Custom Search By Google

Custom Search

วันอังคารที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2552

ชีวิตเปโตร...เต็มที่กับพระคริสต์ (1)‏

คนเราเกิดมามีเพียงแค่ชีวิตเดียว เปโตรก็มีชีวิตเดียวเช่นกัน

เปโตรรู้จักพระเจ้า ชีวิตของเขาเรียนรู้จักพระเจ้ามากขึ้นเรื่อย ๆ จนเขามั่นในพระเจ้ามาก ๆ

ต่อมา เขาก็ตกต่ำมาก ๆ เพราะเขาปฏิเสธพระเจ้า ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงของชีวิตที่หน้าเศร้า แต่หลังจากนั้น เขาก็กลับมาหาพระองค์อีกครั้งหนึ่ง เติบโต ประกาศมากมาย จนได้เขียนพระธรรม 1-2 เปโตร แล้วก็ได้สละชีวิตเพื่อพระคริสต์ในที่สุด

คนเรามีหนึ่งชีวิตเหมือนกัน แต่อยู่ที่ว่า คุณเต็มที่กับพระคริสต์หรือไม่

เปโตรเป็นชาวประมง เขาได้แต่งงาน เพราะพระคัมภีร์กล่าวถึงแม่ยายของเขา เขาร้อนรน ฝักใฝ่สนใจรอคอยพระเมสสิยาห์ จึงไม่แปลกที่เขาติดตามพระเยซูคริสต์ทันทีที่พระองค์ทรงเรียก และแม้ว่าเขาจะเป็นชาวประมง แต่ก็มีความรู้ในระดับหนึ่ง เพราะพระธรรมที่เขาเขียนก็เป็นภาษากรีกที่ดี

การงาน เขาทำธุรกิจประมง มีหุ้นส่่วน คือ ยอห์นและยากอบ

แต่สิ่งที่ตื่นเต้นที่สุดในชีวิตของเขา คือ การที่ได้รู้จักพระเยซูคริสต์



"35 รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่ง ยอห์นกำลังยืนอยู่กับสาวกของท่านสองคน
36 และท่านมองดูพระเยซูขณะที่พระองค์ทรงดำเนิน และกล่าวว่า 'จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้า'
37 สาวกสองคนนั้นได้ยินท่านพูดเช่นนี้ เขาจึงติดตามพระเยซูไป
38 พระเยซูทรงเหลียวกลับมา และเห็นเขาตามพระองค์ไป จึงตรัสถามเขาว่า 'ท่านหาอะไร' และเขาทั้งสองทูลพระองค์ว่า 'รับบี (ซึ่งแปลว่าอาจารย์) ท่านอยู่ไหน'
39 พระองค์ตรัสตอบเขาว่า 'มาดูเถิด' เขาก็ไป และเห็นที่ซึ่งพระองค์ทรงพำนัก และวันนั้นเขาก็ได้พักอยู่กับพระองค์ เพราะขณะนั้นประมาณสี่โมงเย็นแล้ว
40 คนหนึ่งในสองคนที่ได้ยินยอห์นพูด และได้ติดตามพระองค์ไปนั้นคือ อันดรูว์น้องชายของซีโมนเปโตร
41 แล้วอันดรูว์ก็ไปหาซีโมนพี่ชายของตนก่อน และบอกเขาว่า 'เราได้พบพระเมสสิยาห์ {คำภาษาฮีบรู และคำภาษากรีก หมายความว่า ผู้ที่พระเจ้าทรงเจิม} แล้ว' (ซึ่งแปลว่าพระคริสต์)
42 อันดรูว์จึงพาซีโมนไปเฝ้าพระเยซู พระเยซูทรงทอดพระเนตรเขาแล้วจึงตรัสว่า 'ท่านคือซีโมนบุตรยอห์นซีนะ เขาจะเรียกท่านเคฟาส' (ซึ่งแปลว่าศิลา)" (ยอห์น 1:35-42)

คนเราจะเต็มที่กับพระเยซูได้ ก็เมื่อเขาได้คลุกคลีกับพระเจ้า ใช้เวลากับพระองค์ ดังเช่นที่สาวกทั้งสองได้ใช้เวลากับพระองค์ คือ ได้พักกับพระเยซูคริสต์เจ้า และแอนดรูเองก็ได้เข้าใจ และเชื่อว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์

เนื่องจากทั้งอันดรูว์และเปโตรสนใจในพระเจ้า ดังนั้น เมื่อทั้งสองได้รับการทรงเรียก เขาจึงได้ติดตามพระองค์ไป

หลังจากที่เปโตรได้ติดตามพระเยซูคริสต์ไป จึงได้รู้ว่า พระเยซูคริสต์ทรงสั่งสอน ทำการอัศจรรย์ต่าง ๆ มากมาย จึงรู้ว่าพระองค์ทรงมิใช่มนุษย์ธรรมดา





ศจ. ดร. อภิชาติ พูลศักดิ์วรสาร

Bible Study 1, Youth Challenge 2009

เมื่อวันที่ 04/04/2009

เรื่อง ชีวิตเปโตร...เต็มที่กับพระคริสต์

วันจันทร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2552

คริสเตียนกับไวรัสการเมือง

เสื้อเหลืองเสื้อแดง ไวรัสการเมือง
ฤาถึงสมัยจะสิ้นยุค!
ธวัช เย็นใจ

โปรดระวังไวรัสตัวใหม่!
ปัจจุบันมีสมาชิกในคริสตจักรหลายแห่งติดเชื้อโรคชนิดนี้เข้าให้แล้ว เป็นไวรัสการเมืองที่แพร่ระบาดอย่างหนักมาเป็นเวลาหลายปี ภาษาสมัยใหม่ว่า “เซเล้บ”
มีอาการดังต่อไปนี้ ชอบใส่เสื้อผ้าอยู่สีเดียว (ไม่แดงก็เหลือง) จะดูทีวีเฉพาะช่องมีโฆษณาชวนเชื่อทางการเมือง ไม่ SATV ก็ DTV ซึ่งด่าฝ่ายตรงข้ามอย่างสาดเสียเทเสีย ซัดกันซะเละตุ้มเป๊ะ ด้วยถ้อยคำหยาบคาย เรียกว่าด่ามันเลวทรามต่ำช้าจน “นรกยังไม่ยอมรับ” ว่างั้นเถอะ!
คริสเตียนประเภทนี้ชอบรับ sms นอกจากที่ว่ามาแล้ว วันๆก็จะเอาแต่นั่งฟังวิทยุชุมชน (เวลานอนก็ไม่เว้น จะเอาวิทยุแนบหูอยู่ตลอดคืน) ที่มีการขุดคุ้ยความชั่วร้ายของอีกฝ่ายหนึ่งขึ้นมาก่นด่า เปิดโอกาสให้คนโทรเข้าไปสาปแช่ง จะจริงจะเท็จอย่างไรขอใส่ร้ายไว้ก่อน พอพรรคพวกเขามีการชุมนุมไฮปาร์กกันตามลานเมืองหรือสนามกีฬา ก็จะรีบออกไปร่วมแจมทันที ตอนเย็นๆก็จะออกไปชักชวนเป่าหูเพื่อนบ้านให้คลั่งไคล้หลงไหลในลัทธิการเมืองที่ตนนิยมชมชอบด้วย
แต่เมื่อศิษยาภิบาลขอร้องให้ออกไปประกาศและเยี่ยมเยียนกลับตอบในทำนองว่า “เปลืองน้ำมัน” “ไม่มีของประทาน” “ไม่ว่าง ต้องทำงานบ้าน” “ศิษยาภิบาลไปทำเองซิ” “วันหลังก็ก็ได้” “เดี๋ยวก็พบกันที่โบสถ์อยู่แล้ว” ฯลฯ

มหาตมะ คานธีผู้ปลดปล่อยอินเดียออกจากการเป็นทาสของอังกฤษ ได้กล่าวถึงบาปเจ็ดอย่างดังนี้
๑.เล่นการเมืองโดยไม่มีหลักการ
๒.หาความสุขสำราญโดยไม่ยั้งคิด
๓.ร่ำรวยเป็นเอกนิษฐ์โดยไม่ต้องทำงาน
๔.มีความรู้มหาศาล แต่ความประพฤติไม่ดี
๕.ค้าขายโดยไม่มีศีล หลักธรรม
๖.วิทยาศาสตร์ล้ำเลิศ แต่ไม่มีธรรมแห่งมนุษย์
๗.บูชาสูงสุด แต่ไม่มีการเสียสละ

เดี๋ยวนี้การใช้กำลังเข้าต่อสู้กันกลายเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้วสำหรับสังคมไทย!
กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย!
พวกมากลากไป
ไม่น่าเชื่อว่า พวกคริสเตียนที่อ้างว่าตนเองเป็นพลเมืองของสวรรค์ ก็เอากับเขาด้วย..แปลก!)
ค่าของคนอยู่ที่คนของใคร
เป็นสังคมที่มีคนพูดดีสอนดี แต่ความประพฤติกลับไม่เอาไหน!
ฝ่ายเสื้อเหลืองชุมนุมประท้วงรัฐบาลที่อ้างหลักอหิงสา(อหิงสาแปลว่า การไม่เบียดเบียน ไม่ทำร้ายและไม่รังแก) โมโหโกรธาที่สถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่งออกข่าวเอนเอียง ก็พาสมัครพรรคพวกบุกเขาไปยึด ทำลายทรัพย์สิน จัดการกับนักข่าวอย่างรุนแรง เพื่อยุติการออนแอร์ ปิดสนามบินระดับชาติเสียหายประเมินค่าไม่ได้ตอนนี้ผมติดเทศนาอยู่ที่อเมริกา ใจหายวาบเมื่อรู้ว่าเครื่องบินจะลงที่สุวรรณภูมิไม่ได้ จึงต้องมาลงที่เชียงใหม่เท่านั้นไม่พอก็ยังยึดทำเนียบรัฐบาลเอาไปปลูกข้าวกิน
เมื่อฝ่ายเสื้อแดงที่ต่อต้านรัฐประหาร ต่อต้านเผด็จการ ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และเพื่อหาช่องทางให้คุณทักษิณกลับมาครองอำนาจอีก และพวกเขาไม่พอใจสถานีวิทยุชุมชนที่เชียงใหม่ที่ออกข่าวสนับสนุนฝ่ายพันธิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เขาก็เรียกร้องให้ผู้คนมาชุมนุมกันและบุกเข้าไปยึดและทำลายข้าวของ เมื่อพบชายชราขับรถออกมาคนเดียวก็รุมเข้าทุบตีทำร้ายจนถึงแก่ความตายอย่างน่าอนาถ!
ฝ่ายเสื้อเหลืองพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตยเอง เมื่อเขาไม่พอใจรัฐบาลที่เป็นนอมินีของฝ่ายนายทุน ก็พากันออกมาชุมนุมประท้วงกันอย่างยืดเยื้อเป็นเวลาหลายเดือน พยายามบีบบังคับทุกวิถีทางที่จะให้ลาออก จนถึงกับยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดสนามบินระดับชาติสองแห่ง จนกระทั่งเศรษฐกิจของชาติพังพินาศย่อยยับฝ่ายเจ้าหน้าที่ของรัฐเองก็ง่อนแง่น เอนเอียง และใช้ความรุนแรงเข้าสลายม็อบโดยยิงแกสน้ำตายิงเข้าใส่ฝูงชนจนบาดเจ็บล้มตายไปหลายคน แต่จนป่านนี้ยังจับมือใครดมไม่ได้!ภายในเวลาปีเดียว ไทยเรามีนายกรัฐมนตรีถึง ๓ คน หลังจากคุณทักษิณ(ตอนนี้เป็นนักโทษหนีคดี)ก็มาคุณสมัคร และหลังจากคุณสมัครก็เป็นคุณสมชาย และคุณอภิสิทธิ์คนสุดท้ายนี้ก็ยังไม่แน่ว่าจะอยู่ไปได้อีกสักกี่น้ำ?
นี่ก็เห็นเสื้อแดงเดินขบวนกันอยู่เย้วๆ ไปปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล เพื่อกดดันให้คุณอภิสิทธิ์ลาออก ทำให้การจราจรตัดขัดเป็นบ้าเป็นหลัง วันก่อนผมนัดเพื่อนชาวอเมริกันที่ห้องโถงของสนามบินเชียงใหม่ ก็เอะใจว่าทำไมวันนี้รถรามันติดนักหนา อ๋อ เสื้อแดงเขายกขบวนมาต้อนรับคุณอภิสิทธิ์นั่นเอง ปิดทางเข้าออกหมด ต้องวนรถอยู่หลายรอบ โอ๊ย...ทำไมผมต้องมาลำบากลำบนอย่างนี้ อยากจะลี้ภัยไปอยู่ประเทศอื่นจังเลย (ฮา!)
ล่าสุดกลุ่มเสื้อแดงไล่ทุบรถยนต์ของนายก (ผู้นำประเทศต้องหนีหัวซุกหัวซุนแทบเอาชีวิตไม่รอด - อย่างนี้มาขอให้ผมเป็นนายกคงจะต้องบาย...เป็นนายธวัช เย็นใจนี้สุขใจกว่าเยอะเลย) เท่านั้นไม่พอ คนเสื้อแดงยังยกขบวนไปล้มกระดานการประชุมสุดยอดอาเซี่ยนที่พัทยาอีกด้วย เห็นว่าไปเรียบร้อยไปแล้ว ผู้นำต่างประเทศหน้าเหลือสองนิ้ว และเผ่นกลับบ้านแทนไม่ทัน บางคนมายังไม่ทันถึงก็บ่ายหัวเครื่องกลับไปแล้ว ส่วนคนไทยเราก็ไปหาปิ๊บมาคนละใบสำหรับคลุมหัว!
ทหารก็ตบเท้าออกมาจากกรมกอง เพื่อรักษาความสงบตามระเบียบ เพราะนักเรียน(เสื้อแดง)ยกพวกตีกันกระทั่งจะกลายเป็นจลาจล ไปๆมาๆตอนนี้มีสีน้ำเงินเพิ่มมาอีกสีแล้ว ต่อไปไม่รู้สีไหนจะโผล่มาอีก (ตอนนี้ก่อนออกจากบ้านยิ่งหาเสื้อใส่ยากอยู่ด้วย...ฮาไม่ออก!) ดูเหมือนว่าคนไทยเป็นต้นแบบในเรื่องการประท้วงยึดสนามบิน เพราะหลังจากนั้น ไม่นานคนอังกฤษก็เอาอย่างบ้าง คือกลุ่มที่มีชื่อยาวเหยียดว่า “กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมผู้ประท้วงภาวะโลกร้อนจากการใช้เครื่องบินซึ่งเรียกตนเองว่า “กลุ่มเพลนสติวปิด” แปลว่ากลุ่มเครื่องบินโง่เง่าอะไรทำนองนั้น พวกเขาบุกเข้าไปยึดสนามบินสแตนสเตด ซึ่งตั้งอยู่ที่ชานกรุงลอนดอน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเข้าไปสลายการชุมนุม และจับกุมตัวไปดำเนินคดีถึง ๔๙ คน ”(รายงานข่าวเมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๐๐๘) นี่ไม่ใช่เรื่องที่แปลกประหลาดอะไร เพราะนับพันปีแล้วที่พระคัมภีร์ได้บอกไว้ล่วงหน้าถึงลักษณะจิตใจของมนุษย์ในสมัยจะสิ้นยุค
“แต่จงเข้าใจข้อนี้ก่อน คือว่าในสมัยจะสิ้นยุคนั้น จะเกิดเหตุการณ์กลียุค” (๒ ทธ. ๓.๑-๕)
พจนานุกรมฉบับมติชนอธิบายว่า “กลียุคหมายถึงยุคสุดท้ายของมนุษย์ตามความเชื่อในศาสนา..ซึ่งถือว่าเป็นคุคที่เลวร้าย มีเหตุการณ์ปั่นป่วนวุ่นวายและเดือดร้อนไปทั่ว” พระคัมภีร์บอกถึงมนุษย์ใน “ยุคสุดท้าย” ภาษากรีก eschatos (เอสคาทอส) เป็นภาพพจน์ของคนที่ใช้เงินจนเกือบเกลี้ยงเหลือเพียงบาทสุดท้าย (มธ. ๕.๒๖) หรือคนที่ต้องถูกตำแหน่งเลื่อนลงไปจนถึงที่ต่ำสุด (ลก. ๑๔.๙) และวันสุดท้ายซึ่งจะมีการพิพากษา (ยน. ๑๒.๔๘)
- มนุษย์จะเห็นแก่ตัว philautos (ฟีเลาทอส) คือเอาความคิดเป็นที่ตั้ง และเอาความต้องการของตนเป็นใหญ่ ไม่ยอมให้ใครแต่จะเอาลูกเดียว “ของๆของผมเป็นของๆผม ของๆคุณเป็นของๆผม” 555!
- เห็นแก่เงิน philarguros (ฟีลาร์กูรอส) พระคัมภีร์บอกว่า “ด้วยว่าการรักเงินทอง(philarguria-ฟิลาร์กเรีย) นั้นเป็นรากเหง้าของความชั่วทั้งมวล” (๑ ทธ. ๖.๑๐) มือใครยาวสาวได้สาวเอา คดโกงมันทุกรูปแบบ คอรัปชั่นทั้งทางตรงและคอรัปชั่นในเชิงนโยบาย ประเทศชาติฉิบหายไม่เป็นไร ขอให้ฉันและพรรคร่ำรวยก็พอแล้ว มีเงินซื้อเครื่องบินขี่ร่อนไปมากสบายใจเฉิบ!
- เย่อหยิ่งยโส huperephanos (ฮูเพอร์เอฟานอส) มีจิตใจที่เย่อหยิ่ง จองหอง ยโสและอวดดี (รม.๑.๓๐) คิดว่าตนเองรอบรู้ ส่วนคนอื่นโง่เง่าหมด สู้ฉันไม่ได้ ฉันเก่ง ฉลาดและร่ำรวยกว่า พระคัมภีร์บอกว่า “พระเจ้าทรงต่อสู้ที่หยิ่งจองหอง แต่ประทานพระคุณแก่คนที่ถ่อมใจ” (ยก. ๔.๖, ๑ ปต. .๕.๕)
- ชอบด่าว่า blasphemos (บาสเฟมอส) เป็นคนที่ชอบพูดหมิ่นประมาท (กจ. ๖.๑๑) และหลู่เกียรติ-ดิสเครดิตคนอื่น (๑ ทธ. ๑.๑๓) และคำประณามหยามเหยียดอยู่ที่ริมฝีปากของเขา (๒ ปต. ๒.๑๑) นี่เป็นพฤติกรรมของมารซาตานอย่างชัดเจน
- ไม่เชื่อฟังคำบิดามารดา apeithes (อาเพเธส) เป็นคนจำพวกดื้อด้าน ชอบขัดขืน ไม่เชื่อฟังใคร (ลก๑.๑๗, กจ. ๒๖.๑๙, ทต. ๑.๑๖, ๓.๓)
- อกตัญญู acharistos (อะคาริสทอส) เป็นคนที่ทรยศต่อผู้ที่มีพระคุณ (ลก. ๖.๓๕) เหมือนที่คนไทยว่า “กินบนเรือน ขี้รดหลังคา” นั่นแหละ ในอดีตมีผู้นำคริสเตียนในกลุ่มของเราคนหนึ่ง เทศนาสั่งสอนพอฟังได้แต่ที่สมาชิกในคริสตจักรกลับไม่ยอมรับ เพราะว่าผู้นำคนนี้เป็น “คนอกตัญญู” คือเขามีอคติกับผู้เป็นแม่ผู้เป็นอัมพฤกษ์(เดินเหินยากมากต้องคลานเอา) เขาจึงทำห้องเล็กๆให้อยู่ ถึงเวลาก็ส่งข้าวส่งน้ำ ปล่อยให้อุจาระและปัสสาวะเรี่ยราด เหม็นคลุ้งไปทั้งบ้าน ในที่สุดลูกชายก็ทนไม่ไหวก็เอาเอาไม่จ้างคนอื่นเลี้ยง พระคัมภีร์บอกว่า “แม้ผู้ใดไม่เลี้ยงดูวงศ์ญาติของตนเอง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนในบ้านเรือนของตน ผู้นั้นก็ได้ปฏิเสธพระศาสนาเสียแล้ว และชั่วยิ่งกว่าคนไม่เชื่อเสียอีก” (๑ ทธ. ๕.๘)
- ไร้ศีลธรรม anosios (อะนาซิออส) แปลตรงตัวว่า เป็นคนที่ไม่นับถือพระเจ้า (๑ ทธ. ๑.๙) แน่นอนถ้าไม่นับถือพระเจ้าก็ย่อมจะต้องนับถือสิ่งอื่น เช่น ภูตผีปิศาจ ดวงชะตาราศี พิธีกรรมทางไสยศาสตร์ เวทมนต์ ของขลัง การแช่งสาป เผาหุ่น ฯลฯ - ไร้มนุษยธรรม astorgos (อสโทร์กอส) หมายถึงไม่มีความรักต่อกัน (รม. ๑.๓๑) ปากก็บอกว่าต้องการสามัคคี หรือสมานฉันท์ ต้องการเห็นบ้านเมืองสงบร่มเย็น และมีความเจริญก้าวหน้า แต่ก็ยังเดินขบวนประท้วงกันอย่างไม่หยุดหย่อน คนเหนือว่า “ปากว่าแต้ ในใจ๋ขื่นข่ม จุ๊เปิ้นเมาจม ผายลมออกเล้น”
- ไม่ให้อภัยกัน aspondos (อาสพอนดอส) เป็นคนที่ถือว่า “ทีใครทีมัน” “หนามยอกเอาหนามบ่ง” หรือแค้นนี้ต้องชำระ เหมือนหนังจีนกำลังภายในว่า “ร้อยปีก็ยังไม่สายสำหรับการแก้แค้น”
- ใส่ร้ายกัน diabolos (เดียบอลอส) พระคัมภีร์ใช้คำนี้เรียก “มารซาตาน” (มธ. ๔.๑, ๕, ๘) นิสัยของมารร้ายก็คือ ชอบชิงพระวจนะไปจากใจของคน (ลก. ๘.๑๒) และเข้าสิงในจิตใจของคน (ยน. ๑๓.๒) ชอบส่อเสียด (ทต. ๒.๓) พระคัมภีร์บอกให้คริสเตียนต่อสู้กับมารด้วยความเชื่อ แล้วมันจะผละหนีไป (ยก.๔.๗)
- ไม่ยับยั้งชั่งใจ akrates (อะคราเทส) คนปัจจุบันส่วนใหญ่จะควบคุมความคิดและความประพฤติของตนเองไม่ได้ ตั้งใจอย่างหนึ่งแต่ไปทำอีกอย่างหนึ่ง คิดว่าจะไม่ทำชั่วทำบาปแต่ที่สุดก็ทำลงไปจนได้ เขาเรียกอาการนี้ว่า “แพ้ใจตนเอง”
- ดุร้าย anemeros (อะเนเมรอส) เป็นนิสัยของมารซาตานที่ใส่ให้แก่คาอินจนเขาต้องโถมเข้าฆ่าอาแบลน้องชายของตนเอง และฝังไว้ใต้ดินแล้วยังทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ความดุร้ายนี้ได้แผ่ซ่านมาถึงมนุษย์ในทุกวันนี้ แค่มองหน้าหรือพูดอะไรผิดหูนิดหน่อยก็ถึงกับฆ่าแกงกัน เหมือนพวกนักเรียนช่างกลนั่นไง!
- เกลียดชังความดี aphilagathos (อะฟีลากาธอส) คำนี้ปรากฏเพียงครั้งเดียวในพระคัมภีร์ มนุษย์ไม่เพียงแต่ทำความผิดบาปเท่านั้น พวกเขายังต่อต้านคนที่ทำความดีอีกด้วย เขาจะว่า “แหมดูซิ ทำตัวเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เที่ยวเตร่ รัศมีวงแหวนขึ้นที่รอบหัวแล้ว!” หรือ “ดูซิ มันจะทำดีไปได้สักกี่น้ำ?”
- ทรยศ (แปรพักตร์) prodotes (โพรโดเทส) พระคัมภีร์ได้กล่าวถึงคนที่มีลักษณะเช่นนี้คือยูดาห์ อิสคาริโอด “ผู้อายัดพระเยซู” และมอบไว้ในมือของพวกศัตรู เพราะผิดหวังในเป้าหมายของพระองค์ (ลก. ๖.๑๖) นายแพย์ลูกาได้อ้างถึงคำเทศนาของสเทเฟนที่กล่าวถึงพวกยิวที่ทรยศ (prodotes)ต่อพระเยซู (กจ. ๗.๕๒)
- มุทะลุ propetes (พรอเพเทส) เป็นคนที่วู่วาม (กจ. ๑๙.๓๖) เอาแต่ใจของตนเอง ฟังความข้างเดียวหรือเอาสีข้างเข้าถูก ไปแบบน้ำขุ่นๆ อะไรทำนองนั้น
- หัวสูง tuphoomai (ทูโฟออไม) พระคัมภีร์หมายถึงคนที่ยโส (๑ ทธ. ๓.๖) และทะนงตัว (๑ ทธ.๔.๖)
- รักความสนุกยิ่งกว่ารักพระเจ้า philedonos (ฟิเลดอนอส) สุดยอดแห่งความปรารถนาของคนไทยคือ “สนุกสนาน สะดวกบาย และสตางค์”
- ถือศาสนาแต่เปลือกนอกmorphosis (มอร์โฟซีส) ส่วนแก่นแท้ของศาสนาเขาไม่ยอมรับ
นี่คือความเลวร้ายที่กำลังแผ่ซ่านอยู่ในสังคมของเราในปัจจุบัน ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วย
วิธีการเมือง หรือกฎหมาย หรือด้วยคำสอนดีๆของศีลธรรมทางศาสนา
แต่เรากำลังต้องการมี “ชีวิตใหม่”
มีสังคมใหม่
มีนักปกครองใหม่ และมีประเทศชาติที่มีจิตวิญญาณใหม่

