้สำหรับคนที่รักพระองค์'
2:10 พระเจ้าได้ทรงสำแดงสิ่งเหล่านั้นแก่เราทางพระวิญญาณของพระองค์ เพราะว่าพระวิญญาณทรงหยั่งรู้ทุกสิ่ง แม้เป็นความล้ำลึกของพระเจ้า
2:11 อันความคิดของมนุษย์นั้นไม่มีผู้ใดหยั่งรู้ได้ เว้นแต่จิตวิญญาณของมนุษย์ผู้นั้นเองฉันใด พระดำริของพระเจ้าก็ไม่มีใครหยั่งรู้ได้ เว้นแต่พระวิญญาณของพระเจ้าฉันนั้น
2:12 บัดนี้เราทั้งหลายจึงไม่ได้รับวิญญาณของโลก แต่ได้รับพระวิญญาณซึ่งมาจากพระเจ้า เพื่อเราทั้งหลายจะได้รู้ถึงสิ่งต่างๆที่พระเจ้าได้ทรงโปรดประทานแก่เรา
2:13 คือสิ่งเหล่านั้นที่เราได้กล่าวด้วยถ้อยคำซึ่งมิใช่ปัญญาของมนุษย์สอนไว้ แต่ด้วยถ้อยคำซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงสั่งสอน ซึ่งเปรียบเทียบสิ่งที่อยู่ฝ่ายจิตวิญญาณกับสิ่งซึ่งเป็นของจิตวิญญาณ

40:29 พระองค์ทรงประทานกำลังแก่คนอ่อนเปลี้ย และแก่ผู้ที่ไม่มีกำลัง พระองค์ทรงเพิ่มแรง
40:30 แม้คนหนุ่มๆจะอ่อนเปลี้ยและเหน็ดเหนื่อย และชายฉกรรจ์จะล้มลงทีเดียว
40:31 แต่เขาทั้งหลายผู้รอคอยพระเยโฮวาห์จะเสริมเรี่ยวแรงใหม่ เขาจะบินขึ้นด้วยปีกเหมือนนกอินทรี เขาจะวิ่งและไม่เหน็ดเหนื่อย เขาจะเดินและไม่อ่อนเปลี้ย (พระธรรมอิสยาห์ บทที่40จ้า)

การดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ สงครามระหว่างเนื้อหนังกับพระวิญญาณ
กาลาเทีย
5:16 แต่ข้าพเจ้าขอบอกว่า จงดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณและท่านจะไม่สนองความต้องการของเนื้อหนัง
5:17 เพราะว่าความต้องการของเนื้อหนังต่อสู้พระวิญญาณ และพระวิญญาณก็ต่อสู้เนื้อหนัง เพราะทั้งสองฝ่ายเป็นศัตรูกัน ดังนั้นสิ่งที่ท่านทั้งหลายปรารถนาทำจึงกระทำไม่ได้
5:18 แต่ถ้าพระวิญญาณทรงนำท่าน ท่านก็ไม่อยู่ใต้พระราชบัญญัติ
5:19 แล้วการงานของเนื้อหนังนั้นเห็นได้ชัด คือการเล่นชู้ การล่วงประเวณี การโสโครก การลามก
5:20 การนับถือรูปเคารพ การนับถือพ่อมดหมอผี การเป็นศัตรูกัน การวิวาทกัน การอิจฉาริษยากัน การโกรธกัน การทุ่มเถียงกัน การใฝ่สูง การแตกก๊กกัน
5:21 การอิจฉากัน การฆาตกรรม การเมาเหล้า การเล่นเป็นพาลเกเร และการอื่นๆในทำนองนี้อีก เหมือนที่ข้าพเจ้าได้เตือนท่านมาก่อน บัดนี้ข้าพเจ้าขอเตือนท่านเหมือนกับที่เคยเตือนมาแล้วว่า คนที่ประพฤติเช่นนั้นจะไม่ได้รับอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก

