Custom Search By Google

Custom Search

วันอาทิตย์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2551

เดินตามพระเยซู


ไม้กางเขนของพระคริสต์

เคยคิดกันหรือไม่ว่า ทุกวันนี้ เราทำอะไรตามที่พระเจ้าประสงค์ให้เราทำบ้าง??

แล้ว เราทำอะไร ที่ ทำให้เราเรียกตัวเองได้ เต็มปากว่า
เราเป็น “ทายาทร่วมกันกับพระคริสต์” บ้าง ??


(ลองนับในใจกันดู มีกี่อย่าง. . . 1 .. . 2 . . 3 . .
หรือว่า ไม่มีเลย . . .)

ทุกวันนี้ เราดำเนินชีวิตอย่างไรกัน ???

เราเผลอวางกางเขนที่เราเคยรับมาจากพระคริสต์เอาไว้ที่ไหนหรือป่าว ???

ที่ข้าพเจ้าถามไปนั้น เกี่ยวข้องอย่างไรกับชีวิตคริสเตียน

มาดูกัน . .

พระเยซูตรัสไว้ ใน มาระโก 8:34 ว่า

“ถ้าผู้ใดใคร่ตามเรามาให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเอง
และ รับกางเขนของตนแบกและตามเรามา”


ท้าวความหลังกันสักหน่อย . . .
ในสมัยของพระเยซูนั้น คนที่ต้องโทษถูกตรึงกางเขน
จะต้องแบกกางเขนของตนเดินไปตามเส้นทางที่มุ่งตรงไปยังจุดที่ตรึงกางเขนนั้น

ซึ่งนั่นก็หมายถึง จะไม่ได้หวนย้อนกลับมาอีกเลย . . .

หลายคนที่ได้ยินเช่นนั้น ก็ทำให้เกิดความลังเลใจและ
ความกลัว ที่จะติดตามพระองค์


การแบกกางเขน ที่พระองค์ตรัสนั้น หมายถึง . . .
1. การกระทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า
2. ตายต่อความปรารถนาของเราเอง

มีสิ่งหนึ่งที่องค์พระเยซูคริสต์ ทรงกระทำในสวนเกทเสมนี
ก่อนที่พระองค์จะถูกอายัดไปตรึงกางเขน

คราวนั้น พระองค์อธิฐานกับพระบิดาว่า

“โอพระบิดาของข้าพระองค์ถ้าเป็นได้ขอให้ถ้วยนี้
เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์เถิด
แต่อย่างไรก็ดี อย่าให้เป็นตามใจ ปรารถนาของข้พระองค์
แต่ ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์"
มัทธิว 26:39)

จากพระคำตอนนี้ เราจะเห็นได้ว่า หน้าที่ของเรานั้น คือ ต้องเฝ้าระวัง
อธิฐานเพื่อไม่ให้เข้าสู่การทดลอง
และกระทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าเท่านั้น


ชีวิตคริสเตียนเรานั้น จำเป็นอย่างยิ่ง
ที่จะต้องแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าอยู่เสมอ


มารซาตานบอกเราว่า เราจะไม่มีวันมีความสุข
ถ้าหากเราเดินตามพระเยซู มันบอกเราว่า
เราจะมีความสุขถ้าหากว่าเราทำสิ่งที่เราต้องการที่จะทำ

แต่จุดประสงค์ของมารที่มีต่อเรานั้นต่างกับพระเจ้า
มันโกหกเราตลอดเวลา . . .
จงอย่าลืมว่า "งานของมารนั้นคือทำทุกอย่างให้เราตัดขาดจากพระเจ้า "

พระเยซูตรัสว่า
"เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะได้ชีวิตและจะได้อย่างครบบริบูรณ์"

ซึ่งเป็นไปได้ ที่เราจะมีชีวิตครบบริบูรณ์เช่นนั้น
ด้วยการแบกกางเขนของเรา และเดินตามพระเยซูอย่างเต็มที่
และจะนำมาซึ่งสันติสุขในชีวิต ที่ได้รับการเติมเต็มมากที่สุดอีกด้วย

พระเยซูตรัสไว้ใน ลูกา 14:27 ว่า . .
ผู้ใดมิได้แบกกางเขนของตนตามเรามาผู้นั้นจะเป็นสาวกของเราไม่ได้..

ขอให้พี่น้องทุกท่านกล้าที่จะแบกกางเขนเดินตามองค์พระเยซูคริสต์ต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง

“ความกล้านี้ไม่ขัดกับความถ่อมใจแต่อย่างใด
เพราะเรากล้าโดยอาศัยพระคุณความดีของพระเยซูเท่านั้นมิใช่ของเราเลย

และเรายังกล้าที่จะหวังต่อไปด้วยว่า พระเจ้าทรงกระทำทุกอย่าง
เพื่อให้เกิดผลดีแก่เรา และไม่มีอะไรที่จะตัดเราให้ขาดจากความรักของพระเจ้าได้
เมื่อเราดำเนินชีวิตอยู่ในความรักของพระคริสต์"


ขอพระเจ้าเสริมกำลังและอวยพรทุกท่าน
ในพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า เอเมน


~ Jenny B. Good ~

http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y4567847/Y4567847.html

พระเจ้าทรงเป็นผู้เลี้ยงที่ดี


14 มกราคม 2007
โดย พิชัย เอาฬาร


ขอบคุณพระเจ้าสำหรับพระพรที่ให้กับคริสตจักรของเรา หรือให้กับผู้ที่เชื่อในพระองค์ เราคงต้องมานับพระพรกัน พระเจ้าอวยพรอะไรเราบ้าง บางคนก็บอกว่าไม่มีพระพรจะนับเลย เพราะมีแต่ความทุกข์โศก เหตุการณ์บ้านเมืองหลายๆ เรื่องก็ทำให้เราเป็นทุกข์ กับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น จิตใจของพวกเราที่เป็นคริสเตียน ก็คงจะเหี่ยวแห้งไปพอสมควร เพราะเราก็ยังเป็นเนื้อหนัง แต่เราก็วางใจในพระเจ้า ถ้าพระเจ้าให้เจอกับเหตุการณ์เหล่านั้น แล้วเราจะต้องไปอยู่กับพระเจ้า ก็ต้องขอบคุณพระเจ้า แต่พระเจ้าก็จะคุ้มครองเรา ให้เราเปิดดูในสดุดี 23:1-6


สดุดี 23:1-6

“พระเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน พระองค์ทรงกระทำให้ข้าพเจ้านอนลงที่ทุ่งหญ้าเขียวสด พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปริมน้ำแดนสงบ ทรงฟื้นจิตวิญญาณของข้าพเจ้า พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปในทางชอบธรรม เพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์ แม้ข้าพระองค์จะเดินไปตามหุบเขาเงามัจจุราช ข้าพระองค์ไม่กลัวอันตรายใดๆ เพราะพระองค์ทรงสถิตกับข้าพระองค์ คทาและธารพระกรของพระองค์เล้าโลมข้าพระองค์ พระองค์ทรงเตรียมสำรับให้ข้าพระองค์ ต่อหน้าต่อตาศัตรูของข้าพระองค์ พระองค์ทรงเจิมศีรษะข้าพระองค์ด้วยน้ำมัน ขันน้ำของข้าพระองค์ก็ล้นอยู่ แน่ทีเดียวที่ความดีและความรักมั่นคง จะติดตามข้าพเจ้าไป ตลอดวันคืนชีวิตของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าสืบไปเป็นนิตย์”




“พระเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ”

ในภาษาอังกฤษเขาก็ใช้คำว่า “Lord is my shepherd” ในวันคริสตมาส พี่น้องที่เชียงรายทำธงติดอยู่ข้างฝา เขียนว่า “Lord is my shepherd” ขอบคุณพระเจ้าสำหรับคำนี้ ที่พระเจ้าทรงเตือนเราอยู่ตลอดเวลา ว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้เลี้ยง ในภาษาฮีบรูเขาใช้คำว่าเยโฮวาห์โรฮี ก่อนที่เราจะพูดถึงผู้เลี้ยงที่ดี เรารู้จักพระนามของพระเจ้าทุกพระนามหรือยัง! ถ้าเรารู้จักพระเจ้าทุกพระนาม เราก็จะรู้ว่าพระเจ้าอยู่กับเราทุกหนทุกแห่ง

พระนามของพระเจ้าทั้ง 16 พระนาม มีดังนี้.-

ภาษาฮีบรู ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย ข้อพระคัมภีร์
1. Jehovah Elohim เยโฮวาห์เอโลฮิม
The eternal creator พระเจ้าทรงสร้างทุกสิ่งทุกอย่างและนิรันดร์กาล
ปฐมกาล 2:4-25

2. Adonai Jehovah อาโดนาย เยโฮวาห์
The Lord ourSovereign,Master Jehovah พระเจ้าผู้ครอบครองเป็นพระเจ้าสูงสุด
ปฐมกาล 15:2, 8

3. Jehovah Jireh เยโฮวาห์ยิเรย์
The Lord will see or provide
พระเจ้าผู้ทรงจัดเตรียมจัดหาทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับเรา
ปฐก.22:8-14,ฟิลิปปี 4:19

4. Jehovah Nissi เยโฮวาห์ นีสสี
The Lord our banner พระเจ้าผู้ทรงเป็นธงของเรา
อพยพ 17:15

5. Jehovah Ropheka เยโฮวาห์ โรฟีก้า
The Lord our healer พระเจ้าเป็นแพทย์ผู้ประเสริฐของเรา
อพย. 15:26, สดุดี 103:2-5, มธ. 8:17, อสย. 53:45, 1ปต. 2:24, มก.16:18

6. Jehovah Shalom เยโฮวาห์ ชาโลม
The Lord our peace พระเจ้าคือสันติสุขของเรา
ผู้วินิจฉัย 6:24, ยอห์น 14:27

7. Jehovah Tsidkeenu เยโฮวาห์ ชิเคนู
The Lord our Righteousness พระเจ้าทรงเป็นความชอบธรรมของเรา
ยรม.23:6, 33:14-16, 2คร.5:21, รม.6:18

8. Jehovah Mekaddishkem เยโฮวาห์ เม็คกะดิชเคม
The Lord our Sanctifier พระเจ้าผู้ทรงชำระให้บริสุทธิ์ ผู้ทรงเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปแทนเรา
อพย.31:13, ลวน 20:8, 21:8, 22:9, 16, 32

9. Jehovah Saboath เยโฮวาห์ ซาโบท
The Lord of hosts พระเจ้าจอมโยธาเป็นพระเจ้าของเรา
1 ซามูเอล 1:3

10. Jehovah Shammah เยโฮวาห์ ชามาห์
The Lord is present พระเจ้าทรงสถิตอยู่กับเราในปัจจุบัน
อสค.48:35, มธ.1:23, สดุดี 46:1

11. Jehovah Elyon เยโฮวาห์ เอลย่อน
The Lord most high พระเจ้าผู้สูงสุด
สดุดี 7:17, 42:2,97:7

12. Jehovah Rohi เยโฮวาห์ โรฮี
The Lord my shepherd พระเจ้าทรงเป็นผู้เลี้ยงของเรา
สดด.23:1, 1ปต.5:4,2:25, ยน.10:11-18

13. Jehovah Hoseenu เยโฮวาห์ โฮซีนุ
The Lord our Maker พระเจ้าผู้ทรงสร้างเรา
สดด.95:6

14. Jehovah Eloheenu เยโฮวาห์ เอโลฮีนุ
The Lord our God พระเจ้าผู้ทรงเป็นพระเจ้าของเรา
สดุดี 99:5, 8, 9

15. Jehovah Eloheka เยโฮวาห์เอโลเฮกา
The Lord thy God พระเจ้าผู้ทรงเป็นพระเจ้าของทุกคน
อพยพ 20:2, 5, 7

16. Jehovah Elohay เยโฮวาห์ เอโลเฮ
The Lord my God พระเจ้าผู้ทรงเป็นพระเจ้าของฉัน
เศคาริยาห์ 14:5

ทั้งหมดมี 16 พระนาม แต่วันนี้เราจะพูดถึงเยโฮวาห์โรฮี คือผู้เลี้ยงแกะ

คำว่า “ผู้เลี้ยงแกะ” หมายความว่าอย่างไร อยากให้พี่น้องเปิดไปที่ยอห์น 10:1-5 และ ยอห์น 10:7-18


ยอห์น 10:1-5

"เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ผู้ที่มิได้เข้าไปในคอกแกะทางประตู แต่ปีนเข้าไปทางอื่นนั้นเป็นขโมยและโจร แต่ผู้ที่เข้าทางประตูก็เป็นผู้เลี้ยงแกะ นายประตูจึงเปิดประตูให้ผู้นั้น แกะย่อมฟังเสียงของท่าน ท่านเรียกชื่อแกะของท่าน และนำออกไป เมื่อท่านต้อนแกะของท่านออกไปหมดแล้ว ก็เดินนำหน้า และแกะก็ตามท่านไป เพราะรู้จักเสียงของท่าน ส่วนผู้อื่นแกะจะไม่ตามเลย แต่จะหนีไปจากเขา เพราะไม่รู้จักเสียงของผู้อื่น"


ยอห์น 10:7-18

“พระเยซูจึงตรัสกับเขาอีกว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เราเป็นประตูของแกะทั้งหลาย บรรดาผู้ที่มาก่อนเรานั้นเป็นขโมยและโจร แต่ฝูงแกะก็มิได้ฟังเขา เราเป็นประตู ถ้าผู้ใดเข้าไปทางเราผู้นั้นก็จะรอด เขาจะเข้าออกแล้วก็จะพบอาหาร ขโมยนั้นย่อมมาเพื่อจะลักและฆ่าและทำลายเสีย เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะได้ชีวิต และจะได้อย่างครบบริบูรณ์ เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี ผู้เลี้ยงที่ดีนั้นย่อมสละชีวิตของตนเพื่อฝูงแกะ ผู้ที่รับจ้างมิได้เป็นผู้เลี้ยงแกะ และฝูงแกะไม่เป็นของเขา เมื่อเห็นสุนัขป่ามาเขาจึงละทิ้งฝูงแกะหนีไป สุนัขป่าก็ชิงเอาแกะไปเสีย และทำให้ฝูงแกะกระจัดกระจายไป เขาหนีเพราะเขาเป็นลูกจ้างและไม่เป็นห่วงแกะเลย เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี เรารู้จักแกะของเราและแกะของเราก็รู้จักเรา ดังที่พระบิดาทรงรู้จักเราและเรารู้จักพระบิดา และชีวิตของเราเราสละเพื่อแกะ แกะอื่นซึ่งมิได้เป็นของคอกนี้เราก็มีอยู่ แกะเหล่านั้นเราก็ต้องพามาด้วย และแกะเหล่านั้นจะฟังเสียงของเรา แล้วจะรวมเป็นฝูงเดียว และมีผู้เลี้ยงเพียงผู้เดียว ด้วยเหตุนี้พระบิดาจึงทรงรักเรา เพราะเราสละชีวิตของเรา เพื่อจะรับชีวิตนั้นคืนมาอีก ไม่มีผู้ใดชิงชีวิตไปจากเราได้ แต่เราสละชีวิตด้วยใจสมัครของเราเอง เรามีสิทธิที่จะสละชีวิตนั้น และมีสิทธิที่จะรับคืนอีก คำกำชับนี้ เราได้รับมาจากพระบิดาของเรา"




“เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี เราไม่ใช่ลูกจ้าง เราเป็นเจ้าของ”

ในสดุดี 23:1-6 ที่ได้อ่านไปตอนต้น “พระเจ้าทรงเป็นผู้เลี้ยงที่รัก” ในนี้พระเยซูได้บอกว่า “เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี เราไม่ใช่ลูกจ้าง เราเป็นเจ้าของ” ถ้าพูดถึงคำว่า “เป็นเจ้าของ” พี่น้องจะเห็นความแตกต่างระหว่างเจ้าของบริษัท กับลูกจ้างของบริษัท ถ้าเป็นลูกจ้างของบริษัท เมื่อมีงานเยอะ งานเลิก 5 โมงเย็น ท่านก็บอกว่าจะต้องกลับแล้ว เพราะงานเลิกแล้ว แต่เจ้าของบริษัท ถ้าต้องส่งสินค้าให้ลูกค้าพรุ่งนี้ ต้องเช็คสต๊อก ท่านก็ต้องทำดึกๆ ดื่นๆ บางครั้งต้องทำถึงเช้า เพราะท่านจะปล่อยงานนั้นผ่านไปเฉยๆ ไม่ได้ นั่นคือเจ้าของกับลูกจ้าง ลูกจ้างก็คือว่า “ฉันได้รับค่าจ้าง” บริษัทกำหนดว่าเข้างาน 8 โมงเช้า เลิก 5 โมงเย็น วันเสาร์-อาทิตย์หยุด “ถ้าจ้างฉันทำต่อ ต้องมี Over time” แต่เจ้าของนั้น ทั่วไปเงินเดือนก็ไม่มี Over time ก็ไม่มี ต้องทำทุกอย่าง ขาดทุนก็ต้องรับผิดชอบ แน่นอนมีกำไรก็ต้องรับกำไร จะมีหรือเปล่า! นั่นอีกเรื่องหนึ่ง


พระเยซูเปรียบเทียบว่าเป็นเจ้าของ และเป็นผู้เลี้ยงที่ดี ลูกจ้างนั้นมิได้เป็นผู้เลี้ยงแกะ และฝูงแกะไม่เป็นของเขา เมื่อฝูงหมาป่ามา เขาก็ละทิ้งและหนีไป เอาตัวรอด ปล่อยแกะให้ถูกหมาป่ากิน พระเยซูไม่ได้เป็นเช่นนั้น


แกะย่อมฟังเสียงของท่าน

ย้อนกลับไปตรงที่บอกว่า “แกะย่อมฟังเสียงของท่าน ท่านเรียกชื่อแกะของท่าน และนำออกไป เมื่อท่านต้อนแกะของท่านออกไปหมดแล้ว ก็เดินนำหน้า” พระเยซูเรียกแกะทุกตัวถูกต้อง พระเยซูเรียกชื่อท่านทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ถูกต้อง เวลาที่ท่านอธิษฐานถึงพระนามพระเยซู พระเจ้าผู้ทรงสิทธิอำนาจในสวรรค์ พระองค์ทรงรู้ว่าเสียงนี้ เป็นเสียงใคร พระองค์ทรงเรียกชื่อของท่านทุกคน พระองค์ทรงจำได้ เราเองจำชื่อพี่น้องเราไม่ได้หมดทุกคนหรอกในห้องนี้ ผมเองก็จำชื่อพี่น้องไม่ได้หมด จำหน้าได้เท่านั้น แต่พระเยซูจำชื่อท่านได้ทุกคน “เมื่อท่านต้อนแกะของท่านออกไปหมดแล้ว ก็ทรงนำหน้า” ผู้เลี้ยงที่ดีจะเดินนำหน้า เพราะแกะสายตาสั้น หูก็ไม่ค่อยได้ยิน แต่จะได้ยินเสียงของผู้เลี้ยง และจำได้ ก็จะเดินตามไป

พวกเราเป็นแกะที่ดีหรือเปล่า แกะที่ดีก็คือเดินตามพระเยซู แกะที่ดีก็คือต้องจำเสียงของพระเยซูได้ ไม่ใช่ใครพูดอะไรมาก็ฟังและเชื่อเขาไปหมด


พระเยซูคริสต์ทรงรู้จักเราแน่

อีกตอนหนึ่ง ในข้อ 14 บอกว่า “เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี เรารู้จักแกะของเรา และแกะของเราก็รู้จักเรา” พระเยซูคริสต์ทรงรู้จักเราแน่ วันที่เข้ามาหาพระเจ้า เรายกมือขึ้น ขอติดตามพระองค์ วันนั้นชื่อของเราได้จดไว้บนสวรรค์และพระเยซูจำแม่น วันที่เราบอกว่า “ลูกขอติดตามพระองค์ตลอดไป” แต่หลายครั้งลูกแกะก็กินหญ้าเพลิน เพราะว่าของโลกนี้มันอร่อย มันน่าชื่นชมยินดี ลืมไปว่าผู้เลี้ยงอยู่ตรงไหน บางครั้งเราก็หลงระเริงไปกับโลกนี้


ข้อที่ 15 “ดั่งที่พระบิดาทรงรู้จักเรา และเรารู้จักพระบิดา และชีวิตของเรา เราสละเพื่อลูกแกะ” นี่คือผู้เลี้ยงที่ดี พระองค์ทรงยอมสละชีวิตของพระองค์เอง เพราะว่าถ้าพระองค์ไม่ยอมสละชีวิตของพระองค์เองบนไม้กางเขน มารซาตานก็จะเข้ามากัดกิน ผู้ที่เชื่อในพระองค์วันแล้ววันเล่า ชีวิตแล้วชีวิตเล่า พระองค์จึงต้องยอมตายบนไม้กางเขน ยอมสละชีวิต เพื่อพวกเราจะได้มีชัยชนะ


ในข้อ 16 อันนี้น่าซึ้งใจ ซึ่งก็คือเราๆ ที่นั่งอยู่ที่นี่

“แกะอื่นซึ่งไม่ใช่ของคอกนี้ เราก็มีอยู่ และแกะเหล่านั้น เราก็ต้องพามาด้วย และแกะเหล่านั้น ต้องฟังเสียงของเรา แล้วจะรวมเป็นฝูงเดียว และมีผู้เลี้ยงเพียงผู้เดียว”


“แกะคอกนี้” คือยิว แกะอื่นที่มิใช่ของคอกนี้ คือเจนไทล (gentile) คือคนไทย คนจีน คนเอเซีย อเมริกา ยุโรป แอฟริกา ทุกๆ ที่ที่ไม่ใช่ยิว พระเยซูจะพามาด้วย และรวมเป็นฝูงเดียว ก็คือเราก็เป็นผู้ที่เชื่อในพระเจ้า เป็นบุตรของพระเจ้าเหมือนที่ชาวยิวเป็น มีผู้เลี้ยงเพียงผู้เดียวคือพระเยซูคริสต์


ไม่มีผู้ใดชิงชีวิตไปจากเราได้

ในข้อ 17 “ด้วยเหตุนี้พระบิดาจึงทรงรักเรา เพราะเราสละชีวิตของเรา เพื่อจะรับชีวิตนั้นคืนมาอีก ไม่มีผู้ใดชิงชีวิตไปจากเราได้ แต่เราสละชีวิตด้วยใจสมัครของเราเอง เรามีสิทธิที่จะสละชีวิตนั้น และมีสิทธิที่จะรับคืนอีก” พระเยซูคริสต์ทรงสละชีวิตของพระองค์เอง เพื่อเรา ด้วยความสมัครใจ ไม่ได้คิดอะไร เพราะพระองค์ทรงเป็นเจ้าของพวกเรา ไม่ใช่ลูกจ้าง ไม่ว่าแกะอย่างพวกเราๆ จะนอนหลับในตอนกลางคืน ฝันดี ฝันร้ายก็ตาม พระองค์อยู่ด้วย บางครั้งในความฝันเราอาจจะเจอเหตุการณ์ที่น่ากลัว พระองค์ก็ทรงอยู่ด้วย หลายครั้งตัวผมเองฝันไป ขับผีไป อธิษฐานพูดภาษาแปลกๆ จนกระทั่งตัวเองสะดุ้งตื่น ให้เรารู้ว่าเราอาจจะถูกทำร้ายในตอนกลางคืนก็ได้ เราอาจจะถูกมารซาตานโจมตีตอนเราหลับก็ได้ แต่พระเจ้า ทรงเป็นผู้เลี้ยง คอยปกป้องคุ้มครอง คอยดูแลเอาใจใส่เสมอ เราจึงหลับสบาย


ในสดุดี 23:1 “พระเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน”

แต่ในภาษาอังกฤษบอกว่า “I shall not want” ฉันไม่ต้องการอะไรเลย ในชีวิตของท่าน ท่านเคยมีความรู้สึกอย่างนี้ไหม บางครั้งมี แต่ส่วนที่บอกว่าต้องการอะไรหลายๆ อย่างนั้นมีเยอะกว่า เพราะเนื้อหนังเราต้องการ เวลาเราอิ่มข้าวแล้ว เราต้องการกินข้าวอีกไหม เวลาเรามีภรรยาคนหนึ่งแล้ว เราบอกว่า “ฉันต้องการอีก” มีไหม เวลาที่เรามีลูกหลายคน เราต้องการอีกไหม เวลาที่เรามีเงิน ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงกล่าวพระดำรัสของพระองค์เสมอว่า ให้มีชีวิตอย่างพอเพียง คำว่า “พอเพียง” คือเราไม่ต้องการอะไรอีก “I shall not want” คือมีทุกสิ่งทุกอย่าง แต่แน่นอนถ้าถามทุกคนที่อยู่ที่นี่ว่ามีทุกสิ่งทุกอย่างหรือยัง ยังไม่มีหรอก ผมเองผมก็ยังไม่มีทุกอย่าง เราก็ยังต้องการบางอย่าง แต่ขอพระเจ้าช่วย ที่เราจะต้องการบางอย่างให้มันน้อยลงไปทุกวันๆ จนไม่ต้องการอะไรอีก นั่นคือชีวิตที่ถึงความไพบูลย์ของพระเยซูคริสต์


ย้อนกลับไปในสดุดี 23:2-6

“พระองค์ทรงกระทำให้ข้าพเจ้านอนลงที่ทุ่งหญ้าเขียวสด พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปริมน้ำแดนสงบ ทรงฟื้นจิตวิญญาณของข้าพเจ้า พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปในทางชอบธรรม เพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์ แม้ข้าพระองค์จะเดินไปตามหุบเขาเงามัจจุราช ข้าพระองค์ไม่กลัวอันตรายใดๆ เพราะพระองค์ทรงสถิตกับข้าพระองค์ คทาและธารพระกรของพระองค์เล้าโลมข้าพระองค์ พระองค์ทรงเตรียมสำรับให้ข้าพระองค์ ต่อหน้าต่อตาศัตรูของข้าพระองค์ พระองค์ทรงเจิมศีรษะข้าพระองค์ด้วยน้ำมัน ขันน้ำของข้าพระองค์ก็ล้นอยู่ แน่ทีเดียวที่ความดีและความรักมั่นคงจะติดตามข้าพเจ้าไป ตลอดวันคืนชีวิตของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าสืบไปเป็นนิตย์”




ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่พระองค์ทรงเลี้ยงดูในทุกกรณี