ขอให้เราคิดถึงพระวจนะของพระเจ้าที่บอกว่า “เหตุฉะนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นเป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆก็ล่วงไป นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น” (๒ คร. ๕.๑๗)
พระเยซูตรัสว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต” (ยน. ๑๔.๖) พระองค์ตรัสอีกว่า “เราได้มาเพื่อท่านทั้งหลายจะได้ชีวิต และจะได้อย่างครบบริบูรณ์” (ยน. ๑๐.๑๐)
ท่านที่รัก ทางอื่นๆตันหมดแล้ว เหลืออยู่ทางเดียวเท่านั้น.

แจ้งอนาคต

แจ้งอนาคต
วิวรณ์ ๑.๑-๓

วิวรณ์เป็นพระธรรมเล่มสุดท้าย ที่มีลักษณะไม่เหมือนเล่มอื่นๆ เพราะกล่าวถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต “วิวรณ์ของพระเยซูคริสต์ ซึ่งพระเจ้าได้ทรงประทานแก่พระองค์ เพื่อชี้แจงให้ผู้รับใช้ทั้งหลายของพระองค์รู้ว่า อะไรจะต้องอุบัติขึ้นในไม่ช้า” (ข้อ ๑)
Revelation ในภาษากรีก Apokalupsis แปลว่าเปิดออก, สำแดงให้รู้, เปิดเผยความลับ
ผู้คนจำนวนมากสนใจอยากรู้ถึงอนาคต ทั้งของตนเองและของโลกนี้ คอลัมน์ที่ได้รับความนิยมคือ “เดินตามดวง” หรือเดินตามดาว เช่นจะมีคำทำนายตามหน้าหนังสือพิมพ์ “ท่านที่เกิดวันพุธมีปัญหามากมายในการงาน จะพบกับความยุ่งยากลำบากใจ ทั้งในสายกิจการงานและครอบครัว ในเรื่องคนรักคู่ครองจะต้องมั่นคงไว้”
นอสตราดามุสเป็นผู้พยากรณ์ที่มีชื่อเสียง หลายคนเชื่อคำทำนายของเขาอย่างจริงจัง มีข้อสังเกตว่าทำนายของเขาถูกบ้างผิดบ้าง แต่คำทำนายของพระคัมภีร์ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ พระเยซูตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ตราบใดที่ฟ้าและดินดำรงอยู่ แม้อักษรหนึ่งหรือขีดๆหนึ่งจะไม่สูญไปจากธรรมบัญญัติ จนกว่าสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้น ได้เกิดขึ้นแล้ว” (มธ. ๕.๑๘)

การเปิดเผย
๑.ผู้ให้คำวิวรณ์คือพระเจ้าและพระเยซูคริสต์ (ข้อ ๑) โดยทั่วไปหนังสือเกี่ยวกับคำพยากรณ์มักจะเป็นการมองโลกในแง่เลวร้าย น่ากลัวและหมดหวัง แต่วิวรณ์ถึงแม้จะกล่าวถึงยุคสุดท้ายที่มีการต่อสู้ระหว่างมารซาตานกับพระเจ้า แต่สุดท้ายพระองค์ได้จัดเตรียมทางรอดไว้โดยทางพระเยซูคริสต์ และเน้นให้ผู้คน “กลับใจเสียใหม่” อยู่ตลอดเวลา ในคำตรัสถึงคริสตจักรทั้งเจ็ดแห่งเน้นการกลับใจใหม่เสมอ ดู วว. ๒.๕,๑๖,๒๑,๒๒, ๓.๓,๙
๒.ผู้รับคำวิวรณ์ คืออัครสาวกยอห์น (ข้อ ๑-๒) รวมถึงพวกเราคริสเตียนทุกคนด้วย
ทาสพระคริสต์ ยอห์นเรียกตัวเองว่า –ผู้รับใช้ ภาษาเดิมเป็นคำนามคือทาส (doulos) รม. ๑.๑, ยก.๑.๑, ๒ ปต.๑.๑, ยด. ๑) ในวิวรณ์กล่าวถึงผู้รับใช้-ทาสของพระเยซู ๑๔ ครั้ง ในบทที่ ๑.๑ กล่าวซ้ำถึง ๒ ครั้ง
บทเรียน : คริสเตียนทุกคนเป็นผู้รับใช้(ทาส)ของพระเยซูคริสต์ จะต้องเชื่อฟังและทำตามคำสั่งของผู้เป็นนายทุกอย่าง
ผู้เป็นพยาน “ยอห์นเป็นพยานฝ่ายพระวจนะของพระเจ้า และเป็นพยานของพระเยซูคริสต์ ท่านเป็นพยานในเหตุการณ์ทั้งสิ้น ซึ่งท่านได้พบเห็น” (ข้อ ๒) ภาษากรีก martureo (มาร์ทูเรโอ) คือผู้เห็นเหตุการณ์, ยืนยันความจริงในสิ่งที่เกิดขึ้น
คำนี้มีสองความหมาย (๑) กจ. ๑.๘ พระเยซูทรงบอกแก่สาวก “ท่านทั้งหลายจะเป็นพยานฝ่ายเรา ในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย สะมาเรียและจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก” เมื่อเร็วๆนี้เราได้พบชายหนุ่มชาวเขาเผ่าปะหล่องคนหนึ่งที่อำเภอเชียงดาว เขาสนใจในพระเยซูคริสต์ เราจึงชวนเขามาเข้าค่ายประจำปีของกลุ่มสยามแบ๊บติสต์ และที่นั่นเขาได้เห็นแบบอย่างที่ดีของคริสเตียน และตัดสินใจต้อนรับเอาพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด
มีคนเล่าให้เราฟังถึงคุณยายแก่ๆคนหนึ่ง ตาของแกฝ้าฟาง แต่ชอบออกไปประกาศและเป็นพยานแก่ผู้คน วันหนึ่งก็มีคนบอกแก่คุณยายด้วยความขบขันว่า “เมื่อวานนี้ผมเห็นคุณยายเป็นพยานในห้าง คุณยายไม่รู้หรือว่าคนที่คุณยายพูดด้วยนั้นเป็นหุ่นโชว์?”
“เหรอคะ ยายไม่รู้จริงๆเพราะตามองๆไม่ค่อยเห็น” คุณยายพยักหน้า “แต่ก็ดีกว่าคริสเตียนที่เป็นใบ้ใช่ไหม?”
“???!!”
(๒)ผู้ยอมตายเพื่อความเชื่อ (martyr-มาร์ทาย) ในสมัยโบราณการเป็นคริสเตียนเป็นเรื่องต้องห้าม และมีโทษถึงตาย ในประเทศคอมมิวนิสต์บางประเทศมีกฏว่า ใครที่เชื่อพระเยซูจะต้องติดคุกหนึ่งปี ถ้ารับบัพติสมามีโทษติดคุก๖ ปี (รวมเบ็ดเสร็จ ๗ ปี) ในประวัติศาสตร์ของคริสตจักร ได้เล่าถึงโพลิขาร์พ ซึ่งเป็นศิษยาภิบาลคริสตจักรสะเมอร์นา ท่านถูกจับมัดติดกับเสาเตรียมเผาทั้งเป็นต่อหน้าเจ้าเมือง เจ้าเมืองได้กล่าวแก่โพลิขาร์พว่า “ถ้าเจ้าปฏิเสธว่าพระเยซูคริสต์ไม่ใช่พระเจ้า เราจะปล่อยตัวเจ้าเดี๋ยวนี้และเจ้าจะได้กลับไปอย่างสวัสดิภาพ พบกับหน้าภรรยาและลูกๆ”
โพลิขาร์พตอบว่า “ข้าพเจ้าได้รับใช้พระคริสต์มาเป็นเวลา ๘๖ ปีแล้ว พระองค์ไม่เคยทำให้ข้าพเจ้าเจ็บช้ำน้ำใจแม้แต่น้อย แล้วข้าพเจ้าจะปฏิเสธพระองค์ได้อย่างไร พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า” พอพูดจบพวกศัตรูก็กรูกันเข้ามาเอาน้ำมันสนราดตัวโพลิขาร์พและจุดไฟเผาทันที และท่านได้อธิษฐานให้อภัยแก่ศัตรูเหมือนกับพระเยซูอธิษฐานตอนที่ถูกตรึงอยู่บนไม้กางเขนว่า “พระองค์เจ้าข้า ขอทรงโปรดอภัยโทษเขา เพราะว่าเขาไม่รู้ว่าเขาได้ทำอะไร”
คริสเตียนต้องเป็นพยาน ๓ อย่างคือ
(๑) เป็นพยานฝ่ายพระวจนะ(พระคัมภีร์)
(๒) เป็นพยานของพระเยซูคริสต์
(๓) เป็นพยานในเหตุการณ์ทั้งสิ้น (คือสิ่งที่ได้พบเห็น การหลุดพ้นจากบาป และมีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงใหม่)
เมื่อช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา เรามีการจัดค่ายประจำปี สิ่งที่เราหนักใจคือผู้ไม่เชื่อหลายคนชอบดื่มเบียร์ สูบบุหรี่ และจับกลุ่มกันพูดคุยลามก บางคนหนีไม่ยอมเข้าร่วมประชุม แต่เมื่อเราสรุปผลแล้ว ก็มีสิ่งที่ดีเกิดขึ้น คนเหล่านั้นได้เห็นชีวิตคริสเตียน และเลื่อมใสศรัทธาในพระคริสต์ และมี ๑๗ คนได้ต้อนรับเอาพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด แจ้งอนาคต
วิวรณ์นี้ “เพื่อแจ้งให้รู้ว่า อะไรจะอุบัติขึ้นในไม่ช้า” (ข้อ ๑)
“เพราะว่าเวลานั้นใกล้เข้ามาแล้ว” (ข้อ ๓)
ลีออน มอร์ริส (Leon Mortis) กล่าวว่า “เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นแน่ แต่เมื่อไหร่ยังไม่รู้ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกำหนดเวลาไว้ และพระองค์จะกระทำให้เกิดขึ้นโดยเร็ว แต่หมายถึงรีบเร่งในเวลาของพระองค์ ไม่ใช่เวลาของเราสำหรับพระเจ้าแล้ว หนึ่งวันเท่ากับพันปี และพันปีเท่ากับวันเดียว” (๒ ปต. ๓.๘)
เปาโลได้กล่าวถึงสภาพจิตใจของคนในสมัยจะสิ้นยุคไว้อย่างน้อย ๑๙ ประการ(๒ ทธ. ๓.๑-๕) ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จกลับมา
ผู้มีความสุข
ยอห์นได้บอกความจริงให้คริสเตียนทราบ “ขอความสุขจงมีแก่บรรดาผู้อ่านและผู้ฟังคำพยากรณ์นี้ และถือรักษาข้อความที่เขียนไว้ในคำพยากรณ์ที่เขียนไว้ในคำพยากรณ์เหล่านี้” (ข้อ ๓)
นี่เป็นพระพร ๗ อย่างในพระธรรมวิวรณ์
๑.๓ ความสุขจงมีแก่บรรดาผู้อ่าน
๒๐.๖ ผู้ที่ได้ฟื้นจากความตายมีสุข
๑๔.๑๓ คนที่ตายเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า
๒๒.๗ ถือรักษาคำพยากรณ์ก็เป็นสุข
๑๖.๑๕ ผู้ที่ตื่น,รักษาตนให้บริสุทธิ์
๒๒.๑๔ ชำระเสื้อผ้าของตนให้สะอาดก็เป็นสุข
๑๙.๙ คนที่เข้าไปในงานสมรสพระเมษโปดกความสุข

makarios (มารคาริออส) คำเทศนาบนภูเขาพระเยซูทรงใช้คำนี้บ่อยๆว่า “ผู้เป็นสุข” (มธ. ๕.๕-๑๑) เราเรียกว่าความสุข ๙ ประการ และสรุปว่า “จงชื่นชมยินดี เพราะว่าบำเหน็จของท่านมีบริบูรณ์ในสวรรค์”

ความสุขหรือพระพรมีแก่
(๑) “คนที่อ่าน” ในภาษาเดิมหมายถึงอ่านดังๆ ให้ได้ยินกันทั่ว (หลายคนชอบอ่านพระคัมภีร์ในใจหรืออ่านเบาๆ หรือออกเสียงตะกุกตะกัก)
(๒) พระพรมีแก่คนที่ฟังพระวจนะของพระเจ้า หมายถึง “เอาใจใส่ในพระคัมภีร์” คนไทยพูดถึงคนที่ไม่เอาใจใส่ว่า “เอาหูไปนา เอาตาไปไร่” คริสเตียนเราไม่ควรจะเป็นคนอย่างนั้น ที่เพิกเฉยละเลยต่อพระดำรัสของพระเจ้า
(๓) ถือรักษาข้อความพระคัมภีร์ ภาษากรีก tereo (เทเรโอ) หมายถึงการเฝ้า, การถือ, เก็บ, จับเอาไว้, ระวังรักษา, ป้องกันไว้, และประพฤติตามคริสเตียนที่รัก ท่านเป็นผู้ที่รับพระพรและมีความสุข

พร้อมหรือยัง หากว่าพระคริสต์กลับมา

พร้อมหรือยัง หากว่าพระคริสต์กลับมา
นพ. สุทิตต์ กุลสรรค์ศุภกิจ 270409

พร้อมหรือยัง หากว่า พระคริสต์กลับมา
พร้อมหรือยัง หากโลก ต้องสูญสิ้นไป
วันเวลา ไม่เคยคอยท่า จงเตรียมให้ดี
เพื่อจะมี ความสุขยินดี เมื่อพระกลับมา
โอ พระองค์ ให้ข้าหมั่นตรึกตรองพระคำ ให้ดำเนินในทางตามน้ำพระทัย
อย่าให้ข้าหลงไปในทางของโลก ขอให้ข้าเตรียมพร้อมเสมอ ทั้งกายและวิญญาณ
เพลงพร้อมหรือยัง คณะนักร้องสะพานเหลือง ปี 1982

• การรอคอยพระเจ้า เพื่ออยู่ร่วมกับพระองค์เป็นวิถีแท้ของการเป็นคริสเตียน
• คริสเตียนที่ไม่ได้รอคอยอยู่กับพระเจ้า ไม่ใช่คริสเตียนที่ดำเนินชีวิตเป็นคริสเตียนที่แท้จริง
• วันนั้นที่เป็นวันสุดท้าย ที่รอคอย หรือ ไม่รอคอยก็ตาม จะมาถึงอย่างแน่นอน
• ในวันนั้น คนที่อยากอยู่กับพระเจ้า และดำเนินชีวิตอย่างนั้น ก็จะได้อยู่กับพระองค์
• ในวันนั้น คนที่ไม่อยากอยู่กับพระองค์ ไม่ได้แสวงหาพระองค์ ก็จะได้อยู่ห่างจากพระเจ้า
• พระเจ้าไม่ได้บังคับใคร ให้เสรีภาพแก่ทุกคน แต่ต้องรับผิดชอบทุกการกระทำของตน ไม่ว่าจะดีหรือชั่ว
• ทุกคนจะพบกับการเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์ อย่างแน่นอน
• หากวันนั้นเรายังมีชีวิตอยู่ เราแน่ใจไหมว่าเรามีคุณสมบัติพร้อมแล้วที่จะอยู่ในแผ่นดินสวรรค์กับพระองค์

• หากวันนั้นเราอยู่ไม่ทัน เสียชีวิตไปก่อน ก็ต้องฟื้นขึ้นมาเพื่อรับคำตัดสินจากพระองค์เช่นกัน
• เราไม่รู้ว่าเราจะจบชีวิตลงในวันไหน อาจตายก่อนโดยไม่ทันคิด ไม่ทันตั้งตัว ไม่ทันรับใช้ เช่นเส้นเลือดสมองแตก หัวใจวาย อุบัติเหตุ จลาจล ยิงผิดตัว โจรกรรม ฯลฯ
• สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ หากตายไปโดยยังไม่ได้มีคุณสมบัติเพียงพอแก่การอยู่กับพระคริสต์ในแผ่นดินสวรรค์ ก็อาจไม่ได้อยู่กับพระองค์ก็ได้
• หากลองประเมินดูว่า ชีวิตเราที่รับพระคุณความรอดจากการไถ่ของพระคริสต์แล้ว เรามีคุณสมบัติเพียงพอแก่แผ่นดินของพระองค์หรือยัง
• ลองประเมินดูจาก 3 เรื่อง ว่าเราพร้อมจะอยู่กับพระองค์หรือยัง หากว่าพระคริสต์กลับมาในวันนี้ หรือหากเราต้องหมดลมก่อนเวลาอันควร

1. การรับใช้พระเจ้า

• ลองดูชีวิตของเราว่ารับใช้พระเจ้าอย่างที่สมควรแล้วหรือยัง
• เรารับใช้ได้มากขนาดไหน

1.1 รับใช้พระเจ้าหรือยัง

• ความรู้ความสามารถที่พระเจ้าให้มา เอาไปใช้ทำอะไรบ้าง
• ใช้กับ/เพื่อตัวเองมากกว่าสิ่งอื่นๆหรือเปล่า
• หลายคนยังรับใช้พระเจ้าบ้าง เพียงพอให้รู้ว่ายังรับใช้อยู่ แต่มันเป็นเพียงรูปแบบการเข้าสังคม เพื่อการยอมรับในสังคม หรือ เพื่อประโยชน์บางสิ่ง แต่ไม่ได้รับใช้จากชีวิตภายในอย่างแท้จริง
• เราควรขอบคุณพระเจ้า ที่ให้กำลังความสามารถสติปัญญา และคิดหาทางรับใช้พระองค์มากขึ้นในทางใดทางหนึ่ง

1พศด29:14
14“แต่ข้าพระองค์เป็นผู้ใด และชนชาติของข้าพระองค์เป็นผู้ใด ที่ข้าพระองค์ทั้งหลายจะสามารถถวาย แด่พระองค์ด้วยความเต็มใจเช่นนี้ เพราะว่าสิ่งของทุกอย่างมาจากพระองค์ ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ถวายของที่เป็น ของพระองค์แด่พระองค์เท่านั้น

ยน.17:6-7
6 “ข้าพระองค์ได้สำแดงพระนามของพระองค์ แก่คนทั้งหลายที่พระองค์ได้ประทานให้แก่ข้าพระองค์จากมวลมนุษย์โลก คนเหล่านั้นเป็นของพระองค์แล้ว และพระองค์ได้ประทานเขาให้แก่ข้าพระองค์ และเขาได้ปฏิบัติตามพระดำรัสของพระองค์แล้ว
7 บัดนี้เขาทั้งหลายรู้ว่า ทุกสิ่งที่พระองค์ได้ประทานแก่ข้าพระองค์นั้นมาจากพระองค์