ผลของพระวิญญาณ
5:22 ฝ่ายผลของพระวิญญาณนั้นคือ ความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ ความปรานี ความดี ความเชื่อ
5:23 ความสุภาพอ่อนน้อม การรู้จักบังคับตน เรื่องอย่างนี้ไม่มีพระราชบัญญัติห้ามไว้เลย
5:24 ผู้ที่เป็นของพระคริสต์ได้เอาเนื้อหนังกับความอยากและราคะตัณหาของเนื้อหนังตรึงไว้ที่กางเขนเสียแล้ว
5:25 ถ้าเรามีชีวิตอยู่โดยพระวิญญาณ ก็จงดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณด้วย
5:26 เราอย่าถือตัว อย่ายั่วโทสะกัน และอย่าอิจฉาริษยากันเลย

วันที4กันยา อิ๋วไม่ได้มาอัลฟา อิ๋วไปเล่นดนตรีนมัสการพระเจ้าที่โรงเรียนพระคริสตธรรม อิ๋วจะฝากเอ็มพี3 เรื่องผลของพระวิญาณให้พี่ป๊อบเก็บไว้ฟังยามเผิชญการทดลองเเต่พี่ป๊อบจะผจญทุกสิ่งได้โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลัง

ยากอบ
1:2 พี่น้องของข้าพเจ้า เมื่อท่านทั้งหลายตกอยู่ในการทดลองต่างๆก็จงถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดีทั้งสิ้น
1:3 เพราะท่านทั้งหลายรู้ว่า การทดลองความเชื่อของท่านนั้น ทำให้เกิดความเพียร
1:4 และจงให้ความเพียรนั้นกระทำการจนสำเร็จ เพื่อท่านทั้งหลายจะสมบูรณ์ครบถ้วนไม่ขาดสิ่งใดเลย
1:5 ถ้าผู้ใดในพวกท่านขาดสติปัญญา ก็ให้ผู้นั้นทูลขอจากพระเจ้า ผู้ทรงโปรดประทานให้แก่คนทั้งปวงอย่างเหลือล้นและมิได้ทรงตำหนิ และจะทรงประทานให้แก่ผู้นั้น
1:6 แต่จงให้ผู้นั้นทูลขอด้วยความเชื่อ อย่าหวั่นไหวเลย เพราะว่าผู้ที่หวั่นไหวก็เป็นเหมือนคลื่นในทะเลซึ่งถูกลมพัดซัดไปมา
1:12 ความสุขย่อมมีแก่คนนั้นที่สู้ทนการทดลอง เพราะเมื่อปรากฏว่าผู้นั้นทนได้แล้ว เขาจะได้รับมงกุฎแห่งชีวิต ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสัญญาไว้แก่คนทั้งหลายที่รักพระองค์

พระเจ้าไม่เคยล่อลวงผู้ใด แต่ราคะตัณหาของตัวเราเองที่ล่อลวงเรา
1:13 เมื่อผู้ใดถูกล่อลวงให้หลง อย่าให้ผู้นั้นพูดว่า "พระเจ้าทรงล่อลวงข้าพเจ้าให้หลง" เพราะว่าความชั่วจะมาล่อลวงพระเจ้าให้หลงไม่ได้ และพระองค์เองก็ไม่ทรงล่อลวงผู้ใดให้หลงเลย
1:14 แต่ว่าทุกคนก็ถูกล่อลวง เมื่อตัณหาของตนเองชักนำให้กระทำผิด แล้วตัวก็กระทำตาม
1:15 ครั้นตัณหาเกิดขึ้นแล้ว ก็ทำให้เกิดบาป และเมื่อบาปโตเต็มที่แล้ว ก็นำไปสู่ความตาย
1:16 พี่น้องที่รักของข้าพเจ้า อย่าหลงผิดเลย
1:17 ของประทานอันดีทุกอย่าง และของประทานอันเลิศทุกอย่างย่อมมาจากเบื้องบน และส่งลงมาจากพระบิดาแห่งบรรดาดวงสว่าง ในพระบิดาไม่มีการแปรปรวน หรือไม่มีเงาอันเนื่องจากการเปลี่ยนแปลง
1:18 พระองค์ได้ทรงให้เราทั้งหลายบังเกิดโดยพระวจนะแห่งความจริงตามน้ำพระทัยของพระองค์ เพื่อเราทั้งหลายจะได้เป็นอย่างผลแรกแห่งสรรพสิ่งซึ่งพระองค์ทรงสร้างนั้น
1:19 ดังนั้น พี่น้องที่รักของข้าพเจ้า จงให้ทุกคนไวในการฟัง ช้าในการพูด ช้าในการโกรธ
1:20 เพราะว่าความโกรธของมนุษย์ไม่ได้กระทำให้เกิดความชอบธรรมอย่างพระเจ้า
1:21 เหตุฉะนั้น จงถอดทิ้งการโสโครกทุกอย่าง และการชั่วร้ายอันดาษดื่น และจงน้อมใจรับพระวจนะที่ทรงปลูกฝังไว้แล้วนั้น ซึ่งสามารถช่วยจิตใจของท่านทั้งหลายให้รอดได้