เขาบอกว่าแกะมีพระพรอยู่เยอะเลย มีพระพรตรงที่ว่าพระเจ้าพาไปที่ทุ่งหญ้าเขียวสด ที่เราอ่านในยอห์นบอกว่าพระเยซูเปิดประตูแล้ว ก็เดินนำหน้า พาเราไปที่ทุ่งหญ้าเขียวสด มีอาหารกินอย่างดี อยู่ที่ริมน้ำแดนสงบ แล้วคิดกลับมา “แล้วแกะอย่างฉัน หญ้าก็ไม่ค่อยจะมี มีแต่ดินแห้งๆ ฟางแห้งๆ น้ำในลำธารก็แห้งขอด กว่าจะได้ดื่มน้ำกันที ก็ต้องอธิษฐานแล้วอธิษฐานอีก” ใช่หรือเปล่า! ปีที่ผ่านมาผมเองยอมรับว่าเป็นแกะที่แห้งแล้ง แต่ผมก็รู้ว่าเรามีผู้เลี้ยงที่ดี ถ้าจะพูดไป ตั้งแต่ปี 48 และปี 49 รายได้แทบไม่มีเลย แต่ 2 ปี ก็มีผู้เลี้ยงที่ดี แล้วก็เลี้ยงดูมาตลอด การเลี้ยงของพระเจ้า มีหลายวิธี ผ่านทางผู้รับใช้ ผ่านทางหลายๆ คน เราจะพูดกันอยู่เสมอว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้เลี้ยง แต่บางครั้ง เมื่อฝนไม่ตก ดินมันแตกระแหง หญ้าก็เหี่ยวแห้ง น้ำก็แห้งขอดในลำธาร ถึงวันนั้นท่านยังจะเป็นลูกแกะที่ดีหรือเปล่า ท่านยังจะเดินตามพระเยซูคริสต์ไปหรือเปล่า ท่านยังจะเรียกว่าพระเยโฮวาห์โรฮีหรือเปล่า พระเจ้าทรงเป็นผู้เลี้ยงของข้าพระองค์หรือเปล่า ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่พระองค์ทรงเลี้ยงดูในทุกกรณี


ใน 2 ปีที่ผ่านมา พระเจ้าอวยพร คำว่าอวยพรของผม อาจจะไม่เหมือนของคนอื่น อวยพรก็คือเผชิญได้ทุกสถานการณ์ นั่นคือพระพร เพราะว่าตัวของเราเอง สติปัญญาของเราเอง สู้ไม่ได้หรอก แต่เราสู้ได้เพราะมีพระเยซูคริสต์เป็นผู้หนุนกำลัง


ท่านผ่านหุบเขาเงามัจจุราชมากี่หุบเขา 365 วัน ท่านนับได้ไหม

ถ้าเราไม่ลำบาก ถ้าเราไม่ทนทุกข์ก็ไม่เห็นพระเจ้า ตอนที่ทนทุกข์ทรมาน อธิษฐานกับพระเจ้าทั้งกลางวันและกลางคืน แต่เวลาที่สุขสบายอธิษฐานเยอะเลยครับ วันละ 3 มื้อก่อนอาหาร จึงขอบอกพี่น้องว่าไม่ว่าท่านจะมีหรือจน พระเจ้าทรงอยู่ด้วย พระเจ้าจะเลี้ยงดูให้จิตวิญญาณของท่านได้แข็งแรง และได้เจริญเติบโตขึ้น ต่อสู้ในทุกสถานการณ์ได้ พระองค์ทรงฟื้นฟูจิตวิญญาณของท่านใหม่ พาไปที่ริมน้ำแดนสงบ บางครั้งท่านอาจจะเหนื่อยอ่อนกับปัญหาครอบครัว บางครั้งท่านเหนื่อยอ่อนกับการงาน กับการเงิน มีหลายครั้งที่พระเจ้าพาไปชื่นชมยินดี ให้มีอาหารดีๆ รับประทาน ให้มีเพื่อนดีๆ เข้ามาช่วยเหลือ ให้มีเพื่อนดีๆ เข้ามาคุย จิตวิญญาณท่านก็ได้รับการฟื้นฟู พาเราผ่าน แล้วก็ไม่ให้เราตกลงไปในทางนั้นอีก บางครั้งคำว่า “ผ่านหุบเขาเงามัจจุราช” เป็นเรื่องน่ากลัว ท่านผ่านหุบเขาเงามัจจุราชมากี่หุบเขา 365 วัน ท่านนับได้ไหม แต่ท่านก็ผ่านมาได้ทุกหุบเขาใช่ไหม พระเจ้าให้เราได้เรียนรู้ เพื่อไม่ให้เราตกเข้าไปในการทดลอง นั่นก็เป็นพระคุณ


การเลี้ยงดูของพระเจ้า ไม่ใช่ว่าจะป้อนข้าว ป้อนนมตลอดเวลา จนแกะอ้วนพี จนง่อยเปลี้ยเสียขา เป็นอัมพฤตอัมพาตทางจิตวิญญาณ

ถ้าเรารับพระพรมากๆ จนลืมอธิษฐาน บางครั้งพระเจ้าก็อนุญาตให้เจอปัญหามากมาย ท่านก็เลยต้องอธิษฐานทุกวัน ในวิวรณ์ 7:17



วิวรณ์ 7:17

“เพราะว่าพระเมษโปดก ผู้ทรงอยู่กลางพระที่นั่งนั้นจะคุ้มครองดูแลเขา และจะทรงนำเขาไปให้ถึงน้ำพุแห่งชีวิต และพระเจ้าจะทรงเช็ดน้ำตาทุกหยดจากตาของเขาเหล่านั้น"


อันนี้พูดถึงตอนที่พระเมษโปดกมานั่งบัลลังก์พิพากษา แต่ในความเป็นจริง สังเกตในชีวิตของท่าน เวลาที่ท่านเจอปัญหา ก็มีบางครั้ง อธิษฐานสารภาพความบาปผิดด้วยน้ำตานองหน้า พระเจ้าก็เข้ามาหาท่าน แล้วก็เช็ดน้ำตาของท่าน ท่านอาจจะถูกหักอก ท่านอาจจะถูกหักหลัง ถูกคนอื่นเกลียดชัง เมื่อท่านมาหาพระเจ้า พระเจ้าก็เช็ดน้ำตาให้



อิสยาห์ 25:8

“พระองค์จะทรงกลืนความตายเสียเป็นนิตย์ และพระเจ้าจะทรงเช็ดน้ำตาจากหน้าทั้งปวง และพระองค์จะทรงเอาการลบหลู่ชนชาติของพระองค์ไป เสียจากทั่วแผ่นดินโลก เพราะพระเจ้าได้ตรัสแล้ว”




ท่านอาจจะถูกลบหลู่หลายครั้งหลายหน แต่พระเจ้าจะทรงเช็ดน้ำตาให้

และจะนำการดูถูกดูหมิ่นเหยียดหยามนั้นออกไป เพราะพระเยซูคริสต์บอกว่า ร่างกายของพระองค์บนไม้กางเขนนั้นได้รับเอาความบาป รับเอาการดูถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม ไปไว้ที่พระองค์หมดแล้ว และในวันที่ 3 พระองค์ทรงมีชัยชนะ และได้มอบชัยชนะนั้นให้กับเราแล้ว




“ออกไปในกลางทะเล ไม่เห็นฝั่งหรือสิ่งใด”

พระองค์ทรงเฝ้าดูแลปกป้องคุ้มครองตลอดเวลา พระองค์ทรงเตรียมสำรับไว้ต่อหน้าต่อตาของศัตรู คำว่า “ทรงเตรียมสำรับไว้ต่อหน้าต่อตาของศัตรู” หมายความว่าเรายังคงรับประทานอาหารได้อย่างเอร็ดอร่อย ท่ามกลางศัตรู ท่านรู้ไหมว่าท่านมีศัตรูอยู่รอบท่านขนาดไหน ไม่ว่าท่านอยู่ที่ไหน ก็มีศัตรูเสมอ เพราะในพระคัมภีร์บอกว่ามารเหมือนสิงโตคำราม วนเวียนอยู่รอบท่าน คอยจะกัดกินเหยื่อ ผมเคยนอนหลับแล้วอธิษฐาน ตื่นมาก็กังวล อธิษฐานก็นึกถึงเพลงที่บอกว่า “ออกไปในกลางทะเล ไม่เห็นฝั่งหรือสิ่งใด” ถ้าอยู่กลางทะเล ไม่เห็นฝั่งหรือสิ่งใด คือลับสายตาของมนุษย์ ผมไม่ทราบว่ากี่กิโลเมตร คือมองอะไรไม่เห็นเลย แล้วท่านนั่งอยู่ในเรือบดลำเล็กๆ ลำหนึ่ง มีพายอันหนึ่ง ถ้าท่านจะพายสุดกำลังของท่าน ให้มันถึงฝั่ง ถามจริงๆ ว่ามันถึงไหม พระเจ้าให้สติปัญญาว่า “เจ้าจ้ำเท่าไหร่มันก็ไม่ถึง” เพราะมันไกลสุดลูกหูลูกตา มันอยู่กลางทะเล ถ้าในความคิดเนื้อหนัง ก็จะบอกว่ามีทางเดียว “ต้องตายแน่” เรามีกำลังอยู่แค่นี้ กลางทะเลน้ำก็ไม่มีกิน อาหารก็ไม่มี คลื่นทะเลจะพัดมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เรือจะพลิกคว่ำเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ฉลามก็มองดูอยู่ข้างๆ บางครั้งเราคิดว่าปลาวาฬอาจจะมาคอย เพื่อพาเรามาส่งที่ฝั่งแบบโยนาห์ เราคงคิดไปหลายๆ อย่าง แต่พระเจ้าบอกกับผมในกลางดึกนั้นว่า “นอนเถอะ นอนอยู่ในเรือลำเล็กๆ นั้นแหละ เพราะเจ้าจ้ำเท่าไหร่มันก็ไม่ถึง” ผมก็นอนเลย แล้วก็หลับไม่รู้เรื่อง พระเจ้าบอกให้นอนก็นอน คิดไปก็เปล่าประโยชน์ จ้ำเท่าไหร่มันก็ไม่ถึง


หน้าที่ของแกะก็คือเชื่อฟัง เดินตามพระองค์ไป

พระเจ้าเป็นผู้เลี้ยง คอยปกป้องคุ้มครองเราอยู่ตลอดเวลา หน้าที่ของแกะก็คือเชื่อฟัง เดินตามพระองค์ไป พระองค์บอกให้นอนก็นอนเถอะ พระองค์บอกให้เดินก็เดินไป แบบที่พระเจ้าทรงนำชาวอิสราเอลผ่านถิ่นทุรกันดาร ด้วยเสาเมฆและเสาไฟ หยุดก็หยุด ถ้าท่านไม่มีรายได้ ไม่มีเงินถวาย ไม่ต้องเกรงใจ ไม่ต้องถวาย ผมบอกชัดๆ เลย คงไม่มีผู้รับใช้พระเจ้าที่ไหนหรอกที่บอกอย่างนี้ แล้วไม่มีใครเขาเป็นพยานบอกว่า พระเจ้าจะเลี้ยงดูท่านที่หญ้าแห้ง ทุกสิ่งมันเป็นพระพร ถ้าท่านไม่ผ่านหญ้าแห้ง ท่านก็จะไม่เห็นคุณค่าของหญ้าเขียวสด ถ้าท่านไม่ผ่านน้ำที่มันแห้งขอด ท่านก็ไม่รู้หรอกว่าน้ำที่สะอาดไหลมาเต็มแม่น้ำนั้น มันอร่อยขนาดไหน ท่านจะไม่รู้พระคุณของพระเจ้าหรอก ถ้าท่านไม่ผ่านความยากลำบาก ในระหว่างที่พระเจ้าเลี้ยงดูเรา พระองค์ก็ชโลมด้วยน้ำมันที่หอม ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Perfume oil” น้ำมันที่หอม ไม่ใช่น้ำมันธรรมดา แต่งตัวให้เราเสร็จเลย ก็คือให้เป็นที่ยกย่อง นับหน้าถือตาของคนทั่วไป ให้เรามีเกียรติในสังคม


“ขันน้ำของข้าพระองค์ก็ล้นอยู่”

อาหารและน้ำก็บริบูรณ์ “และข้าพเจ้าจะอยู่ในพระนิเวศน์ของพระเจ้าสืบไปเป็นนิตย์” นั่นคือหลังจากที่เราจากโลกนี้แล้ว เราจะอยู่กับพระเจ้าตลอดไปเป็นนิตย์ แต่ถึงแม้ว่าเราจะอยู่ในโลกนี้ ในสดุดี บทที่ 27 กษัตริย์ดาวิดตรัสว่า “ขอให้ได้อยู่ในพระนิเวศน์ของพระองค์ เพื่อจะได้ดูสง่าราศีของพระองค์” ให้จิตวิญญาณเราเป็นอย่างนั้น


ท่านสามารถผ่านมาเพราะว่าเจ้าทรงเป็นผู้เลี้ยง

พี่น้องครับที่ผ่านมา ท่านร้องไห้กี่วัน ท่านผ่านความกังวลเรื่องจะเอาอะไรกิน จะเอาอะไรนุ่งห่มกี่ร้อยครั้ง บางคนอาจจะเจออุบัติเหตุ บาดเจ็บ แต่ท่านก็ผ่านมาได้ ท่านที่เป็นเจ้าของกิจการ อย่างน้อยหรืออย่างมากก็มี 12 ครั้ง ที่ท่านกังวลว่าจะเอาเงินที่ไหนจ่ายลูกน้อง แต่ท่านก็ผ่านมาได้ ท่านอาจจะกังวลว่าจะเอาเงินที่ไหนผ่อนรถ จะเอาเงินที่ไหนผ่อนบ้าน จะเอาค่าเช่าบ้านที่ไหนให้เขา จะเอาค่าน้ำค่าไฟที่ไหนจ่าย ลูกไปโรงเรียนจะเอาที่ไหนซื้อเสื้อผ้า จะเอาค่าเทอมที่ไหนจ่ายให้กับลูก ฯลฯ แต่ปีที่แล้วทั้ง 365 วัน ท่านสามารถผ่านมาเพราะว่า The Lord is my shepherd พระเจ้าทรงเป็นผู้เลี้ยง


เพื่อว่าท่านจะมีกำลังที่จะต่อสู้ต่อไป

ขอบพระคุณพระเจ้า ที่ท่านผ่านอะไรมาตั้งหลายอย่าง เพื่อว่าท่านจะมีกำลังที่จะต่อสู้ต่อไป เพราะว่าพวกเราทั้งหลาย มีผู้เลี้ยงที่ดีคือพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าได้เลี้ยงพวกเราทุกคนผ่านมาได้อย่างไร พระเจ้าจะเลี้ยงท่านและอวยพรท่าน ให้กำลังท่านอย่างนั้น ท่านจะสู้ได้ เพราะพระเยซูคริสต์เป็นผู้หนุนกำลังเราทั้งหลาย อาเมน

วันเสาร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2551

จงลุกขึ้นฉายแสง

จงลุกขึ้นฉายแสง

Posted by TheGrace [Nkomlanchun@hotmail.com]
http://www.oknation.net/blog/Eden/2007/10/08/entry-1

“จงลุกขึ้นฉายแสงเพราะว่าความสว่างของเจ้ามาแล้วและพระสิริของพระเจ้าขึ้นมาเหนือเจ้า..” (อิสยาห์ 60:1)


พระเจ้าทรงตรัสผ่านผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ ให้บรรดาผู้ที่เชื่อในพระองค์ลุกขึ้น และนำประชากรทั้งหลายให้มาเชื่อ ในข่าวประเสริฐของพระเจ้า เพื่อชนชาติทั้งหลายและแผ่นดินโลกจะไม่ถูกความมืดปกคลุม และพวกเขาจะได้รับความรอด ได้อาศัยอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า พระองค์ทรงเรียกร้องให้ผู้เชื่อทุกคน กระทำตนให้เป็น “ผู้นำ” ในการที่จะนำบรรดาประชาชาติทั้งหลาย ให้เข้ามารับความรอด ผ่านทางความเชื่อที่มีต่อพระองค์





ถ้าหากสักวันหนึ่ง พระเจ้าตรัสกับท่านว่า “เจ้าพร้อมที่จะรับใช้เราหรือไม่” ผู้เขียนเชื่อว่า คงมีหลาย ๆ ท่าน ที่ลังเลที่จะตอบ และถ้าพระองค์ทรงตรัสถามอีกว่า “เจ้าลังเลอะไร เจ้าไม่อยากรับใช้เราหรือ?” เราก็คงจะตอบว่า “ไม่ใช่พระองค์เจ้าข้า แต่ว่าข้าพระองค์เกรงว่าจะไม่สามารถทำให้สำเร็จได้ ข้าพระองค์เป็นผู้ที่เล็กน้อยเกินไป อาจจะไม่เหมาะสม กับพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ของพระองค์” ประเด็นอยู่ที่ว่า พวกเราเป็นผู้ที่เล็กน้อยเกินไปในสายพระเนตรของพระเจ้าหรือ? ผู้เขียนอยากให้พวกเราหาคำตอบของประเด็นนี้จากพระคัมภีร์





ผู้รับใช้อันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าจากพระคัมภีร์นั้น หลาย ๆ ท่านเป็นผู้ที่มีกำเนิดอันต่ำต้อย ไม่มีคนรู้จัก แต่หลังจากท่านเหล่านั้น ได้ดำเนินชีวิตโดยฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า ปฏิบัติตนตามพระบัญญัติของพระเจ้า รับใช้พระเจ้าตามพระบัญชาของพระองค์ ในกาลต่อมา พวกท่านเหล่านั้นกลับเป็นผู้รับใช้ที่ยิ่งใหญ่ ยกตัวอย่างเช่น





โยเซฟ ท่านเป็นบุตรคนที่สิบเอ็ดของยาโคบ พี่ชายสิบคนของท่านคิดที่จะฆ่าทิ้งเสีย เพราะความอิจฉาริษยา แต่สุดท้ายท่านถูกขายให้กับคนอิชมาเอล และถูกพาไปเป็นทาสยังอียิปต์ จากนั้นท่านก็ถูกกลั่นแกล้ง จนต้องติดคุกอยู่ถึงสองปี ใครจะรู้ว่าเด็กคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้เล็กน้อยในครอบครัวของตน ต่อมาเป็นทาส และต่อมาก็ยังเป็นนักโทษในคุก จะสามารถเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ได้ พระเจ้าได้ทรงสำแดงผ่านทางโยเซฟ ในการทำนายพระสุบินของฟาโรห์ และประทานสติปัญญาแก่ท่าน ให้สามารถเสนอวิธีการแก้ไขปัญหา ความกันดารได้ สุดท้ายฟาโรห์แต่งตั้งให้โยเซฟ เป็นผู้ปกครองอียิปต์ มีตำแหน่งรองจากท่าน





โมเสส ท่านเป็นชนเผ่าเลวี ในขณะที่ท่านเกิดมานั้น ชนชาวอิสราเอลเป็นทาสอยู่ในประเทศอียิปต์ ท่านเองก็เป็นลูกทาส ให้เรามาดูกันว่า ลูกทาสคนนี้นั้น ก้าวขึ้นไปเป็นผู้ยิ่งใหญ่ ของชนชาติอิสราเอลได้อย่างไร เริ่มจากพระเจ้าทรงมีรับสั่งกับโมเสส ให้พาคนอิสราเอล ออกจากประเทศอียิปต์ พระองค์ทรงรับสั่งให้ โมเสสไปเข้าเฝ้าฟาโรห์ โมเสสก็เหมือนพวกเรา คือไม่กล้า ท่านกล่าวว่า





โมเสส: “ข้าพระองค์เป็นผู้ใดเล่า จึงจะไปเฝ้าฟาโรห์และนำคนอิสราเอลออกจากอียิปต์....”


หรือ


โมเสส: “ข้าพระองค์มิใช่คนช่างพูด .... ข้าพระองค์เป็นคนพูดไม่คล่อง.....”


หรือ


โมเสส: “ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงใช้ผู้อื่นไปเถิด พระเจ้าข้า”





แต่พระเจ้าได้ทรงแสดงการอัศจรรย์แก่โมเสส และพระองค์ทรงสถิตย์อยู่กับโมเสส ช่วยให้ท่านได้กระทำการอัศจรรย์ต่าง ๆ ต่อหน้าฟาโรห์และชาวอียิปต์ จนสุดท้าย ลูกทาสคนนี้ก็ได้พาชนชาติอิสราเอล ออกมาจากความทุกข์ทรมานกว่าสี่ร้อยปี ที่เป็นทาสในอียิปต์ เป็นผู้นำชนชาวอิสราเอลถึง 40 ปีในถิ่นทุรกันดาร เป็นผู้นำพระบัญญัติสิบประการของพระเจ้า มายังชาวอิสราเอล เป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าในการบัญญัติกฏหมายต่าง ๆ เพื่อให้ชนชาวอิสราเอลปฏิบัติ และสุดท้ายก็นำพาชนชาติอิสราเอลมายังแผ่นดิน ที่พระเจ้าทรงประทานให้ตามพระสัญญาของพระองค์





ดาวิด ท่านเป็นบุตรคนสุดท้ายของเจสซี ท่านเป็นแค่เด็กเลี้ยงแกะคนหนึ่งเท่านั้น ในสมัยกษัตริย์ซาอูล ชาวฟิลิสเตียได้มาตั้งค่าย ท้าทายชนชาวอิสราเอล อยู่ถึงสี่สิบวัน ด้วยความดุร้ายและแข็งแรงของโกลิอัท ก็หามีชาวอิสราเอลคนใด กล้าหาญออกไปต่อสู้ด้วยไม่ ดาวิดซึ่งในขณะนั้นเป็นแค่เด็กเลี้ยงแกะ ได้อาสาออกไปสู้กับโกลิอัท ท่านได้กล่าวว่า





ดาวิด: “คนฟีลิสเตียผู้มิได้เข้าสุหนัตคนนี้คือใครเล่า เขาจึงมาท้าทายกองทัพของพระเจ้าอยู่...”


และ


ดาวิด: “คนฟิลิสเตียผู้มิได้เข้าสุหนัตคนนี้ก็เป็นเหมือนสัตว์เหล่านั้นตัวหนึ่ง ด้วยเขาได้ท้าทายกองทัพ ของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่”


และ


ดาวิด: “ท่านมาหาข้าพเจ้าด้วยดาบ ด้วยหอก และด้วยหอกซัด แต่ข้าพเจ้ามาหาท่าน ในพระนามแห่งพระเจ้าจอมโยธา พระเจ้าแห่งกองทัพอิสราเอล ผู้ซึ่งท่านได้ท้าทายนั้น ในวันนี้พระเจ้า จะทรงมอบท่านไว้ในมือข้าพเจ้า….”





จากเด็กเลี้ยงแกะ ท่านได้ช่วยกู้ชนชาติอิสราเอลในพระนามของพระเจ้า ท่านแสดงความเป็นผู้นำอันยิ่งใหญ ่ของชนชาติอิสราเอล ซึ่งก่อนหน้านั้น พระเจ้าได้ทรงใช้ให้ซามูเอลไปเจิมแต่งตั้งดาวิดขึ้น เป็นกษัตริย์องค์ที่สองของชาติอิสราเอล จากเด็กเลี้ยงแกะ พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด พระราชกิจของพระองค์ ยกตัวอย่างเช่น พระองค์ทรงริเริ่มสร้างเมืองเยรูซาเล็ม รวบรวมชนชาติอิสราเอลเข้าไว้ด้วยกัน อัญเชิญหีบพันธสัญญาของพระเจ้าเข้ามาประดิษฐานยังกรุงเยรูซาเล็ม เป็นต้น





เนหะมีย์ ท่านเป็นเชลยชาวยิวอยู่ในเมืองเปอร์เซีย ท่านทำหน้าที่เป็นผู้เชิญถ้วยเสวย และเหล้าองุ่นของกษัตริย์อารทาเซอร์ซีส และพระเจ้าก็ได้ดลใจท่านให้ท่านรับหน้าที่ ในการสร้างกำแพงเมืองและปฏิสังขรณ์ สร้างเมืองเยรูซาเล็มซึ่งถูกเผาทำลายขึ้นมาใหม่ ท่านใช้เวลาเพียงแค่ 52 วัน ในการบูรณะกำแพงเมืองทั้งหมด และในระหว่างการบูรณะนั้นเอง ท่านและประชากรของท่าน ก็ยังต้องทนต่อคำดูถูกเหยียดหยามและคำยุแยงของศัตรูที่มีต่อท่าน เพราะหากท่านสามารถบูรณะกำแพงเมืองได้ทั้งหมดแล้ว ก็เป็นการยากที่ศัตรูจะเข้ามาทำร้ายได้อีก เราจะเห็นได้ว่า เนหะมีย์ซึ่งเป็นเพียงแค่เชลย ทำหน้าที่ยกถ้วยเหล้าองุ่นให้พระราชา ท่านเป็นเพียงแค่บุคคลธรรมดาเท่านั้น แต่พระเจ้าก็ทรงใช้ท่าน ให้ท่านเป็นผู้นำในการสร้างกรุงเยรูซาเล็มขึ้นมาใหม่ ภายหลังท่านได้รับการแต่งตั้ง ให้เป็นผู้ว่าราชการในกรุงเยรูซาเล็ม





และผู้รับใช้ของพระเจ้าผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ที่เราควรจะนำมายกเป็นตัวอย่าง ก็คือ “พระเยซูคริสต์” พระเจ้าทรงส่งพระบุตรของพระองค์ มาเกิดกับช่างไม้และหญิงชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่ง ซึ่งมีฐานะยากจน ในวันประสูติ แม้แต่สถานที่ประสูติก็ยังเป็นรางหญ้าในคอกสัตว์แห่งหนึ่ง มิใช่ในพระราชวังอันหรูหรา และพระองค์ก็ทรงถูกเลี้ยงดูแบบเด็กชาวบ้านธรรมดา มิได้มีสิทธิอำนาจพิเศษกว่าคนธรรมดาสามัญใด ๆ ตลอดพระชนมชีพของพระองค์ พระองค์ก็ทรงออกประกาศข่างประเสริฐของพระเจ้า สั่งสอนให้ชนชาติอิสราเอลได้กลับใจเสียใหม่ พระองค์ทรงรับบัพติศมาจากยอห์น เช่นคนทั่วไป พระองค์ออกเดินทางปฏิบัติพระราชกิจด้วยสองพระบาทของพระองค์ ใช้ชีวิตอย่างยากจน ทั้ง ๆ ที่พระวิหารของพระเจ้าที่พวกชาวยิวครอบครองอยู่นั้น มีรายได้อย่างมากมาย การเลือกอัครสาวกของพระองค์ พระองค์ก็ทรงเลือกเอาจากคนซึ่งต่ำต้อย เช่น ท่านอัครสาวกเปโตร, อันดรูว์, ยากอบ และยอห์น ซึ่งเป็นคนหาปลา พระองค์ก็ทรงตรัสว่า “จงตามเรามาเถิด เราจะตั้งท่านเป็นผู้หาคนดั่งหาปลา (มัทธิว 4:19)”