1.2 ถวายตัวหรือยัง

• เราต้องถวายตัวก่อน จึงจะรู้ว่าควรรับใช้อะไร ที่เป็นน้ำพระทัยของพระองค์ที่มีต่อเราจริงๆ
• เพื่อเราเข้าใจน้ำพระทัยว่าต้องการให้เรารับใช้อะไร อย่างไร
• เรารับใช้พระเจ้า ต้องตามน้ำพระทัยของพระองค์ มิใช่น้ำพระทัยของเราเอง
• เราจึงต้องแสวงหาพระเจ้าและการทรงนำ และต้องถวายตัวก่อนเป็นอันดับแรก
• หลายคนขอเลือกรับรู้ก่อนว่าพระเจ้าจะให้ทำอะไร แล้วค่อยคิดใคร่ครวญว่าจะทำตามดีหรือไม่
• พระเจ้าให้เราเลือกพระเจ้าก่อน แสวงหาพระเจ้า และแผ่นดินของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งต่างๆให้แก่เรา

รม12:1-2
1 พี่น้องทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้ถวายตัวของท่านแด่พระองค์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอันบริสุทธิ์และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการโดยวิญญาณจิตของท่านทั้งหลาย
2 อย่าประพฤติตามอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบน้ำพระทัยของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัยและอะไรดียอดเยี่ยม

มธ.6:33
33 แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้

1.3 ไปถึงการทรงเรียกหรือยัง

• แม้รู้น้ำพระทัย แต่ต้องไปให้ถึงด้วย
• เราทำเต็มที่ เพื่อไปให้ถึงหลักชัยที่พระองค์ทรงตั้งไว้สำหรับเราหรือยัง

ฟป3:12-14
12 มิใช่ว่าข้าพเจ้าได้แล้ว หรือสำเร็จแล้ว แต่ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไป เพื่อข้าพเจ้าจะได้ฉวยเอาไว้เป็นของตน อย่างที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงฉวยข้าพเจ้าไว้เป็นของพระองค์แล้ว
13 ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ถือว่าข้าพเจ้าได้ฉวยไว้ได้แล้ว แต่ข้าพเจ้าทำอย่างหนึ่ง คือลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้วเสีย และโน้มตัวออกไปหาสิ่งที่อยู่ข้างหน้า
14 ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไปสู่หลักชัย เพื่อจะได้รับรางวัล ซึ่งในพระเยซูคริสต์พระเจ้าได้ทรงเรียกจากเบื้องบน ให้เราไปรับ

2. รักพระเจ้าหรือยัง

ฟป3:8 ที่จริงข้าพเจ้าถือว่าสิ่งสารพัดไร้ประโยชน์ เพราะเห็นแก่ความประเสริฐแห่งความรู้ถึงพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า เพราะเหตุพระองค์ ข้าพเจ้าจึงได้ยอมสละสิ่งสารพัด และถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเหมือนหยากเยื่อเพื่อข้าพเจ้าจะได้พระคริสต์

• เรารักพระองค์หรือไม่
• ยังรักโลกมากกว่าพระเจ้าหรือไม่
• ยังรักตัวเองมากกว่าพระเจ้าหรือไม่
• สำรวจดูว่า เราใช้ชีวิตของเราทำสิ่งใดมากกว่ากัน
• สำรวจดูว่า เราสะสมอะไรมากกว่ากัน เอาไว้ในสวรรค์ หรือ เอาไว้ในโลก
• ในวันนั้นที่เราจะต้องไปอยู่กับพระองค์ บางคนอาจบอกว่า ยังไม่อยากไป ยังรักบ้านของตัวเองอยู่ ยังไม่อยากจากไป พระเจ้ารอไปอีกหน่อยได้หรือไม่
• ในวันสุดท้ายเราเอาอะไรไปไม่ได้สักอย่างเดียว

1ทธ6:7 เพราะว่าเราไม่ได้เอาอะไรเข้ามาในโลกฉันใด เราก็เอาอะไรออกไปจากโลกไม่ได้ฉันนั้น

• พระเจ้าให้เรารักพระองค์สุดจิตใจกำลังความคิด ไม่ใช่รักโลกสุดจิตใจ สุดกำลังความคิด
• คริสเตียนทุกคนล้วนต้องแบกกางเขนของตนติดตามพระองค์ไป เป็นการแสดงออกถึงการตัดสินใจติดตามพระองค์อย่างแท้จริง ด้วยสุดใจ สุดกำลัง สุดความคิด

มก12:30 และพวกท่านจงรักพระเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจของท่าน ด้วยสุดความคิดและด้วยสิ้นสุดกำลังของท่าน

3. มีชีวิตอย่างชาวสวรรค์หรือยัง

• ชีวิตของเราสำแดงความเป็นลูกพระเจ้า หรือ ยังเหมือนลูกมาร
• ลักษณะชีวิตยังแย่อยู่อีกมากๆหรือเปล่า
• เรายังไม่ซื่อสัตย์ ยังโกหก ขโมย อยู่ไหม
• เรายังไม่มีวินัย ยังชอบด่าว่าคนอื่น อยู่หรือเปล่า
• เรายังคบใครไม่ได้นาน มนุษย์สัมพันธ์ไม่ดี รักใครไม่เป็นอยู่หรือไม่
• เรายังเอาอารมณ์เป็นใหญ่อยู่หรือเปล่า
• ในแผ่นดินสวรรค์ใหม่ จะไม่มีคนที่ชั่วร้ายอยู่ในนั้นอย่างแน่นอน
• เราพัฒนาลักษณะชีวิตเราอย่างสมควรแล้วหรือยัง
• เราเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนชีวิตให้เป็นเหมือนพระองค์มากแค่ไหน
• อยู่ใกล้ใครก็มีโอกาสที่จะเป็นเหมือนคนๆนั้น
• เราอยู่ใกล้พระเจ้ามากแค่ไหนแล้ว

1 คร.6:9-10
9 ท่านไม่รู้หรือว่า คนอธรรมจะไม่มีส่วนในแผ่นดินของพระเจ้า อย่าหลงเลย คนล่วงประเวณี คนถือรูปเคารพ คนผิดผัวเมียเขา โสเภณีชาย ชายรักร่วมเพศ
10 คนขโมย คนโลภ คนขี้เมา คนปากร้าย คนฉ้อโกง จะไม่ได้รับส่วนในแผ่นดินของพระเจ้า

วว.22:14-15
14 คนทั้งหลายที่ชำระเสื้อผ้าของตนก็เป็นสุข เพื่อว่าเขาจะได้มีสิทธิ์ในต้นไม้แห่งชีวิต และเพื่อเขาจะได้เข้าไปในนครนั้นโดยทางประตู
15 ภายนอกนั้นมีสุนัข คนใช้เวทมนตร์ คนล่วงประเวณี คนฆ่ามนุษย์ คนไหว้รูปเคารพ ทุกคนที่รักการมุสาและประพฤติตาม

ทิ้งท้าย
• คริสเตียนบางท่าน อาจคิดว่า ตายก่อนได้เปรียบ บางคนอาจคิดว่าไม่อยากตายเลย
• จริงๆแล้ว การอยู่หรือตายในโลกนี้ ไม่ได้เป็นตัวแปรที่สำคัญที่สุดในชีวิตคริสเตียน
• ที่สำคัญยิ่งกว่าชีวิตในโลกนี้คือชีวิตแท้ ที่อยู่นิรันดรกับพระเจ้าในแผ่นดินสวรรค์
• หากไม่ได้เข้าสวรรค์ ยิ่งน่ากลัวยิ่งกว่า
• เรามีชีวิตอยู่หรือไม่นั้น เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า เราอยู่ก็เพื่อพระคริสต์ การตายก็ได้กำไร

ฟป.1:20-25
20 เพราะว่าเป็นความมุ่งมาดปรารถนาและความหวัง ว่าข้าพเจ้าจะไม่ได้รับความละอายใดๆเลย แต่เมื่อก่อนทุกครั้งมีใจกล้าเสมอฉันใด บัดนี้ก็ขอให้เป็นเช่นเดียวกันฉันนั้น พระคริสต์จะได้ทรงรับเกียรติในร่างกายของข้าพเจ้าเสมอ แม้จะโดยชีวิตหรือโดยความตาย
21 เพราะว่าสำหรับข้าพเจ้านั้น การมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระคริสต์ และการตายก็ได้กำไร
22 ถ้าข้าพเจ้ายังจะมีชีวิตอยู่ในร่างกาย ข้าพเจ้าก็จะทำงานให้เกิดผล แต่ข้าพเจ้าบอกไม่ได้ว่าจะเลือกฝ่ายไหนดี
23 ข้าพเจ้าลังเลใจอยู่ในระหว่างสองฝ่ายนี้ คือว่า ข้าพเจ้ามีความปรารถนาที่จะจากไปเพื่ออยู่กับพระคริสต์ ซึ่งประเสริฐกว่ามากนัก
24 แต่การที่ข้าพเจ้ายังมีชีวิตอยู่ในร่างกายนี้ก็จำเป็นมากสำหรับพวกท่าน
25 เมื่อข้าพเจ้าแน่ใจอย่างนี้แล้ว ข้าพเจ้าก็ทราบว่าข้าพเจ้าจะยังอยู่ คืออยู่กับท่านเพื่อให้ท่านจำเริญขึ้นและชื่นชมยินดีในความเชื่อ

• การอัศจรรย์ของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงกระทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ มีทั้งคนที่หายและไม่หาย
• แม้ว่าพระเจ้าจะทรงช่วยบางคนให้ฟื้นจากความตาย หรือหายจากโรคร้าย ก็ไม่ได้หมายความว่า คนๆนั้นจะไม่มีวันตาย
• พระองค์อนุญาตสำหรับบางเหตุการณ์ และทรงกระทำการสำหรับบางคนที่พระองค์ต้องพระประสงค์
• เพื่อเขาเหล่านั้นจะเป็นพรแก่แผ่นดินโลก และ เป็นพรแก่อาณาจักร เพื่อพระนามของพระองค์เลื่องลือไป และเป็นเหตุให้คนได้รับความรอด

ผู้อารักขา (5)‏

เชือกสามเกลียว
"9 สองคนดีกว่าคนเดียว เพราะว่าเขาทั้งสองได้รับผลของงานดี 10 ด้วยว่าถ้าคนหนึ่งล้มลง อีกคนหนึ่งจะได้พะยุงเพื่อนของตนให้ลุกขึ้น แต่วิบัติแก่คนนั้นที่อยู่คนเดียวเมื่อเขาล้มลง และไม่มีผู้อื่นพะยุงยกเขาให้ลุกขึ้น 11 อนึ่ง ถ้าสองคนนอนอยู่ด้วยกัน เขาก็อบอุ่น แต่ถ้านอนคนเดียวจะอุ่นอย่างไรได้เล่า 12 แม้คนหนึ่งสู้คนเดียวได้ สองคนคงสู้เขาได้แน่ เชือกสามเกลียวจะขาดง่ายก็หามิได้" (ปัญญาจารย์ 4:9-12)
"เต็มที่กับพระคริสต์" ไม่ได้มีความหมายว่า ลุยไปข้างหน้าในการรับใช้พระเจ้าเพียงคนเดียว แต่ยังมีนัยสำคัญที่หมายถึงการมี "เพื่อน ๆ" อีกหลายคนร่วมลุยไปด้วยกัน
การรับใช้พระเจ้าเพียงลำพัง ขาดประสิทธิภาพ แต่การทำงานในอนาคตในรุ่นพวกเรา เราจะต้องไปเป็นทีม ไปด้วยกัน
คนส่วนใหญ่ไม่ถวายตัวพระเจ้า เพราะกลัวจน เพราะคนรับใช้พระเจ้าจะต้องเสียสละ เงินเดือนน้อย อยู่อย่างลำบาก โดยเฉพาะที่ทำใจไม่ได้ คือ ลูกและภรรยาจะต้องลำบากด้วย
ค่าย YC เกิดขึ้นจากแรงบันดาลใจเช่นนี้ เพราะหนุ่มสาวคริสเตียนจำนวนมากที่มีความรู้ความสามารถ รักพระเจ้า กลับไปทำงานข้างนอก เพราะว่าเงินดีมาก โดยคิดว่าแค่ถวายทรัพย์ก็พอแล้ว รับใช้วันอาทิตย์ก็พอแล้ว เป็นกรรมการก็พอแล้ว จนไม่มีผู้ที่ถวายตัวเป็นผู้รับใช้พระเจ้า ค่าย YC จึงเกิดขึ้น
การรับใช้พระเจ้า ถ้ากระทำคนเดียว เหนื่อยมาก แต่สิ่งที่อยากจะเห็น คือ การทำงานกันเป็นทีม เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
ผมอยากให้ไอเดียเรื่อง "หุ้นส่วนร่วมรับใช้ 10:1"
ถ้าเพื่อน ๆ 10 คนมีรายได้คนละ 5 หมื่นบาท แล้วหนุนใจให้คนที่เ่ก่งที่สุด ถวายตัวรับใช้พระเจ้า 1 คน แล้วทั้ง 10 คน แต่ละคนสนับสนุนคนละ 10% คนที่ถวายตัวก็จะได้รับเงินเดือนเป็นเงินเดือนละ 5 หมื่นบาทเช่นกัน
ให้คนที่มีความสามารถ ถวายแรง และคนที่มีเงิน ถวายเงิน ถ้าเป็นเช่นนี้แล้ว คนเก่ง ๆ มีความสามารถ ก็จะไม่กลัวที่จะถวายตัวรับใช้พระเจ้าเต็มเวลา ลูกของผู้รับใช้ก็ควรที่จะมีโอกาสที่จะได้เรียนโรงเรียนดี ๆ เช่นกัน
พระเจ้าอาจจะมิได้เรียกเราให้ถวายตัวรับใช้พระเจ้าเต็มเวลาทันที แต่ถ้าหากพระเจ้าทรงท้าทายคุณวันนี้ แล้วคุณมีภาระใจ ขอที่เพื่อน ๆ จะร่วมกันที่จะเปิดโอกาสให้คุณได้ถวายตัวรับใช้
ถ้าเป็นไปได้ อยากหนุนใจให้มีโอกาสได้จัดตั้งเกลุ่มเชือกสามเกลียว เพื่อที่จะ
1. เปิดบัญชีธนาคารร่วมกัน
2. หาคนที่มีภาระใจมาร่วมมากขึ้น
3. พบกันเดือนละครั้ง เพื่ออธิษฐาน ปรึกษา/แบ่งปัน/หาข้อมูล และฝึกรับใช้พระเจ้าร่วมกัน เช่นทำ mission trip ร่วมกัน
หลายครั้ง ความตั้งใจของเราไม่มีการสานต่อ ไม่มีระบบรองรับ จึงไม่ได้กระทำจริง ๆจนสำเร็จ

อ. นิติเชษฐ์ สดุดีวงศ์
Bible Study 2, Youth Challenge 2009
เมื่อวันที่ 05/04/2009
เรื่อง ผู้อารักขา

วันเสาร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2552

คริสตจักรขององค์พระผู้เป็นเจ้า

"6 เมื่อเขาทั้งหลายได้ประชุมพร้อมกัน เขาจึงทูลถามพระองค์ว่า 'พระองค์เจ้าข้า พระองค์จะทรงตั้งราชอาณาจักรขึ้นใหม่ ให้แก่ชนอิสราเอลในครั้งนี้หรือ'
7 พระองค์ตรัสตอบเขาว่า 'ไม่ใช่ธุระของท่าน ที่จะรู้เวลา และวาระซึ่งพระบิดาได้ทรงกำหนดไว้ โดยสิทธิอำนาจของพระองค์
8 แต่ท่านทั้งหลายจะได้รับพระราชทานฤทธิ์เดช เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จมาเหนือท่าน และท่านทั้งหลายจะเป็นพยานฝ่ายเราในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย แคว้นสะมาเรีย และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก'
9 เมื่อพระองค์ตรัสเช่นนั้นแล้ว พระเจ้าทรงรับพระองค์ขึ้นไปต่อหน้าต่อตาเขา และมีเมฆคลุมพระองค์ให้พ้นสายตาของเขา
10 เมื่อเขากำลังเขม้นดูฟ้า เวลาที่พระองค์เสด็จขึ้นไปนั้น มีสองคนสวมเสื้อขาวมายืนอยู่ข้างๆ เขา
11 สองคนนั้นกล่าวว่า 'ชาวกาลิลีเอ๋ย เหตุไฉนท่านจึงเขม้นดูฟ้าสวรรค์ พระเยซูองค์นี้ซึ่งทรงรับไปจากท่านขึ้นไปยังสวรรค์นั้น จะเสด็จมาอีกเหมือนอย่างที่ท่านทั้งหลายได้เห็นพระองค์เสด็จไปยังสวรรค์ นั้น' " (กิจการ 1:6-11)


--------------------------------------------------------------------------------

สิ่งที่เราจะได้เรียนรู้ด้วยกัน จากพระธรรมตอนนี้ ได้แก่



1. คริสตจักรเป็นอาณาจักรของพระเจ้า ไม่ใช่เรื่องของการเมือง อำนาจ และสิทธิประโยชน์
"6 เมื่อเขาทั้งหลายได้ประชุมพร้อมกัน เขาจึงทูลถามพระองค์ว่า 'พระองค์เจ้าข้า พระองค์จะทรงตั้งราชอาณาจักรขึ้นใหม่ ให้แก่ชนอิสราเอลในครั้งนี้หรือ'
7 พระองค์ตรัสตอบเขาว่า 'ไม่ใช่ธุระของท่าน ที่จะรู้เวลา และวาระซึ่งพระบิดาได้ทรงกำหนดไว้ โดยสิทธิอำนาจของพระองค์' " (กิจการ 1:6-7)

ขณะที่สาวกดั้งคำถามกับพระเยซู ว่าจะทรงตั้งอาณาจักรหรือ?

แม้พระองค์ไม่ได้ปฏิเสธ แต่สิ่งที่พระองค์สะท้อนให้เห็น ก็คือ คริสตจักร เป็นอาณาจักรของพระเจ้าที่ทรงไว้ซึ่งสิทธิอำนาจ ตั้งอยู่บนโลกนี้ และทรงมีน้ำพระทัยที่ดียอดเยี่ยมสำหรับคริสตจักรของพระองค์

คริสตจักรเป็นเรื่องของจิตวิญญาณ เป็นอาณาจักรของพระเจ้า เป็นที่ที่เราทั้งหลายจะมานมัสการพระองค์ด้วยความยำเกรง เป็นที่ที่เราจะใช้ชีวิตที่ชอบพระทัยพระเจ้า เป็นแสงสว่าง เป็นเกลือของโลก

ในคริสจักร จึงได้มีการพยายามเน้นให้พี่น้องเฝ้าเดี่ยว ไม่ขาดการนมัสการ ใช้ชีวิตที่ดีงาม เป็นพยานเพื่อถวายเกียรติยศแด่พระเจ้า

"เหตุฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงเป็นคนดีรอบคอบ เหมือนอย่างพระบิดาของท่าน ผู้ทรงสถิตในสวรรค์ เป็นผู้ดีรอบคอบ" (มัทธิว 5:48)

จึงขอยืนยันว่า คริสตจักรเป็นเรื่องของจิตวิญญาณ เป็นอาณาจักรของพระเจ้า



2. คริสตจักรเป็นฤทธานุภาพของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับกำลัง ความรู้ ความสามารถของมนุษย์
"แต่ท่านทั้งหลายจะได้รับพระราชทานฤทธิ์เดช เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จมาเหนือท่าน และท่านทั้งหลายจะเป็นพยานฝ่ายเราในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย แคว้นสะมาเรีย และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก" (กิจการ 1:8)

หลังจากที่พระองค์ตรัสว่า อาณาจักรของพระเจ้าเป็นสิทธิของพระองค์แล้ว ระองค์ทรงให้ภาพว่า คริสตจักรเป็นเรื่องฤทธานุภาพของพระวิญญาณบริสุทธิ์

ในพระธรรมกิจการ แม้ว่าชื่อจะบอกว่า เป็นกิจการของอัครทูต แต่จริง ๆ แล้วล้วนเป็นกิจการของพระวิญญาณบริสุทธิ์

สาวกรุ่นแรกของพระเยซูคริสต์ ไม่ได้มีความสามารถหรือมีความรู้อะไรเป็นพิเศษ นอกจากทักษะการจับปลา แต่คนเหล่านี้กลับสามารถนำคนมารับเชื่อได้เป็นพัน ๆ คน ถ้าไม่ใช่เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ พวกเขาจะทำเช่นนี้ได้หรือ?