อิ๋วจะฝากของไว้กับน้องต้านะพี่
1เปโตร
2:5 และพี่ป๊อบก็เสมือนศิลาที่มีชีวิต จงรับการสร้างขึ้นขึ้นเป็นพระนิเวศฝ่ายวิญญาณเพื่อ เป็นปุโรหิตบริสุทธิ์ เพื่อถวายสักการบูชาฝ่ายจิตวิญญาณ ที่ชอบพระทัยของพระเจ้าโดยทางพระเยซูคริสต์

พระเจ้ารอคอยพี่ป๊อบเสมอเเละรักพี่ป๊อบไม่เปลี่ยนเเปลง

รักในพระคริสต์น้องเเกะ

2008September2
Hi! My sweet sister

(จ)
สดุดี119:33-40

33 ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงสอนทางกฎเกณฑ์ของ พระองค์แก่ข้าพระองค์ และข้าพระองค์จะรักษาทางนั้นไว้จนสุดปลาย
34 ขอประทานความเข้าใจแก่ข้าพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะรักษาพระธรรมของพระองค์ไว้ และปฏิบัติด้วยสุดใจของข้าพระองค์
35 ขอโปรดให้ข้าพระองค์ไปในมรรคา พระบัญญัติของพระองค์ เพราะข้าพระองค์ยินดีในมรรคานั้น
36 ขอทรงโน้มใจข้าพระองค์ในบรรดา พระโอวาทของพระองค์ และมิใช่ในทางโลกกำไร
37 ขอทรงหันนัยน์ตาของข้าพระองค์ไปจาก การมองดูสิ่งอนิจจัง และขอทรงสงวนชีวิตของข้าพระองค์ใน พระมรรคาของพระองค์
38 ขอทรงยืนยันพระสัญญาของพระองค์ กับผู้รับใช้ของพระองค์ เพื่อให้เกรงกลัวพระองค์
39 ขอทรงหันการเยาะเย้ยซึ่งข้าพระองค์ ครั่นคร้ามนั้นไปเสีย เพราะกฎหมายของพระองค์นั้นดี
40 ดูเถิด ข้าพระองค์คำนึงถึงข้อบังคับของพระองค์ โดยความชอบธรรมของพระองค์ ขอทรงสงวนชีวิตของข้าพระองค์

พระเจ้าบอกอะไรเเละเราจะดำเนินชีวิตอย่างไร
Spirit wars
เราจะไม่ถอย จะไม่ถอย จะไม่ถอย สู้ไม่สู้ สู้..อธิษฐานสู้.. (จำมาจากพันธมิตร555)

โรม8

26 ในทำนองเดียวกัน พระวิญญาณก็ทรงช่วยเราเมื่อเราอ่อนกำลังด้วย เพราะเราไม่รู้ว่าเราควรจะอธิษฐานขอสิ่งใดอย่างไร แต่พระวิญญาณทรงช่วยขอแทนเรา ในเมื่อเราคร่ำครวญอธิษฐานไม่เป็นคำ
27 และพระองค์ผู้ทรงชันสูตรใจมนุษย์ ก็ทรงทราบความหมายของพระวิญญาณ เพราะว่า พระวิญญาณทรงอธิษฐานขอเพื่อธรรมิกชนตามที่ชอบพระทัยพระเจ้า
28 เรารู้ว่า พระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง คือคนทั้งปวงที่พระองค์ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์