หรือการเรียกคนเก็บภาษีซึ่งเป็นบุคคลที่ ชาวยิวรังเกียจ ถือว่าเป็นคนบาปอย่างท่านอัครสาวกมัทธิว มาเป็นสาวกของพระองค์ พระเยซูตรัสว่า “เรามิได้มาเพื่อจะเรียกคนที่เห็นว่าตัวชอบธรรม แต่มาเรียกคนที่พวกท่านว่านอกรีตให้กลับใจเสียใหม่ (ลูกา 5:32)”





รวมถึงท่านอัครฑูต “เปาโล” ซึ่งเป็นชาวยิวในเผ่าเบนยามิน ในตอนแรกท่านเองเป็นศัตรูตัวฉกาจในการล้มล้างคริสตจักร พระเยซูก็ทรงปรากฏพระองค์ให้ท่านเห็น และท่านเองก็กลับใจด้วยเหตุที่ได้พบการอัศจรรย์ ท่านเองต้องทิ้งตำแหน่งหน้าที่ในฐานะทหารโรมัน มารับหน้าที่เป็นผู้ประกาศข่าวประเสริฐ ที่ต้องหลบหนีการจับกุมของชาวโรมัน ท่านเองถือได้ว่าเป็นอัครสาวกอีกท่านหนึ่ง ซึ่งมีบทบาทอย่างมากในการประกาศข่าวประเสริฐ กับชนชาวต่างชาติ ที่มิใช่ชาวยิว


การที่จะเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้านั้น มิจำเป็นต้องเป็นคนยิ่งใหญ่เก่งกาจ หากแต่พระองค์ทรงต้องการบุคคลที่ถ่อมใจ และเชื่อมั่นว่าพระราชกิจทุกประการ จะสำเร็จได้โดยการทรงนำของพระเจ้า หากเราเป็นผู้เล็กน้อย เราก็จะสามารถกระทำการยิ่งใหญ่ได้ โดยฤทธิ์อำนาจขององค์พระผู้เป็นเจ้า ดังนั้นก็ถึงเวลาแล้วที่พวกเราทุกคนจะลุกขึ้น และอาสาที่จะเป็นผู้นำในการนำผู้ที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า ให้เขาทั้งหลายได้รับรู้ข่าวประเสริฐ เพื่อที่สักวันหนึ่งพระราชอาณาจักรของพระองค์ จะมาตั้งอยู่บนแผ่นดินโลก ดังที่พระเยซูเจ้าได้ทรงตรัสสั่งสอนไว้ว่า





มัทธิว 28:19-20


“เหตุฉะนั้นเจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติให้เป็นสาวกของเรา ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว นี่แหละเราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไปจนกว่าจะสิ้นยุค”

การทรงเลือกและการทรงฝึกอัครทูต

http://www.eft.or.th/index.php?option=com_content&task=view&id=37&Itemid=1

การทรงเลือกและการทรงฝึกอัครทูต

ศจ.ดร.นันทชัย มีชูธน
จาก นิตยสารพระคริสตธรรมประทีป

( ลูกา 6:12 – 13 และมาระโก 3:14 )

คำนำ
มีคำกล่าวว่า การเริ่มต้นที่ดีก็เท่ากับการสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง หรือ ถ้าเรากลัดกระดุมเม็ดแรกของเสื้อที่ต้นคอให้ถูกต้องแล้ว เม็ดต่อ ๆ ไปก็ย่อมถูกต้องด้วย หรือ บุคคลที่ฝึกฝนตนเองดีแล้ว ย่อมเป็นบุคคลที่ประเสริฐ (The Trained Man Wins)
ในบทเรียนชุดนี้ เราจะได้ศึกษาเกี่ยวกับอัครทูต 12 คน ของพระเยซู แม้ว่าจะมีคนที่มีชื่อเสียงในโลกมากมาย เช่น อเล็กซานเดอร์มหาราช เหมา เจ๋อตุง โยเซฟ สตาลิน หรือ อับราฮัม ลินคอร์น แต่จะมีชื่อใดในโลกที่คนจะคุ้นเคยและมีชื่อเสียงดียาวนานเท่ากับชื่อของอัครทูต 12 คนของพระเยซู คงจะไม่มีอีกแล้ว
ชื่อของอัครทูตเหล่านี้ คนในโลกได้เอาไปเป็นชื่อของตนบ้าง ชื่อเมืองบ้าง ชื่อคนบ้าง ชื่อมหาวิทยาลัย ชื่อของโบสถ์วิหาร ชื่อเพลง และอีกหลาย ๆ อย่างจนนับไม่ถ้วน และเรามักจะคุ้นเคยกับคำว่า โรงเรียนเซนต์จอห์น วิหารเซนต์ปีเตอร์ เจ้าชายแอนดรู โบสถ์เซนต์แมทธิว วงดนตรีที่มีชื่อเสียงของโลก เช่น “ปีเตอร์ พอล แอนด์ แมรี่”
สำหรับคริสเตียนบางคนเมื่อเปลี่ยนศาสนาจากพุทธมาเป็นคริสเตียนแล้ว เขามักจะเปลี่ยนชื่อของตนเป็นชื่อของอัครทูตเสมอ เช่น คริสเตียนเกาหลี ชื่อ Hong Sung Chul พอเป็นคริสเตียนก็จะขอเปลี่ยนชื่อเป็น John Hong
นอกจากชื่อคนแล้ว ภาพรูปปั้น และงานศิลปจำนวนมาก ก็มักจะตั้งชื่อเป็นชื่อของอัครทูตของพระเยซู ทำไมชื่อคน 12 คน นี้จึงดูเหมือนมีอิทธิพลต่อคนในโลกนี้มายาวนานถึง 2000 ปี ในสมัยที่พระเยซูทรงเลือกสาวกของพระองค์ 12 คนนี้ ดูจะไม่ค่อยมีใครสนใจเห็น เห็นความสำคัญหรือแม้แต่อยากจะร่วมทีมงานด้วยเท่าใดนัก และถ้าเราบางคนในที่นี้ไปเกิดในสมัยนั้น ผมเองคิดเอาว่า เราคงไม่ค่อยให้ความสนใจคน 12 คนนี้มากนัก และถ้าเผอิญพระเยซูมาเลือกเราเป็นอัครทูต เราบางคนอาจจะไม่สนใจเลยก็เป็นได้
การทรงเลือกคน 12 คนนี้ เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลกยิ่งกว่าเหตุการณ์ใด ๆ ในประวัติศาสตร์ก็ว่าได้ เพราะโลกในสมัยนั้นคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าพระองค์กำลังทำอะไรอยู่ และนึกไม่ออกจริง ๆ ถึงอิทธิพลที่จะเกิดจากคน 12 คนนี้ แม้ในปัจจุบันนี้คริสเตียนบางคนก็คงจะคาดไม่ถึง หรืออาจไม่เห็นถึงอิทธิพลของคน ๆ หนึ่งซึ่งถ้าพระเยซูทรงเลือกเขาให้ถวายตัวเป็นคริสเตียน และเขาได้ให้ชีวิตทั้งหมดแก่พระองค์แล้วจะเกิดอะไรแก่ชีวิตของเขา และชุมชนสังคมและประเทศชาติที่เขาอยู่

ความหมายของคำว่า “สาวก” และ “อัครทูต”
คำว่า “สาวก” มาจากคำภาษาอังกฤษว่า “disciples” ซึ่งหมายถึงผู้เรียนรู้ (Learners หรือ apprentices) ซึ่งต่อมาได้ถูกเรียกว่า คริสเตียนในกิจการ 11:26
ส่วนคำ “อัครทูต” มาจากคำภาษาอังกฤษว่า “apostles” หมายถึงคนที่ถูกส่งไปเป็นตัวแทนของพระเยซูโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อทำการพิเศษ
พระเยซูทรงมีสาวกจำนวนมาก แต่พระองค์มีอัครทูตอยู่ 12 คน พระเยซูได้เลือกอัครทูต 12 คนด้วยใจอธิษฐาน ในบทนี้จะกล่าวถึงภาพของอัครทูต และชีวิตโดยรวม แต่ในบทต่อ ๆ ไป เราจะศึกษาถึงชีวิตและงานรับใช้ของแต่ละคน
ในบทนี้เราจะมองผ่านสาวกทั้ง 12 คน เพื่อจะเห็นภารกิจและพันธกิจของพระเยซูต่อคนในโลกนี้ เราจะเห็นความหมายและความสำคัญของการสร้างสาวกของพระเยซูอย่างแท้จริง
วันหนึ่งผมได้ขับรถผ่านหน้าร้านแว่นตาแห่งหนึ่งในสหรัฐเขาเขียนป้ายหน้าร้านว่า “Use our spectacles and see the new world” ผมชอบแปลให้เข้ากับร้านแว่นตาของสมาชิกคนหนึ่งในคริสตจักร ซึ่งมีร้านแว่นตาชื่อ โวควิชชั่นว่า “มองผ่านแว่นตาของโวค แล้วจะเห็นโลกสวยงาม” ดังนั้น ในบทนี้เราจะมองลอดแว่นของอัครทูต 12 คน เพื่อเห็นความสำคัญของการสร้างสาวก
ถ้าสาวก 12 คน เข้าใจคำว่า discipleship อย่างไร เราก็อาจะเข้าใจวลีสั้น ๆ ของคำว่า “การสร้างสาวก” อย่างนั้น

การทรงเลือกสาวก
จากพระคริสตธรรมคัมภีร์เราจะพบว่า ไม่ว่าพระเยซูจะทรงกระทำสิ่งใด ๆ ที่สำคัญ เราจะพบว่าพระองค์จะทรงเริ่มด้วยการอธิษฐานเสมอไป (ลูกา 6:12-13) และก่อนที่พระองค์จะทรงเลือกอัครทูต พระเยซูได้อธิษฐานตลอดคืน เหตุที่พระองค์อธิษฐานคืนยังรุ่ง ย่อมแสดงให้เห็นชัดแล้วว่า สิ่งที่พระเยซูจะทำการเลือกสาวกคงจะต้องมีความสำคัญอย่างยิ่ง ว่าไปแล้ว การตัดสินใจของพระเยซูในครั้งนี้ดูจะสำคัญยิ่งกว่าการตัดสินใจยิ่งกว่าครั้งใดๆ ทั้งหมด ในการทำพระราชกิจของพระองค์ ในระยะแรก ๆ ของการรับใช้ของพระเยซูพระองค์ยังไม่ได้เลือกอัครทูต 12 คน แต่พอมีคนเชื่อและติดตามมากขึ้น พระองค์ก็ต้องมีระบบการบริหารงานอีกแบบหนึ่ง เมื่อสิ้นสุดปีแรกของพระราชกิจของพระองค์ พระเยซูจึงทรงเลือกอัครทูต 12 คน และในช่วงชีวิตของครึ่งหลังของพระเยซู พระองค์ทรงใช้เวลาในการฝึกสาวกเหล่านี้เสียเป็นส่วนมาก เพราะสาวกเหล่านี้จะเป็นตัวกลาง หรือเป็นสื่อที่ฤทธานุภาพของพระเจ้าจะทรงทำงานผ่านในการขยายอาณาจักรของพระเจ้าและจะเป็นผู้สถาปนางานของพระเจ้า อีกทั้งจะเป็น ผู้สอน บันทึกพระคำ ตีความ ก่อตั้งคริสตจักร และสืบทอดคำสอนต่อไป ซึ่งพระองค์ก็ยังคงประกอบกิจนั้นผ่านสาวก แม้ในปัจจุบันนี้ มาติน ลูเธอร์กล่าวว่า “อย่าให้พวกเราขาดความเชื่อในข้อที่ว่า พระเจ้าสามารถประกอบกิจที่ยิ่งใหญ่ผ่านชีวิตของคนธรรมดาได้” ในลำดับต่อไปเราก็จะได้เห็นว่า พระเยซูทรงทำอย่างไรบ้างในการทรงเลือกและการทรงฝึกอัครทูต

ทีมอัครทูต
เมื่อพิจารณาดูให้ดี เราก็จะพบว่าเป็นเรื่องแปลกที่พระเยซูเลือกคนเหล่านี้ ซึ่งผสมกลมกลืนกันอย่างที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ศาสนาคริสต์ได้ก่อกำเนิดจากทีมอัครทูต 12 คนนี้ พระเยซูทรงเดินผ่านคนที่เฉลียวฉลาดคนที่มีหน่วยก้านดี คนรวย คนมีไอคิวสูง พระองค์ทรงเลือกคนธรรมดาเพียง 12 คน
อับราฮาม ลินคอร์น อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา เขียนไว้ว่า “พระเจ้าคงจะรักคนธรรมดามากจริง ๆ เพราะพระองค์ทรงสร้างคนธรรมดาไว้มากมายในโลก” และพระเยซูของเราก็คงจะรักคนธรรมดามาก เพราะพระองค์ทรงนั่งฟังคนพวกนี้อย่างตั้งอกตั้งใจ ศาสนาทั้งหลายในโลก ผู้นำของโลก และนักการเมืองมักจะเลือกคนในระดับเดียวกับตนมาทำงานด้วย
โสเครตีส (Socrates) นักปรัชญาเมธีเอกของโลก ก็ได้เลือกสานุศิษย์ระดับเดียวกับตน เขายอมรับว่าเขาไม่สามารถสอนคนบางกลุ่มให้เข้าใจหลักปรัชญาเมธีของเขาได้
พระพุทธเจ้าก็ทรงตรัสว่า คนนั้นเหมือนดอกบัว มี 4 ชนิด บัวใต้น้ำใต้โคลนย่อมเข้าใจธรรมะของพระองค์ได้ยาก
ผู้เผยพระวจนะในพระคัมภีร์เดิมก็เช่นกันเขาจะเลือกคนเฉพาะกลุ่มที่จะมาติดตามเขา
แต่สำหรับพระเยซูแล้ว พระองค์ทรงเลือกคนหลายประเภท หลายวัฒธรรม หลายอาชีพ มีพื้นเพและพื้นฐานของชีวิตต่างกัน
บางคนเลือกมาจากคนที่ถูกเกลียดชังของคนเลือกจากคนเก็บภาษี
บ้างก็มาจากชาวประมงที่มือหยาบกร้าน พูดห้วน ๆ เป็นคนมีโทษะจริต
บ้างก็มาจากนักการเมือง
บ้างก็มาจากคนที่เงียบ ๆ ขรึม ๆ
และบ้างก็มาจากคนที่มักใหญ่ใฝ่สูง
จึงมีคำกล่าวว่า “คนกลุ่มนี้ถือได้ว่าเป็นคนที่ดีที่สุดเท่าที่โลกนี้มีมา” (They were the best that could be had) ปกติแล้วในการทำงานใด ๆ ให้สำเร็จ เรามักต้องใช้ผู้ชำนาญการเฉพาะทาง (specialists) เช่น แพทย์เฉพาะทาง หรือช่างเฉพาะทาง ในงานทุกชนิดเราต้องการคนที่รู้จริงเพื่อจะทำงานนั้น ๆ ให้สำเร็จ
แต่เป็นเรื่องแปลกที่เมื่อมาถึงเรื่องที่จะต้องนำคนทั้งโลกมาเป็นคริสเตียน มารับการเปลี่ยนแปลงชีวิต มาเปลี่ยนสังคมใหม่ พระองค์กลับไม่ใช้คนที่มีความชำนาญ แต่ใช้คนธรรมดา ด้วยเหตุนี้ เราจึงน่าที่จะมาดูลักษณะความหลากหลายของทีมอัครทูตอย่างละเอียด

ความหลากหลายในการทรงเลือก
ปกติแล้วเวลาเราจะเลือกใครมาทำงานกับเรา เรามักจะเลือกคนที่เหมือน ๆ กับเรา พูด คิด หรือทำอะไรคล้าย ๆ กับเรา คนที่เราเลือกมักจะมีบุคลิกภาพเข้ากับเราได้ดี แต่พระเยซูไม่ได้เลือกคนเช่นนั้นเลย เมื่อเราดูสาวกแต่ละคนแล้วเราก็จะพบว่า แต่ละคนไม่เหมือนกันสักคน บุคลิกภาพก็ต่างกัน การศึกษาและอาชีพก็ต่างกัน พื้นฐานสังคมก็ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ให้เรามาดูตัวอย่างสักเล็กน้อย

เปโตร
เป็นผู้มีความว่องไวในทุกสิ่ง กระตือรือร้นในทุกเรื่อง ปากไว เพราะเป็นคนแรกที่พูดที่ตอบคำถามในหมู่สาวก มือไว เพราะเป็นคนเลือดร้อน ฟันหูทหารจนขาด เรียกว่าเป็นคนปากว่ามือถึง เท้าก็ไวด้วย เขาเป็นคนที่วิ่งมาที่อุโมงค์ฝังศพของพระเยซู และเป็นคนแรกที่กระโจนลงน้ำว่ายมาหาพระเยซู คริสตจักรขององค์พระเยซูต้องการคนที่ว่องไวกระตือรือร้นเช่นกัน

ยอห์น
เป็นอัครทูตที่ต่างจากเปโตรมาก เป็นคนคิดลึก คิดแหวกแนว เป็นคนเข้าใจอะไรดูจะลึกซึ้งกว่าคนอื่น เป็นคนมีนิมิต ดูข้อเขียนของยอห์นแล้ว จะต่างจากข้อเขียนของอัครทูตคนอื่นอย่างมาก คริสตจักรก็ต้องการคนที่เข้าใจลึกซึ้ง มีนิมิต ไวในการทรงนำของการเปิดเผยที่มาจากพระเจ้า คริสตจักรต้องการคนประเภทนี้เท่ากับคนที่กระตือรือร้น

แอนดรู
เป็นอัครทูตที่มีเสน่ห์ (personal touch) เขานำเด็ก นำคนต่างชาติ นำพี่ชายมารู้จักพระเยซูได้ง่าย ๆ เขาเป็นคนเงียบ ๆ พระคัมภีร์พูดถึงเขา 3 ครั้ง ( ยอห์น 1,6 และ 12) เขาชอบอยู่หลังฉาก สนับสนุนให้คนอื่นทำงานให้บรรลุผล เป็นคนเงียบ ๆ แต่เต็มไปด้วยเสน่ห์ คริสตจักรของพระเยซูต้องการคนประเภทนี้ด้วย

โธมา
อัครทูตที่เป็นคนคิดคำนวณ เป็นคนที่จะเชื่ออะไรสักอย่างต้องเชื่อเฉพาะสิ่งที่ตาเห็นได้ เป็นคนที่สงสัยไว้ก่อน เข้าทำนองว่า “ใครว่าให้เอาห้าหาร” คริสตจักรก็คงจะมีสมาชิกประเภทนี้ในหลาย ๆ คริสตจักร
นอกจากอัครทูตแต่ละคนจะต่างกันแล้ว เรายังพบอีกว่าบางคู่มีอะไรต่อมิอะไรตรงกันข้ามกันอีกด้วย เช่น เปโตร เป็นคนทำก่อนคิด ทำด้วยแรงเร้า และแรงกระตุ้นจากภายนอก เป็นคนชอบแสดงออก แต่แอนดรูกลับเป็นคนที่อยู่หลังฉาก เป็นคนเงียบ ๆ ไม่ค่อยออกนอกหน้ามัทธิว เคยเป็นคนเก็บภาษีให้โรม รักโรม ในสายตาของคนยิว มัทธิวเป็นคนมีชื่อเสียงไม่ดี แต่ซีโมนพรรคชาตินิยม เป็นคนมีเลือดรักชาติยิวอย่างรุนแรง เป็นศัตรูกับคนที่รักโรมและเกลียดคนเก็บภาษี
มีคนกล่าวว่า ถ้ามัทธิวและซีโมนไม่ได้มาเป็นอัครทูตและไปพบกันตามถนนมัทธิวอาจถูกซีโมนทำร้ายเอาได้ ยากอบเป็นลูกฟ้าร้อง มีอารมณ์เหมือนภูเขาไฟ แต่นาธันเอล เป็นคนขี้อาย เขิน ๆ หงิมเสงี่ยม ยูดาส อุบายมาก นาธันเอล ไม่มีอุบาย ฟิลิป คิดก่อนทำ แต่เปโตรชอบทำก่อนคิด โธมัสไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ ในขณะที่สาวกบางคนเชื่อได้ทุกอย่าง
จากบทเรียนนี้ทำให้เราเรียนรู้ว่า พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้มีความแตกต่างกัน และก็ยังคงเอกลักษณ์ของตนเองไว้ ซึ่งทำให้พระเจ้ายังทรงใช้คนเหล่านี้ได้เสมอ ว่าไปแล้วคนเราก็ไม่เคยมีหน้าตาเหมือนกัน น้ำเสียงของคนก็ไม่เคยเหมือนกัน ลายมือก็ไม่เหมือนกัน เราแต่ละคนมีความเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวเอง ซึ่งอาจจะพูดได้ว่า มีคนอย่างเราคนเดียวในโลก
เมื่อเรามาเป็นคริสเตียน เรามีความสามารถ และของประทานไม่เหมือนกัน เราคิดต่างกัน บางคนเทศนาและอธิษฐานต่อหน้าคนได้ แต่บางคนก็ทำไม่ได้ บางคนเล่นดนตรีได้โดยไม่มีความลำบาก บางคนชอบบริหารงานเก่ง แต่บางคนก็ทำได้แต่งานบริการ เช่น เปิดประตู ต้อนรับ เช็ดหน้าต่าง ทำกับข้าว บางคนเป็นคนเคร่งขรึม และบางคนเป็นคนมีอารมณ์ขัน บางคนเปิดเผยตัวเอง ในขณะที่บางคนเป็นคนเก็บกด บางคนเป็นนักคิด ไม่ค่อยลงมือทำ แต่บางคนชอบทำแต่ไม่ค่อยช่างคิด บางคนเป็นนักพูด แต่ทำอะไรไม่เป็น บางคนทำเป็นแต่ไม่พูด บางคนชอบศิลป แต่บางคนเป็นนักวิทยาศาสตร์ บางคนชอบเงียบ ๆ บางคนชอบออกงาน บางคนชอบปฏิบัติ บางคนชอบพูดแต่ทฤษฎี แต่เมื่อคนเหล่านี้มาเป็นคริสเตียน เขาจะมีสิ่งเดียวที่เหมือนกัน คือ พระเยซู เขาจะมีชีวิตที่พระเยซูทรงเปลี่ยนแปลง
เมื่อความต่างเหล่านี้มาอยู่แทบพระบาทของพระเยซู เขาก็จะถูกประสานกันอย่างสนิทโดยพระองค์ ความรักเชื่อมความต่างเหล่านี้ให้นำมาทำงานร่วมกันได้อย่างประหลาด สาวกแต่ละคนยังคงรักษาเอกลักษณ์ของตนเองซึ่งต่างกันนั้นไว้เสมอ มีคนถามเด็กผู้ชายอายุ 8 ขวบ คนหนึ่งว่า เมื่อเขาโตขึ้นเขาอยากจะเป็นอะไร เด็กคนนั้นตอบว่า เขาอยากเป็นตัวของเขาเอง เด็กคนนั้นเมื่อเติบโตขึ้นเขาคือ โมสาท เราเองก็เช่นกัน เราควรจะเป็นตัวของเราเอง นี่เป็นบทเรียนที่สำคัญและเป็นบทเรียนที่คริสเตียนควรจะเรียนรู้
คริสเตียนหลายคนลืมบทเรียนที่สำคัญนี้ไป คือบางครั้งเรานึกอยากจะเป็นเหมือนคนโน้นคนนี้ เพื่อว่าเขาคิดว่าพระเจ้าจะทรงใช้เขาได้มากขึ้น ผมคิดว่าคนเราต้องต่างกัน ถ้าเราจะเหมือนกันเราต้องเหมือนพระเยซู เพราะพระเจ้าทรงสร้างใบไม้แต่ละใบไม่เหมือนกัน นกทุกตัวก็ไม่เหมือนกันเกร็ดหิมะทุกเกร็ดก็ไม่เหมือนกัน สิ่งที่ไม่เหมือนกันเสริมให้โลกนี้ดูงดงาม

อัครทูตไม่ใช่คนที่สมบูรณ์พร้อม
สิ่งที่อยากจะพูดในอันดับต่อไปก็คือ สาวกเหล่านี้เป็นคนไม่สมบูรณ์เพียบพร้อม เขาเป็นคนบกพร่อง เป็นคนธรรมดา ถ้าเราจะสังเกตดูชีวิตของสาวกแต่ละคน เราก็จะพบความจริงอย่างนั้น
จิตรกรบางคนเวลาวาด เปโตร ยอห์น ยากอบ ก็จะพยายามวาดรัศมีภาพให้ส่องสว่างออกจากศีรษะ เขาพยายามจะทำให้อัครทูตดูไม่ใช่คนธรรมดา
บทเรียนนี้สอนใจเราว่า คริสเตียนบางคนพยายามจะทำตัวเป็นมนุษย์ฝ่ายวิญญาณมากเกินไป จนลืมไปว่าเราก็ยังเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง
พระคัมภีร์เองก็กล่าวว่า “ท่านเอลียาห์ก็เป็นมนุษย์ที่มีสภาพเหมือนกับเราทั้งหลาย” (ยากอบ 5:17) สาวกก็มีบาป ผิดพลาด มีจุดอ่อนในตัวเหมือนกับเรา บางครั้งอัครทูตก็ล้มเหลว เหมือนกับเราที่ล้มเหลวได้ แม้เราจะรอดจากบาปแล้ว แต่เราเองก็ยังมีส่วนผสมระหว่างจุดด้อย และจุดดี จุดแข็ง และจุดอ่อน พระคัมภีร์ถามว่า มนุษย์เป็นผู้ใด 4 ครั้ง
พระคัมภีร์เอง พูดถึงมนุษย์ทั้งในแง่บวกและแง่ลบ ทั้งการล้มลงในบาปและทั้งการเป็นพระพร แม้มนุษย์จะล้มลงในบาป มนุษย์ก็ยังมีพระฉายาของพระเจ้าในตัว มนุษย์มีศักดิ์ศรี เพราะเขาถูกสร้างตามพระฉายาของพระเจ้า ดังนั้นมนุษย์จึงมีธรรมชาติที่ขัดกันเองอยู่ในตัว
ตัวอย่างที่สนับสนุนเรื่องนี้คือ นายพลมอนโกเมอรี่ ซึ่งเป็นนายพลที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง สมัยเด็ก ๆ เขาเป็นผู้นำอนุชนในคริสตจักร เป็นนักศิลปะในนิวซีแลนด์ เป็นครู เป็นนักรบที่กล้าหาญ สัตย์ซื่อ เขาต้อนรับพระเยซูต่อหน้ากองทหาร เขาบันทึกในสมุดส่วนตัวของเขาว่า บางครั้งเขาก็รู้สึกอ่อนแอ หมดแรง ไม่รู้จะนำกองทัพให้ดีได้อย่างไร แต่บางครั้งเขาก็องอาจ กล้าหาญ เด็ดเดี่ยว นายพลมอนโกเมอรี่ เป็นคนที่ยิ่งใหญ่ เพราะเขายอมรับว่าเขามีทั้งจุดดี และจุดด้อยในตัวบางครั้งเราเองก็เป็นเช่นนั้น บางครั้งเราก็ฮึกเหิม สู้ตาย เอาจริง บางครั้งก็เหนื่อย ล้าไม่ไหว หมดแรง
สาวกก็มี 2 สิ่งนี้เช่นกัน บางครั้งสาวกก็ล้มเหลวบ่อย ๆ แต่เขาก็เข้ามาให้พระเยซูทรงเปลี่ยน สาวกนั้นก็เป็นคนธรรมดาอย่างคุณและผม แต่สิ่งที่ต่างกันก็คือ เขาเดินใกล้ชิดพระเยซูมาก จนกระทั่งได้รับสิทธิอำนาจจากพระองค์ไว้มาก