สาวกของพระองค์ จากเดิมเป็นคนที่กลัว ถึงขนาดหนีไปจากพระองค์ ปฏิเสธพระองค์ กลับมีความกล้ามากถึงขนาดที่สามารถพูดต่อหน้าสภาได้

"ฝ่ายเปโตรกับอัครทูตอื่นๆ ตอบว่า 'ข้าพเจ้าจำต้องเชื่อฟังพระเจ้ายิ่งกว่าเชื่อฟังมนุษย์' " (กิจการ 5:29)

เซาโล ได้ใช้ความรู้ความสามารถของตน เป็นฟาริสีที่ดี แต่ผลคือ ทุกอย่างล้มเหลว แต่เมื่อท่านได้กลับใจ เปลี่ยนชื่อเป็น เปาโล ท่าทีการทำพันธกิจของท่านแตกต่างอย่างสิ้นเชิง สิ่งที่เคยมี ได้แก่ ความรู้ความสามารถ และสิ่งที่เคยพึ่งพิง ได้แก่ ตำแหน่ง หน้าที่ ท่านกลับบอกว่า ทุกสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงแค่หยากเยื่อ

"ที่จริงข้าพเจ้าถือว่าสิ่งสารพัดไร้ประโยชน์เพราะเห็นแก่ความประเสริฐแห่งความรู้ถึงพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า เพราะเหตุพระองค์ ข้าพเจ้าจึงได้ยอมสละสิ่งสารพัด และถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเหมือนหยากเหยื่อ เพื่อข้าพเจ้าจะได้พระคริสต์" (ฟิลิปปี 3:8)

จดหมายฝากอาจารย์เปาโล แทบจะทุกฉบับ ท่านจะฝากให้คริสตจักรอธิษฐานเพื่อท่านเสมอ เพราะท่านรู้ว่า ท่านทำทุกสิ่งทุกอย่างเองไม่ได้ ต้องอาศัยกำลังจากพระองค์

"18 จงอธิษฐานวิงวอนทุกอย่าง จงขอโดยพระวิญญาณทุกเวลา ทั้งนี้จงระวังตัวด้วยความเพียรทุกอย่าง จงอธิษฐานเพื่อธรรมิกชนทุกคน
19 และอธิษฐานเพื่อข้าพเจ้าด้วย เพื่อจะทรงประทานให้ข้าพเจ้ามีคำพูด และเกิดใจกล้า ประกาศ และสำแดงข้อลับลึกแห่งข่าวประเสริฐได้" (เอเฟซัส 6:18-19)

อาจารย์เปาโลรับใช้พระเจ้า สัตย์ซื่อ เกิดผลมากมาย ท่านเองมีประสบการณ์มาก มีความรู้ในทางของพระเจ้ามาก ประกาศ นำคน สร้างผู้นำมากมาย แต่ท่านรู้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องวิญญาณ ถ้าไม่ใช่พระเมตตาของพระเจ้า ไม่ใช่ฤทธานุภาพของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ท่านรู้ว่าท่านทำไม่ได้ ท่านต้องอาศัยพระวิญญาณบริสุทธิ์

"แล้วท่านจึงตอบข้าพเจ้าว่า 'นี่เป็นพระวจนะของพระเจ้าที่ให้ไว้กับเศรุบบาเบล ว่า มิใช่ด้วยกำลัง มิใช่ด้วยฤทธานุภาพ แต่ด้วยวิญญาณของเรา พระเจ้าจอมโยธาตรัสดังนี้แหละ' " (เศคาริยาห์ 4:6)

ครั้งหนึ่ง มูดี้ประกาศเทศนาพระกิตติคุณ ท่านเป็นห่วงมากเพราะเป็นช่วงแรกที่ท่านประกาศครั้งใหญ่ ท่านอธิษฐานมอบแด่พระเจ้า ขอบคุณพระเจ้า ขณะเทศนา พระเจ้าทรงนำ พี่น้องจำนวนหนึ่งอธิษฐานเพื่อท่านอย่างจริงจัง และท่านก็ได้นำคนเป็นร้อย ๆ กลับใจรับเชื่อ

มีคนตื่นเต้นอย่างมาก มาพูดคุยกับท่าน ท่านตอบว่า "ไม่ใช่เพราะคำเทศนา แต่เป็นเพราะพี่น้องที่ได้อธิษฐานเพื่อ พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำการ จึงมีคนกลับใจรับเชื่อ"

เรื่องของคริสตจักรเราต้องพึ่งฤทธานุภาพของพระเจ้าอยู่เสมอ



3. คริสตจักรเป็นพยานชีวิตประจำวันของผู้เชื่อ ไม่ใช่อาศัยกิจกรรม หรือเทคโนโลยีสมัยใหม่ (ข้อ8)
"แต่ท่านทั้งหลายจะได้รับพระราชทานฤทธิ์เดช เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จมาเหนือท่าน และท่านทั้งหลายจะเป็นพยานฝ่ายเราในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย แคว้นสะมาเรีย และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก" (กิจการ 1:8)

แม้จะมีการใช้เทคโนโลยีมากมายในการเทศนาสั่งสอน แต่คริสตจักรของพระเจ้าไม่ได้ขึ้นกับสิ่งเหล่านี้ หากแต่เป็นพยานชีวิตของพี่น้องทั้งหลาย ที่มีส่วนที่ทำให้คริสตจักรเติบโตและเกิดผล

บิลลี่ เกรแฮม ท่านกล่าวว่า จะไม่ไปที่ประเทศหนึ่งเลย ถ้าหากคริสตจักรไม่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันภายใน 1 ปี ขอบคุณพระเจ้า เมื่อกำหนดมาถึง คริสตจักรในประเทศนั้นก็สามารถรวมเป็นหนึ่งได้ และท่านก็ได้มา คำเทศนาของท่านก็เป็นสิ่งที่ดูแล้วไม่ได้เป็นสิ่งใหม่เลย แต่เมื่อท่านเรียกให้ผู้เดินออกมารับเชื่อ รับการอธิษฐาน กลับมีคนออกมาเป็นพันคน

นี่เป็นเพราะอะไร? ท่านได้เป็นพยานว่า "เป็นเพราะพี่น้องทั้งหลายได้เป็นพยาน ได้ออกไปเชิญชวน ร่วมมือกับท่าน คริสตจักรจึงเกิดผล ผมเพียงทำหน้าที่เก็บเกี่ยวเท่านั้น"

พยานชีวิตของพี่น้องในคริสตจกัร เป็นเรื่องสำคัญมาก

"พยานฝ่ายเรา" หมายถึง การกล่าวเรื่องที่ได้เห็น เรื่องที่ได้ยิน ความรู้สึกที่ได้สัมผัส ให้ผู้อื่นได้ยิน ได้ฟัง ได้เห็น บอกเพียงเท่านี้ แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทำงานในจิตใจของผู้ที่ได้ยิน

คริสตจักรไม่น้อย พยายามใช้ความรู้ ความสามารถ ในการบริหารจัดการ แต่กลับไม่ได้ผลเท่าที่ควร ขณะเดียวกัน คริสตจักรไม่น้อยเช่นกัน ที่ไม่ได้มีกิจกรรมมากนัก แต่คริสตจักรเหล่านี้กลับเจริญเติบโตอย่างมาก เมื่อสมาชิกมีวินัย ใกล้ชิดติดสนิทพระเจ้า ให้พระเจ้าเป็นเอก กระทำตามพระมหาบัญญชา ชีวิตที่เรียบง่ายของพี่น้องเหล่านี้ เป็นผลให้เกิดการเปลี่ยแปลง ให้เกิดการเติบโตอย่างมากมาย

ผู้ปกครองท่านหนึ่งเป็นเจ้าของโรงงาน ไม่ง่ายที่จะปกครองคนงานทั้งหลาย เพราะลูกน้องก็หลากหลาย ผู้ปกครองท่านนี้ เป็นพยานว่า เดิม เมื่อใครทำผิด มีปัญหา เขาจะด่าว่า จัดการทันที แต่เมื่อเขาได้กลับใจใหม่ สัมผัสถึงพระคุณความรักของพระเจ้า และตระหนักว่าชีวิตจะต้องเป็นพยาน เขาก็ได้รับการเปลี่ยนแปลง เขาติดสนิทอ่านพระคัมภีร์ทุก ๆ วัน เขาก็ใจเย็นลง และเปลี่ยนท่าที เขาเปลี่ยนวิธีปฏิบัติต่อลูกน้อย ไม่ว่าใครก็ตาม เขาก็จะปฏิบิติด้วยอย่างพี่น้อง ลูกน้องก็กลับเกรงใจมากขึ้น

ชีวิตของผู้ปกครองท่านนี้ กล้าที่จะปฏิเสธสิ่งที่ผิดกฎหมาย เรื่องการคอรัปชั่น ซึ่งเป็นแบบอย่างให้แก่ลูกน้อง และมีหลายคนประทับใจในชีวิตของเขา ที่เป็นคนดี สุจริต

ขอบคุณพระเจ้า คนงานมากกว่าครึ่งหนึ่ง กลับใจเป็นคริสเตียน และอีกไม่นาน ก็จะมีการตั้งศาลาธรรมที่บริเวณใกล้โรงงานของเขา

ชีวิตที่เป็นพยานของเรา มีผลมาก มีส่วนที่จะทำให้คริสตจักรเคลื่อนไหวและเกิดผล

"พยานซื่อตรงช่วยชีวิตให้รอด แต่ผู้ที่เปล่งคำมุสาเป็นคนขายคน" (สุภาษิต 14:25)

ขั้นตอนการเป็นพยาน ต้องเริ่มต้นจาก เยรูซาเล็ม ยูเดีย สะมาเรีย และสุดปลายแผ่นดินโลก หมายถึง การเป็นพยานชีวิต ควรจะเริ่มต้นตั้งแต่ใกล้ตัว และขยายออกไป ให้เราเริ่มจากบุคคลในครอบครัว ญาติมิตร เพื่อนร่วมงาน และขยายออกไปจนข้ามชนชาติ ข้ามวัฒนธรรม

ขอเชิญชวนท่านทั้งหลาย ที่จะนำคนในครอบครัว ให้มาถึงองค์พระผู้เป็นเจ้า และชีวิตที่ดีงามของเราก็จะเป็นสิ่งที่จะนำคนใกล้ตัวมารู้จักพระเจ้าได้เป็นอย่างดี

เจม สมิทธิ์ ได้กล่าวไว้ว่า "แสงสว่างที่ส่องออกไปได้ไกลมากนัก จะสว่างที่สุดที่จุดเริ่มต้น คือ ที่บ้านของเรานั่นเอง"

เราได้เป็นพยานชีวิตที่ดีงามแก่คนในครอบครัวแล้วหรือยัง ?



4. คริสตจักรเป็นชุมชนแห่งความเชื่อ ความหวัง และความรัก ไม่ใช่องค์กรที่มุ่งเน้นผลประโยชน์แห่งคน
"9 เมื่อพระองค์ตรัสเช่นนั้นแล้ว พระเจ้าทรงรับพระองค์ขึ้นไปต่อหน้าต่อตาเขา และมีเมฆคลุมพระองค์ให้พ้นสายตาของเขา
10 เมื่อเขากำลังเขม้นดูฟ้า เวลาที่พระองค์เสด็จขึ้นไปนั้น มีสองคนสวมเสื้อขาวมายืนอยู่ข้างๆ เขา
11 สองคนนั้นกล่าวว่า 'ชาวกาลิลีเอ๋ย เหตุไฉนท่านจึงเขม้นดูฟ้าสวรรค์ พระเยซูองค์นี้ซึ่งทรงรับไปจากท่านขึ้นไปยังสวรรค์นั้น จะเสด็จมาอีกเหมือนอย่างที่ท่านทั้งหลายได้เห็นพระองค์เสด็จไปยังสวรรค์ นั้น' " (กิจการ 1:9-11)

ทูตสวรรค์กำลังบอกเป็นนัยว่า แม้ว่าพระเยซูคริสต์เจ้าจะเสด็จสู่สวรรค์แล้ว แต่ท่านทั้งหลายยังคงต้องดำเนินชีวิตในโลกนี้ ให้มีความหวัง ความรัก รอคอยวันที่พระองค์จะเสด็จมาอีกครั้งหนี่ง

สาวกในเวลานั้น คงจะรู้สึกเคว้งคว้าง ว่าพระองค์ทรงไปแล้วหรือ

แต่สาวกเหล่านี้ เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นว่า จะกระทำตามสิ่งที่พระองค์ทรงสั่งสอน จะเริ่มต้นใหม่ ก้าวไปข้างหน้า ดำเนินชีวิตให้สมกับที่เป็นสาวกของพระคริสต์

คริสตจักรเป็นรูปธรรมเกิดขึ้นในอีก 10 วันต่อมา ในวันเพนเทคศเต ซึ่งเป็นวันที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ได้เสด็จมา

แล้วหลังจากนั้น พวกสาวกก็ได้รับใช้อย่างเต็มที่ โดยพึ่งพาพระวิญญาณบริสุทธิ์

"เพราะเหตุนั้นเอง ข้าพเจ้าจึงได้ทนทุกข์ลำบากเช่นนี้ ถึงกระนั้นข้าพเจ้าก็ไม่ละอาย เพราะว่าข้าพเจ้ารู้จักพระองค์ที่ข้าพเจ้าได้เชื่อ และข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า พระองค์ทรงสามารถรักษา ซึ่งข้าพเจ้าได้มอบไว้กับพระองค์ {หรือ ซึ่งพระองค์ได้ทรงมอบให้แก่ข้าพเจ้า} จนถึงวันพิพากษาได้" (2ทิโมธี 1:12)

พวกเขาไม่ยึดติดกับโลกนี้ แต่หวังใจนการเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์

"3 สาธุการแด่พระเจ้าพระบิดาแห่งพระเยซูคริสตเจ้าของเรา ผู้ได้ทรงพระมหากรุณาแก่เรา ทรงโปรดให้เราบังเกิดใหม่ เข้าสู่ความหวังใจอันมีชีวิตอยู่ โดยการคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์
4 และเพื่อให้ได้รับมรดกซึ่งไม่รู้เปื่อยเน่า ปราศจากมลทิน และไม่ร่วงโรยซึ่งได้เตรียมไว้ในสวรรค์ เพื่อท่านทั้งหลาย (1เปโตร 1:3-4)

คริสตจักรในยุคแรกได้เต็มเปี่ยมด้วยความรัก และผูกพันเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างแท้จริง

"32 คนทั้งปวงที่เชื่อนั้นเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และไม่มีใครอ้างว่าสิ่งของที่ตนมีอยู่เป็นของตน แต่ทั้งหมดเป็นของกลาง
33 อัครทูตจึงประกอบด้วยฤทธิ์เดชใหญ่ยิ่ง เป็นพยานว่าพระเยซูเจ้าได้ทรงคืนพระชนม์แล้ว และพระคุณอันใหญ่ยิ่งได้อยู่กับเขาทุกคน (กิจการ4:31-32)

แม้เราจะอยู่ในสังคมที่เต็มไปด้วยปัญหาอย่างมากมาย แต่เราจะไม่เป็นปัญหาเหมือนคนอื่น เพราะว่าเรามีพระเจ้า

"เรารู้ว่า พระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง คือคนทั้งปวงที่พระองค์ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์" (โรม 8:28)

"31 ถ้าเช่นนั้น เราจะว่าอย่างไร ถ้าพระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายเรา ใครจะขัดขวางเรา
32 พระองค์ผู้มิได้ทรงหวงพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ แต่ได้ทรงโปรดประทานพระบุตรนั้นเพื่อประโยชน์แก่เรา ถ้าเช่นนั้นพระองค์จะไม่ทรงโปรดประทานสิ่งสารพัดให้เราทั้งหลาย ด้วยกันกับพระบุตรนั้นหรือ" (โรม 8:31-32)

พี่น้องที่รัก ขอที่เราเชื่อและวางใจในพระเจ้า มีความหวังในพระองค์ รักพระเจ้า รักพี่น้อง ให้อภัย ช่วยเหลือกัน เกื้อหนุนซึ่งกันและกัน เราทุกคนมีส่วน ที่จะทำให้คริสตจักรของเรา เป็นพระพรอย่างแท้จริง



ศจ. วิรัช เศรษฐ์โสภณกุล

สรุปคำเทศนาโบสถ์ไทย คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 19/04/2009

เรื่อง คริสตจักรขององค์พระผู้เป็นเจ้า

ผู้อารักขา (4)‏

บทเรียนของหญิงม่าย
"8 และพระวจนะของพระเจ้ามายังท่านว่า
9 'ลุกขึ้นไปยังเมืองศาเรฟัทเถิด ซึ่งขึ้นแก่เมืองไซดอน และอาศัยอยู่ที่นั่น ดูเถิด เราได้บัญชาหญิงม่ายคนหนึ่งที่นั่นให้เลี้ยงเจ้า'
10 ท่านจึงลุกขึ้นไปยังเมืองศาเรฟัท และเมื่อมาถึงประตูเมือง ดูเถิด หญิงม่ายคนหนึ่งที่นั่นกำลังเก็บฟืน ท่านจึงเรียกนางว่า 'ขอน้ำเล็กน้อยใส่ภาชนะมาให้ฉัน เพื่อฉันจะได้ดื่มน้ำ'
11 และขณะเมื่อนางจะไปเอาน้ำมา ท่านก็เรียกนางแล้วบอกว่า 'ขอนำอาหารใส่มือมาให้ฉันสักหน่อยหนึ่ง'
12 และนางตอบว่า 'พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ดิฉันไม่มีอะไรที่ปิ้งเสร็จ มีแต่แป้งสักกำมือหนึ่งในหม้อ และน้ำมันเล็กน้อยที่ในไห บัดนี้ดิฉันกำลังเก็บฟืนเล็กน้อย เพื่อจะเข้าไปทำสำหรับตัวดิฉัน และบุตรชายของดิฉัน เพื่อเราจะได้กินแล้วก็จะตาย'
13 และเอลียาห์บอกนางว่า 'อย่ากลัวเลย จงไปทำตามที่เจ้าพูด แต่จงทำขนมก้อนเล็กให้ฉันก่อน แล้วเอามาให้ฉัน ภายหลังจึงทำสำหรับตัวเจ้า และบุตรของเจ้า
14 เพราะพระเยโฮวาห์พระเจ้าของอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า 'แป้งในหม้อนั้นจะไม่หมด และน้ำมันในไหนั้นจะไม่ขาด จนกว่าจะถึงวันที่พระเจ้าทรงส่งฝนลงมายังพื้นดิน'
15 นางก็ไปกระทำตามคำของเอลียาห์ นาง ตัวท่าน และครอบครัวของนางก็รับประทานอยู่หลายวัน
16 แป้งในหม้อก็ไม่หมด น้ำมันในไหก็ไม่ขาด ตามพระวจนะของพระเจ้าซึ่งตรัสทางเอลียาห์
17 และอยู่มาหลังจากนี้ บุตรชายของหญิงคนนั้นผู้เป็นเจ้าของบ้านก็ล้มป่วย อาการป่วยนั้นก็สาหัส จนไม่มีลมหายใจเหลืออยู่แล้ว
18 นางจึงกล่าวแก่เอลียาห์ว่า 'โอ คนของพระเจ้า เจ้าข้า ฉันมีเรื่องอะไรเกี่ยวข้องกับท่าน ท่านได้มาหาฉัน เพื่อฟื้นให้ทรงระลึกถึงความผิดของฉัน และกระทำให้บุตรของฉันตาย'
19 และท่านก็พูดกับนางว่า 'เอาบุตรของเจ้ามาให้ฉันเถิด' ท่านก็นำเขาไปจากอกของนาง อุ้มขึ้นไปที่ห้องชั้นบนที่อาศัยอยู่ และวางเขาไว้บนที่นอนของท่านเอง
20 และท่านร้องทูลพระเจ้าว่า 'ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพระองค์ พระองค์ทรงนำเหตุร้ายมา จนกระทั่งหญิงม่ายนี้ที่ข้าพระองค์อาศัยอยู่ด้วยทีเดียวหรือ โดยที่ทรงประหารบุตรของนางเสีย'
21 แล้วท่านก็เหยียดตัวลงทับเด็กนั้นสามครั้ง และร้องทูลพระเจ้าว่า 'ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพระองค์ ขอชีวิตของเด็กคนนี้มาเข้าในตัวเขาอีก'
22 และพระเจ้าทรงฟังเสียงของเอลียาห์ และชีวิตของเด็กนั้นมาเข้าในตัวเขาอีก และเขาก็ฟื้นขึ้น
23 และเอลียาห์ก็อุ้มเด็กนั้น นำลงมาจากห้องชั้นบนเข้าไปในเรือน และมอบเขาให้แก่มารดาของเด็ก และเอลียาห์บอกว่า 'ดูซิ บุตรของเจ้ายังมีชีวิตอยู่'
24 และหญิงนั้นพูดกับเอลียาห์ว่า 'คราวนี้ ดิฉันทราบแล้วว่า ท่านเป็นคนของพระเจ้า และพระวจนะของพระเจ้าอยู่ในปากของท่านจริงๆ' " (1พงษ์กษัตริย์ 17:8-24)

1 พระเจ้าทรงใช้คนธรรมดา
พระคัมภีร์ตอนนี้ พูดถึงตอนหลังจากที่เอลียาห์สาบแผ่นดินอิสราเอล มีความทุกข์ยากต่าง ๆ มากมายทั่วแผ่นดิน เพราะอิสราเอลทำผิดต่อพระเจ้า

ท่านเอลียาห์หลบไป และพระเจ้าทรงให้อีกาส่งอาหารให้เอลียาห์ทุกวัน

ต่อมา พระเจ้าทรงให้เอลียาห์ไปขอความช่วยเหลือจากคน ๆ หนึ่ง ซึ่งไม่ใช่กษัตริย์ ขุนนาง พ่อค้า หรือร่ำรวยใด ๆ แต่ให้ไปหาหญิงม่าย ไปหาคนที่ยากจนที่สุด

หญิงม่ายในอดีต เกิดจากสามีเสียชีวิต สถานะในสังคมต่ำต้อยที่สุด ไม่มีอาชีพ ไม่มีรายได้ ลำบาก แต่ในเหตุการณ์ครั้งนี้ พระเจ้ากลับทรงส่งเอลียาห์ไปหาหญิงม่ายที่ยากจนที่สุด เพื่อที่จะดูแลท่าน นี่แหละ จึงทำให้เอลียาห์ได้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าได้อย่างดี เพราะถ้าหากพระเจ้าให้เอลียาห์ไปหากษัตริย์ ผู้ร่ำรวย ก็คงจะเป็นเรื่องธรรมดา

พระเจ้าทรงใช้คนทั้งหลายที่เป็นคนธรรมดาได้ พระเจ้าทรงใช้หญิงม่ายได้ แน่นอนทีเดียว พระเจ้าก็จะทรงใช้พวกเรา ซึ่งเป็นเยาวชน ที่จะดูแลคริสตจักร ดูแลผู้เชื่ออื่น ๆ ได้

ดังที่พระคัมภีร์กล่าวในเรื่องขนมปังห้าก้อนและปลาสองตัว ถ้าเรามีใจ รักในพระเจ้า เป็นเหมือนอนุชนคนนั้นที่เป็นเจ้าของขนมปัง พระเจ้าก็จะใช้สิ่งที่เรามี ใช้เรา เพื่อให้เกิดผลได้อย่างมากมาย

2 อย่าเห็นแก่ตัว
เอลียาห์เชื่อฟังพระเจ้า และกระทำตามที่พระเจ้าทรงนำ

หญิงม่าย ขณะเก็บฟืน จิตใจคงกำลังว้าวุ่น เครียด เพราะว่าเขากำลังเตรียมทำอาหารมื้อสุดท้าย และเตรียมที่จะตาย เขาคงจะมองอะไรไม่เห็นแล้ว ไม่รู้ว่าชีวิตจะอยู่ได้อย่างไร คิดถึงเรื่องความทุกข์ยากของตนเอง

จนกระทั่งเอลียาห์มาทักเพื่อขอน้ำดื่ม หญิงนั้นจึงตกใจ เพราะว่าก่อนหน้านั้นมัวแต่ก้มหน้า มองแต่ความต้องการของตัวเอง ไม่ได้สนใจคนอื่น

ปัญหาสังคมปัจจุบันก็เป็นเช่นนี้ เพราะคนเราเห็นแก่ตัว มองแต่ปัญหาของตัวเอง ไม่เห็นคนอื่นในสายตา สังคมจึงมีปัญหามากมาย

เมื่อเอลียาห์ขอความช่วยเหลือ หญิงคนนั้นก็ได้ "เงย" หน้าขึ้นมาจากการมองดูตนเอง แล้วหันมามองดูคนอื่นรอบตัวว่าสามารถช่วยอะไรพวกเขาได้บ้าง

ขอพระเจ้าทรงเปิดใจของเรา ชีวิตของเรา ถ้าหากเราดำรงชีวิตเพื่อคนอื่น ชีวิตเราจะมีค่า มีความหมายมาก ท่ามกลางชีวิตที่ดำเนินไป อย่าเห็นแก่ตัว