การสำแดงโดยพระวิญญาณของพระเจ้า
1โครินธ์ 3

9 ดังที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า สิ่งที่ตาไม่เห็นหูไม่ได้ยิน และสิ่งที่มนุษย์คิดไม่ถึง คือสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้สำหรับคนที่รักพระองค์
10 พระเจ้าได้ทรงสำแดงสิ่งเหล่านั้นแก่เราทางพระวิญญาณ เพราะว่าพระวิญญาณทรงหยั่งรู้ทุกสิ่งแม้เป็นความล้ำลึกของพระเจ้า
11 อันความคิดของมนุษย์นั้น ไม่มีผู้ใดหยั่งรู้ได้ เว้นแต่จิตวิญญาณของมนุษย์ผู้นั้นเองฉันใด พระดำริของพระเจ้าก็ไม่มีใครหยั่งรู้ได้ เว้นแต่พระวิญญาณของพระเจ้าฉันนั้น
12 เราทั้งหลายไม่ได้รับวิญญาณของโลก แต่ได้รับพระวิญญาณซึ่งมาจากพระเจ้า เพื่อเราทั้งหลายจะได้รู้ถึงสิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าได้ทรงโปรดประทานแก่เรา
13 เรากล่าวถึงเรื่องสิ่งเหล่านี้ ด้วยถ้อยคำซึ่งมิใช่ปัญญาของมนุษย์สอนไว้ แต่ด้วยถ้อยคำซึ่งพระวิญญาณได้ทรงสั่งสอน คือเราได้อธิบายความหมายของเรื่องฝ่ายวิญญาณ ให้คนที่มีพระวิญญาณฟัง

เอเฟซัส1

17 ข้าพเจ้าอธิษฐานว่า ขอพระเจ้าแห่งพระเยซูคริสตเจ้าของเรา คือพระบิดาผู้ทรงพระสิริทรงโปรดประทานให้ท่านทั้งหลาย มีจิตใจอันประกอบด้วยสติปัญญา และความประจักษ์แจ้งในเรื่องความรู้ถึงพระองค์
18 และขอให้ตาใจของท่านสว่างขึ้น เพื่อท่านจะได้รู้ว่า ในการที่พระองค์ทรงเรียกท่านนั้น พระองค์ได้ประทานความหวังอะไรแก่ท่าน และรู้ว่า มรดกของพระองค์สำหรับธรรมิกชนมีสง่าราศีอันอุดมบริบูรณ์เพียงไร

เอเฟซัส 3

14 เพราะเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงคุกเข่าต่อพระบิดา
15 (คำว่า บิดา ของทุกตระกูล ทุกชาติ ในสวรรค์ก็ดี ที่แผ่นดินโลกนี้ก็ดีมาจากคำว่า พระบิดา)
16 ขอให้พระองค์ทรงโปรดประทานกำลังเรี่ยวแรงมากฝ่ายจิตใจแก่ท่าน โดยเดชพระวิญญาณของพระองค์ตามความไพบูลย์แห่งพระสิริของพระองค์
17 เพื่อพระคริสต์จะทรงสถิตในใจของท่านทางความเชื่อ เพื่อว่าเมื่อท่านได้วางรากลงมั่นคงในความรักแล้ว
18 ท่านก็จะได้มีความสามารถหยั่งรู้พร้อมกับธรรมิกชนทั้งหมด ถึงความกว้าง ความยาว ความสูง ความลึก
19 คือให้ซาบซึ้งในความรักของพระคริสต์ซึ่งเกินความรู้ เพื่อท่านจะได้รับความไพบูลย์ของพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม
20 ขอให้พระเกียรติจงมีแด่พระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ กระทำสารพัดมากยิ่งกว่าที่เราจะทูลขอหรือคิดได้ ตามฤทธิ์เดชที่ประกอบกิจอยู่ภายในตัวเรา