พระประสงค์ในการทรงเลือกอัครทูต
ในพระธรรมมาระโก บทที่ 3 ข้อ 14 เปิดเผยให้เราเห็นพระประสงค์ขั้นพื้นฐาน 2 สิ่งคือ :
(1) อยู่กับพระองค์ (To be with Him)
และ (2) ออกไปเทศนาข่าวประเสริฐ (To preach the gospel) พระธรรมตอนนี้ทำให้เราเห็นชีวิตของอัครทูตรอยู่ 2 สิ่ง คือ :
(1) ชีวิตภายใน และ
(2) การรับใช้ภายนอก
หรือจะพูดอีกนัยหนึ่งคือ :
(1) ชีวิตที่มีสามัคคีธรรมกับพระองค์ (Fellowship) และ
(2) ชีวิตแห่งการรับใช้ (service)
สิ่งแรกคือ การได้อยู่ร่วมกัน (communions)
และสิ่งที่สองคือ การออกไปปฏิบัติงาน (commission)
ศาสนาในโลกนี้ บ้างก็สอนให้แยกตัวออกจากโลก ไม่ยุ่งเกี่ยวกับโลก ไม่ประกาศเผยแพร่ ไม่ช่วยเหลือโลกและสังคม เอาแต่ใช้เวลาแสวงหาสิ่งดีสำหรับตน บ้างก็ออกไปปฏิบัติการจนลืมหูลืมตาไม่ขึ้น แต่ไม่มีโอกาสใช้เวลาเงียบ ๆ ส่วนตัวที่จะขัดเกลาความไม่รู้ให้ออกจากตัว
ศาสนาคริสต์สอนให้สมดุลย์ และคริสเตียนต้องรักษาชีวิตคริสเตียนให้สมดุลย์เอาไว้ให้ได้
ประการแรก พระเยซูไม่มีพระประสงค์ให้สาวกของพระองค์ออกไปทำการใด ๆ แต่เลือกเขาก็เพื่อเขาจะอยู่ใกล้ ๆ กับพระองค์ มีสามัคคีธรรมใกล้ชิดกับพระองค์ ขั้นนี้สำคัญ เพราะสาวกจะทำขั้นที่ออกไปรับใช้ในการประกาศไม่ได้เลยถ้าเขาไม่ผ่านขั้นแรก
พระเยซูมักจะพูดให้สาวกฟังเสมอว่า พวกเขาอย่าเพิ่งออกไปทำการสิ่งใดเพื่อพระองค์ แต่สาวกจะต้องมาอยู่กับพระองค์ เรียนจากพระองค์เสียก่อน ก่อนที่จะรู้ขั้นต่อไปว่าจะต้องทำประการใด พระองค์ตรัสว่า
จงเรียนจากเรา (มัทธิว 11:28)
จงมีสามัคคีธรรมกับเรา (มาระโก 3:14)
จงฟังเรา จงเฝ้ามองเรา แล้วเราจะทำให้ท่านเป็นผู้หาคนดังหาปลา (มัทธิว 4:19)
ชีวิตการรับใช้ตลอดชีวิตจึงดูเหมือนจะขึ้นกับ 3 ปีแรกที่อยู่กับพระเยซูนั้นเอง พระองค์ปรารถนาให้เรารักพระองค์และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระองค์ (มาระโก 3:14 a) เป็นประการแรกมากยิ่งกว่าการออกห่างจากพระองค์ แล้วเอาแต่รับใช้
ประการที่สองก็คือ สามัคคีธรรมหาใช่จุดจบในตัวของมันไม่ เรามีสามัคคีธรรมก็เพื่อออกไปประกาศ สามัคคีธรรมกับพระเยซูเป็นวิถีที่มีเป้าหมายปลายทาง คือการประกาศ พระพรที่รับไว้ในชีวิต ต้องแสดงออกเป็นการรับใช้ และสิ่งที่เราทำให้กับพระเยซู ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม อาจจะมีความหมายน้อยมาก นอกเสียแต่ว่าเราได้มีสามัคคีธรรมใกล้ชิดกับพระองค์
คริสเตียนบางคนทำงานของพระเยซู (busy for Christ) เสียจนไม่มีเวลาจะอยู่กับพระเยซู ( being with Christ) เราทุกคนต้องระวังชีวิตที่เอาแต่ทำงาน โดยไม่มีเวลาอยู่กับพระองค์ คือ ทำแล้วไม่เคยรู้ว่าพระองค์สถิตอยู่ด้วย หรือ ไม่เคยรู้สึกว่าพระองค์ใกล้ชิดกับเรา ในที่สุดเราจะเหนื่อย ล้มเหลว คับข้องใจ ในงานทั้งหมดที่เราลงทุนไป ลูกที่เราให้กำเนิดมาไม่สามารถจะเติบโตและประกอบกิจการงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถ้าไม่ได้อยู่ใกล้ชิดกับพ่อแม่ ในเวลาเดียวกัน เด็กที่อยู่ติดกับพ่อแม่เสมอโดยไม่ยอมออกไปทำกิจการงานใด ๆ ก็จะไม่ถูกต้อง
คริสเตียนไม่เพียงสักแต่เรียนรวี ฟัง เทศน์ อธิษฐาน แต่ต้องหาช่องทางที่จะแปรสภาพไปเป็นชีวิตที่มีอิทธิพล เป็นเกลือ และเป็นความสว่างต่อคนรอบข้างการเทศนาข่าวประเสริฐ หมายถึงการประกาศให้รู้ ไม่ใช่ไปโต้แย้งกับเขา เพราะถ้าเราไปโต้แย้งคนจะไม่เชื่อ ไม่ใช่ไปพูดใส่หน้าเขา แต่จะต้องเป็นพยาน ไปเล่าให้ฟัง เราเป็นผู้สื่อสาร เรามีข่าวสารที่จะสื่อ เราถูกเรียกให้เป็นพยานด้วยคำพูด ด้วยชีวิต ด้วยอาชีพต่อคนรอบข้าง
พระเจ้าทรงเรียกอัครทูต 12 คน อย่างไร พระองค์ก็ทรงเรียกเราทุกคนจากคนทุกชนิด ทุกประเภท ทุกอาชีพ ทุกเพศ และทุกวัยได้ เพื่อให้เป็นสาวกของพระเยซู ถ้าเช่นนั้น ทำไมจะเรียกคุณไม่ได้เล่า อย่าลืมว่า เมื่อพระองค์ทรงเรียกเรานั้น พระองค์มีพระประสงค์ ให้เราได้มีสามัคคีธรรมกับพระองค์ หลังจากนั้นจึงออกไปปรนนิบัติรับใช้ เราอาจมีข้อแก้ตัวได้หลายอย่าง เมื่อเราไม่พร้อมที่จะรับการทรงเรียก ไม่ว่าเราจะพร้อมหรือไม่ก็ตาม พระองค์สามารถเรียกเราได้ พระองค์ไม่ใช่คนธรรมดา พระองค์เป็นเจ้านาย เป็นองค์พระผู้ช่วยให้รอดของเราทรงเรียกเรา
ถ้าคริสตจักรเรียก หรือ ศิษยาภิบาลเรียกคุณอาจปฏิเสธได้ แต่พระองค์ผู้สละเลือดและชีวิตของพระองค์ให้พระเจ้าทรงเรียกคุณ เพื่อให้มาอยู่กับพระองค์ และเพื่อที่จะออกไปประกาศ
ถ้าท่านปฏิเสธการทรงเรียกนี้ เราอาจจะพลาดสิ่งที่สำคัญของชีวิตก็ได้
ดังนั้นให้เราสงบใจเพื่อการอธิษฐาน ถ้าพระองค์ยังทำกับอัครทูตได้ขนาดนี้ พระองค์จะทำกับเราได้เพียงใด

วันศุกร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2551

การช่วยกู้





In Christ
ที่ๆ คุณพบว่าคุณเป็นใคร มีสิ่งใด และทำสิ่งใดได้ในพระคริสต์ Permalink : http://www.oknation.net/blog/inchrist

พระวจนะประจำวันจากพระธรรมสดุดี
รับการเสริมสร้าง หนุนจิตและชูใจผ่านทางพระธรรมสดุดี Permalink : http://www.oknation.net/blog/psalms

การช่วยกู้เป็นของพระเจ้า ขอพระพรของพระองค์หลั่ง ลงเหนือประชากรของพระองค์เทอญ – สดุดี ๓:๘


คริสเตียนมากมายถูกปิดตาจากการช่วยกู้ของพระเจ้า เราเข้าใจเรื่องการช่วยกู้น้อยมาก เรายอมรับเพียงแค่ว่าพระเจ้าทรงช่วยกู้ให้เรารอดพ้นจากการพิพากษาหลังความตายเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นในชีวิตนี้ไม่มีความหวังใดใดเป็นพิเศษ เราต้องพิสูจน์ตัวผ่านชีวิตที่ตกต่ำ เจ็บป่วย ขัดสน เป็นภาระของครอบครัว คริสตจักรและสังคม ผู้ใดอดทนกับสิ่งที่กล่าวมานี้จนถึงที่สุดและไม่ปฏิเสธความเชื่อ ผู้นั้นจะรอด ดูเหมือนเราจะเก่งในการจับข้อนั้นข้อนี้มาผนวกเข้าด้วยกันเพื่อให้พระคัมภีร์ยืนยันความเห็นส่วนตัวของเราที่ขัดแย้งกับพระวจนะ ขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับการช่วยกู้ให้เรารอดพ้นจากการพิพากษาหลังความตาย นั่นคือการช่วยกู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แต่พระองค์ไม่ได้ช่วยกู้คุณหลังความตายเท่านั้น พระองค์ทรงช่วยกู้คุณตั้งแต่วินาทีที่คุณรับพระเยซูเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และทรงประสงค์จะช่วยกู้คุณในทุกด้านของชีวิตคุณที่ต้องการการช่วยกู้ พระองค์ไม่ได้ช่วยกู้คุณเพียงหลังความตายแล้วปล่อยให้ชีวิตคุณอยู่ใต้อำนาจของมารและปล่อยให้สถานการณ์เล่นงานคุณไปตลอดวันเวลาของคุณจนกว่าคุณจะกลับไปอยู่กับพระองค์ พระคัมภีร์กล่าวว่าพระเจ้าได้ทรงทำให้คุณมีชัยอย่างเหลือล้นในชีวิตนี้ เริ่มต้นในชีวิตนี้ ไม่ใช่หลังความตาย งานของพระเยซูสำเร็จลงแล้วและเพียงพอที่จะทำให้คุณมีชัยชนะวันนี้ คุณไม่ต้องรอความตายซึ่งเป็นศัตรูตัวสุดท้ายที่จะต้องถูกทำลายมาทำให้คุณมีชัยชนะ คุณไม่ต้องพึ่งกิจการของมารให้สังหารคุณก่อนที่จะมีชัยชนะ ชัยชนะเป็นของคุณในวันที่คุณเกิดใหม่ เป็นบุตรของพระเจ้า การช่วยกู้เริ่มต้นแล้วและจะดำเนินต่อไปตลอดชีวิตของคุณ จากข้อนี้ดาวิดไม่ได้ทูลขอการช่วยกู้หลังความตาย ท่านทูลขอการช่วยกู้ในวันที่ท่านกำลังถูกไล่ล่า วันนี้คุณจึงสามารถคาดหวังถึงการช่วยกู้จากพระเจ้าได้ แม้ดาวิดจะเป็นนักรบเจนศึก แต่ท่านตระหนักว่าทุกชัยชนะมาจากการช่วยกู้ของพระเจ้า ท่านไม่ได้กล่าวว่าเรื่องแค่นี้ข้าจัดการเองได้ไม่ต้องพึ่งพระเจ้า คุณอาจจะเก่งและมีความสามารถสูง แต่คุณก็อาจกำลังเอาตัวไม่รอด จงตระหนักเช่นเดียวกับดาวิดว่าพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงช่วยกู้คุณออกจากสถานการณ์ที่คุณกำลังเผชิญอยู่ได้ การช่วยกู้ในข้อนี้ยังหมายถึง ความรอด ความช่วยเหลือ สวัสดิภาพ ความรุ่งเรือง สุขภาพและชัยชนะ เพราะเหตุนี้การช่วยกู้จึงเป็นพระพรของพระเจ้า วันนี้คุณต้องการพระพรเหล่านี้หรือไม่ ทราบหรือไม่ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นของคุณแล้วตั้งแต่วันที่คุณเกิดใหม่ ดาวิดทราบว่าไม่เพียงแต่พระเจ้าทรงเตรียมการช่วยกู้ให้กับท่านและประชากรของพระเจ้าเท่านั้น พระองค์ได้ทรงเตรียมพระพรบริบูรณ์ไว้ด้วย ไม่เพียงแต่พระเจ้าทรงช่วยกู้คุณจากปัญหาในชีวิตนี้และการพิพากษาในชีวิตหลังความตายเท่านั้น พระองค์ได้ทรงเตรียมพระพรนานาประการให้กับคุณ และพระองค์ได้ทรงเทพระพรลงเหนือชีวิตคุณแล้ว และโดยความเชื่อและการดำเนินชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้า พระพรของพระเจ้าในโลกฝ่ายวิญญาณจะสำแดงเป็นประสบการณ์จริงในโลกที่คุณอาศัยอยู่ พระพรจะเปลี่ยนชีวิตที่พ่ายแพ้ให้มีชัยชนะ เปลี่ยนชีวิตที่หมดหวังให้มีความหวังอยู่เสมอ เปลี่ยนชีวิตที่เจ็บป่วยให้มีสุขภาพดี เปลี่ยนชีวิตที่ขัดสนให้มีพอเพียงและเกินพอที่จะทำสิ่งดีๆ เพื่อแผ่นดินของพระเจ้า แล้วคุณจะมีความชื่นชมยินดี มีประสบการณ์กับการช่วยกู้ ได้รับพระพร มีชัยชนะและมีชีวิตเป็นคำพยานที่ดีให้กับแผ่นดินของพระองค์ตลอดวันเวลาในชีวิตของคุณ



คำอธิษฐานด้วยความเชื่อ: ขอบพระคุณพระบิดาเจ้า เพราะการช่วยกู้เป็นของพระองค์ ขอบพระคุณพระองค์ที่ทรงหลั่งพระพรของพระองค์ลงเหนือชีวิตลูก วันนี้ลูกรับการช่วยกู้ให้พ้นจากทุกปัญหาและรอดพ้นจากทุกอุปสรรค ลูกรับความช่วยเหลือจากพระองค์ ลูกรับความรุ่งเรือง ลูกรับสุขภาพ ลูกรับชัยชนะ ลูกรับพระพรนานาประการจากพระองค์ ในพระนามของพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน


โดย ชาญชิต

สาวกแท้ของพระเยซูคริสต์



www.thaisermons.com
สาวกแท้ของพระเยซูคริสต์
ท่านคิดว่า...ลักษณะของคริสเตียนที่มีชีวิตที่เป็นสาวกแท้ของพระเยซูคริสต์นั้น มีลักษณะอย่างไรบ้าง ?



ในสมัยโบราณผู้คนเรียกขานคนที่ติดตามพระเยซูคริสต์ว่า “พวกทางนั้น,พวกคว่ำโลก,หรือพวกคริสเตียน”

คำว่า “คริสเตียน” มิใช่คำไพเราะแต่เป็นการเรียกแบบดูถูกดูหมิ่น,ต่ำช้าและไม่มีเกียรติ แต่ในพระคัมภีร์จะเห็นว่าคริสเตียนเป็นอุปกรณ์พิเศษเป็น “ทีมงานของพระเยซูคริสต์” เพราะมีส่วนสำคัญมากในการช่วยมนุษย์คนบาปให้รอดพ้นจากบาป,รอดพ้นจากถูกการพิพากษา พบกับชีวิตนิรันดร์ “คริสเตียนคือสาวกแท้ของพระเยซูคริสต์”
มก.16:15-16 พระเยซูตรัสกับสาวกของพระองค์ “ทีมงานของพระองค์” เป็นคำสั่งว่า
“เจ้าทั้งหลายจงออกไปทั่วโลก ประกาศข่าวประเสริฐแก่มนุษย์ทุกคน ผู้ใดเชื่อและรับบัพติสมาแล้วผู้นั้นจะรอด”


คริสเตียน...สาวกแท้ของพระเยซูคริสต์



มก.3:13-19



มก.3:13-19 ได้อธิบายให้เราสามารถเข้าใจลักษณะที่แท้จริงของ “คริสเตียน..สาวกแท้ของพระเยซูคริสต์”

วันนี้เราจะสามารถรู้ได้อย่างไรว่า “ใครคือ สาวกแท้ ใครคือทีมงานของพระเยซูคริสต์”
มธ.7:15,21-23 พระเยซูคริสต์ได้ตักเตือนให้เราระมัดระวัง คริสเตียนปลอม,สาวกปลอม,ผู้รับใช้ที่ปลอมตัวมา

“ท่านทั้งหลายจงระวังผู้เผยพระวจนะเท็จ ที่มาหาท่านนุ่งห่มดุจแกะ แต่ภายในเขาร้ายกาจดุจหมาป่า”

ข้อ 22-23 “ เมื่อถึงวันนั้นจะมีคนเป็นอันมากร้องแก่เราว่า พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์กล่าวพระวจนะในพระนามของพระองค์ และได้ขับผีออกในพระนามของพระองค์และได้ทำการอัศจรรย์เป็นอันมากในพระนามของพระองค์มิใช่หรือ เมื่อนั้นเราจะได้กล่าวแก่เขาว่าเราไม่เคยรู้จักเจ้าเลย เจ้าผู้กระทำความชั่วจงไปเสียให้พ้นหน้าเรา”

พระเยซูคริสต์ได้ตักเตือน...ให้เราระมัดระวัง “สาวกปลอม” ที่เข้ามาเพื่อทำลายสาวกแท้และงานของพระองค์



ประการที่ 1. ความหมายของคำว่า...สาวกแท้ของพระเยซูคริสต์

สาวกของพระเยซูคริสต์หมายถึง ผู้ที่เรียนกับพระเยซูฯด้วยความอดทน สู้อุตสาห์เลียนแบบพระองค์ทุกวิถีทาง และรับอุดมคติจากพระองค์มีความคิดในทิศทางเดียวกัน เป้าหมายเดียวกันกับพระองค์

นักศาสนศาสร์ยังได้อธิบายคำว่าสาวกต่อไปว่า...เป็นภาพของทาสที่ติดตามปรนนิบัติรับใช้ผู้เป็นนาย เขาจะมีสายตาจับจ้องอยู่ที่นายแต่เพียงผู้เดียว ถ่อมใจเชื่อฟังและทำตามคำสั่งโดยไม่มีอิดเอื้อนหรือบิดพลิ้ว

มก.8:34 มาระโกได้กล่าวถึงสาวกของพระเยซูคริสต์ว่า “สาวกคือผู้ที่แบกไม้กางเขนตามพระเยซูคริสต์”


EX. บางคนไม่กล้าแม้แต่บอกว่าเป็นคริสเตียน วันอาทิตย์แต่งตัวหล่อ-สวยไปโบสถ์ พอมีคนถามว่าจะไปไหน

ไม่กล้าบอกว่ากำลังจะไปโบสถ์,แอบซ่อนพระคัมภีร์กลัวเขาจะรู้ว่าเป็นคริสเตียน “ไม่ใช่ทีมงานของพระเยซูฯ”



สาวกของพระเยซูคริสต์หมายถึง ผู้ที่เรียนศึกษาพระวจนะคำพระเจ้าและดำเนินชีวิตร่วมกับพระเยซูฯด้วยความอดทน มีชีวิตเลียนแบบพระองค์ทุกวิถีทางทั้งด้านการประพฤติ...ฝ่ายร่างกายและฝ่ายจิตวิญญาณ และมีความคิดมีเป้าหมายเดียวกันกับพระองค์คือช่วยมนุษย์ให้พ้นบาป เชื่อฟังและประพฤติปฏิบัติตามคำสั่งของพระเยซูคริสต์



ประการที่ 2. สาวกแท้ของพระเยซูคริสต์ “คือผู้ที่ได้รับการทรงเรียกจากพระเยซูฯ”

ข้อ 13 “แล้วพระองค์เสด็จขึ้นภูเขาและพอพระทัยจะเรียกผู้ใด พระองค์ก็ทรงเรียกผู้นั้นแล้วเขามาหาพระองค์”



ข้อ 13 “แล้วพระองค์เสด็จขึ้นภูเขาและพอพระทัยจะเรียกผู้ใด พระองค์ก็ทรงเรียกผู้นั้น”

การเป็นสาวก ทีมงานของพระเยซูคริสต์ มิใช่ขึ้นอยู่กับความพอใจของมนุษย์แต่ขึ้นอยู่ที่น้ำพระทัย

ความพอใจของพระองค์เท่านั้น พระเยซูฯให้ความสำคัญมากได้อธิษฐานตลอดทั้งคืน ในการเลือกสาวกทั้ง 12คน เป็นทีมงานของพระองค์ เพื่อให้ทีมงานมีประสิทธิภาพไปเปลี่ยนแปลงโลก ไปต่อสู้ทำสงครามกับมารซาตาน


EX. บุคคลในพระคัมภีร์ที่พระเจ้าทรงเรียกมีหลายท่านเช่น

ปฐก.12:1-2 พระเจ้าทรงเรียกอับราฮัม ออกจากครอบครัว,จากญาติพี่น้อง,จากเมืองที่เต็มไปด้วยรูปเคารพ

พระองค์ทรงเรียก...เพื่อให้อับราฮัมเป็นบิดาของชนชาติอิสราเอลชนชาติของพระองค์
อพย.3:1-12 ทรงเรียกโมเสส..ให้ท่านนำชนชาติอิสราเอลออกจากการเป็นทาสของอียิปต์ไปสู่แผ่นดินของพระองค์
และมีอีกหลายท่านที่พระเจ้าทรงเรียกเช่น โนอาห์,โยเซฟ,เอลียาห์,อ.เปาโลฯ

วันนี้คริสเตียนทุกคนจงภูมิใจว่าพระเยซูคริสต์ทรงเรียกและเลือกเรา แล้วพระองค์ให้เราทุกคนเป็นทีมงานของพระองค์ ที่มีหน้าที่การงานมีความสำคัญอย่างยิ่ง คือเราทุกคนจะออกไปทำสงครามเพื่อเอาชนะ

มารซาตาน เปลี่ยนแปลงโลกช่วยคนบาปให้ได้รับความรอด พ้นจากการควบคุมของมารซาตาน

การทรงเรียกของพระองค์แก่เรา แต่ละคนอาจจะแตกต่างกันมีหลากหลายวิธี

EX. ผู้รับใช้พระเจ้าที่พังงาท่านหนึ่ง ก่อนรู้จักพระเจ้ากินเหล้า,เล่นการพนันจนเกิดมีเรื่องทะเลาะกับเพื่อน

และถูกฟ้องดำเนินคดี แม้ขอเจรจากับคู่กรณีๆก็ไม่ยอม วันหนึ่งพระเจ้าเรียกเขาผ่านคำเทศนา เมื่อเขาเดินผ่านที่คริสตจักรและได้ฟังคำเทศนา ทำให้เขาสำนึกถึงพระกรุณาคุณของพระเจ้า เขาจึงสารภาพบาปกลับใจใหม่ และพระเจ้าช่วยเหลือเขาพ้นคดีความได้ ปัจจุบันเขาเป็นผู้รับใช้พระเจ้าที่เข้มแข็งมาก

และมีอีกหลายคนที่พระเจ้าทรงเรียกโดย...วิธีผ่านการรักษาโรค,ผ่านปัญหาความทุกข์ยากลำบาก,ผ่านคำพยานฯ



ข้อ 13 “แล้วเขาได้มาหาพระองค์”

สาวกแท้ต้องมีหูฝ่ายวิญญาณ ที่ไวในการฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า และพร้อมคอยรับคำสั่งพระเจ้าอยู่เสมอ

ยน.2:24 “พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณและผู้ที่นมัสการพระองค์ ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง”

พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ สาวกแท้ต้องมีหูฝ่ายวิญญาณ ที่ไวในการฟังพระสุรเสียงของพระเจ้าตลอดเวลา

สาวกแท้เมื่อได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า เขาจะไม่ต้องพยายามหาเหตุผลหรือต้องการหาข้อสรุป

ตามความคิดของตนเอง แต่เขาจะเชื่อฟังและกระทำตามการทรงเรียกจากพระเจ้าทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข


EX. อับราฮัมออกจากเมืองฮารานเมืองที่เต็มไปด้วยความสุขทางด้านฝ่ายร่างกายมีความสะดวกสบายทุกอย่าง ท่านเชื่อฟังคำสั่งของพระเจ้าไม่สงสัย โดยไม่รู้เลยว่าแผ่นดินพระสัญญาจะอุดมสมบูรณ์,มีความสุขสบายหรือไม่ท่านไม่สนใจท่านสนใจเพียงว่านี่คือการทรงเรียกนี่คือคำสั่งจากพระเจ้าเท่านั้น

EX. เช่นเดียวกับโมเสส เมื่อพระเจ้าทรงเรียกท่านๆก็เข้าเฝ้าพระเจ้าทันที โดยไม่เงื่อนไข และกระทำตามคำสั่ง



เมื่อพระเจ้าทรงเรียกและเรารีบเข้าหาพระองค์ เราจะได้รับพระพรและเราคือสาวกแท้ “ทีมงานของพระองค์”

ประการที่ 3. สาวกแท้ของพระเยซูคริสต์ “ต้องได้รับการแต่งตั้ง”