3 จงถวายอย่างสุดกำลัง

3.1 พระเจ้าไม่เคยขอในสิ่งที่เราไม่มี

ดังเช่นที่เอลียาห์ขอจากหญิงม่ายนี้ เริ่มขอจากน้ำที่เขาเพิ่งตัก ต่อมาก็เริ่มขออาหาร ซึ่งหญิงม่ายนั้นก็ยังมีอยู่ แต่ว่ายากขึ้นมา แต่อย่างไรก็ตาม พระเจ้าทรงขอในสิ่งที่เรามีอยู่แล้ว อยู่ที่ว่าเราจะมอบให้กับพระองค์หรือไม่

เมื่อมีพันธกิจที่ต้องการเงิน คนก็มักจะมองว่า ผู้ที่มีเงินทั้งหลาย ผู้ที่มีฐานะ น่าจะเป็นผู้ที่เป็นแหล่งทุนทรั้พย์ในการถวายเพื่อพันธกิจเหล่านี้ แต่เรามักจะลืมตัวเราเอง เรามักจะคิดว่าเราจน และนี่แหละ จึงเป้นเหตุผลที่คนที่รวย ก็มักจะรวยยิ่งขึ้นไปอีก และคนที่จน ก็ยังคงจนต่อไป เพราะท่าทีที่ไม่ถูกต้อง จึงยังขัดสนอยู่เสมอ ขอพระเจ้าเปิดตาใจ เพราะพระองค์ไม่เคยขอในสิ่งที่เราไม่มี

3.2 จงพิสูจน์ความรักด้วยทั้งหมดที่เรามี

เมื่อเอลียาห์ขออาหารต่อหญิงม่าย ก็คงจะเป็นการยากจริง ๆ เพราะอาหารนั้นจะเป็นสิ่งที่หญิงม่ายเหลืออยู่เพื่อยังชีพ อาจดูเหมือนว่าเอลียาห์ใจร้าย กล้าขอได้อย่างไร แต่ในสายพระเนตรพระเจ้า พระเจ้าทรงสามารถเลี้ยงดูหญิงม่ายคนนี้ได้อย่างแน่นอน ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับพระองค์ที่จะประทานอาหารแก่เขา

พระเจ้าไม่ได้วัดว่าเราให้จำนวนเท่าไหร่ แต่พระเจ้าทรงวัดว่าเราให้พระเจ้าเต็มที่หรือไม่ ทรงวัดว่าเรามีเงินเหลืออยู่เท่าไหร่

พระเจ้าไม่ได้ต้องการเงินจากเรา เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของพระเจ้า พระเจ้าทรงเป็นเจ้าของสรรพสิ่งทั้งปวง แต่ทรงต้องการใจของเราที่มีให้ต่อพระองค์ พระเจ้าทรงต้องการท่าทีที่ถูกต้องของเรา ให้เราเติบโตขึ้นกับพระองค์ มีประสบการณ์ในฤทธิ์เดชของพระเจ้า โดยผ่านทางการถวาย

3.3 การถวายอย่างสุดกำลัง มักจะรู้สึกเสียดาย (เจ็บ)

เราทุกคนเป็นคนบาป ความรู้สึกเสียดายเป็นความรู้สึกปกติ ยิ่งเราเสียดายมาก ก็แสดงว่าเรายังยึดกับสิ่งเหล่านั้นมาก แสดงว่าเราก็ยังไม่เข้าใจบทบาทของผู้อารักขาที่ถูกต้อง เขาคิดว่าสิ่งเหล่านั้นได้มาเพราะเขาหามาเอง ไม่ได้ตระหนักว่าพระเจ้าเป็นผู้จัดเตรียมให้แก่เขา ไม่ได้ตระหนักว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของพระองค์

เปรียบเทียบกับการออกกำลังกาย ถ้าเราไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย วิ่งเพียงไม่นานก็เหนื่อย แต่ถ้าเราฝืน มีวินัย ฝึกฝนทุกวัน ร่างกายแข็งแรงขึ้น เราก็จะเหนื่อยน้อยลง และถ้าเราต้องการพัฒนามากว่านี้ เราจะยิ่งต้อนวิ่งไกลขึ้น ทุกครั้งที่เราเพิ่มระยะทาง เราก็จะต้องฝืนทน จนร่างกายเข้มแข็งพอ จึงสามารถทำได้ในที่สุด

เ่ช่นเดียวกัน การถวาย เราจะต้องฝึกฝน ที่จะถวายมอบแด่พระเจ้ามากขึ้น ๆ จนกระทั่งเราจะได้เป็นผู้อารักขาที่ดีของพระเจ้า ขอที่เราจะอธิษฐานขอกำลังจากพระเจ้า

4 จงถวายด้วยความเชื่อ

เอลียาห์มิได้เรียกร้องให้หญิงม่ายให้ถวายเพียงแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ แต่ท่านเรียกร้องให้หญิงม่ายถวายทั้งหมดที่เขามี โดยอ้างถึงพระสัญญาของพระเจ้า เอลียาห์ไม่สามารถช่วยหญิงม่ายคนนี้ได้ แต่ท่านรู้ว่าพระเจ้าทรงสามารถช่วยหญิงม่ายคนนี้ได้

จงถวายด้วยความเชื่อ แล้วพระเจ้าจะทรงรับผิดชอบดูแลชีวิตของท่านเอง พระเจ้าจะทรงเปิดหน้าต่างในฟ้าสวรรค์ เทพรอย่างล้นไหล

"10 พระเจ้าจอมโยธาตรัสว่า จงนำทศางค์เต็มขนาดมาไว้ในคลัง เพื่อว่าจะมีอาหารในนิเวศของเรา จงลองดูเราในเรื่องนี้ดูทีหรือว่า เราจะเปิดหน้าต่างในฟ้าสวรรค์ให้เจ้า และเทพรอย่างล้นไหลมาให้เจ้าหรือไม่
11 เราจะขนาบตัวที่ทำลายให้แก่เจ้า เพื่อว่ามันจะไม่ทำลายผลแห่งพื้นดินของเจ้า และผลองุ่นในไร่นาของเจ้าจะไม่ร่วง พระเจ้าจอมโยธาตรัสดังนี้แหละ
12 พระเจ้าจอมโยธาตรัสว่า แล้วประชาชาติทั้งสิ้นจะเรียกเจ้าว่า ผู้ที่ได้รับพระพร ด้วยว่าเจ้าจะเป็นแผ่นดินที่น่าพึงใจ" (มาลาคี 3:10-13)

พระเจ้าประทานของดีทุกสิ่งอย่างเพียงพอ

"และพระเจ้าทรงฤทธิ์อาจประทานของดีทุกสิ่งอย่างอุดมแก่ท่านทั้งหลาย เพื่อให้ท่านมีทุกสิ่งทุกอย่างเพียงพอสำหรับตัวเสมอ ทั้งจะมีสิ่งของบริบูรณ์สำหรับงานที่ดีทุกอย่างด้วย" (2โครินธ์ 9:8)

พันธกิจมานาประจำวัน ไม่ได้รับการสนับสนุนจากเมืองนอก แต่พันธกิจนี้จะอยู่ได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับการถวาย ขึ้นอยู่กับภาระใจของผู้ที่ได้รับหนังสือเล่มนี้

คืนหนึ่ง ลูกสาวของผมก็เดินมาหาผม บอกว่า "ได้ข่าวว่ามานาประจำวันไม่มีเงินใช่หรือไม่ จะขออนุญาตเอาเงินที่คุณพ่อเก็บไว้ในตู้เซฟไว้ให้เขา ถวายให้มานาประจำวันได้หรือไม่"

ผมได้ยินอย่างนี้แล้วผมน้ำตาไหล รู้สึกว่านอนตายตาหลับ เชื่อว่าชีวิตของเขาจะต้องเจริญขึ้นอย่างแน่นอน

สิ่งที่ผมทำก็คือ ผมเอาเงินของผมเอง ถวายให้มานาประจำวัน 2000 บาท โดยที่ไม่ได้แตะเงินในตู้เซฟนั้นเลย โดยที่ลูกสาวไม่รู้ และเงินก็ยังอยู่ครบในตู่เซฟ

พระเจ้าจะทรงทำเช่นนี้แหละ เมื่อเราถวายให้พระองค์ ให้พระองค์ก่อนเสมอ พระเจ้าจะทรงดูแลเราอย่างอัศจรรย์ อย่างที่เราคาดคิดไม่ถึง

ผู้ก่อตั้งบริษัทคอลเกต เป็นคริสเตียน ได้เติบโตในครอบครัวคริสเตียน และเขาได้รับการปลูกฝังอย่างมากมาย เรื่องการถวายสิบลด และเขาก็ได้ถวายสิบลดตลอดมา

แต่เมื่อเขาอายุมาก เขามิได้เพียงถวายแค่สิบลด แต่เขาได้ถวายถึง 90% และเก็บไว้สำหรับตัวเองเพียงแค่ 10% พี่น้องครับ เขามีเงินอยู่หลายพันล้านทีเดียว

พลังแห่งชีวิต เป็นโครงการที่ได้รับการถวายจากเศรษฐีผู้หนึ่ง เขาได้มอบเงินเหล่านี้เพื่อที่จะใช้ในการพิมพ์หนังสือ เพื่อประกาศพระคริสต์ จนเป็นพรอย่างมากมาย



อ. นิติเชษฐ์ สดุดีวงศ์

Bible Study 2, Youth Challenge 2009

เมื่อวันที่ 05/04/2009

เรื่อง ผู้อารักขา

ผู้อารักขา (3)‏

ลักษณะของผู้อารักขาที่ดี
สถานการณ์: รายได้น้อย
คนทั่วไป: รวยก่อนค่อยถวาย
ผู้อารักขาที่ดี: สัตย์ซื่อในการถวาย

สถานการณ์: ภาระเยอะ
คนทั่วไป: เรื่องถวายเอาไว้ก่อน
ผู้อารักขาที่ดี: ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น เพื่อจะมีในการถวาย

สถานการณ์: ยังเป็นหนี้อยู่
คนทั่วไป: ให้หมดหนี้ก่อน
ผู้อารักขาที่ดี: สัตย์ซื่อ

สถานการณ์: ถวายสิบลดแล้ว
คนทั่วไป: ครบเมื่อไร หยุด
ผู้อารักขาที่ดี: ถวายโดยสำนึกพระคุณ ยิ่งรักพระเจ้ามาก ก็ยิ่งให้พระเจ้ามากเพิ่มขึ้น ไม่มี limit

สถานการณ์: มีคนมาขอถวายเพิ่ม
คนทั่วไป: โยกเงินถวายที่อื่นให้
ผู้อารักขาที่ดี: ถวายเพิ่มขึ้น

สถานการณ์: มีครอบครัวต้องดูแล
คนทั่วไป: ครอบครัวต้องมาก่อน
ผู้อารักขาที่ดี: พระเจ้ามาก่อนเสมอ

สถานการณ์: ความมั่นคง
คนทั่วไป: ต้องเก็บเงินไว้เยอะ ๆ
ผู้อารักขาที่ดี: พระเจ้าเป็นความมั่นคง แล้วเราจะกลัวอะไร

สถานการณ์: เห็นคนอื่นลำบาก
คนทั่วไป: ธุระไม่ใช่
ผู้อารักขาที่ดี: รีบช่วยเหลือพี่น้องที่ขัดสน

คุณรู้หรือไม่ว่า การถวายในพระคัมภีร์เดิม รวม ๆ แล้วเป็นกี่เปอร์เซ็นต์? จริง ๆ แล้วรวมการถวายทั้งสิ้น มากถึง 33 เปอร์เซ็นต์

ปัจจุบัน เป็นยุคพระคุณ เรารอดโดยพระคุณ โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ คริสตจักรสอนให้เราถวายให้พระเจ้าเพียง 10 %

พี่น้องคริสเตียนหลายคน คิดว่าถ้าเขาถวายครบ 10 เปอร์เซ็นต์ เขาก็ทำครบถ้วนแล้ว แล้วอีก 90% ก็เป็นของเราเอง แต่แท้ที่จริงแล้วพระเจ้าเป็นเจ้าของทุกสิ่ง ทั้งหมดทั้งสิ้นในชีวิตของเราเป็นของพระเจ้า 100% ซึ่งเราตระหนักเช่นหรือไม่ ดูได้จากการใช้เงินของเรา

การใช้เงินของเราเอง จะเป็นตัวบ่งบอกที่ดีว่า เราตระหนักหรือไม่ว่า เราเป็นเพียงคนต้นเรือน เป็นผู้อารักขา ไม่ใช่เป็นเจ้าของเงินนั้น

คุณหรือหรือไม่ว่า การทำบุญของชาวพุทธ รวม ๆ แล้วเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ ? งานวิจัยพบว่า ชาวพุทธถวายเฉลี่ยถึง 25%

คุณรู้หรือไม่ว่า ลูกค่าย YC ถวายสิบลดอย่างสัตย์ซื่อ 690 คน ใน 850 คน

แต่อยากบอกพี่น้องว่า การถวายสิบลด เป็นมาตรฐานขั้นต่ำ ไม่ใช่มาตรฐานสูงสุด เราถวายเพราะเรารักพระองค์ ถวายเพราะสำนึกในพระคุณของพระเจ้า (Grace of Giving) ถ้าเรามีท่าทีเช่นนี้ เราจะเติบโตมากขึ้นในพระเจ้า

"การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ"

โลกสอน ยิ่ง "รับ" ยิ่งมีความสุข แต่พระเจ้าสอน ยิ่ง "ให้" ยิ่งมีความสุข

ดังนั้น โลกปัจจุบันที่วุ่นวาย เพราะมีความคิดว่า ยิ่งมีมากเท่าไร ได้รับมากเท่าไร ยิ่งมีความสุข จึงเกิดความโลภ การเอาเปรียบ การโกง

ในฐานะที่เราเป็นคริสเตียน เป็นบุตรของพระเจ้า เราต้องระวังค่านิยมต่าง ๆ ที่เราได้รับทุก ๆ วัน ซึมซับโดยไม่รู้ตัว จนกระทั่งเรากลายเป็นของโลกนี้

ความรัก เป็นสิ่งที่คนหนุ่มสาวใช้กัน พูดกันได้ง่ายมาก เพราะส่วนใหญ่ก็เกี่ยวกับความรัก แล้วจะรู้อย่างไรว่ารักจริงหรือไม่ เพราะความรักเป็นนามธรรม จับต้องไม่ได้ แต่จะรู้ได้จากบางสิ่งบางอย่าง

เช่นเดียวกัน คริสเตียน จะรู้ว่ารักพระเจ้าหรือไม่ มีบางสิ่งบางอย่างที่จะวัดได้ และหนึ่งในนั้น ก็คือ การถวาย



อ. นิติเชษฐ์ สดุดีวงศ์

Bible Study 2, Youth Challenge 2009

เมื่อวันที่ 05/04/2009

เรื่อง ผู้อารักขา

ผู้อารักขา (2)

พระคัมภีร์สอนอย่างไร?
1. ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของพระเจ้า

1.1 พระเจ้าทรงสร้างทุกสิ่ง พระเจ้าทรงสร้างโลกนี้และจักรวาลนี้ พระเจ้าจึงเป็นเจ้าของในทุกสิ่ง

"ในปฐมกาล พระเจ้าทรงเนรมิตสร้าง {หรือ เมื่อพระเจ้าทรงเริ่มเนรมิตสร้าง} ฟ้าและแผ่นดิน" (ปฐมกาล 1:1)

1.2 พระเจ้าเป็นเจ้าของสารพัดทุกสิ่ง พระเจ้ายังคงดำรงความเป็นเจ้าของอยู่

"แต่ข้าพระองค์เป็นผู้ใด และชนชาติของข้าพระองค์เป็นผู้ใด ที่ข้าพระองค์ทั้งหลายจะสามารถถวายแด่พระองค์ด้วยความเต็มใจเช่นนี้ เพราะว่าสิ่งของทุกอย่างมาจากพระองค์ ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ถวายของที่เป็นของพระองค์แด่พระองค์เท่านั้น" (1พงศาวดาร 29:14)

1.3 พระเจ้าทรงสิทธิอำนาจสูงสุด

"35 หรือใครเล่าได้ถวายสิ่งหนึ่งสิ่งใดแก่พระองค์ ที่พระองค์จะต้องประทานตอบแทนให้แก่เขา
36 เพราะสิ่งสารพัดมาจากพระองค์ โดยพระองค์ เพื่อพระองค์ ขอพระสิริ จงมีแด่พระองค์สืบๆ ไปเป็นนิตย์ อาเมน" (โรม 11:35-36)

2. มนุษย์เป็นเพียงผู้อารักขาดูแล

2.1 พระเจ้าทรงให้มนุษย์ครอบครองดูแลสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง

"26 แล้วพระเจ้าตรัสว่า 'ให้เราสร้างมนุษย์ตามฉายาตามอย่างของเรา ให้ครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศ และฝูงสัตว์ ให้ปกครองแผ่นดินทั่วไป และสัตว์ต่างๆ ที่เลื้อยคลานบนแผ่นดิน'
27 พระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามพระฉายาของพระองค์ ตามพระฉายาของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้น และได้ทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง
28 พระเจ้าทรงอวยพระพรแก่มนุษย์ ตรัสแก่เขาว่า "จงมีลูกดกทวีมากขึ้น จนเต็มแผ่นดิน จงมีอำนาจเหนือแผ่นดิน จงครอบครองฝูงปลาในทะเล และฝูงนกในอากาศ กับบรรดาสัตว์ที่เคลื่อนไหวบนแผ่นดิน" (ปฐมกาล 1:26-28)

2.2 เราเป็นผู้อารักขาของพระเจ้า เป็นผู้ที่ดูแลทรัพย์สินของผู้อื่น เรามิได้เป็นเจ้าของของที่เราดูแลอยู่ ถ้าเราถือวิสาสะ ใช้ของนั้นเพื่อตัวเราเอง เราก็จะเรียกว่า ขโมย เพราะการตัดสินใจในการใช้ทรัพย์สิน ขึ้นอยู่กับเจ้าของ ดังนั้น การใช้ ต้องคำนึงถึงเสมอว่า เจ้าของเห็นด้วยหรือไม่ในสิ่งที่เราทำ เราจะต้องใช้สิ่งเหล่านั้นให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อแผ่นดินพระเจ้า

"12 เหตุฉะนั้น พระองค์จึงตรัสว่า 'มีเจ้านายองค์หนึ่งไปเมืองไกล เพื่อจะรับอำนาจมาครองแผ่นดิน แล้วจะกลับมา
13 ท่านจึงเรียกทาสของท่านสิบคนมามอบเงินไว้แก่เขาสิบมินา สั่งว่า 'จงเอาไปค้าขายจนเราจะกลับมา'
14 แต่ชาวเมืองชังท่านผู้นั้น จึงใช้คณะทูตตามไปทูลว่า 'เราไม่ต้องการให้ผู้นี้ครอบครองเรา'
15 เมื่อท่านได้รับอำนาจครองแผ่นดินกลับมาแล้ว ท่านจึงเรียกทาสทั้งหลาย ที่ท่านได้ให้เงินไว้นั้นมา เพื่อจะได้รู้ว่า เขาทุกคนได้กำไรกี่มากน้อย
16 ฝ่ายคนแรกมาทูลว่า 'พระเจ้าข้า เงินมินาหนึ่งของพระองค์ ได้กำไรสิบมินา'
17 พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า 'ดีแล้ว เจ้าเป็นทาสที่ดี เพราะเจ้าสัตย์ซื่อในของเล็กน้อย เจ้าจงมีอำนาจครอบครองสิบเมืองเถิด'
18 คนที่สองมาทูลว่า 'พระเจ้าข้า เงินมินาหนึ่งของพระองค์ ได้กำไรห้ามินา'
19 พระองค์จึงตรัสกับเขาเหมือนกันว่า 'เจ้าจงครอบครองห้าเมืองเถิด'
20 อีกคนหนึ่งมาทูลว่า 'พระเจ้าข้า นี่เงินมินาหนึ่งของพระองค์ ข้าพระบาทได้เอาผ้าห่อเก็บไว้
21 เพราะข้าพระบาทกลัวฝ่าพระบาท ด้วยว่าฝ่าพระบาทเป็นคนเข้มงวด ฝ่าพระบาทเก็บผลซึ่งฝ่าพระบาท มิได้ลงแรง และเกี่ยวที่ฝ่าพระบาทมิได้หว่าน'
22 พระองค์จึงตรัสตอบเขาว่า 'อ้ายข้าชั่วช้า เราจะปรับโทษเจ้าโดยคำของเจ้าเอง เจ้าก็รู้หรือว่า เราเป็นคนเข้มงวด เก็บผลซึ่งเรามิได้ลงแรง และเกี่ยวที่เรามิได้หว่าน
23 ก็เหตุไฉน เจ้ามิได้ฝากเงินของเราไว้ที่ธนาคารเล่า เมื่อเรามา จะได้รับเงินของเรา กับดอกเบี้ยด้วย'
24 แล้วพระองค์ตรัสสั่งคนที่ยืนอยู่ที่นั่นว่า 'จงเอาเงินมินาหนึ่งนั้นไปจากเขา ให้แก่คนที่มีสิบมินา'
25 คนเหล่านั้นทูลว่า 'พระเจ้าข้า เขามีสิบมินาแล้ว'
26 'เราบอกเจ้าทั้งหลายว่า ทุกคนที่มีอยู่แล้ว จะเพิ่มเติมให้เขาอีก แต่ผู้ที่ไม่มี แม้ว่าซึ่งเขามีอยู่นั้น จะต้องเอาไปจากเขา
27 ฝ่ายพวกศัตรูของเรา ที่ไม่ต้องการให้เราครอบครองเขานั้น จงพาเขามาที่นี่ และฆ่าเสีย ต่อหน้าเรา' ' " (ลูกา 19:12-27)

เราเป็นผู้อารักขาที่ดี เพราะเรา "รัก" พระเจ้า ขอความรักที่เรามีต่อพระเจ้า เป็นแรงขับเคลื่อนชีวิตของเรา กระตุ้นในการเป็นผู้อารักขาที่ดี เพื่อตอบสนองพระองค์ ไม่ใช่เป็นเพียงหน้าที่

เปรียบเทียบว่า ถ้าใครปรนนิบัติพ่อแม่ เพราะเป็นเพียงหน้าที่ สิ่งเหล่านั้นก็คงจะไม่มีความหมาย แต่ถ้าหากเราทำให้เพราะว่าเต็มใจ เพราะรักท่าน สำนึกในพระคุณของท่าน สิ่งที่เราทำจึงจะมีความหมาย