การตักเตือน
ฟิลิปปี4

4 จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกเวลา ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่า จงชื่นชมยินดีเถิด
5 จงให้จิตใจที่อ่อนสุภาพของท่านประจักษ์แก่คนทั้งปวง องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ใกล้แล้ว
6 อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆเลย แต่จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน กับการขอบพระคุณ
7 แล้วสันติสุขแห่งพระเจ้าซึ่งเกินความเข้าใจ จะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์
8 ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ในที่สุดนี้ขอจงใคร่ครวญถึงสิ่งที่จริง สิ่งที่น่านับถือ สิ่งที่ยุติธรรม สิ่งที่บริสุทธิ์ สิ่งที่น่ารัก สิ่งที่ทรงคุณ คือถ้ามีสิ่งใดที่ล้ำเลิศ สิ่งใดที่ควรแก่การสรรเสริญ ก็ขอจงใคร่ครวญดู
9 จงกระทำทุกสิ่งที่ท่านได้เรียนรู้และได้รับไว้ ได้ยิน และได้เห็นในข้าพเจ้าแล้ว และพระเจ้าแห่งสันติสุขจะทรงสถิตกับท่าน

1เธสะโลนิกา 5

15 ระวังให้ดี อย่าให้คนใดทำชั่วตอบแทนการชั่ว แต่จงหาทางทำดีเสมอต่อพวกท่านเอง และต่อคนทั้งปวงด้วย
16 จงชื่นบานอยู่เสมอ
17 จงอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ
18 จงขอบพระคุณในทุกกรณี เพราะนี่แหละเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า ซึ่งปรากฏอยู่ในพระเยซูคริสต์เพื่อท่านทั้งหลาย
19 อย่าดับพระวิญญาณ
20 อย่าประมาทคำเผยข้อลับลึก
21 จงพิสูจน์ทุกสิ่ง สิ่งที่ดีนั้นจงยึดถือไว้ให้มั่น
22 จงเว้นเสียจากสิ่งที่ชั่วทุกอย่าง
23 ขอให้องค์พระเจ้าแห่งสันติสุขทรงให้ท่านเป็นคนบริสุทธิ์หมดจด และทรงรักษาทั้งวิญญาณ จิตใจและร่างกายของท่านไว้ให้ปราศจากการติเตียน จนถึงวันที่พระเยซูคริสตเจ้าของเราเสด็จมา
24 พระองค์ผู้ทรงเรียกท่านนั้นสัตย์ซื่อ และพระองค์จะทรงทำให้สำเร็จ

รักในพระคริสต์
แกะน้อย

My Blog

  • วินัยของน้องหมา (ข้างถนน) - วันที่ 18/8/2011 เช้านี้ขณะที่รถติดไฟแดงอยู่บริเวณสี่แยกสามย่าน ซึ่งเบื้องหน้าเป็นจามจุรีสแควร์นั้น พลันก็เหลือบเห็นน้องหมาตัวหนึ่งเดินข้ามทางม้าลายด้วยอ...
    12 ปีที่ผ่านมา
  • บทความคริสเตียน - บทความคริสเตียน http://www.gracezone.org/index.php/christian-articles บทความทางด้านจิตวิญญาณ หลักข้อเชื่อ พระเจ้า พระคัมภีร์ พระเจ้า พระคัมภีร์ แนวทางในการ...
    15 ปีที่ผ่านมา
  • คริสเตียนกับการรับใช้พระเยซู - คริสเตียนกับการรับใช้พระเยซู วัน พุธ 08 ต.ค. 08@ 17:47:37 ICT หัวข้อ: สรุปคำเทศนาประจำอาทิตย์ ดร.ทะนุ วงค์ธนานุกุล วัน อาทิตย์ ที่ 21 กันยายน 2008 พระธร...
    15 ปีที่ผ่านมา
  • - แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้องจะนมัสการพระบิดา ด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้...
    15 ปีที่ผ่านมา

Christian Blog

บล็อกวาไรตี้

เทคโนโลยี

ดาวน์โหลดโปรแกรมมาใหม่ล่าสุด |

วาไรตี้

ข่าวประจำวัน

สารบัญเว็บไทย

กินลม ชมทะเล ที่มาร์คเฮ้าส์บังกะโล เกาะกูด จ.ตราด

Thailand Map