ข้อ 14-19 “พระองค์จึงทรงแต่งตั้งศิษย์ 12คนไว้ให้อยู่กับพระองค์”

ขอให้สังเกตว่า....ไม่ใช่ใครที่จะมาเป็นสาวกของพระเยซูคริสต์ก็ได้ แต่สาวกคนนั้นจะต้องได้รับการคัดเลือกแต่งตั้งโดยองค์พระเยซูคริสต์ก่อน

วันนี้เราได้รับการคัดเลือก,แต่งตั้งแล้ว..เมื่อเราได้สารภาพบาป,กลับใจใหม่,รับบัพติสมาในพระนามพระเยซูคริสต์

ลก.6:12-13 คราวนั้นพระเยซูเสด็จไปที่ภูเขาเพื่อจะอธิษฐาน และได้อธิษฐานต่อพระเจ้าคืนยันรุ่ง ครั้นรุ่งเช้าแล้วพระองค์ทรงเรียกสาวกของพระองค์ แล้วทรงเลือก 12คนออกจากหมู่สาวกนั้น ที่พระองค์ทรงเรียกว่าอัครทูต

ซีโมนหรือเปโตร

อันดรูว์น้องชายของเปโตร

ยากอบ

ยอห์น

ฟีลิป

บารโธโลมิว

มัทธิว

โธมัส

ยากอบบุตรอัลเฟอัส

ซีโมนที่เรียกว่า เศโลเท

ยูดาบุตรของยากอบ

ยูดาส อิสคาริโอท (ผู้อายัดพระเยซูคริสต์)

พระเยซูฯทรงเลือกและทรงแต่งตั้งสาวกแท้ “เลือกสรรเป็นทีมงาน”และมีเป้าหมาย ไว้เป็นพิเศษ

ข้อ 14-19 พระองค์ทรงแต่งตั้งอัครทูตทั้ง 12 คน แล้วพระองค์นำบรรดาเหล่าสาวกทั้งหมดมาใช้เวลาในการ

อยู่กับพระองค์ประมาณ 3 ปี อยู่กับพระองค์,เรียนรู้และรับประสบการณ์ฝ่ายวิญญาณในการติดตามพระองค์

ข้อ 14-15 พระองค์ทรงตั้งศิษย์ 12คนให้อยู่กับพระองค์ เพื่อจะให้เขาออกไปประกาศ และให้มีอำนาจขับผีออกได้

พระเยซูคริสต์เป็นแบบอย่างที่ดี...ในการมีความสัมพันธ์และการสร้างทีมงานของพระองค์อย่างมีประสิทธิภาพ

- กินอาหารด้วยกัน “กินข้าวหม้อเดียวกัน”

- นอนหลับพักผ่อนด้วยกัน “ดูแล,แนะนำ,สอนในทุกๆเรื่องอย่างใกล้ชิด”

- ทำงานให้ดู “พระเยซูคริสต์ทำงานให้ดูเช่น การอธิษฐานรักษาโรค,คนเจ็บป่วยฯ,สอนประชาชน ฯ

- สอนฝึกหัดสาวกเรียนรู้การทำงาน “พระเยซูฯให้สาวกออกไปเป็นคู่ๆไปประกาศ,อธิษฐานรักษาโรค

- พระเยซูฯประทานฤทธิ์อำนาจแก่สาวก ในการออกไปประกาศและอธิษฐานรักษาโรค,ขับผีออกได้

ผู้คนแปลกใจว่า....เปโตรกับยอห์นเป็นคนสามัญและขาดการศึกษา แต่ทำไมจึงพูดจาฉะฉานมีหลักเกณฑ์

และไม่กลัวการข่มเหงและความตาย คนส่วนใหญ่นึกขึ้นมาได้ว่าทั้งสองคนนี้ “เคยอยู่กับพระเยซูฯมาก่อน”

1คร.11:1 อ.เปาโลได้บอกว่า “สาวกอยู่ใกล้พระเยซูฯติดสนิทอยู่กับพระเยซูฯ พวกเขาก็เหมือนกับพระเยซูฯ”


เวลานี้ท่านอยู่ใกล้ใคร ใกล้คนชั่ว,ใกล้คนขี้โมโหฯหรืออยู่ใกล้พระเยซูฯ...เราอยู่ใกล้ใครเราจะเหมือนกับบุคคลนั้น

วันจันทร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2551

เชื่อฟังพระเจ้า


ส่วนนี้คือไฟล์แบบ HTML ของ http://www.romyenchurch.org/sermon/03-09-2006.doc
G o o g l e สร้างไฟล์ดังกล่าวขึ้นโดยอัตโนมัติ ในขณะที่เราไต่เว็บเพื่อเก็บลงดัชนี.
วันที่เทศนา 3 กันยายน 2006

หัวข้อเทศนา เส้นทางสู่การถวายพระเกียรติ – เติบโตขึ้น

ข้อพระคัมภีร์ 1 โครินธ์ 3:1-2; ฮีบรู 5:11-14; เอเฟซัส 4:13-16; โคโลสี 1:28

“พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่อาจพูดกับท่านแบบผู้ที่อยู่ฝ่ายจิตวิญญาณ แต่ต้องพูดกับท่านแบบผู้ที่อยู่ฝ่ายโลก คือเป็นเพียงทารกในพระคริสต์” (1 โครินธ์ 3:1-2)

“Brothers, I could not address you as spiritual but as worldly-mere infants in Christ.” (1 Corinthians 3:1)

“….ใครที่ยังกินนมก็ยังเป็นทารก ไม่คุ้นกับคำสอนเรื่องความชอบธรรม แต่อาหารแข็งนั้นสำหรับผู้ใหญ่ ผู้ได้ฝึกฝนตนเองที่จะแยกแยะดีชั่วโดยการปฏิบัติอยู่เสมอ” (ฮีบรู 5:13-14)

“Anyone who lives on milk, being still an infant, is not acquainted with the teaching about righteousness. But solid food is for the mature, who by constant use have trained themselves to distinguish good from evil” ( Hebrews 5:13-14)

“จนกว่าเราทั้งหมดจะบรรลุความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อ และในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า จนเราเติบโตเป็นผู้ใหญ่ คือเต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์ เมื่อนั้นเราจะไม่เป็นทารกอีกต่อไป…….” (เอเฟซัส 4:13,14)

“until we all reach unity in the faith and in the knowledge of the Son of God and become mature, attaining to the whole measure of the fullness of Christ. The we will no longer be infants, …...” (Ephesians 4:13,14)

“เราประกาศพระองค์ เราตักเตือนสั่งสอนทุกคนด้วยสติปัญญาทั้งสิ้น เพื่อจะถวายทุกคนให้เป็นผู้ที่ดีพร้อม (ผู้ใหญ่) ในพระคริสต์” (โคโลสี 1:28)

“We proclaim him, admonishing and teaching everyone with all wisdom, so that we may present everyone perfect in Christ.” (Colossians 1:28)

ความเจริญเติบโตเป็นความสวยงามในธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตที่พระองค์ทรงสร้างไว้แล้ว แต่ความเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิตมีความหลายหลายรูปแบบ ความเจริญเติบโตของชีวิตมนุษย์ มีความแตกต่างอย่างมากกับ ความเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เฉพาะอย่างยิ่ง ความเจริญเติบโตของคนที่เป็นคริสเตียน

ความเจริญเติบโตในชีวิตคริสเตียนส่งผลดีต่อตนเอง ต่อบุคคลรอบข้างต่อหน้าที่การงาน ต่อครอบครัว และต่อคริสตจักรโดยรวม เหนือสิ่งใดทั้งหมดความเจริญเติบโต คือพื้นฐานสำคัญที่จะทำให้พระเจ้ารับพระเกียรติ

ความหมายของคำว่า เติบโตเป็นผู้ใหญ่ หมายถึง การพัฒนาของชีวิตอย่างต่อเนื่อง และแสดงออกด้วยความเป็นผู้มีวุฒิภาวะ เป็นผู้เจริญ เป็นผู้ดีพร้อมในพระคริสต์

เพื่อเราจะเป็นคนดีพร้อม เราจะต้องได้รับการพัฒนาหลายด้าน แต่ในที่นี้จะกล่าวถึงด้านสำคัญ 3 ด้านด้วยกัน

อุปนิสัย – เป็นสิ่งที่บอกว่า “เราเป็นใคร?”
“ท่านยังอยู่ฝ่ายโลกเพราะยังมีการอิจฉาริษยา และการทุ่มเถียงกันในหมู่พวกท่าน เช่นนี้แล้วท่านก็อยู่ฝ่ายโลกไม่ใช่หรือ? ท่านก็ประพฤติตัวเหมือนคนธรรมดาไม่ใช่หรือ?” (1 โครินธ์ 3:3,4)

“You are still worldly. For since there is jealousy and quarreling among you, are you not worldly? Are you not acting like mere men?” (1 Corinthians 3;3,4)

คำว่า Character ในภาษาอังกฤษตรงกับความหมายในภาษากรีก แปลว่าการแกะรอยไว้ การประทับตราบนสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพื่อเป็นเครื่องหมายให้รู้กัน ส่วนภาษาไทย ตามศัพท์หมายถึง “อัตตลักษณ์” คำว่า อัตตลักษณ์ คือเครื่องแสดงสิ่งของต่างๆ ที่ให้เห็นว่าต่างกับสิ่งอื่น ฉะนั้น อัตตลักษณ์จึงมีความหมายว่า สิ่งหนึ่งในตัวเราที่ทำให้แตกต่างไปจากคนอื่น

คริสเตียนคือบุคคลที่บังเกิดใหม่ มีธรรมชาติชีวิตแบบใหม่ ตามแบบพระเยซูคริสต์ ชีวิตของพระคริสต์ในเรา ทำให้คุณภาพชีวิตของเราโดดเด่น ทำให้ตัวเราได้รับการประทับตรา รอยตามแบบพระคริสต์ปรากฏภายในและแสดงออกภายนอก ชีวิตของพระคริสต์จะค่อยๆ กลืนชีวิตฝ่ายเนื้อหนัง ยิ่งเราเดินกับพระคริสต์นานวัน เราก็ถูกเปลี่ยนไปเหมือนพระองค์มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ชีวิตแบบโลกีย์จะค่อยๆ จางไป ชีวิตแบบพระคริสต์จะสว่างไสว

พลังความสามารถ – เป็นสิ่งที่บอกว่า “ทำอะไร/อย่างไร”
“นี่คือความมั่นใจของเราโดยทางพระคริสต์เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ไม่ใช่ว่าเราเองมีความสามารถที่จะอ้างสิทธิ์ในสิ่งใด แต่ความสามารถของเรามาจากพระเจ้า พระองค์ทรงให้เรามีความสามารถที่จะเป็นพันธกรแห่งพันธสัญญาใหม่......” (2 โครินธ์ 3:4-6)

“Such confidence as this is ours through Christ before God. Not that we are competent in ourselves to claim anything for ourselves, but ourcompetent as ministers of a new covenant-.” ( 2 Corinthians 3:4-6)

“ข้าพเจ้าทำทุกสิ่ง (เผชิญทุกสิ่ง) ได้โดยพระองค์ผู้ประทานกำลังแก่ข้าพเจ้า” (ฟิลิปปี 4:13)

“I can do everything through him who gives me strength.” (Philippians 4:13)

“พวกเขามีกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ...” (สดุดี 84:7)

“They go from strength to strength.” (Psalm 84:7)

ชีวิตคริสเตียนมี 2 ด้าน ด้านหนึ่ง เป็นชีวิตทางโลก อีกด้านหนึ่งเป็นชีวิตฝ่ายวิญญาณ ชีวิตทั้งสองด้านมีความเหมือนกันคือ ความสามารถจะเติบโตพร้อมกับการเติบใหญ่ของชีวิต ทุกชีวิต (ทางกาย) ที่เกิดมาพระเจ้าประทานศักยภาพที่พร้อมจะรับการพัฒนา แต่ศักยภาพทางกายและสมอง ไม่ว่าจะพัฒนามากเท่าใด ก็ไม่เพียงพอกับการพัฒนาการฝ่ายวิญญาณ

ผู้ที่บังเกิดใหม่จากพระเจ้า พระเจ้าสัญญาที่จะประทานองค์พระวิญญาณให้มาสถิตอยู่ในเรา พระวิญญาณประทานพลังฝ่ายวิญญาณ ให้มีกำลังและสามารถชนะอุบายของมาร ชนะการทดลอง ชนะอำนาจใฝ่ต่ำ และให้ความสามารถ ในการแยกแยะความดีความชั่ว พลังความรู้ ความสามารถจะเพิ่มพูนขึ้นเพื่อการรับใช้พระองค์ตามที่พระองค์ตั้งพระทัยไว้ ความสำเร็จหรือความล้มเหลวของชีวิตเราทั้งปัจจุบันและอนาคต ขึ้นอยู่กับการพัฒนาศักยภาพภายในให้ก้าวหน้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผู้ที่จะมีพลังและความสามารถจำเป็นต้องรับการเรียนรู้ และฝึกฝนตนเองตามลำดับ และต้องทำอย่างต่อเนื่อง

ความรับผิดชอบ – เป็นสิ่งที่บอกถึงวุฒิภาวะของคน
“ชีวิตที่กระทำบาปจะต้องตาย บุตรไม่ต้องรับโทษความชั่วของบิดา บิดาก็ไม่ต้องรับโทษความชั่วของบุตร คนชอบธรรมจะรับกรรมชอบของตัว และคนอธรรมจะรับกรรมชั่วของตน” (เอเสเคียล 18: 20)

“The soul that sins shall die. The son shall not suffer for the iniquity of the father, nor the father suffer for the iniquity of the son; the righteousness of the righteous shall be upon himself, and the wickedness of the wicked shall be upon himself” (Ezekiel 18:20)

“ทุกคนจงสำรวจการกระทำของตนเอง จึงจะมีอะไรๆที่จะอวดได้ในตัวไม่ใช่เปรียบกับผู้อื่น เพราะว่าทุกคนต้องรับภาระของตัวเอง อย่าหลงเลย ท่านจะหลอกลวงพระเจ้าไม่ได้ เพราะว่าผู้ใดหว่านอะไรลง ก็จะเกี่ยวเก็บสิ่งนั้น” (กาลาเทีย 6:4-5,7)

“But let each one test his own work, and then his reason to boast will be in himself alone and not in his neighbor. For each man will have to bear his own load.
Do not be deceived; God is not mocked, for whatever a man sows, that he will also reap.” (Galatians 6:4-5,7)

ศักยภาพสำคัญอีกประการหนึ่งที่จะเติบโตขึ้นพร้อมๆ กับการเติบโตของชีวิต คือ การรู้จักรับผิดชอบตนเอง ชีวิตที่พึ่งเกิดใหม่ ความอยู่รอดของเขาต้องอยู่ในความรับผิดชอบของผู้อื่น แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความอยู่รอดของเขาต้องอยู่ในมือของตนเอง เพราะนี่เป็นแผนการของพระเจ้า เมื่อชีวิตผู้นั้นโตเต็มขนาด มีวุฒิภาวะเขาจะเข้าใจ ชีวิตของเขา เขาต้องรับผิดชอบในการเลือกวีถีชีวิต รับผิดชอบความเป็นความตาย รับผิดชอบอนาคต ชีวิตที่มีวุฒิภาวะจะไม่โยนความผิด ความไม่ดีที่เกิดขึ้นให้คนอื่น ผู้ที่มีวุฒิภาวะจะต้องตระหนักชัด ถึงความสำเร็จ ความล้มเหลวของตนเอง ไม่ใช่เป็นความรับผิดชอบของผู้อื่น การเลือกศาสนา เลือกคู่ก็ไม่ใช่ความรับผิดชอบของผู้อื่น

เราต้องรู้จักรับผิดชอบตนเองอย่างมีคุณภาพก่อน เราถึงจะสามารถก้าวไปสู่การรับผิดชอบผู้อื่น และรับผิดชอบในการรับใช้งานของพระเจ้าได้

เพื่อพระเจ้าจะได้รับเกียรติในชีวิตคริสเตียนของเราจึงจะต้อง

พัฒนา ปรับปรุง อุปนิสัยของเราให้ดีขึ้นเรื่อยๆ โดยยึดพระคริสต์เป็นแม่แบบ และคำสอนในพระคัมภีร์เป็นกรอบ การดำเนินชีวิต และจงพัฒนาความสนิทสนมกับองค์พระคริสต์เพื่อซึมซับลักษณะของพระองค์ทุกๆ วัน
พัฒนาพลังทั้งความรู้และความสามารถให้เจริญก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อประสิทธิผลและประสิทธิภาพในการดำเนินชีวิต
พัฒนาและเตือนตนเองตลอดเวลาว่า ตัวเองต้องรับผิดชอบต่ออนาคต การเลือก การตัดสินใจ และผลที่จะตามมา ไม่มีนิสัยโยนความผิดให้กับผู้อื่น
D:\my Doc\sermons\2006\Glory to God 17.doc หน้า /4

วันเสาร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ความรัก


โดย: unna ที่ ตุลาคม 22, 2006, 07:53:50 pm

ข่าวดี ลก. 6:27-38

ลก 6:27-35 ความรักศัตรู

(27)"แต่เรากล่าวกับท่านทั้งหลายที่กำลังฟังอยู่ว่า จงรักศัตรู จงทำดีต่อผู้ที่เกลียดชังท่าน (28)จงอวยพรผู้ที่สาปแช่งท่าน จงอธิษฐานภาวนาให้ผู้ที่ทำร้ายท่าน (29)ผู้ใดตบแก้มท่านข้างหนึ่ง จงหันแก้มอีกข้างหนึ่งให้เขาตบด้วย ผู้ใดเอาเสื้อคลุมของท่านไป จงปล่อยให้เขาเอาเสื้อยาวไปด้วย (30)จงให้แก่ทุกคนที่ขอท่าน และอย่าทวงของของท่านคืนจากผู้ที่ได้แย่งไป (31)ท่านอยากให้เขาทำต่อท่านอย่างไร ก็จงทำต่อเขาอย่างนั้นเถิด (32)ถ้าท่านรักเฉพาะผู้ที่รักท่าน ท่านจะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าได้อย่างไร คนบาปก็ยังรักผู้ที่รักเขาด้วย (33)ถ้าท่านทำดีเฉพาะต่อผู้ที่ทำดีต่อท่าน ท่านจะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าได้อย่างไร คนบาปก็ยังทำเช่นนั้นด้วย (34)ถ้าท่านให้ยืมเงินโดยหวังจะได้คืน ท่านจะเป็นที่พอพระทัยพระเจ้าได้อย่างไร

คนบาปก็ให้คนบาปด้วยกันยืมโดยหวังจะได้เงินคืนจำนวนเท่ากัน (35)แต่ท่านจงรักศัตรู จงทำดีต่อเขา จงให้ยืมโดยไม่หวังอะไรกลับคืนแล้วบำเหน็จรางวัลของท่านจะใหญ่ยิ่ง ท่านจะเป็นบุตรของพระผู้สูงสุด เพราะพระองค์ทรงพระกรุณาต่อคนอกตัญญูและต่อคนชั่วร้าย

ลก 6:36-38 ความเมตตากรุณาและความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่

(36)จงเป็นผู้เมตตากรุณาดังที่พระบิดาของท่านทรงพระเมตตากรุณาเถิด (37)อย่าตัดสินเขาแล้วพระเจ้าจะไม่ทรงตัดสินท่าน อย่ากล่าวโทษเขา แล้วพระเจ้าจะไม่ทรงกล่าวโทษท่าน จงให้อภัยเขาแล้วพระเจ้าจะทรงให้อภัยท่าน (38)จงให้ แล้วพระเจ้าจะประทานแก่ท่าน ท่านจะได้รับเต็มสัดเต็มทะนานอัดแน่นจนล้นเพราะว่าท่านใช้ทะนานใดตวงให้เขา พระเจ้าก็จะทรงใช้ทะนานนั้นตวงตอบแทนให้ท่านด้วย"


จงรักศัตรู ความรักศรัตรู

ลำพังให้อภัยศัตรูก็ยากหนักหนาแล้ว แต่พระเยซูเจ้ายังให้ "กฎทอง" แก่เราอีก นั่นคือ "จงรักศัตรู" ของเราด้วย พระองค์กำลังเรียกร้องสิ่งที่ไม่มีทางเป็นไปได้หรือเปล่า ?

ก่อนอื่นเราจำต้องเข้าใจความหมายของคำศัพท์ที่พระเยซูเจ้าทรงใช้เสียก่อน คำว่า "รัก" ในภาษากรีกมีอยู่ 3 คำคือ

1)eranหมายถึงความรักแบบเนื้อหนัง เช่น ชายรักหญิง

2)phileinหมายถึงความรักอันอบอุ่นแบบมิตรภาพ เช่น ความรักที่มีต่อญาติสนิทมิตรสหาย

3)agapan หมายถึงความรักแบบปรารถนาดีต่อผู้อื่น ไม่ว่าผู้นั้นจะสบประมาทเรา ทำร้ายเรามากสักเพียงใด เราก็ไม่ปรารถนาสิ่งอื่นใดนอกจากความดีสูงสุดในตัวเขา

และคำศัพท์ที่พระเยซูเจ้าทรงใช้คือ "apapate (พวกท่านจงรัก)" ซึ่งเป็นความรักแบบที่สาม

หมายความว่าพระเยซูเจ้ามิได้สั่งให้เรารักศัตรูแบบเดียวกับที่เรารักพ่อแม่ สามีภรรยา บุตรหลาน หรือเพื่อน ๆ ซึ่งความรักแบบนี้หลั่งไหลออกมาเองจากหัวใจของเรา เราจึงมักเรียกว่า "ตกหลุมรัก" หรือ Fall in love

แต่พระองค์สั่งให้เรารักด้วย"น้ำใจ" ที่ปรารถนาสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผู้ที่เราไม่ชอบ หรือเขาเองก็ไม่ชอบเรา ซึ่งเป็นไปได้ก็โดยอาศัยพระหรรษทานและความช่วยเหลือของพระเยซูเจ้าเท่านั้น

เพราะฉะนั้น พระเยซูเจ้าไม่ได้สั่งให้เราทำในสิ่งที่ฝืนธรรมชาติ หรือเป็นไปไม่ได้ !

พร้อมกันนี้พระองค์ได้ยกตัวอย่างของสิ่งที่ดีที่สุดที่เราต้องปฏิบัติต่อศัตรู เช่น อวยพรเขา อธิษฐานภาวนาแก่เขา ให้สิ่งของช่วยเหลือเขา และให้อภัยเขา เป็นต้น


แก่นแท้ของจริยธรรมคริสต์

1.จงทำดี
มีคนเคยขอให้รับบีฮิลเลลซึ่งมีชื่อเสียงมาก ช่วยสอนบทบัญญัติทั้งหมดขณะที่ยืนอยู่บนขาข้างเดียว เขาตอบว่า "สิ่งใดที่ท่านรังเกียจ จงอย่าทำแก่คนอื่น"

พวกสโตอิก (Stoics) มีกฎว่า "สิ่งใดที่ท่านไม่ปรารถนาให้ผู้อื่นทำแก่ท่าน จงอย่าทำแก่คนอื่น"

ขงจื้อก็สอนเช่นเดียวกับพวกสโตอิก

คำสอนที่ยกมาล้วนเป็นเชิงปฏิเสธ กล่าวคือ "อย่าทำ" ซึ่งไม่ยากเกินควรที่เราจะหลีกเลี่ยงกิจการเหล่านั้น

แต่สำหรับพระเยซูเจ้า "ไม่ทำ" ไม่พอ เราต้องสลัดน้ำใจและตัวตนของเราทิ้งไปเพื่อ "ทำ" สิ่งที่เราอยากให้คนอื่นทำแก่เรา พระองค์สอนว่า "ท่านอยากให้เขาทำต่อท่านอย่างไร ก็จงทำต่อเขาอย่างนั้นเถิด"

เพราะฉะนั้น แก่นแท้ของจริยธรรมแบบพระเยซูเจ้าคือ "การละเว้นไม่ประพฤติชั่ว" ยังไม่พอ เราต้อง " ประพฤติดีอย่างแข็งขัน" อีกด้วย

2.ทำให้ดีกว่า

หลายครั้งเราชอบเปรียบเทียบความดีของเรากับเพื่อนบ้านหรือกับคนอื่น แล้วเราก็อดภูมิอกภูมิใจไม่ได้ที่เราดีไม่แพ้หรือบางทีดีกว่าคนอื่นเสียอีก

แต่พระเยซูเจ้าเรียกร้องเรามากกว่านั้น "เราดีกว่าคนอื่นมากแค่ไหน ?"

แม้แต่คนบาปก็ยังรู้จักรักคนที่รักเขา รู้จักทำดีแก่คนที่รักเขา ให้คนที่รักเขายืมเงิน ฯลฯ

เมื่อคนบาปยังรู้จักทำเช่นนี้ เราจะไปเปรียบเทียบความดีกับเพื่อนบ้านหรือกับคนอื่นซึ่งต่อหน้าพระพักตร์ของพระเป็นเจ้าล้วนเป็นคนบาปทั้งนั้นได้อย่างไร ?

ผู้เดียวที่เราต้องเปรียบเทียบด้วยคือ "พระเป็นเจ้า" และเมื่อเปรียบเทียบกับ "พระเป็นเจ้า" แล้ว เราไม่เพียงต้อง "ทำดีกว่า" มนุษย์ธรรมดาทั่วไปเท่านั้น แต่เรายังต้องเพียรพยายามอย่างน้อยทำให้เท่าหรือ "ทำให้ดีกว่า" บรรดานักบุญในสวรรค์อีกด้วย

3.ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน

น่ายินดีที่พระเป็นเจ้ามิได้ตัดสินเราตามมาตรฐานของพระองค์ แต่ตามมาตรฐานของเราแต่ละคนเอง

ถ้าเราไม่ตัดสินผู้อื่น พระเป็นเจ้าก็ไม่ตัดสินเรา

ถ้าเราไม่กล่าวโทษผู้อื่น พระองค์ก็ไม่กล่าวโทษเรา

ถ้าเราให้อภัยผู้อื่น พระองค์ก็ให้อภัยเรา

ยิ่งเราให้อภัยผู้อื่นมาก พระองค์ก็ยิ่งให้อภัยเรามาก

หากเรา "ทำดี" และ "ทำดีกว่า" (เช่น รักแม้กระทั่งศัตรู) เราจะได้เป็นบุตรของพระเป็นเจ้า ได้ทำเหมือนพระองค์ ผู้ทรงพระเมตตากรุณาและรักเราทุกคน ไม่ว่าจะดีหรือเลว ไม่ว่าจะทำให้พระองค์พอพระทัยหรือทำให้ช้ำพระทัยสักเพียงใดก็ตาม !