อ. นิติเชษฐ์ สดุดีวงศ์

Bible Study 2, Youth Challenge 2009

เมื่อวันที่ 05/04/2009

เรื่อง ผู้อารักขา

ผู้อารักขา (1)

คำบางคำ ภาษาอังกฤษมี แต่ภาษาไทยไม่มี เช่น commitment, stewardship, integrity

ผู้อารักขา คือ คนที่ดูแลคนของพระเจ้า หรือสิ่งของที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้เราดูแล



ภาพผู้อารักขาเป็นอย่างไร?
สมบัติของผู้อารักขา ได้แก่

1. มุ่งมั่น

2. ทุ่มเท

3. สัตย์ซื่อในการทำหน้าที่ของตนเอง

4. รับผิดชอบ

5. สำนึกในหน้าที่

คุณพร้อมหรือไม่ ที่คุณจะเป็นผู้อารักขาของพระเจ้า ที่มุ่งมั่น ทุ่มเท สัตย์ซื่อ รับผิดชอบ และสำนึกในหน้าที่ แม้ว่าจะมีคนหาว่าคุณบ้า

ผู้อารักขา มีอีกชื่่อหนึ่ง คือ "คนต้นเรือน" หรือ "ผู้จัดการดูแล"

ในการเป็นผู้รับใช้หรือคริสเตียน มีความรับผิดชอบ 4 ประการ ที่จะต้องดูแลในฐานะผู้อารักขา

1. Money

2. Man

3. Management

4. Ministry

สิ่งที่อยากจะเน้น คือ เรื่องเงิน เรื่องการถวาย ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้รับใช้พระเจ้าเข้าใจและรู้น้อยที่สุด มีประสบการณ์น้อยที่สุด สอนสมาชิกน้อยที่สุด อาจเพราะกลัวสมาชิกเข้าใจผิด ไม่ยากจะพูดถึง และมีผู้รับใช้บางคนก็ยังไม่ผ่านในเรื่องนี้

ในพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม กล่าวเรื่องเงินทุก 10 ข้อ

ในพระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่ กล่าวถึงเรื่องเงินทุก 12 ข้อ

และคำอุปมาของพระเยซู 38 เรื่อง พูดถึงเรื่องการเงินถึง 16 เรื่อง

เรื่องนี้สำคัญมาก ต่อการรับใช้ ต่อคริสตจักรของเรา

พวกเรา บางคนอาจถวายตัวรับใช้พระเจ้าเต็มเวลา และบางคนอาจจะถวายตัวเป็นผู้ที่เดินเคียงข้างสนับสนุนเพื่อนที่ถวายตัวรับใช้พระเจ้าเต็มเวลา

เมืองไทย ไม่ได้ขัดสนเรื่องเงิน คนไทยสามารถดูแลพันธกิจของพระเจ้าทุกอย่างได้เอง

YFC ตั้งมา 30 กว่าปี เกือบ 20 กว่าปีมาแล้ว ที่ YFC ไม่เคยรับเงินจากต่างประเทศเลย ล้วนได้มาจากผู้ที่มีภาระใจถวายเข้ามา

มานาประจำวัน ได้ตั้งพันธกิจมา 13 ปีแล้ว ตลอดมา มีสมาชิกเกือบ 50,000 งบประมาณ 7-8 ล้าน แต่ไม่เคยที่จะได้รับความช่วยเหลือจากต่างประเทศเลย

ปัญหาที่องค์กร และคริสตจักร ยังขาดแคลน และขาดเงินอยู่ ไม่ใช่เพราะไม่มีเงิน เพราะคริสเตียนไทยมีเงินเพียงพอ แต่เพราะเราขาดผู้อารักขาพระเจ้าที่ดี



อ. นิติเชษฐ์ สดุดีวงศ์

Bible Study 2, Youth Challenge 2009

เมื่อวันที่ 05/04/2009

เรื่อง

ประกาศเชิงรุกเต็มพิกัด

การที่เรารุกเข้าไปหาคน และดึงเขา จะได้เปรียบมาก แต่ถ้าหากเราเป็นฝ่ายตั้งรับ เราจะไม่คิดอะไรนอกกรอบ รับมืออย่างเดียว แล้วเราจะรับมือไม่ไหว แทนที่คริสตจักรจะเคลื่อนไป ก็กลับอ่อนแรงลง ต่อให้เข้มแข็งอย่างไร ก็ถูกโจมตีด้วย

มารฉลาดขึ้นได้เช่นเดียวกัน มารโจมตีเราทุกรูปแบบ มีสิ่งล่อลวงต่าง ๆ มากมาย ถ้าหากคริสตจักรเราเฝ้าตั้งรับเพียงอย่างเดียว สักวันหนึ่งก็จะถดถอยลง

ถึงเวลาที่เราจะหยุดและคิด ว่าเราจะตั้งรับอย่างเดียว หรือเราจะรุก ถ้าเราตั้งรับ จะไม่เห็นการประกาศที่เกิดผล แม้จะมีบ้างที่มีคนเดินเข้ามาโบสถ์ และบอกว่าจะขอเชื่อพระเยซู แต่น้อยมากทีเดียว

มีคนหนึ่ง ชีวิตมีปัญหามากมาย แต่เขานั่งรถผ่านคริสตจักรใจสมาน พบข้อพระคัมภีร์ มัทธิว 6:33 แล้ว ตัดสินใจเดินมาที่โบสถ์ และในที่สุดก็นำครอบครัวมารับเชื่อ แต่นี่เป็นเพียงตัวอย่างที่น่าตื่นเต้น ไม่ใช่พบได้ทั่วไป

ดังนั้น เราจะต้องเปลี่ยนเป็นพันธกิจเชิงรุก เพื่อให้ข่าวประเสริฐได้ถูกประกาศออกไป และจะมีผู้คนมารู้จักกับพระเจ้ามากขึ้น



POWER

P = People center

คนเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าเราอยากได้คน เราก็ต้องรุกเข้าหาเช่น ดังสุภาษิต "ไม่เข้าถ้ำเสือ ก็ไม่สามารถได้ลูกเสือ"

1. ต้องตอบสนองความต้องการฝ่ายร่างกายของเขา

ฝ่ายร่างกายเป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน ไม่ใช่เพียงหยิบยื่นแค่เรื่องกิตติคุณเท่านั้น แม้ว่าชีวิตนิรันดร์สำคัญ แต่เราต้องให้ความสำคัญกับความต้ัองการของเขาด้วย ว่าเขาต้องการอะไร

"พระเยซูก็ได้จำเริญขึ้น ในด้านสติปัญญา ในด้านร่างกาย และเป็นที่ชอบจำเพาะพระเจ้า และต่อหน้าคนทั้งปวงด้วย" (ลูกา 2:52)

พระเยซูคริสต์ทรงครบถ้วนในทุก ๆ ด้านของชีวิต และเราก็ต้องให้ความสำคัญกับทุก ๆ ด้านของชีวิตด้วยเช่นเดียวกัน

ถ้าหากว่าผู้ที่เราจะประกาศ เขายังไม่มีอะไรรับประทาน เขาก็คงจะยังไม่สนใจกับข่าวประเสริฐ แต่เรามักจะหยิบยื่นเพียงแค่ข่าวประเสริฐให้แก่เขา จึงทำให้การประกาศไม่ประสบผลสำเร็จ

2. ตอบสนองความต้องการด้านจิตใจ

คนเราในปัจจุบัน มีปัญหาทางด้านจิตใจมากมาย และเมื่อคนหนึ่งมีปัญหา ลูกของเขาที่เกิดมาก็จะมีปัญหาด้วยเช่นเดียวกัน ปัญหาครอบครัวมีมาก ดังนั้นความต้องการด้านจิตใจจึงเป็นเรื่องที่เราจะต้องคำนึงถึง

เรื่องของจิตใจเป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องทำความเข้าใจ เพื่อที่จะชนะใจเขาได้ เพื่อที่เขาจะพร้อมที่จะรับฟังข่าวประเสริฐ แล้วข่าวประเสริฐจะเป็นฤทธิ์เดชในชีวิตของเขาเหล่านั้น นี่แหละเป็นเหตุผลหนึ่งที่พระเจ้าทรงใช้มนุษย์ที่มีความจำกัดในการทำหน้าที่ที่พระองค์ทรงมอบหมายให้ เพราะมนุษย์มีจิตใจ

"ประสงค์จะให้เทพผู้ปกครอง และศักดิเทพในสวรรคสถาน รู้จักปัญญาอันซับซ้อนของพระเจ้าทางคริสตจักร ณ บัดนี้" (เอเฟซัส 3:10)

3. ต้องเข้าถึงวัฒนธรรม

เราต้องเรียนรู้โลกของเขา ถ้าเราจะประกาศกับวัยรุ่น เราก็ต้องศึกษาภาษาของวัยรุ่น ต้องรู้วัฒนธรรมของเขา ต้องรู้ว่าเขาฟังเพลงอย่างไร เพื่อที่จะสื่อสารแก่เขาด้วยภาษาที่เขาเข้าใจได้

4. ต้องเข้าสู่จิตใจ หรือความรู้สึก

เป็นเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจอย่างมาก เป็นเรื่องเกี่ยวกับ EQ

คนมากมาย มีชีวิตที่ไม่เต็ม เขาเลยต้องพยายามกลบสิ่งเหล่านี้ กลบความว่างเปล่าที่เขาต้องการการเติมเต็ม โดยอาจแสดงออกด้วยการก้าวร้าว ทับถมผู้อื่น

เราจึงจำเป็นต้องพยายามฝึกฝน EQ ของเรา ที่จะไม่โต้ตอบ

พระเยซูคริสต์ทรรงเป็นตัวอย่างที่ดี

เรื่องหญิงสะมาเรีย เมื่อพระเยซูเสด็จไปหาเขา และขอน้ำเขาดื่ม หญิงคนนั้นก็คงจะมิได้ตอบพระเยซูอย่างดีเท่าไรนัก เพราะว่าตามธรรมชาติของหญิงโสเภณี และการที่เขาเป็นชาวสะมาเรีย ไม่ถูกกับชาวยิว อาจจะสบประมาทพระเยซูมากทีเดียว แต่เมื่อคุยไป เขาคงสังเกตได้ถึงความมี EQ ที่ดีเยี่ยมของพระองค์ ในที่สุด ผู้หญิงคนนี้คงจะรู้สึกบางอย่าง เขาจึงยอมเปิดใจ

เมื่อเราประกาศ เราจำเป็นต้องสำแดงชีวิตเช่นนี้ เราต้องเข้าใจว่าชีวิตของคนเหล่านั้นยังต้องการการเติมเต็ม แล้วเราจะเข้าใจ เราจะควบคุม EQ ของเราได้ดียิ่งขึ้น

O = Out of Box

เรามีกล่องของเรา โดยเฉพาะคริสเตียนมักจะมีกล่องความคิดของเรา เมื่อเราคิดถึงการประกาศพระกิตติคุณ เราก็มีกรอบความคิดของเรา

- ต้องออกไป

"เหตุฉะนั้น เจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้เป็นสาวกของเรา ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์" (มัทธิว 28:19)

สังเกตว่า พระองค์ทรงให้เราออกไป มิได้ให้นั่งรอให้คนมาเพื่อที่เราจะประกาศ เราจำเป็นต้องออกไปเพื่อประกาศพระกิตติคุณ

เช่นเดียวกับผู้ที่่ทำอาชีพขายตรง ไม่มีใครที่จะนั่งรอที่บ้าน ให้คนมาซื้อที่บ้าน แต่ทุกคนจะต้องออกไปเพื่อหาลูกค้า

"Comfort zone": เมื่อเราออกจากโบสถ์ เราอาจจะรู้สึกว่าเราไม่คุ้นเคย เพราะได้ออกจากเขตปลอดภัยของเราแล้ว แต่การประกาศ เราจำเป็นต้องเข้าไปสู่ชุมชน เข้าไปแสดงตัวให้คนในชุมชนได้เห็น ให้เขาเห็นถึงความจริงใจของเรา

คริสเตียนไทยมีอยู่แค่ 1 เปอร์เซ็นต์ อาจรู้สึกว่าคงจะไม่สามารถทำอะไรได้ แต่แท้จริงแล้ว ขอที่เราจะอย่ากลัว เพราะเราสามารถทำอะไรเยอะมาก ขอที่เราจะกล้าทำสิ่งใหญ่

- ต้องสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ

ขอท้าทายที่เราจะลองคิดรูปแบบการประกาศแบบใหม่ ๆ เพราะเราสามารถทำอะไรได้อย่างมากมาย

คริสเตียนชาวสิงคโปร์ มีรูปแบบการประกาศทีน่าสนใจมาก โดยการที่บินมาประเทศไทย ปีนเขาเพื่อการประกาศ แล้วประกาศกับคนปีนเขาทั้งหลาย เพราะคนทุกคน เมื่อขณะปีนเขา เขาจะรู้สึกว่า ชีวิตแขวนอยู่บนเชือกเส้นเดียว และคงจะมีความรู้สึกกลัวว่าจะตกลงไป นั่นแหละ ก็จะมีโอกาสประกาศแก่เขา

เช่นเดียวกัน เราสามารถที่จะหาโอกาส สร้างโอกาส เพื่อที่จะประกาศแก่เขา ด้วยรูปแบบที่แตกต่างกันไปได้

W = Witness: Life-style evangelism

- ชีวิตต้องสำแดง

พระเยซูคริสต์ทรงใช้วิธีนี้ในการที่จะเรียกสาวกของพระองค์ โดยทรงเริ่มเรียกแอนดรูว์และยอห์น และทั้งคู่ก็ไปพักร่วมกับพระองค์ที่บ้านที่พระองค์ทรงพักอยู่ และพระคัมภีร์บันทึกว่า แอนดรูกลับไปหาเปโตรว่า "ฉันเจอพระเมสสิยาห์แล้ว"

"35 รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่ง ยอห์นกำลังยืนอยู่กับสาวกของท่านสองคน
36 และท่านมองดูพระเยซูขณะที่พระองค์ทรงดำเนิน และกล่าวว่า 'จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้า'
37 สาวกสองคนนั้นได้ยินท่านพูดเช่นนี้ เขาจึงติดตามพระเยซูไป
38 พระเยซูทรงเหลียวกลับมา และเห็นเขาตามพระองค์ไป จึงตรัสถามเขาว่า 'ท่านหาอะไร' และเขาทั้งสองทูลพระองค์ว่า 'รับบี (ซึ่งแปลว่าอาจารย์) ท่านอยู่ไหน'
39 พระองค์ตรัสตอบเขาว่า 'มาดูเถิด' เขาก็ไป และเห็นที่ซึ่งพระองค์ทรงพำนัก และวันนั้นเขาก็ได้พักอยู่กับพระองค์ เพราะขณะนั้นประมาณสี่โมงเย็นแล้ว
40 คนหนึ่งในสองคนที่ได้ยินยอห์นพูด และได้ติดตามพระองค์ไปนั้นคือ อันดรูว์น้องชายของซีโมนเปโตร
41 แล้วอันดรูว์ก็ไปหาซีโมนพี่ชายของตนก่อน และบอกเขาว่า 'เราได้พบพระเมสสิยาห์ {คำภาษาฮีบรู และคำภาษากรีก หมายความว่า ผู้ที่พระเจ้าทรงเจิม} แล้ว' (ซึ่งแปลว่าพระคริสต์)
42 อันดรูว์จึงพาซีโมนไปเฝ้าพระเยซู พระเยซูทรงทอดพระเนตรเขาแล้วจึงตรัสว่า 'ท่านคือซีโมนบุตรยอห์นซีนะ เขาจะเรียกท่านเคฟาส' (ซึ่งแปลว่าศิลา)" (ยอห์น 1:35-42)

อะไรที่ทำให้แอนดรูเห็นแล้ว สรุปได้เลย ว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป้นพระเมสสิยาห์? สิ่งที่เขาเห็นก็คือ ชีวิตของพระเยซู ได้เห็นการดูแลบ้านของพระองค์ ได้เห็นเตียงนอนของพระองค์ นี่แหละ เป็นแบบอย่างแก่เรา เพราะการประกาศที่ดี ชีวิตต้องสำแดง สิ่งที่เราพูดและชีวิตเราจะต้องตรงกัน ถ้าเราจะเป็นพยาน ชีวิตเราจะต้องดี

- ชีวิตที่สวนกระแส

เราจะต้องเป็นปลาที่ว่ายทวนน้ำ เราจะต้องสวนค่านิยมของโลก

พระเยซูไม่ทรงอะลุ่มอล่วยกับความบาป สิ่งใดที่เป็นบาป เราจะต้องกำชับให้เขาหยุดสิ่งนั้น เราต้องกล้ายืนยันสวนกระแสความคิดที่ผิดของสังคม แม้ว่าเขาอาจจะคิดว่ามันถูก แต่ถ้าผิด เราก็ต้องยืนยันต่อต้าน อย่ากลัว เช่น เรื่องเกย์ เรื่องการพูดตลกลามก

E = Estimate

1. การวางแผน

นี่เป็นเรื่องใหญ่มาก คือ เรื่องการวางแผนที่ชัดเจน

การจัดงานประกาศก็เช่นกัน ควรจะมีการวางแผนการอย่างแนบเนียน ทั้งแผนการเตรียมการ และแผนการติดตามผล โดยให้ความร่วมมือกับนักเทศน์ ในการช่วยทำหน้าที่ในส่วนที่ทำได้ ไม่ควรให้นักเทศน์ทำทุกส่วน

มีตัวอย่างที่ดีโบสถ์นึง เมื่อจะจัดงานประกาศ จะมีการเตรียมตัวอย่างดี มีการสนับสนุนให้คริสเตียนเราได้มีโอกาสสร้างสัมพันธ์กับผู้ที่จะประกาศ มีเพื่อนที่ไม่เป็นคริสเตียน เพื่อที่ในที่สุด ก็จะชวนเขามายังงานประกาศได้

2. การแก้ปัญหา

ควรจะฝึกที่จะคิดปัญหา และจะต้องฝึกที่จะตอบโจทย์ แก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ เตรียมพร้อมที่จะออกไปประกาศในที่สุด

เมื่อมีงานประกาศขึ้น เราจะต้องประเมินผลทุกครั้ง ว่ามีอะไรที่ต้องแก้ปรับปรุงได้ เพราะครั้งต่อไปควรจะดีขึ้น และไม่ควรที่จะพลาดซ้ำเก่าอีก

R = Relation

มีผู้ที่มีอำนาจหลายคน ที่ใช้หลักการนี้ในการขับเคลื่อนสิ่งต่าง ๆ คือ ใช้ความสัมพันธ์

ความสัมพันธ์เหมือนน้ำมันหล่อลื่นชีวิต เป็นพลังในการขับเคลื่อน

ขอให้เราใช้ความสัมพันธ์เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการประกาศ



อ. ประวิทย์ ศรีวิไลฤทธิ์

Workshop G, Youth Challenge 2009

เมื่อวันที่ 05/04/2009

เรื่อง ประกาศเชิงรุกเต็มพิกัด

การฟื้นฟูหลังเฉลิมฉลอง

การฟื้นฟูหลังเฉลิมฉลอง

นพ.สุทิตต์ กุลสรรค์ศุภกิจ 200409



1. จุดประสงค์ของการฟื้นฟู = กลับคืนสู่ความสัมพันธ์อันดีกับพระเจ้า



· ในการจัดการฉลองหรือการจัดการฟื้นฟู ต้องมีผู้จัดกิจกรรมต่างๆ ทั้งการนมัสการ การสั่งสอน การเทศนา เป็นพยาน การตอนรับ การเตรียมสถานที่ ที่พัก อาหาร และอื่นอีกมากมาย

· งานเฉลิมฉลองจะไม่สามารถดำเนินการได้ หากไม่มีคนดำเนินกิจกรรมต่างๆเหล่านี้

· ในทุกการเฉลิมฉลอง เราคาดหวังการฟื้นฟูชีวิตจิตวิญญาณ และให้ทุกคนมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าที่ใกล้ชิดพระองค์มากขึ้น ถวายตัวมากขึ้น

· ผู้ร่วมค่ายทุกคน ในทุกบทบาทหน้าที่ ควรได้รับการฟื้นฟู และกลับมีความสัมพันธ์อันดีกับพระองค์ผู้ทรงสร้าง อย่างแนบแน่นยิ่งขึ้น

· แต่หากหลังกลับจากการเฉลิมฉลอง เราไม่สามารถสัมพันธ์กับพระเจ้าได้ดีขึ้น เราก็พลาดการเฉลิมฉลองอย่างแท้จริง แม้ว่าเราจะไปปรากฏตัวในงานทุกวันก็ตาม



2. การฟื้นฟูในความสัมพันธ์กับพระเจ้า



· เกิดขึ้นในหลายลักษณะ ในหลายๆกิจกรรม เช่น



2.1 การนมัสการ การฟังคำเทศน์ คำสอน



· เป็นเนื้อหาหลักที่ให้คนสัมผัสพระเจ้า ผ่านการนมัสการ การฟังพระวจนะของพระเจ้า

· หากแต่การฟื้นฟูที่แท้จริงนั้นต้องมีผลแห่งการฟื้นฟูเกิดขึ้นเป็นตัวพิสูจน์

· นั่นคือการเติบโตขึ้นในสัมพันธภาพที่มีต่อพระเจ้า

o หากเราไม่ได้ใกล้ชิดพระเจ้ามากขึ้น

o หากเรามิได้ถวายตัวมากขึ้น

o หากเรามิได้รับใช้มากขึ้น

o การเฉลิมฉลองของเราก็เป็นเพียงการเข้าร่วมโปรแกรมตามผู้เชื่อท่านอื่นๆเท่านั้น

· เราจึงต้องกลับมาสำรวจชีวิตของเรา และตักตวงชีวิตฝ่ายวิญญาณหลังงานเฉลิมแลอง เพื่อให้เรามีความสัมพันธ์กับพระเจ้ามากขึ้นให้ได้

· มิเช่นนั้นการไปร่วมเฉลิมฉลองจะได้แต่ความสุขใจ แต่จิตวิญญาณยังคงเดิม ไม่มีอะไรที่มอบถวายแด่พระองค์มากขึ้น

· เราจึงควรคิดใคร่ครวญและประเมินตัวเราว่า เราได้อะไรจากการเฉลิมฉลองครั้งนี้บ้าง เราโตขึ้นในเรื่องใดบ้าง เพื่อมิให้การไปร่วมเฉลิมฉลองสูญเปล่า



2. 2 การรับใช้ในกิจกรรมต่างๆ



· ชีวิตแห่งการรับใช้ด้วยเต็มใจ เป็นชีวิตที่สำแดงออกว่าพระเจ้าทรงกระทำการในชีวิตของเราอยู่

· และที่เราสามารถรับใช้ได้ก็โดยกำลังของพระองค์

· เรายิ่งรับใช้อย่างจริงจังและจริงใจ เราจะยิ่งเข้าใกล้พระเจ้ามากขึ้น เพราะเราต้องพึ่งพระเจ้ามากขึ้น รับกำลังจากพระองค์ในการแก้ปัญหาข้อบอพร่องต่างๆในงานเฉลิมฉลองให้สามารถดำเนินไปให้ได้ และทุกคนได้รับพระพร มากที่สุดเท่าที่กำลังในการรับใช้จะทำได้

· และเราจะขอให้พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำลัง สติปัญญาในกิจการแห่งการเฉลิมฉลองนี้

· การรับใช้จึงทำให้เราต้องพึ่งพาพระองค์มากขึ้นในภาคปฏิบัติ

· หากพระเจ้าทรงเป็นคำตอบสุดท้าย เราจะเรียนรู้จากพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังของเรา

· ฮัดสัน เทเลอร์ ได้เดินทางไปเป็นมิชชั่นนารีที่ประเทศจีน และเป็นผู้รับใช้ที่ยิ่งใหญ่ที่นำจิตวิญญาณคนจำนวนมากได้รอด ได้กล่าวไว้ว่า เวลาที่เขาได้เข้าใกล้พระเจ้ามากที่สุด คือ เวลาที่เขาอยู่ในประเทศจีน ไม่ใช่เวลาที่เขากลับมาอยู่สุขสบายในบ้านเกิด



2.3 การทำสิ่งที่ดี



· สำแดงชีวิตของตนอย่างเหมาะสม

· ชีวิตไม่ได้จำกัดอยู่ที่หน้าที่ หรือ ตำแหน่ง หรือ บทบาทของเราเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

· หากแต่ดำเนินชีวิตเหมือนดังว่า เมื่อเจอกับสิ่งต่างๆในชีวิต เราควรตอบสนองอย่างไรจึงเหมาะสมที่สุด

· หากไม่ได้ดำเนินชีวิตอย่างถูกต้องก็เท่ากับเราพลาด เราไม่ได้ยืนหยัดในสิ่งที่ถูกที่ควร พระคัมภีร์กล่าวว่ามันคือบาปชนิดหนึ่งนั่นเอง



ยากอบ 4:17 เหตุฉะนั้น..ผู้ใดรู้ว่าอะไรเป็นความดี และไม่ได้กระทำคนนั้นจึงมีบาป..



· ในกิจกรรมต่างๆของการฟื้นฟู จึงต้องมีคนอย่าง มารีย์ และ มารธา ทำหน้าที่ในบทบาทของตนเอง เพื่อทุกคนจะพบพระเจ้าในแต่ละบทบาทของตน

· นอกจากนี้ ทั้งมารีย์ และมารธา ต้องตอบสนองต่อกิจกรรมต่างๆอย่างสมควรด้วยเช่นกัน

· มิเช่นนั้นจะเป็นสิ่งบาปที่ถ่วงจิตวิญญาณมิให้เติบโต และ ไม่สามารถฟื้นพูอย่างแท้จริง



3. สิ่งที่ต่อสู้กับการฟื้นฟูฝ่ายวิญญาณ



· คริสเตียนต้องเป็นนักสู้เสมอ

· ไม่มีคริสเตียนคนใดที่เชื่อพระเจ้าแล้วไม่ต้องต่อสู้กับสิ่งใดๆ ไม่มีคริสเตียนคนใดที่ไม่ต้องเผชิญปัญหา ไม่ต้องเผชิญการตัดสินใจที่ท้าทายใดๆเลย

· หากคิดเช่นนั้นคงเป็นความเข้าใจผิดอย่างมาก

· คริสเตียนต้องต่อสู้กับ เนื้อหนังของตัวเอง ต่อสู้กับธรรมชาติของโลก ต่อสู้กับมาร และต่อสู้กับบาป

· หากคริสเตียนคนใดหลีกหนีได้ตลอดเวลา แสดงว่าราไม่ได้เป็นคริสเตียนที่แท้จริง

· หากเราเป็นคริสเตียนแท้ เราจะเผชิญแรงกดดันจากสิ่งต่างๆอย่างแน่นอน แต่เรามีพระเจ้าอยู่ฝ่ายเราที่จะให้เรามีชัยชนะได้เสมอ

· อีกทั้งยังเป็นตัวพิสูจน์ชีวิตแท้ดังพระคัมภีร์บอกว่าคนชอบธรรมที่ล้มลงจะลุกได้เสมอ



สุภาษิต24:16 เพราะคนชอบธรรมล้มลงเจ็ดครั้งแล้วก็ลุกขึ้นอีก



3.1 ต่อสู้กับเนื้อหนัง



· สะดวกสบาย เอาตัวเองรอด ไม่ทุบตีเนื้อหนัง ไม่มีทางมีชีวิตฝ่ายวิญญาณได้

· ต้องต่อสู้กับเนื้อหนังของตัวเอง

กท5:17 เพราะว่าความต้องการของเนื้อหนังต่อสู้พระวิญญาณ และพระวิญญาณก็ต่อสู้เนื้อหนัง เพราะทั้งสองฝ่ายเป็นศัตรูกัน ดังนั้นสิ่งที่ท่านทั้งหลายปรารถนาทำจึงกระทำไม่ได้

3.2 ต่อสู้กับวิถีของโลก



· วิถีของโลกเป็นวิถีที่ลวงตา เสื่อมสลาย และไม่จีรัง เป็นวิถีแห่ง เกียรติยศ เงินทอง ชื่อเสียง เนื้อหนัง ตัณหาต่างๆ

· คนที่รักพระเจ้า ก็เป็นศัตรูกับวิถีของโลกนี้ โลกจึงเกลียดชังท่าน

· เป็นคริสเตียนจึงต้องต่อสู้กับโลกและวิถีของโลก มิเช่นนั้นก็ไม่ใช่คริสเตียนจริง



ยน15:19 ถ้าท่านทั้งหลายเป็นของโลก โลกก็จะรักท่านซึ่งเป็นของโลก แต่เพราะท่านไม่ใช่ของโลก แต่เราได้เลือกท่านออกจากโลก เหตุฉะนั้นโลกจึงเกลียดชังท่าน



1ยน2:16 เพราะว่าสารพัดซึ่งมีอยู่ในโลก คือตัณหาของเนื้อหนัง และตัณหาของตา และความเย่อหยิ่งในชีวิตไม่ได้เกิดจากพระบิดา แต่เกิดจากโลก



3.3 ต่อสู้กับมาร



· คอยหาช่อง ล่อลวง ลัก ฆ่าและทำลาย

· มารคอยหาโอกาสทำลายจิตวิญญาณของเราไม่ให้เข้าใกล้พระเจ้า โดยทุกวิถีทาง

· เราจึงต้องต่อสู้กับมาร เพื่อมิให้มันฉวยโอกาส และพาเราออกนอกทางพระเจ้า



ยก 4:7 จงน้อมใจลงยอมฟังพระเจ้า จงต่อสู้กับมาร แล้วมันจะหนีไป



3.4 ต่อสู้กับบาป





โรม 4:23 เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า



· ทุกคนเป็นคนบาป จึงไม่สมบูรณ์ ไม่เข้าใจครบถ้วน แต่ยังต้องเดินกับพระเจ้าอย่างเต็มที่เต็มกำลัง

· ในความไม่ครบถ้วน ทำให้ผิดพลาด ทั้งจากตัวเรา และ จากคนอื่นๆ

· หลายๆคนล้มเหลว พลาดพลั้ง ผิดพลาด เสียท่า และล้มลง

· แต่เราไม่สามารถให้ความไม่สมบูรณ์มาล้มชีวิตในพระเจ้าของเราลง

· เรายังต้องต่อสู้กับความเสื่อมทั้งหลายอย่างมุ่งมั่น ไปต่อไป

· เรายังไม่ถึงกับตาย วันสุดท้ายยังมาไม่ถึง



ฮบ12:4 ในการต่อสู้กับบาปนั้น ท่านทั้งหลายยังไม่ได้สู้จนถึงกับต้องเสียโลหิตเลย



· ผู้ใดที่มีชีวิตสะดวกสบายได้ตลอด ต้องสำรวจตัวเองว่าเดินกับพระเจ้าจริงหรือไม่



4. หากไม่ฟื้นฟูต้องมีสาเหตุ



4.1 กำจัดจุดอ่อน..............เราโทษคนอื่นอยู่หรือเปล่า



· หลายครั้งเรามักโทษเหตุการณ์ สถานการณ์ คนที่เกี่ยวข้อง ว่าเป็นเหตุที่ทำให้เราไม่ได้ฟื้นฟู

· จึงมีคำถาม จริงไหม

· ถ้าคนใดคนหนึ่งเป็นเหตุให้เราฟื้นฟู แสดงว่าเราเรื่องความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้าไปฝากไว้กับเขา

· หากเราคิดเช่นนี้ คงคิดผิด เพราะความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้าไม่สามารถขึ้นอยู่กับใครคนใดคนหนึ่งได้ หากแต่ขึ้นอยู่กับชีวิตของเราเอง

o การโทษสิ่งต่างๆ จะทำให้เรามองข้ามส่วนที่ผิดพลาดของเราไป

o การโทษสิ่งต่างๆ จะทำให้เราไม่สามารถค้นพบส่วนที่ผิดพลาดที่แท้จริงของเรา

o การโทษสิ่งต่างๆ จะทำให้เราไม่สามารถแก้ไขข้อบกพร่องฝ่ายวิญญาณของเราได้

o ต้องเลิกโทษคนอื่นๆก่อน แล้วจะเห็นตัวเองชัดขึ้น



4.2 ขอพระเจ้าช่วย



· ขอพระเจ้าทรงสำรวจใจของเราว่า อะไรเป็นเหตุที่ทำให้เราไม่ฟื้นฟู

· หากเราไม่อยากเข้าหาพระเจ้า ยิ่งแสดงว่า ต้องมีบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในชีวิตของเราที่เป็นอุปสรรคต่อความสัมพันธ์ของเรากับพระองค์

· ยิ่งต้องขอพระเจ้าช่วยให้เราหลุดจากพันธนาการอันนี้

· บางทีอาจเป็นเรื่อง ความสัมพันธ์หนุ่มสาว บางทีอาจเป็นเรื่องเงิน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องทางโลก ตัณหาของเนื้อหนัง เกียรติ์ ลาภยศ ที่หลบซ่อนอยู่ และเป็นอุปสรรคในการแสวงหาพระเจ้าอย่างแท้จริง

· หลังการเฉลิมฉลอง จึงเป็นตัวตรวจสอบชีวิตฝ่ายวิญญาณอีกครั้งหนึ่ง ว่ามีอะไรเป็นอุปสรรคที่ซ่อนอยู่ในชีวิตของเรา จึงต้องทำการตรวจสอบเดี๋ยวนี้ อย่าละเลยปล่อยผ่านไป จะทำร้ายและทำลายชีวิตฝ่ายวิญญาณของเราให้แย่ลงเรื่อยๆ



4.3 ใคร่ครวญว่าพระเจ้าสอนอะไรเรา



· การเฉลิมฉลองในแต่ละปี ต้องโตขึ้นเรื่อยๆ

· ต้องสำรวจว่าปีนี้พระเจ้าบอกอะไรกับเราบ้าง

· เราเรียนรู้อะไรจากพระเจ้ามากขึ้นบ้าง

· ลองย้อนระลึกกลับไปดูวันเก่าๆ จะเห็นพระพรมากมาย

· หมั่นเก็บพระพรที่พระเจ้าให้แก่เราในแต่ละปี

· เรียบเรียงไว้ให้ชัดเจนในความคิด ในสมอง ในสมุดจด ในหนังสือ

· พระพรเหล่านี้จะช่วยชีวิตของเรา และ คนอื่นๆมากมายที่ได้ฟังคำพยานที่พระเจ้าทรงกระทำผ่านชีวิตของเราครับ

วันเสาร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2552

ศึกษาพระธรรมมัทธิว 24‏

แผ่นดินสวรรค์ เป็นสิ่งที่น่าปรารถนา เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงจัดเตรียมให้แก่เรา

"ดังที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า สิ่งที่ตาไม่เห็น หูไม่ได้ยิน และสิ่งที่มนุษย์คิดไม่ถึง คือสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้สำหรับคนที่รักพระองค์" (1โครินธ์ 2:9)

พระองค์ทรงบอกให้เรา เพื่อเหตุผล คือ

เราจะได้รู้ว่า นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้แก่เรา
เพื่อเราจะได้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า เมื่อสิ่งนั้นได้เกิดขึ้นตรงตามที่พระองค์ได้ทรงทำนายไว้ล่วงหน้าอย่างถูกต้อง
เพื่อที่เราจะได้เตรียมชีวิตของเราให้พร้อมอยู่เสมอ และไม่กลัวเมื่อสิ่งเหล่านี้เกิดข้น
มัทธิว 24 เป็นเหตุการณ์ที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จกลับมา เพื่อที่พวกเราจะไม่หวั่นไหวเมื่อเราเจอเหตุการณ์เหล่านั้น เราจะไม่ท้อถอย นี่เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงบอกแก่เรา เพราะพระองค์ทรงรู้จักเรา

ในบทนี้ จะเป็นเหตุการณ์ก่อนที่เราจะได้ไปอยู่ในแผ่นดินสวรรค์ และเป็นสิ่งที่เราจะใช้ในการสังเกต ระมัดระวังที่จะไม่พลาดจากแผ่นดินที่พระองค์ทรงจัดเตรียมแก่เรา

พระองค์ทรงเป็นมิตรสหายของเรา จึงทรงเปิดเผยให้แก่เราถึงสิ่งเหล่านี้ ดังนั้น เพื่อจะได้ไปถึงความรักของมิตรสหายที่มีต่อเรา

"เราไม่เรียกท่านทั้งหลายว่าทาสอีก เพราะทาสไม่ทราบว่านายของเขาทำอะไร แต่เราเรียกท่านว่ามิตรสหาย เพราะว่าทุกสิ่งที่เราได้ยินจากพระบิดาของเรา เราได้สำแดงแก่ท่านแล้ว" (ยอห์น 15:15)



การทำลายพระวิหาร และหมายสำคัญก่อนอวสาน


--------------------------------------------------------------------------------

"1 ฝ่ายพระเยซูทรงออกจากบริเวณพระวิหาร แล้วขณะเสด็จไป พวกสาวกของพระองค์มาชี้ตึกทั้งหลาย ในบริเวณพระวิหารให้พระองค์ทอดพระเนตร
2 พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า 'สิ่งสารพัดเหล่านี้พวกท่านเห็นแล้วมิใช่หรือ เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ศิลาที่ซ้อนทับกันอยู่ที่นี่ ซึ่งจะไม่ถูกทำลายลงก็ไม่มี' " (มัทธิว 24:1-2)


--------------------------------------------------------------------------------

นี่เป็นคำทำนายถึงอนาคตอันใกล้ ก็คือ ค.ศ. 70 เมื่อทหารโรมันยกทัพมา และทำลายพระวิหารจนสิ้น ยิวก็สิ้นชาติไป



เริ่มต้นของเหตุการณ์


--------------------------------------------------------------------------------

"3 เมื่อพระเยซูประทับบนภูเขามะกอกเทศ พวกสาวกมาเฝ้าส่วนตัวกราบทูลว่า 'ขอทรงโปรดให้ข้าพระองค์ทั้งหลายทราบว่า เหตุการณ์เหล่านี้จะบังเกิดขึ้นเมื่อไร สิ่งไรเป็นหมายสำคัญว่าพระองค์จะเสด็จมา และยุคเก่าจะสิ้นสุดลง'
4 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "ระวังให้ดี อย่าให้ผู้ใดล่อลวงท่านให้หลง
5 ด้วยว่า จะมีหลายคนมา ต่างอ้างนามของเราว่าตัวเขาเป็นพระคริสต์ เขาจะให้คนเป็นอันมากหลงไป
6 ท่านทั้งหลายจะได้ยินเสียงสงคราม และข่าวลือเรื่องสงคราม คอยระวังอย่าตื่นตระหนกเลย ด้วยว่าบรรดาสิ่งเหล่านี้จำต้องบังเกิดขึ้น แต่ที่สุดปลายยุคยังไม่มาถึง
7 เพราะประชาชาติต่อประชาชาติ ราชอาณาจักรต่อราชอาณาจักรจะต่อสู้กัน ทั้งจะเกิดกันดารอาหาร และแผ่นดินไหวในที่ต่าง ๆ
8 เหตุการณ์ทั้งปวงนี้ เป็นขั้นแรกแห่งความทุกข์ลำบาก ซึ่งต้องมีมาก่อนกำเนิดยุคใหม่" (มัทธิว 24:3-8)


--------------------------------------------------------------------------------

สาวกอาจจะยังไม่เข้าใจกับสิ่งที่พระองค์กล่าวในข้อ 1-2 อยากทราบเพิ่ม จึงถามพระองค์อีก และพระองค์ตรัสตอบเขาทุกอย่าง ว่าสิ่งที่พระองค์กล่าวถึงนั้นหมายถึงอะไร

ปัญหาแรกที่พระเยซูคริสต์อยากให้ผู้ติดตามพระองค์ระวัง คือ คนของพระเจ้าจะสูญเสียความเชื่อ โดนหลงเชื่อตามผู้ที่สอนเท็จ ซึ่งจะต้องมีก่อนที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จกลับมา ถ้าใครไปฟังสิ่งเหล่านั้น ก็จะจบลงด้วยการพลาดจากแผ่นดินสวรรค์ เพราะว่าความจริงก็ยังต้องดำเนินไปตามวิถีทางของความจริง เราจึงต้องระวังที่จะไม่หลงไป

หลายคนอาจจะไม่ได้ระวัง คิดว่าเชื่อในพระเจ้าแล้ว คงจะได้เข้าแผ่นดินสวรรค์อย่างแน่นอน ไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาได้รับการสอนนั้นไม่ถูกต้อง แต่ความไม่รู้ จะใช้แก้ตัวในวันพิพากษาของพระเจ้าไม่ได้ เพราะสิ่งที่เขาฟังและปฏิบัติตามนั้น จะนำไปสู่การละเมิด อันตรายมาก

พระธรรมยูดา ได้พูดถึงการละเมิดว่า "ละเมิดอธิปไตยของพระเจ้า" และกลุ่มของผู้ที่ละเมิดอธิปไตยของพระเจ้า คือกลุ่มของทูตสวรรค์กลุ่มหนึ่ง ที่กลายเป็นซาตานในที่สุด

สิ่งหนึ่งที่เราได้เรียนรู้ ก็คือ การละเมิดอธิปไตยของพระเจ้า ไม่อาจที่จะช่วยเราให้หลุดพ้นจากพระอาชญาได้ ผู้ที่ละเมิดจะต้องถูกลงโทษ และได้รับพระอาชญาอย่างแน่นอน เพราะพระเจ้าของเราทรงไว้ซึ่งสิทธิอำนาจ และละเมิดไม่ได้ เราจึงต้องระวังอย่างดี

คนที่ติดตามผู้สอนเท็จ จะได้รับการสอนที่จะนำเขาไปสู่การละเมิดอธิปไตยของพระเจ้า และเขาก็จะถูกตัดสิทธิออกจากมรดก และจะต้องถูกพิพากษา เขาจะไม่สามารถแก้ตัวได้

เราจึงต้องรู้ว่าอะไรเท็จอะไรจริง เพราะถ้าเราไม่รู้ จะเป็นอันตราย เหมือนกับชาวยิวที่ไม่รู้ว่าพระเจ้าทรงคิดอย่างไร เขาคิดด้วยตัวเอง จนในที่สุด เขาก็สิ้นชาติ ถูกจับไปเป็นเชลย ได้รับความทุกข์ยาก เศร้าโศก เสียใจ นี่แหละ เป็นตัวอย่างที่เราเห็นได้ เพียงแต่พวกเขาสามารถกลับตัว แก้ตัว กลับมาหาพระเจ้าได้ และพระเจ้าทรงช่วยเขา แต่ผู้ที่เชื่อสิ่งที่ผิด ถ้าไม่ได้กลับใจ ก็จะไม่มีโอกาสแก้ตัวในวันพิพากษา

ผู้ที่หลงผิด แปลว่า ไปผิดทิศทาง ซึ่งเมื่อเดินทางผิดทิศทางแล้ว ก็จะไม่สามารถเข้าสู่แผ่นดินสวรรค์ได้

เวลาจะมีสงคราม หรือมีสถานการณ์อะไร เราจะต้องไม่ตื่นตระหนก และตั้งสติให้ดี และเตรียมตัวเองให้พร้อม ถ้าเหตุการณ์นี้จะนำไปสู่การเสด็จกลับมา ให้เราถามตัวเองว่า "เราพร้อมหรือยัง ?" สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น แต่ที่สุดปลายยังไม่มาถึง สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงขั้นแรก




--------------------------------------------------------------------------------

"9 ในเวลานั้น เขาจะอายัดท่านทั้งหลายไว้ให้ทนทุกข์ลำบาก และฆ่าท่านเสีย และประชาชาติต่างๆ จะเกลียดชังพวกท่าน เพราะความจงรักภักดีของท่านที่มีต่อเรา
10 คราวนั้นคนเป็นอันมากจะถดถอยไป และอายัดกันและกัน ทั้งจะเกลียดชังซึ่งกันและกันด้วย
11 ผู้เผยพระวจนะปลอมหลายคนจะเกิดมีขึ้น และล่อลวงคนเป็นอันมากให้หลงไป
12 ความรักของคนส่วนมากจะเยือกเย็นลง เพราะความอธรรมแผ่กว้างออกไป
13 แต่ผู้ใดทนได้จนถึงที่สุด ผู้นั้นจะรอด
14 ข่าวประเสริฐเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า จะได้ประกาศไปทั่วโลก ให้เป็นคำพยานแก่บรรดาประชาชาติ แล้วที่สุดปลายจะมาถึง" (มัทธิว 24:9-14)


--------------------------------------------------------------------------------

ขั้นต่อมา ก็คือ จะได้เห็นภาพของคนที่จงรักภักดีต่อพระเจ้าแล้วถูกเกลียดชัง สิ่งเหล่านี้แม้จะยังเกิดไม่ชัดเจนนัก แต่จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