ในโลกนี้ จะมีใครมีอภิสิทธิ์มากเท่าเรา ที่ได้ทำเหมือนองค์พระผู้เป็นเจ้า !

ความรักสี่แบบ และความรักของคริสเตียน
ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ ซึ่งบันทึกด้วยภาษากรีก ปรากฏคำเกี่ยวกับความรักอยู่ถึง 4 คำด้วยกัน ใช้บรรยาย ความรักที่แยกย่อยได้ถึง 4 ประเภท

1. ฟิเลียส (Philios)

ยอห์น 16:19 "ถ้าท่านทั้งหลายเป็นของโลก โลกก็จะ รัก (Phileõ) ท่านซึ่งเป็นของโลก แต่เพราะท่านไม่ใช่ของโลก เพราะเราได้เลือกท่านออกจากโลก เหตุฉะนั้น โลกจึงเกลียดชังท่าน"

เป็นความรักอย่างแรกของความรักสี่แบบที่กรีกค้นพบและได้ตั้งชื่อไว้ ฟีเลียสเป็นรักง่ายๆ เป็นความรักกึ่งๆ ระหว่าง อีรอส และอากาเป้ เป็นมิตรภาพที่มีต่อเพื่อนฝูง เป็นรากฐานของความจำเป็นในสังคมมนุษย์ เราเกิดมา โดยสันดาน มนุษย์ต้องการความรักและการยอมรับ
พระเจ้าได้สร้างสัตว์กลุ่มต่างๆ และเราก็ต้องมีสังคมเพื่อจะดำรงอยู่ได้ เพราะมนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างให้อยู่คนเดียว พระเจ้าตรัสว่า "ไม่ควรที่ชายผู้นี้จะอยู่คนเดียว เราจะสร้างคู่อุปถัมภ์ ที่สมกับเขาขึ้น" พระเจ้าจึงทรงปั้นบรรดาสัตว์ ในท้องทุ่ง และนกในท้องฟ้า ให้เกิดขึ้นจากดิน แล้วทรงนำมายังชายนั้น เพื่อดูว่าเขาจะเรียกชื่อมันว่าอะไร...แต่ชายนั้น ยังหามีคู่อุปถัมป์ที่สมกับตนไม่ [ปฐมกาล 2:18-20]



ครอบครัวจึงเป็นสังคมแรก และมนุษย์ต้องอยู่อาศัยด้วยกัน เพื่อมีชีวิตรอด เป็นการเอื้อเฟื้อให้แก่กันโดยพื้นฐาน ซึ่งเป็นรักชนิดหนึ่งที่พูดได้ว่า "ฉันต้องการเธอ ฉันจะเป็นเพื่อนกับเธอ เธอต้องการฉัน เธอก็จะเป็นเพื่อนกับฉัน" แต่โดยธรรมชาติของมนุษย์ ไม่ยืนยาว ทุกคนต้องตาย ความรักแบบฟีเลียส จึงเป็นรักที่เห็นแก่ตัว เช่น "ฉันชอบเธอ ถ้าเธอชอบฉัน" ฟีเลียสไม่ค่อยให้อะไรใครเพื่อความรัก แต่เป็นมิตรภาพที่ลึกซึ้ง ซึ่งพัฒนาเป็นรักที่ลึกซึ้งต่อไปได้
ถ้าเกิดอันตรายขึ้นกับใครซักคน ฟีเลียสมักจะ "มีผลอะไรกับฉันบ้าง" รักแบบนี้จึงเอาตัวเองเป็นหลัก ให้และตอบแทนกัน เมื่อมีเรื่องของผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง แม้จะเป็นรักแบบเพื่อน แต่ก็ไม่สามารถตายแทนกันได้ นอกจากจะใช้ อากาเป้แทนความรักนี้
[ http://members.tripod.com/~ALM4Ever/philios.html ]


--------------------------------------------------------------------------------

2. สตอรเก้ (Storge)

เป็นความรักญาติพี่น้อง เกิดขึ้นในคนทุกคน สตอรเก้ เป็นรักที่พัฒนาขึ้นมา ตามกระบวนการบางอย่าง ชีวิตของคนเรา มีความเกี่ยวพันกันในการเลี้ยงดู พ่อแม่ ดูแลลูกที่เกิดมา ในสัตว์ประเภทเดียวกัน เกิดมาก็รวมกลุ่มกันเพื่อความอยู่รอด คือ รักกันตามสัญชาตญาณ ไม่ต้องบอกผู้เป็นแม่ ว่าให้ปกป้องลูกน้อย เพราะมันเป็นไปโดยอัตโนมัติ แม่รักลูกตัวเอง ได้อย่างง่ายดาย เพราะนั่นเป็นลูกของแม่ แต่ความรักแบบ สตอรเก้ก็ยังเป็นความรักที่เห็นแก่ตัว เพราะมีเรื่องการหวัง ผลตอบแทนทางอารมณ์ มาเกี่ยวข้อง การแสดงออกแบบ สตอรเก้ พ่อแม่เรียนรู้ความรักแบบนี้ได้ พอเด็กโต เด็กก็จะ เรียนรู้ความรักนี้โดยอัตโนมัติ


ความรักในแบบฟีเลียสจะเป็นในลักษณะที่ว่า ฉันจะรักคุณ ถ้า..... แต่ในแบบ สตอรเก้ คือ ฉันจะรักคุณ เพราะฉันควรรักคุณ อย่างเมื่อเด็กโตขึ้นมา มีการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ระหว่างเครือญาติ เป็นรักแบบมีเงื่อนไข หวังการตอบแทน จึงยังเป็นความรักแบบมนุษย์ ความรักแบบสตอรเก้ เรายังคงรักกันอย่างที่เราเป็น หรืออย่างที่ทุกคนเป็น
[ http://members.tripod.com/~ALM4Ever/storge.html ]


--------------------------------------------------------------------------------

3. อีรอส (Eros)

อีรอส เป็นความรักที่ต้องการให้ได้มา (Acquisitive) บนพื้นฐานความเห็นแก่ตัว (Egocentric/Selfish) เป็นรักที่ไม่แน่นแฟ้นหรือถาวร เป็นความรักที่เกี่ยวข้องกับความใคร่ เกี่ยวพันกับเรื่องทางเพศ อีรอส เป็นความรัก ที่ตอบสนองความงามของวัตถุ และการใช้อีรอส ในทางที่ผิดจะนำไปสู่ความเสื่อม สำหรับเพลโต อีรอสเป็นความรัก ในความงาม และรักในวัตถุแห่งความงาม ซึ่งสะท้อนให้เราเห็น ถึงความงามที่สมบูรณ์แบบ ที่มีอยู่ในโลกแห่งแบบ เพลโตจึงกล่าวว่า คนรัก (Lover) หมายถึง คนที่รักในความสวยงาม

ปฐมกาล 1:27 "พระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้น ตามพระฉายาของพระองค์ ตามพระฉายาของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้น และได้ทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง พระเจ้าทรงอวยพระพรแก่มนุษย์ ตรัสแก่เขาว่า จงมีลูกดกทวีมากขึ้นจนเต็มแผ่นดิน จงมีอำนาจเหนือแผ่นดิน จงครอบครองฝูงปลาในทะเล และฝูงนกในอากาศ กับบรรดาสัตว์ที่เคลื่อนไหวบนแผ่นดิน"



พระเจ้าสร้างผู้ชายและผู้หญิงเพื่อมีสเน่ห์ต่อกันและกัน พระเจ้าตั้งใจให้ผู้ชาย และผู้หญิงรวมกัน เป็นหนึ่งเดียว เพื่อให้กำเนิดลูกหลานบนแผ่นดิน ในสวนเอเดน พระเจ้าได้ให้อำนาจมนุษย์ในการควบคุม
อีรอส มีอารมณ์ดึงดูดทางเพศของผู้ชายกับผู้หญิง ทำให้ทั้งสองประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน (One Body) อีรอส จึงเป็นความรักของมนุษย์ ที่ไม่ใช่ "ความต้องการ" ของพระเจ้า ไม่ว่าเราจะไปที่ไหน ในที่ต่างๆ นั้น ก็มักจะมีเรื่องของ Sex ปรากฎ ไม่ว่าจะเป็นแมกกาซีน หรือสื่อต่างๆ จึงบอกได้ว่า อีรอสยังคงมีอยู่อย่างปกติ แม้ว่า พระเจ้าจะไม่ได้เข้าไป ยุ่งเกี่ยวก็ตาม อีรอส คล้ายๆ กับ ฟีเลียส คือมีตัวเองเป็นใหญ่ และเหมือนสตอรจ ที่ต้องการสิ่งตอบแทน จริงๆ แล้ว ความรักแบบอีรอส ก็เป็นกิเลสตัณหาฝ่ายเนื้อหนัง กลายเป็นเกมแห่งการ เอาชนะ เพื่อให้ได้มา ไม่ได้คิดถึงผู้อื่น มากกว่าตน แต่อีรอสก็เป็นมากกว่าลักษณะกายภาพอย่างเดียว มันเป็นเรื่องจิตใจด้วย มันได้รับการออกแบบจากผู้สร้าง ที่จะทำให้เราสังเกตุกันและกัน เพื่อจะตกหลุมรัก ก้าวไปสู่ความรักที่แท้จริง ที่ไม่ใช่แค่ตัณหา แต่เป็นความรักที่งดงาม มีการจีบ คบกัน และแต่งงาน ซึ่ง ความรักแบบมนุษย์ทั้ง 3 ประเภทนี้ ไม่ต้องให้พระเจ้าช่วยให้เกิดขึ้น
[ http://members.tripod.com/~ALM4Ever/eros.html ]


--------------------------------------------------------------------------------

4. อกาเป้ (Agape)

ยอห์น 3:16 "เพราะว่าพระเจ้าทรง รัก (Agape) โลก จึงได้ประทาน พระบุตรองค์เดียว ของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจ ในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์"

รักในระดับสูงสุด รักที่ให้แก่กัน ไม่คิดถึงตัวเอง และสละได้ทุกสิ่งเพื่อสิ่งที่รัก ไม่มีเปลี่ยนแปลง และให้ได้เสมอ แม้เป็นศัตรู ความรักแบบอกาเป้อาจหมายถึง การรักในชื่อเสียง รักในเงินทอง หรือรักในอะไรก็ตาม ที่คนเรายอมตายถวายชีวิตให้ การที่พระเยซูคริสต์ยอมตาย เพื่อคนอื่นเรียกได้ว่า เป็นความรักแบบอกาเป้ จนกระทั่งมีคำพูดเขียนไว้ว่า

"Not that God is Eros or Stroge or Philia, but Agape"
อกาเป้เป็นความรัก แบบไม่มีเงื่อนไข อาจกล่าวได้ว่า ในบรรดาความรักทั้งหมด อกาเป้สำคัญที่สุด เพราะความรัก สามแบบแรก Eros, Storge และ Philia ล้วนแต่เกิดขึ้นในใจคนเราได้ โดยไม่ต้องพยายาม เราย่อมจะรักพ่อแม่ของเรา และย่อมรักเพื่อนฝูงเพราะเขาดีกับเรา และบ้างก็คิดเหมือนเรา แต่อกาเป้ เป็นความรักชนิดเดียว ที่สิ่งมีชีวิตที่มีเหตุผล จะสร้างไว้ในใจตัวเองได้ เพราะเป็นความรัก ที่ต้องมีให้ แม้แต่คนที่เกลียดชัง

1 ยอห์น 4:16 "พระเจ้าทรงเป็นความรัก และผู้ใดที่อยู่ในความรัก ก็อยู่ในพระเจ้า และพระเจ้าก็ทรงสถิตย์อยู่ในผู้นั้น"

ความรักทุกอย่างอยู่บนพื้นฐานของพระเจ้า เพราะพระเจ้าเป็นความรัก บริสุทธิ์ สมบูรณ์แบบ แต่รักทุกแบบ ไม่ได้ต้องการพระเจ้า เว้นแต่อากาเป้ เป็นรักที่ต้องให้พระเจ้าเข้ามาช่วย เป็นรักในแบบที่พระเจ้าต้องการ [นิยามความรัก]
[ http://members.tripod.com/~ALM4Ever/agape.html ]


AGAPE (อากาเป) คือ ความรักแบบพระเจ้า รักที่บริสุทธิ์ ไม่มีเงื่อนไข ไม่หวังสิ่งตอบแทน รักที่ให้คุณค่าและเห็นแก่ประโยชน์ของคนอื่น ขอนำ คำว่า “AGAPE” ในภาษาอังกฤษ มาใช้เป็น หลัก 5 ประการเพื่อการดำเนินชีวิตตามวิธีของพระเจ้า ซึ่งครอบคุม ความคิด อารมณ์และการกระทำที่จะช่วยทำให้ครอบครัวเราเป็นอิสระจากความทุกข์เพราะความกังวล และทำให้ชีวิตมีความสมดุล


A = Acknowledge คือ การรับรู้ ถึงคุณค่ายิ่งใหญ่ของพระเจ้าเสมอ ไม่ว่าเราจะคิดหรือทำอะไรอยู่ เราต้องรับรู้ว่าพระเจ้าทรงคุณค่ายิ่งใหญ่ ทรงพระชนม์อยู่และทรงอยู่กับเราเสมอ เราควรจำนนชีวิตให้พระองค์เข้ามามีส่วนร่วมในครอบครัวทุกด้าน เพื่อ เราจะดำรงชีวิตอยู่ในน้ำพระทัยพระเจ้าเหมือนอย่างพระเยซู ดังที่พระองค์ทรงอธิษฐานต่อพระบิดาว่า “....ถ้าพระองค์พอพระทัย..อย่าให้เป็นไปตามใจข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์เถิด ” ( ลก.22:42 )


G = Give คือ การให้ ดังที่พระเยซูทรงให้เพราะรัก แต่ในยุคแห่งการเห็นแก่ตัว การให้เป็นสิ่งที่เห็นได้น้อยมากโดยเฉพาะการให้โดยไม่มีเงื่อนไข หรือการให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน เช่นกันในครอบครัวเราควรให้ชีวิตและสิ่งที่ดีแก่กันเสมอซึ่งเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นที่จะขาดไม่ได้เลย


A = Act คือ การกระทำ บนพื้นฐานของความรักและความจริงมากกว่าความรู้สึก หากพระเยซูกระทำบนฐานของความรู้สึก พระองค์คงเดินออกไปจากสวนเกธเซมาเนไปแล้ว เพราะความกดดัน และความทรมานนั้นเจ็บปวดสุดจะเกินทนได้ แต่ขอบพระคุณพระเจ้า พระองค์กระทำบนฐานของความรักและความจริง พระองค์ทรงรู้ว่าอะไรเป็นน้ำพระทัยของพระบิดา และอะไรเป็นประโยชน์สูงสุดแก่เรา ซึ่งพระองค์ได้ทรงเลือกกระทำตามนั้นเพื่อเราทุกคน ดังนั้นขอให้เรากระทำดีต่อคนในครอบครัวของเรา โดยตั้งอยู่บนฐานของความรักและความจริงเสมอไป (1 ยน.3:18) นะครับ

P = Pray คือ การอธิษฐาน แม้พระเยซูทรงได้รับความทุกข์ทรมานแต่ยังทุ่มเทในการอธิษฐานโดยไม่หยุดยั้งแม้ในเวลาที่เหล่าสาวกของพระองค์ล้มเหลวที่จะมีส่วนร่วมกับพระองค์ เราเองอาจทำไม่ได้เท่าพระเยซู แต่การอธิษฐานอย่างทุ่มเทก็จำเป็นยิ่งในการดำเนินชีวิตครอบครัวของเราด้วย


E = Emphatize คือ การเข้าร่วมความรู้สึก เมื่อพระเยซูทรงมองดูผู้คน พระองค์ทรงเข้าถึงจิตใจและรู้สึกสงสารพวกเขา เช่นเดียวกันทุกคนในครอบครัวควรมีความรู้สึกร่วมและเห็นใจซึ่งกันและกันให้มาก เหมือนกับที่พระเยซูทรงเป็นแบบอย่างแก่เราเพราะรักและเข้าใจเรานั่นเอง

วันจันทร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2551

การรู้จักตัวเอง กับ การส่องสว่างของพระเจ้า SELF-KNOWLEDGE AND GOD'S LIGHT

26 กันยายน
การรู้จักตัวเอง กับ การส่องสว่างของพระเจ้า


คริสเตียนไม่สามารถเติบโตได้ถ้าเขาไม่รู้จักตัวเขาเอง และคริสเตียนไม่สามารถก้าวหน้า ฝ่ายวิญญาณไปอีกได้มากกว่าที่เขารู้นั้น ไม่มีคริสเตียนคนใดเติบโตได้มากกว่าสิ่งที่พระเจ้าเปิดเผยให้ ถ้าคริสเตียนไม่รู้สิ่งผิดปกติหรือสภาพการณ์ของเขา ก็จะไม่สามารถมุ่งไปในสิ่งใหม่ๆ หรือสิ่งที่เกิดขึ้นข้างหน้าได้

สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งคือ การตระหนักว่าเนื้อหนังของมนุษย์ เชื่อถือไม่ได้และไร้ประโยชน์ วิธีเดียวคือการวางใจพระเจ้าในทุกทาง เมื่อเราไม่รู้ตัวเอง เราก็ไม่รู้ว่าเราบกพร่องมากแค่ไหน หรือ ความรอดในพระคริสต์ล้ำค่าแค่ไหน ทำให้เราพลาดจากพระพรฝ่ายวิญญาณ

การรู้จักตัวเองมาจากการสำรวจตัวเองหรือไม่?

Psalm 26:2 - ข้าแต่พระเจ้า ขอพิสูจน์ข้าพระองค์ ลองข้าพระองค์เถิด ทดสอบใจและจิตของข้าพระองค์เถิด

จริงๆ แล้ว มีเพียงพระเจ้าที่ตรวจสอบได้อย่างถูกต้อง เรารู้มั๊ยว่าพระเจ้าคิดกับเรายังไง? เมื่อเราคิดว่าเราดีเหลือเกิน พระองค์คิดอย่างนั้นด้วยมั๊ย? หรือเมื่อเราคิดว่าเราแย่มาก พระเจ้าคิดเช่นนั้นหรือ? หากแต่เมื่อพระเจ้าพิจารณาว่าเราดี เราจึงดีได้ ... พระเจ้าไม่ต้องการให้เราตรวจสอบตัวเราด้วยตัวเอง พระองค์ต้องการให้เราปฎิเสธความรู้สึกสับสนออกไปในการตัดสินใจ และเปิดรับแนวคิดของพระองค์และเข้าใจการตัดสินนั้น เราจึงจะประเมินตัวเองได้อย่างถูกต้อง

การเปิดเผยมาจากไหน?

John 8:12 - พระเยซูตรัสกับเขาทั้งหลายว่า "เราเป็นความสว่างของโลก ผู้ที่ตามเรามาจะไม่เดินในความมืด แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต"

1. พระเยซูทรงเป็นแสงสว่าง เมื่อเราเข้าใกล้พระเจ้า เราจึงเห็นแสงสว่าง บ่อยครั้งที่เราคิดว่าบางสิ่งก็ไม่เลว แต่เมื่อพระเจ้าเปิดเผย เราต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าทุกอย่างผิดหมด เราตระหนักว่ามาตรฐานของเรานั้นไม่เพียงพอ ยิ่งเราเข้าใกล้พระเจ้า ก็จะได้รับการเปิดเผย ส่องสว่างมากเท่านั้น

Psalm 119:105 - พระวจนะของพระองค์เป็นโคมสำหรับเท้าของข้าพระองค์ และเป็นความสว่างแก่มรรคาของข้าพระองค์
Psalm 119:130 - การคลี่คลายพระวจนะของพระองค์ให้ความสว่าง ทั้งให้ความเข้าใจแก่คนรู้น้อย

2. การงานของเนื้อหนังไม่สามารถพ้นจากการเปิดเผยของพระเจ้าได้ แต่ละวันเราไม่ควรดำเนินตามรู้สึก ถูกหรือผิด หากแต่ต้องให้พระวจนะตัดสินแทน นั่นหมายความว่า เราต้องผูกพันอยู่กับพระวจนะมากขึ้น และวางใจการสำแดงของพระวิญญาณ ที่จะทำให้เรารู้ตัวเองมากขึ้น

Matthew 5:14 - ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก นครซึ่งอยู่บนภูเขาจะปิดบังไว้ไม่ได้

3. หลายคนคิดว่าประโยคนี้หมายถึงคริสเตียนที่มีความประพฤติดี แต่จริงๆ แล้ว "คริสเตียนเป็นแสงสว่าง" สามารถส่องแสงสภาพความเป็นจริงของมนุษย์ออกมาได้ คริสเตียนหลายคนผู้เป็นแสงสว่าง ทำให้คริสเตียนคนอื่นกล่าวโทษตัวเอง และละอายใจเวลาอยู่ใกล้ชิดคนเหล่านั้น พี่น้องทั้งหลาย แท้จริง เราเป็นคนงานของพระเจ้า ถ้าเราไม่มีแสง เราจะทำงานไม่ได้ ถ้าเราเข้าใกล้พระเจ้า และให้แสงนั้นควบคุมเราอยู่เสมอ เราจะฉายสภาพความจริงของมนุษย์โดยอัตโนมัติ ถ้าเราเชื่อฟังน้ำพระทัยพระเจ้า และทำงานของพระองค์ เราจำเป็นต้องเป็นแสงสว่าง

เมื่อเราเข้าใกล้คนที่สนิทกับพระเจ้า เราจะสัมผัสถึงพระเจ้า เมื่อไหร่ที่เข้าใกล้พี่น้องบางคน เมื่อสนทนาและอ่านพระวจนะด้วยกัน จะตระหนักว่าเรายังบกพร่องอยู่ ทุกครั้งที่พบพี่น้องคนนี้ มีความรู้สึกพิเศษว่า พระเจ้าอยู่ที่นั่น เมื่อเข้าใกล้เธอ แสงสว่างของเธอนั้นเองที่กล่าวโทษบาปของเรา

ไม่ว่าเราจะสนิทกับพระเจ้าโดยพระวจนะหรือการสามัคคีธรรมกับพี่น้องคริสเตียน การส่องสว่างนั้นมาจากการเปิดเผยของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นผู้สำแดงพระสิริ ความบริสุทธิ์ และความชอบธรรมของพระเจ้า และเมื่อเราเห็นมาตรฐานพระเจ้า เราจะรู้สภาพการณ์และพบว่าเราตกขอบจากมาตรฐานนี้ไป





--------------------------------------------------------------------------------




SELF-KNOWLEDGE AND GOD'S LIGHT

A Christian never progresses in spirituality if he does not know himself. And a Christian can never spiritually progress further than what he knows. No Christian can progress further than the light which God has given him. If a Christian does not know his faults or his real condition, he will not pursue after what is new or go on in the way ahead.

The most important thing in a Christian's life is to consider his own flesh as not trustworthy and himself as absolutely useless. Only in this way will he utterly trust God. When we do not know ourselves, we do not know how great is our lack and how complete and precious is the salvation in Christ. As a result we miss so many spiritual blessings.

IS SELF-KNOWLEDGE DERIVED FROM SELF-EXAMINATION?

Psalm 26:2
Actually, only God's knowledge concerning us is correct. Do you know how God thinks about you? When you think that you are so good, does God also think the same thing? When you think that you are very bad, does God also think the same thing? When God regards you as good, then you are good. And when God regards you as evil, then you are evil. ... While God does not want us to examine ourselves. He wants us to have His same view. Therefore, He wants us to reject our untrustworthy feelings in deciding our condition and receive His thought and understand His judgment so that we may have an accurate assessment of ourselves.

WHERE DOES THIS LIGHT COME FROM?

John 8:12
1. The Lord Jesus is light. When we draw near to the Lord, we shall see light. Often we think that this is quite good and that is not bad. But when we tell the Lord the facts of a situation, asking Him for enlightenment, we find to our surprise that everything is wrong. We will realize that our standard is not enough. The more we draw near to the Lord, the more we will receive the light of God.

Psalm 119:105 & Psalm 119:130
2. The work of the flesh cannot escape the shining of the light of God. Day by day we should not follow our feelings in judging whether a matter is right or wrong. Rather, we must let the Word of God decide whether it is right or wrong. For this reason, we must read the Bible more, and we must trust that the Holy Spirit would manifest the Word of God to us so that we may know ourselves.

Matthew 5:14
3. Normally we think that this verse speaks only of a Christian's good behavior. But actually there is a very deep meaning here. It says that a Christian is light. Many Christians who are in the light of God, make other Christians afraid of seeing them because once they are seen, they will be condemned of their own sins. Brothers and sisters, we are the workers of God, serving God. If you do not have the light of God, you will not be able to work. If you draw near to God and are controlled constantly by the light of God, spontaneously you will illuminate the real condition of the people who are contacting you. If we want to obey the will of God and do the work of God, we need to be a light

When you come close to Christians who are near to God, they make you feel God. Whenever I went to see a sister, after talking and reading a few verses from the Bible with her, I was aware that I was still lacking. I always felt something special ... God was there. When you came close to her, her light condemned your sin.

Whether by drawing near to Christ, by reading God's Word, or by being with other Christians, all the light we receive comes from the revelation of the Holy Spirit. It is the Holy Spirit who manifests His glory, holiness, and righteousness. By this we see the absolute standard of God, so that we see ourselves, know our own real condition, and realize how we fall short of the standard of God.

ของประทานที่ยิ่งใหญ่ (ความรัก)


วราพร คงล้วน

สวัสดีค่ะพี่น้องทุกท่าน วันนี้เราจะมาศึกษาถ้อยคำของพระองค์ด้วยกัน มาดูการทำงานของพระเจ้าผ่านทางคริสตจักร เพื่อเป็นบรรทัดฐาน ในการดำเนินชีวิตร่วมกัน ในคริสตจักรของพระเจ้าอย่างมีความสุข

เราจะเปิดไปที่พระธรรม 1 โครินธ์ 12:4-11

“ของประทานนั้นมีต่างๆ กัน แต่มีพระวิญญาณองค์เดียวกัน งานรับใช้มีต่างๆ กัน แต่มีองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวกัน กิจกรรมมีต่างๆ กัน แต่มีพระเจ้าองค์เดียวกันเป็นต้นเหตุแห่งกิจกรรมนั้นๆ ในทุกคน การสำแดงของพระวิญญาณนั้นมีแก่ทุกคนเพื่อประโยชน์ร่วมกัน พระเจ้าทรงโปรดประทานโดยทางพระวิญญาณ ให้คนหนึ่งมีถ้อยคำประกอบด้วยสติปัญญา และให้อีกคนหนึ่งมีถ้อยคำอันประกอบด้วยความรู้ แต่เป็นพระวิญญาณองค์เดียวกัน และให้อีกคนหนึ่งมีความเชื่อ แต่เป็นพระวิญญาณองค์เดียวกัน และให้อีกคนหนึ่งมีความสามารถรักษาคนป่วยได้ แต่เป็นพระวิญญาณองค์เดียวกัน และให้อีกคนหนึ่งทำการอิทธิฤทธิ์ต่างๆ และให้อีกคนหนึ่งเผยพระวจนะได้ และให้อีกคนหนึ่งรู้จักสังเกตวิญญาณต่างๆ และให้อีกคนหนึ่งพูดภาษาแปลกๆ และให้อีกคนหนึ่งแปลภาษานั้นๆ ได้ สิ่งสารพัดเหล่านี้ พระวิญญาณองค์เดียวกันทรงบันดาลและประทานแก่แต่ละคนตามชอบพระทัยพระองค์”




ในพระธรรม 1 โครินธ์ บทที่ 12 จะพูดถึงของประทานต่างๆ ที่พระเจ้าได้ประทานให้คริสตจักร คือผู้เชื่อทุกคน แล้วสิ่งหนึ่งที่เราต้องยอมรับก็คือ พระเจ้าจะประทานตามชอบพระทัยของพระองค์ ไม่ใช่ตามชอบใจเรา

โดยทั่วไปแล้วคนที่เชื่อพระเจ้า ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน และอนาคตข้างหน้าจะเหมือนกัน ทุกคนอยากได้ของประทานแบบเด่นๆ ให้คนได้สามารถสัมผัสจับต้องได้ และมองเห็นว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ มันเท่ห์ดี ไม่อย่างนั้นเราทำอะไร แล้วคนไม่รู้ ไม่เห็น มันไม่เท่ห์ แต่อยากจะหนุนใจพี่น้องทุกคนว่า ของประทานทุกอย่างที่พระเจ้าประทานให้กับพวกเรา พระเจ้าเห็นว่าเหมาะสมสำหรับเรา แล้วคนที่เห็นเราทำคือพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด พระองค์เองจะเป็นผู้ปูนบำเหน็จรางวัลให้กับเรา ฉะนั้นถ้าพระเจ้าประทานของประทานให้กับพวกเรา เป็นอะไรก็ตาม ให้เราทำเต็มที่ ถึงแม้ของประทานนั้นอาจจะไม่ค่อยสะใจเราเท่าไหร่ อยู่เบื้องหลังรายการตลอด คนไม่ค่อยรู้จักด้วยซ้ำไปว่าเราชื่ออะไร ทำอะไร เดินอยู่ในโบสถ์ เฉียดไปเฉียดมา 10 กว่าปี ไม่มีใครรู้จักเราเลย แต่เราทำอะไรเยอะมาก ในคริสตจักรแห่งนี้ เราก็เริ่มรู้สึกไม่สะใจ เราอยากให้คนรู้จักเรามากขึ้น เราอยากจะทำอะไรที่ดูดี ดูดัง แต่ว่าถ้าไม่ใช่เป็นของประทานที่พระเจ้าให้เราทำ แล้วเราดันทุรังไปทำ มันก็เจ็บ สุดท้ายเราก็จะมาถามพระเจ้าว่า “ทำไม”



บทเรียนอย่างนี้จะเกิดขึ้นในคริสตจักรบ่อยๆ วันนี้เรามาย้ำอีกครั้งหนึ่ง ในพระคัมภีร์ตรงนี้บอกว่าพระเจ้าให้บางคนเป็น แต่ละคนจะมีของประทานไม่เหมือนกัน แต่ว่าของประทานต่างๆ เหล่านี้พระเจ้าประทานให้ เพื่อเราจะได้เสริมสร้างซึ่งกันและกัน



ใน 1 โครินธ์ บทที่ 13 จะพูดถึงของประทานแห่งความรัก เป็นของประทานชนิดเดียวที่พระเจ้าให้กับพวกเราทุกคน ไม่ต้องแย่งกัน



แต่ของประทานอันนี้เราต้องออกแรง สำแดงความรักของพระเจ้าให้กับผู้คนรอบข้าง เราเลยไม่ค่อยอยากได้เท่าไหร่ เราอยากให้คนอื่นรักเรามากกว่าที่เราอยากไปรักคนอื่น

แต่ของประทานในการสำแดงอิทธิฤทธิ์ ทุกคนอยากได้ใช่ไหม มีฤทธิ์อำนาจที่จะอธิษฐานชุบคนตายให้เป็นขึ้นมาใหม่ แล้วชื่อเสียงของเราก็จะโด่งดัง ทุกคนก็จะวิ่งเข้ามาหา เป็นของประทานที่เราชอบมาก แต่ว่าพระเจ้าก็ไม่ได้ให้กับทุกคน ฉะนั้นอย่าพยายามที่จะเป็นในสิ่งที่พระเจ้าไม่ต้องการให้เราเป็น แต่ขอพระคุณพระเจ้าช่วยเหลือเรา ที่จะสามารถยอมจำนนต่อพระองค์ในของประทานนั้นๆ ที่พระเจ้าให้กับเรา เพื่อว่าเราจะได้มีสันติสุขและสงบสุข



พี่น้องรู้ไหมว่าถ้าใครได้ของประทานที่ใหญ่โต เขาก็ต้องทำงานเหน็ดเหนื่อย

แล้วคนยิ่งทำเยอะ ยิ่งผิดเยอะ แล้วเมื่อพระเจ้าให้เกียรติเยอะ พระเจ้าก็จะเรียกคืนจากคนนั้นเยอะเช่นเดียวกัน ถ้ามาเปรียบเทียบแล้วทุกคนจะได้เท่ากัน ถ้าใครได้ของประทานน้อย ก็เอเมน เหนื่อยน้อยหน่อย พระเจ้าก็เรียกจากเขาน้อยด้วย



แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น ในพระคัมภีร์บอกเราในข้อที่ 11 ว่าสิ่งสารพัดเหล่านี้ พระวิญญาณองค์เดียวกันทรงบันดาลและประทานแก่แต่ละคนตามชอบพระทัยของพระเจ้า ก็คือในมุมกลับ บางคนพระเจ้าจะให้ไปทำการอิทธิฤทธิ์ ขี้เกียจ ไม่อยากทำ ไม่ชอบอยู่ต่อหน้าคนเยอะๆ ชอบหลบหน้ามากกว่า แต่ถ้าพระเจ้าใช้เราก็หลบไม่ได้ พระเจ้าก็มีวิธีที่จะจัดการกับเรา


ลักษณะเหมือนกับโยนาห์ในพระคัมภีร์

พระเจ้าใช้ให้ไปประกาศที่เมืองนีนะเวห์ เพื่อให้คนกลับใจใหม่ โยนาห์ไม่ชอบ หนีดีกว่า แต่หนีพระเจ้าไม่พ้น ก็ต้องไป ถ้าเรารู้ว่าพระเจ้าให้ของประทานอะไรกับเรา อธิษฐานขอพระคุณให้เรามีสันติสุข มีกำลังที่จะทำได้ แล้วเราก็ทำไป ไม่ต้องใหญ่โตอะไรมากมาย อาจจะของประทานหนุนจิตชูใจคนอื่น แต่ถ้าไม่มีอย่าพยายามไปทำ



เราจะดูว่าเรามีของประทานนี้หรือเปล่า

ก็ดูจากคนรอบข้างที่เราไปหนุนใจ ถ้าพระเจ้าประทาน พอเราไปคุย ไม่ต้องคุยเยอะ แค่ 2 คำ ได้กำลังใจ ขอบคุณพระเจ้า รู้สึกเขารักพระเจ้ามากขึ้น อย่างนี้โอเค ยังสามารถที่จะทำต่อไปได้ แต่ถ้าเราไปหนุนใจคนรอบข้าง แล้วล้มหายตายจากไปเลย รีบหยุดเลย พระเจ้าก็จะบอกเราเองว่าเราควรจะทำอะไร ได้แค่ไหน อย่างไร



เรามาดูลักษณะพระกายของพระเยซูคริสต์ว่าเป็นอย่างไร ตั้งแต่ข้อที่ 12

1 โครินธ์ 12:12-13

“ถึงกายนั้นเป็นกายเดียว ก็ยังมีอวัยวะหลายส่วน และอวัยวะเหล่านั้นแม้จะมีหลายส่วน ก็ยังเป็นกายเดียวกันฉันใด พระคริสต์ก็ทรงเป็นฉันนั้น เพราะว่าถึงเราจะเป็นพวกยิว หรือพวกกรีก เป็นทาสหรือมิใช่ทาสก็ตาม เราทั้งหลายได้รับบัพติศมาโดยพระวิญญาณองค์เดียว เข้าเป็นกายเดียวกัน และพระวิญญาณองค์เดียวนั้นซาบซ่านอยู่”


พระเจ้าเปรียบคริสตจักรเหมือนพระกายของพระเยซูคริสต์ โดยมีพระเยซูเป็นศีรษะของเรา ฉะนั้นร่างกายต้องมีอวัยวะทุกส่วนครบถ้วน จริงไหมคะ สมมติว่าเด็กคนไหนเกิดมาแขนหายไปข้างหนึ่ง ปากแหว่ง จมูกวิ่น หูขาด หรือมีตาเต็มหน้าไปหมดอย่างนี้ เขาเรียกว่าพิการ


พระเจ้าทรงสร้างอวัยวะทุกอย่างเหมาะสมพอดีๆ อวัยวะต่างๆ เหล่านั้นพระเจ้าทรงให้ทำการงาน ที่แตกต่างกัน ตามีไว้ให้มองสิ่งของ อย่าเอาตาไปกินข้าว ปากมีไว้พูดกับทานข้าว จมูกมีไว้หายใจ มือมีไว้หยิบของ ขามีไว้เดิน ถ้าใครมีขาแล้วไม่อยากเดิน อยากนั่งเฉยๆ ไปไหนก็ให้คนเข็นเราไป นานๆ เข้าก็จะเดินไม่ได้ ขาลีบ กลายเป็นพิการ


ดังนั้นอวัยวะแต่ละอย่างที่พระเจ้าให้ไว้ในร่างกายของมนุษย์ ก็เพื่อให้ทำงานตามความเหมาะสม คือแต่ละอย่างจะมีชิ้นงานของตนเอง ที่จะต้องรับผิดชอบ ที่จะต้องทำ แต่ถ้าอวัยวะส่วนไหนอยากจะไปแย่งคนอื่นทำ หรืออวัยวะส่วนไหนวันดีคืนดี โตผิดปกติ หรือไม่ยอมทำงาน ฝ่อลงๆ ร่างกายนั้นก็พิการ

เหมือนกัน ในคริสตจักรของพระเจ้า เราแต่ละคนถูกเรียกมาให้มีงานเฉพาะกิจ คือของประทานที่พระเจ้าประทานให้กับพวกเรา เมื่อเราทุกคนทำหน้าที่ส่วนของเรา โดยไม่ต้องไปมองของคนอื่น ตรงนี้น่าทำ ตรงโน้นก็น่าทำ ขอทำหมดเลยคนเดียว ก็ทำให้ร่างกายเราเสียขบวน


เนื้อที่อยู่ในร่างกายที่โตผิดปกติ เขาเรียกว่าเนื้องอกใช่ไหม

พอมันโตผิดปกติก็ไปเบียดอวัยวะส่วนอื่นของร่างกาย คนอื่นก็ทำงานไม่ได้เบียดๆ เสร็จ ก็ต้องตัดมันทิ้งไป ถ้าในคริสตจักรเราทำงานแก่งแย่งกัน ก็ทำให้งานของพระเจ้าเสียขบวนไป เราต้องรู้ให้ได้ อธิษฐานกับพระเจ้าว่า “พระเจ้า พระองค์ประทานของประทานอะไรให้กับเรา” หรือพระเจ้าให้อยู่เฉยๆ ดูเหมือนไม่มีประโยชน์อะไรเลย แต่พระเจ้าก็ยังอนุญาตให้อยู่ในร่างกายนี้ ก็อยู่เฉยๆ ดีที่สุด แล้วพากันไป ก็จะทำให้ร่างกายอยู่ได้ คริสตจักรก็จะปลอดภัย


คริสตจักรที่มีปัญหาหรือมีความวุ่นวาย ก็เกิดจากแต่ละคนไม่พอใจในสิ่งที่พระเจ้าให้

“ไม่พอใจในของประทานที่พระเจ้าให้ฉัน ทำไมต้องเป็นฉัน ทำไมไม่ให้ฉันมาทำอย่างนี้ ทำไมต้องให้ฉันไปทำโน่น ที่ฉันไม่ชอบเลย” มีปัญหากับพระเจ้าตลอดเวลา เพราะพระเจ้าให้เราทำ แล้วเราไม่อยากทำ ขอพระเจ้าเมตตาเรา อย่ามีปัญหากับพระเจ้าเลย จะเจ็บตัวเปล่าๆ เมื่อพระเจ้าสร้างเราให้มาเป็นมือ ก็จงเป็นมือที่ดี แล้วก็ช่วยกันทำงาน ถ้าพระเจ้าสร้างเราเป็นตับ ไต ไส้ พุง ม้าม อะไรก็ว่าไป เราก็ทำงานของเราเต็มที่ ร่างกายนี้ก็จะไปได้อย่างถูกต้องเหมาะสม แต่เราก็ยังเป็นกายเดียวกัน ต้องจำตรงนี้ให้ได้ ไม่ว่าคนไหนจะเก่งฉกาจฉกรรจ์แค่ไหนก็ตาม ก็หลุดจากกายนี้ไม่ได้ ยังคงอยู่ในร่างกายเดียวกัน แล้วพระคำของพระเจ้าบอกว่าเมื่ออวัยวะส่วนไหนได้รับเกียรติ ทุกส่วนได้รับเกียรติหมดเลย ไปด้วยกัน เป็นขบวน ไม่มีใคร “ข้ามาคนเดียว” ไม่มีใครใหญ่คนเดียว ทุกคนต้องทำงานร่วมกัน พระเจ้าเป็นผู้ได้รับเกียรติยศ ผู้เดียวเท่านั้น นี่คือลักษณะของคริสตจักร แล้วก็ทำให้เรามีสันติสุขในการอยู่ร่วมกัน



1 โครินธ์ 12:14-18

“เพราะว่าร่างกายมิได้ประกอบด้วยอวัยวะเดียว แต่ด้วยหลายอวัยวะ ถ้าเท้าจะพูดว่า "เพราะข้าพเจ้ามิได้เป็นมือ ข้าพเจ้าจึงไม่ได้เป็นอวัยวะของร่างกายนั้น" เท้าจะไม่เป็นอวัยวะของร่างกายเพราะเหตุนั้นก็หามิได้ ถ้าหูจะพูดว่า "เพราะข้าพเจ้ามิได้เป็นตา ข้าพเจ้าจึงมิได้เป็นอวัยวะของร่างกายนั้น" การพูดเช่นนั้นจะทำให้หูไม่เป็นอวัยวะของร่างกายก็หามิได้ ถ้าอวัยวะทั้งหมดในร่างกายเป็นตา การได้ยินจะอยู่ที่ไหน ถ้าทั้งร่างกายเป็นหู การดมกลิ่นจะอยู่ที่ไหน แต่พระเจ้าได้ทรงตั้งอวัยวะไว้ในร่างกาย ตามชอบพระทัยของพระองค์”


อีกครั้งหนึ่งนะคะ “ตามชอบพระทัยของพระองค์”

1 โครินธ์ 12:19-26

“ถ้าอวัยวะทั้งหมดเป็นอวัยวะเดียว ร่างกายจะมีที่ไหน ความจริงมีอวัยวะหลายอย่าง แต่ก็ยังเป็นร่างกายเดียวกัน และตาจะว่าแก่มือว่า "ข้าพเจ้าไม่ต้องการเจ้า" ก็ไม่ได้ หรือศีรษะจะว่าแก่เท้าว่า "ข้าพเจ้าไม่ต้องการเจ้า" ก็ไม่ได้ ที่จริงอวัยวะที่เราเห็นว่าอ่อนแอ เราก็ขาดเสียไม่ได้ และอวัยวะที่เราถือว่ามีเกียรติน้อย เราก็ยังทำให้มีเกียรติยิ่งขึ้น และอวัยวะที่ไม่น่าดูนั้น เราก็ทำให้น่าดูยิ่งขึ้น เพราะว่าอวัยวะที่น่าดูแล้ว ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องตกแต่งอีก แต่พระเจ้าได้ทรงให้อวัยวะของร่างกายเสมอภาคกัน ทรงให้อวัยวะที่ต่ำต้อยเป็นที่นับถือมากขึ้น เพื่อไม่ให้มีการแก่งแย่งกันในร่างกาย แต่ให้อวัยวะทุกส่วนพะวงซึ่งกันและกัน ถ้าอวัยวะอันหนึ่งเจ็บ อวัยวะทั้งหมดก็พลอยเจ็บด้วย ถ้าอวัยวะอันหนึ่งได้รับเกียรติ อวัยวะทั้งหมดก็พลอยชื่นชมยินดีด้วย”


พะวงซึ่งกันและกัน ห่วงใยซึ่งกันและกัน

อย่างที่บอก ถ้าร่างกายมีแต่ลูกตา มันก็จะผิดปกติ หรือเป็นอวัยวะที่ไม่ได้อยู่ในพระกายของพระคริสต์ ก็จะกลายเป็นชิ้นส่วนของอวัยวะที่กระจัดกระจายไป แล้วไม่สามารถทำการงานอะไรให้เกิดผลได้เลย


แล้วในพระคัมภีร์ตรงนี้บอกว่าอวัยวะที่สวยอยู่แล้ว ไม่ต้องตกแต่งเยอะ ก็จะดูเหมือนไม่มีใครต้องไปใส่ใจอะไรมากมาย แต่อวัยวะที่ไม่สวยหรือยังอ่อนแออยู่ เราก็ไปช่วยประคบประหงมให้ดีขึ้น


นี่คือลักษณะการทำงานของคริสตจักร

พี่น้องสังเกตดีๆ นะคะ ถ้าท่านอยู่ดีมีสุข ศิษยาภิบาลก็จะไม่ไปยุ่งกับท่าน แต่ถ้าเมื่อไหร่ท่านอ่อนแอ ท่านมีปัญหาเจ็บป่วย ศิษยาภิบาลก็จะไปช่วยดูแลท่าน นี่คือลักษณะการพะวงซึ่งกันและกัน


ต้องมีถ้อยคำของพระเจ้ารองรับ

อีกอย่างหนึ่งศิยาภิบาลไม่ได้มีหน้าที่ไปยุ่งกับท่านทุกเรื่อง หรือไปแบกรับภาระของท่านทุกเรื่อง แต่ว่าสามารถที่จะแบ่งเบาภาระให้กับพี่น้องได้ สามารถที่จะแนะแนวทางในการดำเนินชีวิตให้กับพวกเราได้ว่า ตอนนี้เราไปถึงไหน อย่างไร เราควรจะปรับตรงไหน เพื่อว่าชีวิตของเรา จะได้สามารถรับพระพรจากพระเจ้ามากขึ้น ผ่านทางถ้อยคำของพระองค์ ไม่ใช่ความคิดของศิษยาภิบาลเอง ถ้าความคิดของศิษยาภิบาลใส่ให้ท่านก็จะรวน เพราะว่ามนุษย์ก็คือมนุษย์ เราจะเอาความคิดของเราไปใส่ให้คนอื่นไม่ได้ ต้องมีถ้อยคำของพระเจ้ารองรับ แล้วเราก็นำไปประพฤติปฏิบัติ เราก็จะได้กำลังซึ่งมาจากพระเจ้า อาจจะปฏิบัติแล้วยังไม่เห็นผลที่เราพอใจ ก็ไม่เป็นไร ถ้าเราได้ดำเนินตามที่พระเจ้าสอนไว้ ก็เอเมน ขอบคุณพระเจ้า


ขอถามหน่อยได้ไหมครับ อยากรู้จริงๆ ว่าทำไมแม่จึงสามารถขอบคุณพระเจ้าได้ตลอดเวลา

ในหนังเรื่องหนึ่ง ก็มีครอบครัวหนึ่ง เป็นครอบครัวคริสเตียน เชื่อพระเจ้ามานานมาก แล้วลูกบ้านนี้ก็มองชีวิตของคุณพ่อคุณแม่มาตลอด คุณพ่อเขาไม่ได้พูดถึง แต่เขาเน้นคุณแม่เป็นพิเศษ ว่าทำไมคุณแม่ถึงมีชีวิตที่ดีนัก เวลามีปัญหา เจออะไรก็ไม่เห็นบ่นว่าพระเจ้าสักที เจอปัญหาก็ “ขอบคุณพระเจ้า” เจออะไรก็ “ขอบคุณพระเจ้า” หมด จนวันหนึ่งทนไม่ไหว ลูกก็เข้าไปถามคุณแม่ เพราะข้องใจมาหลายปี “แม่ๆ ขอถามหน่อยได้ไหมครับ อยากรู้จริงๆ ว่าทำไมแม่จึงสามารถขอบคุณพระเจ้าได้ตลอดเวลา ไม่บ่นพระเจ้าเลยสักครั้งหนึ่ง” แม่ก็ตอบว่า “อ้าว! ทำไมเราต้องบ่น ต้องถามพระเจ้าเวลาเรามีปัญหาว่า “ทำไมต้องเป็นฉัน” เวลาเรามีพระพร ตอนมีความสุข ตอนพระเจ้าอวยพรเราเยอะๆ ทำไมเราไม่ถามพระเจ้าล่ะ “พระเจ้าทำไมต้องเป็นลูกที่มีสุขภาพแข็งแรง พระเจ้าทำไมต้องเป็นลูกที่มีครอบครัวดีๆ ไม่เคยมีคำถามใช่ไหม ฉะนั้น ถ้าเจอปัญหาก็ไม่ต้องถามพระเจ้าเช่นกันว่า “ทำไม”


นี่คือเหตุผลทำไมคุณแม่ถึงไม่พูดต่อว่าพระเจ้า

แม่บอกว่า “ถ้าลูกอยากจะบ่นต่อว่าพระเจ้าเมื่อไหร่ ก็คือเวลาพระเจ้าอวยพรก็บ่นด้วย ถามพระเจ้าด้วยว่า “ทำไม” ถ้าสามารถทำตรงนั้นได้ ก็บ่นได้เลย” แต่ไม่มีใครสามารถทำตรงนั้นได้ใช่ไหม พอพระเจ้าอวยพร “ขอบคุณพระเจ้า ดีใจจังเลย เงินเดือนขึ้น เอเมน ขอบคุณพระเจ้า สุขภาพดี เอเมน ขอบคุณพระเจ้า” อะไรดีๆ เข้ามา “ขอบคุณพระเจ้า” ยังไม่เคยมีปรากฏการณ์ที่ว่าใครได้รับพระพรเยอะๆ แล้วก็ถามพระเจ้าว่า “ทำไม” “ทำไมพระเจ้าต้องอวยพรเยอะอย่างนี้ เบื่อแล้วนะ ไม่เอา ไม่อยากได้รับพระพรแล้ว” ไม่มีแน่นอน ทุกคนอยากได้พระพร แต่ว่าในขณะเดียวกัน เราต้องยอมรับความจริงในชีวิต ว่าเราไม่สามารถที่จะรับพระพรตลอด แล้วพระเจ้าไม่ให้เราตลอดด้วย เพราะเราจะเสียคน พระเจ้าก็จะสอนเราลักษณะอย่างนี้แหละ มีพระพรมาให้บ้าง เพื่อให้เรารู้สึกว่า “ขอบคุณพระเจ้า ค่อยยังชั่ว” มีการสอนเข้ามา มีความทุกข์ยากลำบากเข้ามา เพื่อเราจะได้พึ่งพระเจ้ามากขึ้น นี่คือสิ่งที่ชีวิตคริสเตียนจะเจอตลอด ไม่มีข้อแม้


ฉะนั้นขอพระคุณพระเจ้าช่วยเหลือเรา ที่เราจะสามารถขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณี ไม่ว่าเราจะเจอสิ่งดีหรือไม่ดีก็ตาม เพราะเรารู้ว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วยกับเรา พระเจ้าไม่ทิ้งเรา พระเจ้าจะพาเราไปถึงจุดหมายปลายทางแน่นอน


ในร่างกายของพระเจ้าเช่นเดียวกัน อวัยวะต่างๆ ต้องร่วมกันทำงาน ไปด้วยกัน โดยมีพระเยซูคริสต์ทรงเป็นศีรษะ มีข้อต่อที่เกี่ยวเราให้ติดสนิทร่วมกัน ไม่หลุดไป โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า มีสาเหตุที่ทำให้เราหลุดจากข้อต่อได้เยอะ อย่างเช่น “ไม่ชอบหน้าคนนี้เลย ชอบขัดใจเรา ชอบมาเตือนเรา” ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นสิ่งดี เราจะได้แก้ไข ถ้าเราทำอะไรที่ไม่ถูกต้อง แล้วมีคนมาเตือน เราก็ขอบคุณพระเจ้าอย่างน้อยยังมีคนรัก คอยบอกและคอยเตือนสอนเรา


มีแต่ลูกไม่มีพ่อเท่านั้นที่ถูกทิ้งขว้าง ไม่มีใครใส่ใจ

อยากเป็นอะไรก็เป็น อยากทำอะไรก็ทำ อยากจะชั่วก็ชั่วไปเลย ไม่มีใครว่าอะไร แต่ว่าเมื่อไหร่ที่เรายังเป็นลูกมีพ่อ หรือยังเป็นคนของพระเจ้าที่พระเจ้าดูแลอยู่ พระเจ้าก็จะจัดการกับเราอย่างนี้ตลอด จะมีไม้เรียวของพระเจ้า ผ่านทางผู้คนของพระองค์มาคอยตี ตอนเจอเราก็จะเจ็บ แต่ถ้าเจ็บอย่างชอบพระทัยพระเจ้า ก็จะแก้ไข รู้ว่าเจ็บนะ แล้วไปตรึกตรอง ไปพินิจพิจารณา “เราเป็นอย่างนี้จริงๆ” แต่ตอนที่เขาว่า เราเสียหน้ามากเลย เรายอมไม่ได้หรอก เรากลับไปคิดอีกสัก 3 ตลบสุดท้ายก็ไปขอโทษพระเจ้า แล้วก็กลับใจใหม่


นี่แหละคือลักษณะการจัดการของพระเจ้า เราแต่ละคนต้องอยู่และถูไถอย่างนี้ จนกว่าเราจะตายจากกันไปทีละคน

ใครไปก่อนไปหลังไม่รู้ ถ้าตราบใดที่เรายังอยู่ในครอบครัวของพระเจ้า จะหนีไปสุดขอบฟ้าก็ไม่พ้น แต่ถ้าไม่เจอกัน ก็ต้องมีเครื่องหมายคำถามว่า “ใครอยู่ตรงไหน” เราอาจจะไม่เจอเพื่อนคนหนึ่ง เพราะว่าเพื่อนเขาไปอยู่สวรรค์ แต่เราไปอยู่นรก ไม่เจอแน่นอน แต่ถ้าเราเป็นของพระเจ้าจริงๆ ยังไงเราต้องไปเจอกันบนสวรรค์ เพราะนั่นคือพระสัญญาของพระเจ้า ขอพระคุณพระเจ้าช่วยเหลือเรา ที่เราจะสามารถมีชีวิตที่อยู่ในน้ำพระทัยของพระองค์ ทำน้ำพระทัยของพระเจ้าให้สำเร็จ ค่อยๆ ทีละขั้นทีละตอน อาจจะไม่ได้หรูหราอย่างที่เราคิด แต่พระเจ้าจะช่วยเรา ถ้าเราทำส่วนของเราเต็มที่ พระกายของพระคริสต์ก็จะเจริญเติบโตขึ้น


1 โครินธ์ 12:27-31

“ฝ่ายท่านทั้งหลายเป็นกายของพระคริสต์ และต่างก็เป็นอวัยวะของพระกายนั้น และพระเจ้าได้ทรงโปรดตั้งบางคนไว้ในคริสตจักร คือหนึ่งอัครทูต สองผู้เผยพระวจนะ สามครูบาอาจารย์ แล้วต่อจากนั้นก็มีผู้กระทำการอันเป็นอิทธิฤทธิ์ ผู้รักษาโรค ผู้อุปการะ ผู้ครอบครอง และผู้รู้ภาษาแปลกๆ ทุกคนเป็นอัครทูตหรือทุกคนเป็นผู้เผยพระวจนะหรือ! (นี่เป็นประโยคคำถาม) ทุกคนเป็นครูบาอาจารย์หรือ! ทุกคนกระทำการอันเป็นอิทธิฤทธิ์หรือ! ทุกคนได้รับของประทานให้รักษาโรคหรือ! ทุกคนพูดภาษาแปลกๆ หรือ! ทุกคนแปลได้หรือ! แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาของประทานอันใหญ่ยิ่งกว่านั้น และข้าพเจ้าจะแสดงทางดีที่สุดแก่ท่านทั้งหลาย”


“แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาของประทานอันใหญ่ยิ่งกว่านั้น” ตามที่ใน 1 โครินธ์ บทที่ 13 คือของประทานแห่งความรัก


อย่าโตเร็วจนไปเบียดคนอื่น หรืออย่าฝ่อจนต้องให้คนอื่นมาดึง

ฉะนั้น ไม่ใช่ทุกคนที่พระเจ้าจะเรียก มายืนอยู่ตรงจุดที่คนจะเห็นหน้าเห็นตาเป็นจุดเด่น แต่ว่าทั้งนี้และทั้งนั้น ไม่ว่าพระเจ้าจะเรียกเราไปยืนอยู่จุดไหน ขอพระคุณพระเจ้าช่วยเรา ให้เราเต็มอกเต็มใจที่จะยืนอยู่ตรงนั้น แล้วก็เป็นสมาชิกที่ดีในร่างกาย ช่วยกันคนละไม้คนละมือ อย่าโตเร็วจนไปเบียดคนอื่น หรืออย่าฝ่อจนต้องให้คนอื่นมาดึงๆ ทึ้งๆ ให้ทุกอย่างไปอย่างสวยงาม ตามที่พระเจ้าได้จัดเตรียมไว้


เราเปิดไปที่เอเฟซัส 4:11 พูดถึงของประทานเหมือนกัน

เอเฟซัส 4:11-13

“ของประทานของพระองค์ ก็คือให้บางคนเป็นอัครทูต บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ บางคนเป็นผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ บางคนเป็นศิษยาภิบาลและอาจารย์ เพื่อเตรียมธรรมิกชน ให้เป็นคนที่จะรับใช้ เพื่อเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์ให้จำเริญขึ้น จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อ และในความรู้กึงพระบุตรของพระเจ้า จนกว่าจะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ คือเต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์”


เรื่องของพระเยซูคริสต์ เราต้องมีความรู้แบบชัดเจน แจ่มแจ้ง

ของประทานต่างๆ เหล่านี้ มีไว้เพื่อเตรียมธรรมิกชน คือผู้เชื่อ เพื่อที่จะปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าร่วมกัน เพื่อพระกายของพระเยซูคริสต์จะได้จำเริญขึ้น เมื่อเราทุกคนโตเต็มที่ เต็มความไพบูลย์ของพระเจ้า คือไม่มีใครไปเบียดเบียนใคร ไม่ต้องคอยให้ใครมาดึงมาทึ้ง ร่างกายของพระเจ้าก็จำเริญขึ้น จนกว่าเราทุกคน จะบรรลุถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อ เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงกระทำเพื่อเราบนไม้กางเขน ในการรู้เรื่องราวของพระเจ้า เรื่องของพระเยซูคริสต์ เราต้องมีความรู้แบบชัดเจน แจ่มแจ้ง เพราะในยุคสุดท้ายนี้จะมีเรื่องราวเยอะแยะมากมาย ที่มาเนียนๆ ฟังดูแล้วเหมือนเป็นของพระเจ้า แต่ไม่ใช่ ถ้าเราไม่ชัดเจนเรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ว่าเป็นอย่างไร โอกาสที่เราจะหลงไปทางนั้น ก็มีนะคะ


นี่คือลักษณะของผู้ใหญ่

ฉะนั้นเราต้องมีความรู้ในเรื่องของพระบุตรของพระเจ้า จนกว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ เวลาเราเป็นผู้ใหญ่ก็มีความรับผิดชอบ มีการงานที่จะต้องดูแล ผู้ใหญ่ก็จะเป็นคนหนักแน่นมั่นคง รู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดีว่าอะไรใช่อะไรไม่ใช่ เป็นคนที่สามารถตัดสินใจอย่างฉับพลัน ในวิกฤตการณ์ที่มาทันที โดยที่เราสามารถบอกเลยว่าจะซ้ายหรือขวา นี่คือลักษณะของผู้ใหญ่ ถ้าชีวิตส่วนตัวเราไม่ได้ให้ถ้อยคำของพระเจ้าเข้ามา เป็นบรรทัดฐานในการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน พอถึงวาระวิกฤตจริงๆ เราอาจจะไม่สามารถใช้ออกมาได้ เราก็จะใช้ความคิดของเราเอง หรือพฤติกรรมของเราเองออกมา เรื่องมันก็จะออกมาแบบถูลู่ถูกัง มันไม่ได้เป็นไปอย่างที่พระเจ้าต้องการ


เอเฟซัส 4:14

“เพื่อเราจะไม่เป็นเด็กอีกต่อไป ถูกซัดไปซัดมาและหันไปเหมาด้วยลมปากแห่งคำสั่งสอนทุกอย่าง และด้วยเล่ห์กลของมนุษย์ ตามอุบายฉลาดอันเป็นการล่อลวง”


ไม่ใช่ทุกคำสอนที่เราจะรับมาหมด คำสอนทุกครั้งที่พี่น้องได้ฟัง กลับไปอ่านถ้อยคำ แล้วก็ทบทวนว่าสิ่งนี้ใช่ไหม

ผู้รับใช้ทุกคนที่สอนพี่น้อง ต้องมีบรรทัดฐานที่ถูกต้อง คืออยู่ในพื้นฐานของถ้อยคำของพระเจ้า ถ้าเมื่อไหร่ที่สอนเกินจากนั้น มันไม่ใช่ มันคือความต้องการของเราเอง หรืออะไรก็แล้วแต่ ฉะนั้นสมาชิกทุกคนมีสิทธิ์ที่ฟังแล้วเก็บเอาไปใคร่ครวญ แล้วก็อธิษฐานกับพระเจ้า แล้วให้ถ้อยคำเหล่านั้น บทเรียนเหล่านั้นสอนใจเรา ทำให้เราเจริญเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ สามารถที่จะรับสถานการณ์รอบข้างได้ เพื่อเราจะได้ไม่เป็นเด็ก เวลาเราฟังถ้อยคำเยอะๆ เราจะเริ่มโตขึ้น ในพระคัมภีร์บอกเราอย่างนี้นะคะ ได้กินถ้อยคำ แล้วโตขึ้น ความคิดเราโตขึ้น การกระทำเราโตขึ้น คำพูดเราโตขึ้น เราไม่ใช่เหมือนเด็ก เวลาไม่ชอบใจ ก็ไม่คุยด้วยแล้ว อะไรอย่างนี้ ไม่ใช่นะคะ แต่เด็กจริงๆ น่ารักกว่าผู้ใหญ่ เด็กงอน แป๊บเดียว ไม่ถึง 5 นาที เขาดีกันแล้ว เห็นทะเลาะกันอยู่ แป๊บเดียว ดีกันแล้ว ฉะนั้นเวลาเด็กทะเลาะกัน ผู้ใหญ่อย่าเข้าไปยุ่ง ปล่อยเขา มันเป็นธรรมชาติของเด็ก ทะเลาะกัน ตีกัน เดี๋ยวเขาก็ดีกัน ถ้าผู้ใหญ่เข้าไปยุ่ง จะกลายเป็นผู้ใหญ่ตีกันเอง “ลูกฉัน” “ลูกเธอ” ก็มีเรื่องกัน


เราต้องสอนเขาด้วยหลักคำสอนที่เป็นของพระเจ้า ให้เขาสามารถแยกแยะผิดชอบชั่วดี

เวลาเราโตขึ้น เราก็ไม่มีนิสัยที่เอาแต่ใจตัวเอง พี่น้องลองคิดดูว่าถ้าบ้านไหนมีคุณพ่อคุณแม่ที่เอาแต่ใจตัวเอง “ฉันใหญ่ที่สุดในบ้าน ฉันต้องมีสิทธิ์ขาดที่จะตัดสินใจทุกเรื่อง เธอต้องตามฉันอย่างเดียว ฉันจะซ้าย เธอต้องซ้าย ฉันจะขวา เธอต้องขวา” ลูกบ้านนั้นก็น่าสงสาร ฉะนั้นพ่อแม่ที่โตเต็มที่ ก็จะเรียนรู้ว่าลูกคนนี้เป็นอย่างไร เราควรจะจัดการกับเขาอย่างไร จัดการด้วยความรักซึ่งมาจากพระเจ้า เวลาเราสอน เราตี เขาจะรู้ว่าเรารักเขา ไม่ใช่วันไหนอารมณ์ไม่ดี ก็เอากระบวยตีหัว วันไหนอารมณ์ดี ทำผิดมหันต์ ก็ “ลูกรัก ไม่เป็นไร” ไม่ใช่ ถ้าวันนี้มีพ่อแม่คนไหนอยู่ในลักษณะแบบนี้ ให้กลับใจใหม่ เราต้องสอนเขาด้วยหลักคำสอนที่เป็นของพระเจ้า ให้เขาสามารถแยกแยะผิดชอบชั่วดี เด็กๆ จริงๆ เขาสามารถเรียนรู้ได้ ซึมซับสิ่งดีๆ ได้ ถ้าเราไม่สอนเขาตอนเด็ก เมื่อไหร่เราจะสอน แล้วเด็กถ้าเขาไม่ได้ซึมสิ่งดี ท่านคิดหรือว่าโตขึ้นเขาจะสามารถซึมสิ่งดีได้ แล้วคนที่จะเจ็บใจที่สุดก็คือพ่อแม่ น้ำตาเช็ดหัวเข่า เพราะเดี๋ยวนี้เขาโตจนเราเตะเขาก็ไม่ได้แล้ว ไล่ตีเขา เราก็หมดแรงแล้ว แล้วเขาก็ไม่สามารถได้ดังใจเราด้วย


นี่คือหลักการง่ายๆ ในชีวิตครอบครัว

เราต้องพึ่งพระคุณพระเจ้า สอนเขาด้วยถ้อยคำพระเจ้า คอยดูแลห่วงใย ให้เขารู้ว่าเรารักเขา เวลาที่เขาจะไปทำอะไรที่ไม่ดี เขาก็จะคิดถึงเรา และไม่กล้าทำ นี่คือหลักการง่ายๆ ในชีวิตครอบครัว เพื่อว่าครอบครัวดีคริสตจักรก็จะดี คริสตจักรดีสังคมก็จะดี สังคมดีประเทศก็จะดี ทุกอย่างมันจะเป็นผลกระทบไปหมด เราไม่สามารถคาดหวังให้ประเทศดีได้ ถ้าจุดเริ่มต้นไม่ดี มันเป็นไปไม่ได้ แล้วเราคาดหวังให้คริสตจักรดี โดยที่เราไม่ช่วยกันในครอบครัว ก็เป็นไปไม่ได้อีก บ้านมีปัญหา เขาก็ต้องนำปัญหามาที่โบสถ์พันกันหมดเลย


ฉะนั้นให้พวกเราทุกคนช่วยกันคนละไม้คนละมือ ต่างคนต่างทำคนละนิด มันก็ไม่เหนื่อย

เอเฟซัส 4:15-16

“แต่ให้เรายึดความจริงด้วยใจรัก เพื่อจะจำเริญขึ้นทุกอย่างสู่พระองค์ผู้เป็นศีรษะ คือพระคริสต์ คือเนื่องจากพระองค์นั้น ร่างกายทั้งสิ้นที่ติดต่อสนิทและประสานกัน โดยทุกๆ ข้อต่อที่ทรงประทาน ได้จำเริญเติบโตขึ้นด้วยความรัก เมื่ออวัยวะทุกอย่างทำงานตามความเหมาะสมแล้ว”




ก็คือยึดความจริงด้วยใจรัก ความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า ไม่ใช่ความจริงในความคิดของเรา

ยึดความจริงด้วยใจรักและต้องการจะกระทำ เวลาเราทำอะไรให้ใครสักอย่างหนึ่ง ด้วยความรัก คนจะสัมผัสได้ กับทำด้วยมีเจตนาอย่างอื่นแอบแฝง คนก็จะสัมผัสได้เหมือนกัน ฉะนั้นให้เรายึดความจริงของพระเจ้า และกระทำตัวของเราเองให้เจริญเติบโตขึ้น โดยมีพระเยซูคริสต์ทรงเป็นศีรษะของเรา



พี่น้องอย่าพุ่งความสนใจมาที่ศิษยาภิบาล ถ้าพี่น้องพุ่งเป้าผิด ชีวิตท่านรวนแน่นอน เพราะว่าไม่มีใครสามารถช่วยท่านได้ นอกจากพระเจ้าผู้เดียว


เมื่อเรามีใจพุ่งไปที่พระเจ้าเมื่อไหร่ ผลมันจะเกิดออกมาโดยอัตโนมัติ โดยที่เราก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอย่างไร แต่ถ้อยคำพระเจ้าบอกอย่างนั้น “เมื่อท่านติดสนิทกับเรา แล้วถ้อยคำของเราฝังอยู่ในท่านแล้ว ไม่ว่าท่านทูลขอสิ่งใด ท่านก็จะได้รับสิ่งนั้น ตามที่ท่านปรารถนา” เมื่อเราติดกับพระเจ้า เราคงไม่ไปคิดขอพระเจ้าว่า “พระเจ้าช่วยไปตีหัวคนนั้นที ดูแล้วมันรำคาญใจ” เราคงไม่เป็นอย่างนั้น ถ้าใครทำได้ก็คงแปลก ถ้าเราติดสนิทกับพระเจ้ามากเท่าไหร่ บุคลิกลักษณะของพระเจ้า จะถูกซึมเข้ามาในชีวิตของเรามากเท่านั้น ความคิดความอ่านแบบเป็นของพระเจ้า ก็จะมีมากขึ้นในชีวิตของเรา เมื่อมันเป็นอย่างนั้น ทุกข้อต่อทำงานตามความเหมาะสมแล้ว ร่างกายนี้ ที่พระเจ้าประทานให้ก็จะจำเริญขึ้น ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ แข็งแรงสุขสบายดี เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ







พูดถึงเรื่องของประทาน คนบางคนมี คนบางคนไม่มี แต่ส่วนที่ต้องมีทุกคนก็คือความรัก เพราะฉะนั้นทุกคนสามารถเป็นผู้รับใช้ คือรับใช้โดยของประทานที่มีอยู่ในตัวแน่นอนเลย ไม่ต้องไปหาที่ไหน ไม่ต้องไปถามใครว่าเรามีของประทานอะไร เพราะเรามีของประทานแห่งความรักทุกคน ตามที่พระคัมภีร์บอก และทำยากที่สุดเลย รับใช้ยากที่สุด


ในนี้บอกว่าอย่างไร ใน 1 โครินธ์ บทที่ 12 ข้อ 29-30 ถึงสุดท้ายเลยบอกว่า


1 โครินธ์ 12:29-30

“ทุกคนเป็นอัครทูตหรือทุกคนเป็นผู้เผยพระวจนะหรือ! (นี่เป็นประโยคคำถาม) ทุกคนเป็นครูบาอาจารย์หรือ! ทุกคนกระทำการอันเป็นอิทธิฤทธิ์หรือ! ทุกคนได้รับของประทานให้รักษาโรคหรือ! ทุกคนพูดภาษาแปลกๆ หรือ! ทุกคนแปลได้หรือ!”


พูดง่ายๆ ว่าไม่ใช่ทุกคน บางคนที่ได้ น้อยคนด้วย แล้วได้พวกนี้แล้ว ทำไม่ยาก

1 โครินธ์ 12:31

“แต่ท่านทั้งหลาย จงแสวงหาของประทานอันใหญ่ยิ่งกว่านั้น และข้าพเจ้าจะแสดงทางดีที่สุดแก่ท่านทั้งหลาย”


อาจารย์เปาโลก็บอกว่า มีของประทานอีกอันหนึ่งที่ใหญ่กว่านั้นอีก แล้วจะบอกให้ว่าของประทานนั้นคืออะไร ก็เริ่มพูดในข้อต่อมา คือ 1 โครินธ์ บทที่ 13 บอกว่า.-

1 โครินธ์ 13:1-3

“แม้ข้าพเจ้าพูดภาษาแปลกๆได้ เป็นภาษามนุษย์ก็ดี เป็นภาษาทูตสวรรค์ก็ดี แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าเป็นเหมือนฆ้องหรือฉาบที่กำลังส่งเสียง แม้ข้าพเจ้าจะเผยพระวจนะได้ และเข้าใจในความล้ำลึกทั้งปวงและมีความรู้ทั้งสิ้น และมีความเชื่อมากยิ่งที่สุดพอจะยกภูเขาไปได้ แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็ไม่มีค่าอะไรเลย แม้ข้าพเจ้าจะสละของสารพัด หรือยอมให้เอาตัวข้าพเจ้าไปเผาไฟเสีย แต่ไม่มีความรัก จะหาเป็นประโยชน์แก่ข้าพเจ้าไม่”


พูดง่ายๆ สิ่งสำคัญที่สุดคือความรักนั่นเอง คำว่า “ความรัก” ของประทานอันนี้ใช้อย่างไร ดูใน 1 โครินธ์ 13:4-13

1 โครินธ์ 13:4-13

“ความรักนั้นก็อดทนนานและกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด แต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ ความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ และทนต่อทุกอย่าง ความรักไม่มีวันสูญสิ้น แม้การเผยพระวจนะก็จะเสื่อมสูญไป แม้การพูดภาษาแปลกๆ นั้น ก็จะมีเวลาเลิกกัน แม้วิชาความรู้ก็จะเสื่อมสูญไป เพราะความรู้ของเรานั้นไม่สมบูรณ์ และการเผยพระวจนะนั้นก็ไม่สมบูรณ์ แต่เมื่อความสมบูรณ์มาถึงแล้ว ความบกพร่องนั้นก็จะสูญไป เมื่อข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก ข้าพเจ้าพูดอย่างเด็ก คิดอย่างเด็ก ใคร่ครวญหาเหตุผลอย่างเด็ก แต่เมื่อข้าพเจ้าเป็นผู้ใหญ่ ข้าพเจ้าก็เลิกอาการเด็กเสีย เพราะว่าบัดนี้เราเห็นสลัวๆ เหมือนดูในกระจก แต่เวลานั้นจะได้เห็นพระพักตร์ชัดเจน เดี๋ยวนี้ความรู้ของข้าพเจ้าไม่สมบูรณ์ เวลานั้นข้าพเจ้าจะรู้แจ้งเหมือนพระองค์ทรงรู้จักข้าพเจ้า ดังนั้นยังตั้งอยู่สามสิ่ง คือความเชื่อ ความหวังใจและความรัก แต่ความรักใหญ่ที่สุด”



ของประทานการทำอัศจรรย์ การเผยพระวจนะ หรืออะไรอื่นๆ ซึ่งนอกเหนือจากความรักแล้ว เมื่อเราไปอยู่ในสวรรค์ ซึ่งอยู่นิรันดร์กาล ถึงเวลานั้นไม่ต้องใช้แล้ว แต่สิ่งที่ต้องใช้อยู่ ตอนที่เราไปอยู่ในสวรรค์แล้ว ก็คือของประทานแห่งความรักนั่นเอง



เพราะฉะนั้นอาจารย์เปาโลจึงบอกทางที่ดีที่สุดให้กับเรา ให้เราหมั่นฝึกฝน หมั่นแสวงหาของประทานอันนี้

หมั่นใช้ของประทานนี้ออกมา เพื่อรับใช้พระเจ้า ถวายเกียรติแด่พระเจ้า ทุกคนทำได้หมด แต่ทำได้ขนาดไหนเท่านั้นเอง ถ้าพระคัมภีร์บอกอย่างนี้ ทุกคนมีทางที่จะสามารถปรับปรุงตัวเองได้ จะยอมปรับปรุงตัวเองไหม จะหันมา เพื่อที่จะพัฒนาของประทานตรงนี้ไหม อย่างเช่นที่บอกว่า “ความรักก็อดทนนาน” นานไหม หรืออย่างนี้อดทนไม่ได้แล้ว ความอดทนฝึกฝนได้ “และกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่คิดเห็นแต่ตนเองอย่างเดียว ไม่ฉุนเฉียว” นี่ชัดเจนเลย อยู่ในชีวิตของพวกเราทุกคนเป็นประจำวันเลย ที่จะสามารถพัฒนาความรักนี้ได้ ตั้งแต่เดินออกไปจากคริสตจักร ก็สามารถพัฒนาความรักนี้ได้แล้ว
ส่วนใหญ่เราจะรู้ พระคัมภีร์บอก เรามีฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า คือของประทานแห่งความรักที่อยู่ในตัว หมั่นฝึกฝน ไม่ได้มาก ได้น้อยก็ยังดี ได้พัฒนาตัวเอง ยิ่งอายุมากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มเจริญเติบโตฝ่ายวิญญาณมากขึ้นเรื่อยๆ ความรักก็จะมีมากขึ้นเรื่อยๆ ความอดทนก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ ความเข้าใจที่จะอภัยให้คนอื่นได้ ก็จะต้องมีมากขึ้นด้วย ไม่ใช่เชื่อพระเจ้ามาตั้งนานแล้ว ก็ยังอดทนได้แค่นี้เหมือนเดิม เห็นแก่ตัวอยู่เหมือนเดิม อย่างนี้เป็นต้น


เพราะฉะนั้นก็ฝากไว้ตรงนี้ ว่าของประทานที่ทุกคนมีแน่นอนเลย ไม่ต้องไปพยายามดูอันอื่นเลย ถ้าเรามีของประทานอื่นจริงๆ ไม่ต้องห่วง พระเจ้านำพาเราได้ แต่พระเจ้าบอกเราเดี๋ยวนี้แล้วว่า เรามีของประทานแห่งความรัก

หมั่นฝึกฝน หมั่นเอาใจใส่ และใช้ของประทานความรักนี้ จนกระทั่งถึงวันสุดท้ายที่เราจะอยู่บนโลกใบนี้ ในพระคัมภีร์นี้บอก ความรักไม่มีสูญสิ้น ความรักยิ่งใหญ่ที่สุด วันหนึ่งเราก็ต้องใช้ความรักนี้ในสวรรค์สถาน วันนั้นไม่จำเป็นต้องพูดภาษาแปลกๆ แล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้ความเชื่อแล้ว ไม่ต้องมีความหวังแล้ว เพราะเราเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้าแล้ว แต่ข้างบนนั้นเขาอยู่ด้วยกันด้วยความรัก เราต้องพัฒนาตั้งแต่เดี๋ยวนี้

ให้จิตใจเต็มไปด้วยความรัก เต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี เต็มไปด้วยความหวังใจในความประพฤติของเรา ข้อแตกต่างกันของคนที่มีพระเจ้าและไม่มีพระเจ้า ก็คือข้อนี้แหละ คือมีความรักที่สำแดงในชีวิตประจำวันของเรา


ความรักนั้นก็อดทนนาน และกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด แต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ ความรักทนได้ทุกอย่าง แม้ความผิดของคนอื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ และทนต่อทุกอย่าง ความรักไม่มีวันสูญสิ้น เอเมน” ขอพระเจ้าอวยพรครับ

My Blog

  • วินัยของน้องหมา (ข้างถนน) - วันที่ 18/8/2011 เช้านี้ขณะที่รถติดไฟแดงอยู่บริเวณสี่แยกสามย่าน ซึ่งเบื้องหน้าเป็นจามจุรีสแควร์นั้น พลันก็เหลือบเห็นน้องหมาตัวหนึ่งเดินข้ามทางม้าลายด้วยอ...
    12 ปีที่ผ่านมา
  • บทความคริสเตียน - บทความคริสเตียน http://www.gracezone.org/index.php/christian-articles บทความทางด้านจิตวิญญาณ หลักข้อเชื่อ พระเจ้า พระคัมภีร์ พระเจ้า พระคัมภีร์ แนวทางในการ...
    15 ปีที่ผ่านมา
  • คริสเตียนกับการรับใช้พระเยซู - คริสเตียนกับการรับใช้พระเยซู วัน พุธ 08 ต.ค. 08@ 17:47:37 ICT หัวข้อ: สรุปคำเทศนาประจำอาทิตย์ ดร.ทะนุ วงค์ธนานุกุล วัน อาทิตย์ ที่ 21 กันยายน 2008 พระธร...
    15 ปีที่ผ่านมา
  • - แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้องจะนมัสการพระบิดา ด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้...
    15 ปีที่ผ่านมา

Christian Blog

บล็อกวาไรตี้

เทคโนโลยี

ดาวน์โหลดโปรแกรมมาใหม่ล่าสุด |

วาไรตี้

ข่าวประจำวัน

สารบัญเว็บไทย

กินลม ชมทะเล ที่มาร์คเฮ้าส์บังกะโล เกาะกูด จ.ตราด

Thailand Map