เราอาจรู้สึกว่ายังห่างไกล แต่เราจะประมาทไม่ได้ เพราะหลาย ๆ ที่ในต่างประเทศ ผู้รับใช้ถูกตามล่าตามฆ่า เพราะพวกเขาจงรักภักดีแล้วเกิดผล

นี่จึงเป็นสิ่งที่เราจะต้องสังเกตว่าทำไมจึงยังไม่เจอสิ่งเหล่านี้ ? เพราะว่าเรายังไม่ค่อยได้เห็นภาพของผู้รับใช้ที่จงรักภักดีจนถึงที่สุดหรือไม่ ? การข่มเหงเหล่านี้เกิดขึ้นต่อผู้ที่จงรักภักดีต่อพระเจ้า เพราะเมื่อเขาจงรักภักดี เขาก็จะเกิดผลมาก เป็นเหตุให้ถูกเกลียดชัง ซาตานจะไม่อยู่เฉยแน่ ๆ จะไม่ปล่อยแน่ ๆ เพราะว่ามันเป็นศัตรูต่อพระเจ้า และมันเกลียดชังผู้ที่จงรักภักดีต่อพระเจ้า มันจะชอบผู้ที่รับใช้พระเจ้าแบบเฉื่อย ๆ ชา ๆ คนเหล่านี้จึงไม่โดนข่มเหง ไม่โดนเกลียดชังนัก

อย่ามัวแต่คิดว่า สบาย ๆ อย่างนี้ก็ดีแล้ว เราจะคิดแค่นี้ไม่ได้ เพราะพระองค์ทรงบอกว่า สิ่งนี้จะต้องเกิด ก็คือ ประชาชาติจะเกลียดชัง เพราะความจงรักภักดีที่มีต่อพระเจ้า

อย่ากลัวที่จะถูกเกลียดชัง เพราะว่าจะต้องมีแน่นอน แต่ให้เราเตรียมตัว เตรียมพร้อมให้ดี เพื่อที่ในเวลานั้น ที่เราจะไม่หวั่นไหว ที่เราจะไม่ถดถอยออกจากทางของพระเจ้า เพราะในเวลานั้น จะมีคนเป็นอันมากออกจากทางของพระเจ้า

นอกจากนี้ ในกลุ่มคริสเตียนเอง ก็จะมีการอายัดกันและกัน มีการเกลียดชังกันและกันด้วย ซึ่งสิ่งนี้จะเกิดจากคริสเตียนที่ไม่ยืนหยัดในทางของพระเจ้า เกิดจากผู้ที่ออกจากทางของพระเจ้า ที่จะอายัดคริสเตียนด้วยกันเอง ในเวลานั้นจะมีผู้เผยพระวจนะปลอมแพร่ระบาดมาก ล่อลวงให้คริสเตียนหลงจากทางของพระเจ้า

เราจะต้องระมัดระวังที่จะไม่อยู่ในกลุ่ม "คนเป็นอันมาก" เพราะจะสังเกตได้เลยว่า คนที่รักพระเจ้า คนที่ยืนหยัดในทางของพระเจ้า คนที่ร้อนรนในทางของพระเจ้านั้น เป็นเพียงคนกลุ่มน้อย เพราะทางของพระองค์เป็นทางแคบ

เงื่อนไขอยู่ที่ว่า "ผู้ใดทนได้จนถึงที่สุด" คนเหล่านี้แหละที่จะได้เข้าในแผ่นดินของพระเจ้า คนเหล่านี้จะไม่ปฏิเสธพระเจ้า ไม่ฟังผู้เผยพระวจนะเท็จ และจะไม่สูญเสียความรอดไป

เราไม่มีทางรู้ได้ว่า ข่าวประเสริฐของพระเจ้าไปทั่วโลกแล้วหรือยัง ดังนั้นสิ่งนี้จะใช้เป็นที่ยึดว่าพระองค์จะเสด็จกลับมาได้หรือยังไม่ได้ ถ้าเรายึดสิ่งเหล่านี้เราอาจจะไม่ทันได้ตั้งตัว เพราะพระองค์จะเสด็จมาทันทีที่สิ่งเหล่านี้สำเร็จ



ความวิบัติยิ่งใหญ่


--------------------------------------------------------------------------------

"15 เหตุฉะนั้น เมื่อท่านทั้งหลายเห็นสิ่งอันน่าสะอิดสะเอียน ซึ่งกระทำให้เกิดความวิบัติ ตามพระวจนะที่ตรัสโดยดาเนียลผู้เผยพระวจนะนั้น ตั้งอยู่ในสถานบริสุทธิ์ (ให้ผู้อ่านเข้าใจเอาเถิด)
16 เวลานั้นให้ผู้ที่อยู่ในแคว้นยูเดียหนีไปยังภูเขา
17 ผู้ที่อยู่บนดาดฟ้าหลังคาตึก อย่าให้ลงมาเก็บข้าวของออกจากตึกของตน
18 ผู้ที่อยู่ตามทุ่งนา อย่าให้กลับไปเอาเสื้อผ้าของตน
19 แต่ในวันเหล่านั้น อนิจจา น่าสงสารหญิงที่มีครรภ์ หรือมีลูกอ่อนกินนมอยู่
20 จงอธิษฐานขอ เพื่อการที่ท่านต้องหนีนั้น จะไม่ตกในฤดูหนาว หรือในวันสะบาโต
21 ด้วยว่า ในคราวนั้นจะเกิดความทุกข์ลำบากใหญ่ยิ่ง อย่างที่ไม่เคยมีตั้งแต่เริ่มโลกมาจนถึงทุกวันนี้ และในเบื้องหน้าจะไม่มีต่อไปอีก
22 ถ้ามิได้ทรงให้วันเหล่านั้นย่นสั้นเข้า จะไม่มีมนุษย์รอดได้เลย แต่เพราะทรงเห็นแก่ผู้เลือกสรร จึงทรงให้วันเหล่านั้นย่นสั้นเข้า
23 ในเวลานั้น ถ้าผู้ใดจะบอกพวกท่านว่า 'แน่ะ พระคริสต์อยู่ที่นี่' หรือ 'อยู่ที่โน่น' อย่าได้เชื่อเลย
24 ด้วยว่า จะมีพระคริสต์เทียมเท็จ และผู้ทำนายเทียมเท็จหลายคนเกิดขึ้น ทำหมายสำคัญอันใหญ่ และการมหัศจรรย์ ล่อลวงแม้ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้หลง ถ้าเป็นได้
25 ดูเถิด เราได้กล่าวเตือนท่านทั้งหลายไว้ก่อนแล้ว
26 เหตุฉะนั้น ถ้าใครจะบอกท่านทั้งหลายว่า 'ท่านผู้นั้นอยู่ในถิ่นทุรกันดาร' ก็จงอย่าออกไป หรือจะว่า 'อยู่ที่ห้องใน' ก็จงอย่าเชื่อ
27 ด้วยว่า ฟ้าแลบมาจากทิศตะวันออก ส่องไปจนถึงทิศตะวันตกฉันใด การเสด็จมาของบุตรมนุษย์ก็จะเป็นฉันนั้น
28 ซากศพอยู่ที่ไหนฝูงนกแร้งก็จะตอมกันอยู่ที่นั่น" (มัทธิว 24:15-28)


--------------------------------------------------------------------------------

เมื่อจะพูดถึงสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียน เราก็ควรที่จะใคร่ครวญจากพระคัมภีร์ตอนอื่น ๆ ร่วมด้วย เพื่อที่จะเห็นภาพชัดยิ่งขึ้น

"1 ดูก่อน พี่น้องทั้งหลาย เรื่องการซึ่งพระเยซูคริสตเจ้าของเราจะเสด็จมา และที่พระองค์จะทรงรวบรวมเราทั้งหลาย ไปเป็นของพระองค์นั้น เราขอวิงวอนท่านว่า
2 อย่าให้ใจของท่านหวั่นไหวง่าย หรือตื่นตระหนกตกใจ ไม่ว่าจะเป็นโดยทางวิญญาณ หรือโดยทางคำพูด หรือโดยทางจดหมายเป็นเชิงว่า มาจากเรา อ้างว่าวันขององค์พระผู้เป็นเจ้า มาถึงแล้ว
3 อย่าให้ผู้หนึ่งผู้ใดล่อลวงท่าน โดยทางหนึ่งทางใดเลย เพราะว่าวันนั้นจะไม่มาถึงจนกว่าจะมีการทรยศเสียก่อน และคนนอกกฎหมายนั้นจะประจักษ์แจ้ง คือ ลูกแห่งความพินาศ
4 ผู้กีดกั้นขัดขวาง และยกตัวขึ้นต่อสู้อะไรๆ ที่ได้ชื่อว่าเป็นพระ หรืออะไรๆ ที่เขาไหว้นมัสการนั้น แล้วมันก็นั่งในพระวิหารของพระเจ้า ประกาศตัวว่าเป็นพระเจ้า
5 ท่านทั้งหลายจำไม่ได้หรือว่า เมื่อข้าพเจ้ายังอยู่กับท่าน ข้าพเจ้าได้บอกเรื่องนี้ให้ท่านทราบแล้ว
6 และท่านก็รู้จักสิ่งนั้นที่กำลังหน่วงเหนี่ยวมันไว้ในขณะนี้ เพื่อมันจะปรากฏออกมาได้ ต่อเมื่อถึงเวลาของมัน
7 เพราะว่า อำนาจลึกลับนอกกฎหมายนั้น ก็เริ่มทำงานอยู่แล้ว แต่ผู้ที่คอยหน่วงเหนี่ยวเดี๋ยวนี้นั้น จะยังหน่วงเหนี่ยวอยู่จนออกไปให้พ้น
8 ขณะนั้น คนนอกกฎหมายนั้น ก็จะปรากฏตัวขึ้น และพระเยซูเจ้าจะทรงประหารมัน ด้วยลมพระโอษฐ์ของพระองค์ และจะทรงผลาญให้สูญไปด้วยการปรากฏ และการเสด็จมาของพระองค์
9 คนนอกกฎหมายนั้น จะมาโดยการดลบันดาลของซาตาน พร้อมกับการอิทธิฤทธิ์ต่างๆ และหมายสำคัญ และการอัศจรรย์แห่งความเท็จ
10 และอุบายอธรรมต่างๆ สำหรับคนเหล่านั้นที่จะต้องพินาศ เพราะเขาทั้งหลายไม่ได้รักความจริงเพื่อจะรอดได้
11 เพราะเหตุนี้ พระเจ้าจึงทรงให้ความลุ่มหลงมาครอบงำเขา ให้เขาเชื่อสิ่งที่เท็จ
12 เพื่อคนที่ไม่เชื่อความจริง แต่ยินดีในการอธรรมจะได้ถูกพิพากษาลงโทษสิ้นทุกคน" (2เธสะโลนิกา 2:1-12)

"ท่านจะทำพันธสัญญาเข้มแข็งกับคนเป็นอันมากอยู่หนึ่งสัปตะ ท่านจะกระทำให้การถวายสัตวบูชา และเครื่องบูชาอื่นๆ หยุดไปครึ่งสัปตะ ผู้ที่จะกระทำให้เกิดความวิบัตินั้น จะมาบนปีกของสิ่งน่าสะอิดสะเอียน จนความอวสานที่ได้กำหนดไว้จะถูกเทลงเหนือผู้กระทำให้เกิดความวิบัตินั้น" (ดาเนียล 9:27)

"กองทัพของเขาจะมาทำสถานนมัสการ คือ ป้อมปราการให้เป็นมลทิน และจะให้เลิกเครื่องเผาบูชาเนืองนิตย์นั้นเสีย และเขาทั้งหลายจะตั้งสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียน ซึ่งกระทำให้เกิดความวิบัติขึ้น" (ดาเนียล 11:31)

"และตั้งแต่เวลาที่ให้เลิกเครื่องเผาบูชาเนืองนิตย์เสียนั้น และให้ตั้งสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียน ซึ่งกระทำให้เกิดความวิบัติขึ้น จะเป็นเวลาหนึ่งพันสองร้อยเก้าสิบวัน" (ดาเนียล 12:11)

นี่เป็นสิ่งที่เราจะต้องระมัดระวัง เพราะในสามปีครึ่ง หรือ ครึ่งหลังของสัปตะ จะเกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้น

เครื่องเผาบูชาเนืองนิตย์ เลวีนิติได้กำหนดไว้ ว่าจะต้องมีการเผาแกะ และเวลานี้ได้ยกเลิกไปแล้ว เพราะพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเมษโปดก ทรงเป็นเครื่องบูชาสำหรับพวกเรา คริสเตียนจึงไม่ต้องมีการเผาเครื่องบูชา แต่ในเวลาสุดท้าย ที่วิหารกรุงเยรูซาเล็ม จะมีผู้ที่ทำการเผาเครื่องบูชาอีกครั้งหนึ่ง ผู้นั้นก็คือคนนอกกฎหมาย ผู้ซึ่งเป็นปฏิปักษ์ของพระคริสต์

อำนาจของคนนอกกฎหมายจะมีมากในเวลานั้น จนจะมีการกีดกันผู้ที่ไม่รับเครื่องหมายของมันที่มือขวาหรือหน้าผาก คริสเตียนจะลำบากที่สุด เพราะจะไม่สามารถค้าขายได้ จะโดนกดขี่ข่มเหง

คนของพระเจ้าจะยืนหยัดและปฏิบัติการ ผู้ที่ทนได้จนถึงที่สุดก็คือผู้ที่จะเตรียมตัวตั้งแต่เวลานี้

เราจะต้องใคร่ครวญสิ่งเหล่านี้ และเตรียมตัว เพราะคนเป็นอันมากจะถดถอย เพราะเดินต่อไปไม่ได้แล้ว

คนนอกกฎหมายนั้น จะนำสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนมาบูชาที่วิหารของพระเจ้า ซึ่งก็หมายถึงว่ามันพยายามที่จะยกเลิกเครื่องเผาบูชาเดิม คือ พระเยซูคริสต์ ผู้ซึ่งเป็นเครื่องบูชาบริสุทธิ์ เครื่องบูชาเนืองนิตย์ของเรา และมันจะนำเอาสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนขึ้นมาแทน มันจะแสดงการอัศจรรย์ต่าง ๆ อ้างตัวเป็นพระเจ้า ตั้งกฎขึ้นมาเอง เมื่อเวลานั้นเราจะทำอย่างไร ? เราเชื่อเขาหรือไม่ ?

มันจะแสดงสิ่งต่าง ๆ เหมือนที่พระคริสต์ทรงกระทำ ทำให้เราเห็นกับตา ประกาศตัวเป็นพระเจ้า แต่เราจะต้องยืนหยัดและจะไม่รับ เพราะพระคัมภีร์ได้บอกชัดเจนว่า พระองค์ทรงเสด็จมาแล้ว และจะเสด็จมาอีก แต่ไม่ใช่มาเพื่อช่วย พระองค์จะมาเพื่อการพิพากษาเท่านั้น จะไม่มีการเสด็จมาแสดงสิ่งต่าง ๆ ในโลกนี้อีก แต่จะมีเสียงแตร และเสด็จมาพิพากษา

คนเป็นอันมากจะสนใจสิ่งเหล่านั้น และเชื่อว่าคนนอกกฎหมายนั้นเป็นพระคริสต์ จะติดตามมันไป แล้วเขาเหล่านั้นก็จะพลาดจากแผ่นดินสวรรค์ เพราะหลงผิด และเดินผิดทาง

แต่พระเจ้าทรงแสดงความห่วงใย โดยจะทรงย่นเวลาให้สั้นเขา เพื่อที่คริสเตียนจะทนได้ และจะให้พระเยซูคริสต์เสด็จกลับมาโดยเร็ว เพื่อให้มีผู้ที่จะได้รับความรอด ได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์มากที่สุด

พวกพระคริสต์เทียมเท็จ และผู้เผยพระวจนะเท็จ จะพยายามล่อลวง แม้แต่ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไว้ มันก็จะพยายามที่จะล่อลวง แต่ขอบคุณพระเจ้า ผู้ที่ถูกล่อลวงสำเร็จ จะไม่ใช่ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรค์ไว้ เพราะผู้ที่พระองค์ทรงเลือกสรร จะไม่ถูกล่อลวงจนสำเร็จ

นอกจากนี้ จะมีผู้ที่มาบอกว่าพระเยซูคริสต์เสด็จมาแล้ว อยู่ที่นู่นที่นี่ ขอที่เราจะไม่โดนล่อลวง เพราะถ้าเราออกไป แสดงว่าเราไม่ได้รอการเสด็จกลับมา ไม่ได้เฝ้าระวัง แต่เมื่อพระองค์เสด็จกลับมา จะทรงเสด็จมาอย่างรวดเร็ว เป็นเพียงเสี้ยววินาที ดังนั้นเราจะต้องพิจารณาตัวเองทุกเสี้ยววินาที



เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมา


--------------------------------------------------------------------------------

"29 แต่พอสิ้นความทุกข์ลำบากแห่งวันเหล่านั้นแล้ว ดวงอาทิตย์จะมืดไป และดวงจันทร์จะไม่ส่องแสง ดวงดาวทั้งปวงจะตกจากฟ้า และบรรดาสิ่งที่มีอำนาจในท้องฟ้าจะสะเทือนสะท้าน
30 เมื่อนั้นนิมิตแห่งบุตรมนุษย์ จะปรากฏขึ้นในท้องฟ้า มนุษย์ทุกชาติทั่วโลกจะตีอกร้องไห้ แล้วจะเห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาบนเมฆในท้องฟ้า ทรงฤทธานุภาพ และพระสิริเป็นอันมาก
31 พระองค์ทรงใช้เหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์ มาด้วยเสียงแตรอันดังยิ่งนัก ให้รวบรวมคนทั้งปวงที่พระองค์ทรงเลือกสรรไว้แล้ว ทั้งสี่ทิศนั้น ตั้งแต่ที่สุดฟ้าข้างนี้จนถึงที่สุดฟ้าข้างโน้น" (มัทธิว 24:29-31)


--------------------------------------------------------------------------------

คนที่พร้อมจะถูกรับขึ้นไป แต่คนที่ไม่พร้อมจะต้องตีอกชกตัว แล้วต้องเผชิญกับความน่ากลัว



เรียนคำเปรียบ เรื่องต้นมะเดื่อ


--------------------------------------------------------------------------------

"32 จงเรียนคำเปรียบเรื่องต้นมะเดื่อ เมื่อแตกกิ่งแตกใบ ท่านก็รู้ว่าฤดูร้อนใกล้จะถึงแล้ว
33 เช่นนั้นแหละ เมื่อท่านทั้งหลายเห็นบรรดาสิ่งเหล่านั้นก็ให้รู้ว่า พระองค์เสด็จมาใกล้จะถึงประตูแล้ว
34 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนในชั่วอายุนี้จะไม่ล่วงลับไปก่อนสิ่งทั้งปวงนั้นบังเกิดขึ้น
35 ฟ้าและดินจะล่วงไป แต่ถ้อยคำของเราจะสูญหายไปหามิได้เลย" (มัทธิว 24:32-35)


--------------------------------------------------------------------------------

นับจากอิสราเอลสร้างชาติมา 60 กว่าปีแล้ว ตั้งแต่ปี 1948 ถ้าเราโยงกับชาติอิสราเอล เราอาจจะรู้สึกว่า ตั้งนานแล้ว ทำไมพระองค์ไม่เสด็จกลับมา

ธรรมชาติของต้นมะเดื่อ จะแตกกิ่งแตกใบก่อนถึงฤดูร้อน นี่เป็นความหมายที่พระคัมภีร์บอก คือ ถ้าเห็นสิ่งต่าง ๆ ที่พระองค์ได้บอกมาตั้งแต่ต้น ให้เรารู้ว่าใกล้ถึงเวลาที่พระองค์จะเสด็จกลับมาแล้ว

ดังนั้น เราจะต้องสังเกตจากสิ่งที่ดาเนียลทำนาย คือ สิ่งที่มากับสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนที่ตั้งที่วิหารของพระเจ้า นั่นแหละ จากเวลานั้น จะมีเวลาอีก 3 ปีครึ่ง ที่เราจะต้องต่อสู้ เราจะต้องยืนหยัดจนถึงที่สุด

เราจะต้องเตรียมตัว เตรียมพร้อม รวมถึงสอนให้ผู้ที่เรารักเตรียมพร้อมเช่นกัน แต่เราไม่จำเป็นต้องกลัวต่อสิ่งเหล่านั้น เพราะพระคัมภีร์มิได้ให้เรากลัว แต่พระคัมภีร์สอนให้เราเตรียมตัว เพื่อเมื่อถึงเวลานั้น เราจะกล้าที่จะปฏิเสธ เพราะสิ่งเหล่านี้ มีเพื่อต่อต้านพระคริสต์



วันและโมงที่ไม่มีผู้ใดรู้


--------------------------------------------------------------------------------

"36 แต่วันนั้น โมงนั้น ไม่มีใครรู้ ถึงบรรดาทูตสวรรค์ หรือพระบุตรก็ไม่รู้ รู้แต่พระบิดาองค์เดียว
37 ด้วยสมัยของโนอาห์ ได้เป็นอย่างไร เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมา ก็จะเป็นอย่างนั้น
38 เพราะว่าเมื่อก่อนวันน้ำท่วมนั้น คนทั้งหลายได้กินและดื่มกัน ทำการสมรส และยกให้เป็นสามีภรรยากัน จนถึงวันที่โนอาห์เข้าในนาวา
39 และน้ำท่วมมากวาดเอาเขาไปสิ้น โดยไม่ทันรู้ตัวฉันใด เมื่อบุตรมนุษย์จะเสด็จมาก็จะเป็นฉันนั้น
40 เมื่อนั้นชายสองคนอยู่ที่ทุ่งนา จะทรงรับคนหนึ่ง ทรงละคนหนึ่ง
41 หญิงสองคนโม่แป้งอยู่ที่โรงโม่ จะทรงรับคนหนึ่ง ทรงละคนหนึ่ง
42 เหตุฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงเฝ้าระวังอยู่ เพราะท่านไม่รู้ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าของท่านจะเสด็จมาเวลาไหน
43 จงจำไว้ว่า ถ้าเจ้าของบ้านล่วงรู้ได้ว่า ขโมยจะมายามไหน เขาจะตื่นอยู่และระวัง ไม่ให้ทะลวงเรือนของเขาได้
44 เหตุฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงเตรียมพร้อมไว้ เพราะในโมงที่ท่านไม่คิดไม่ฝันนั้น บุตรมนุษย์จะเสด็จมา" (มัทธิว 24:36-44)


--------------------------------------------------------------------------------

ในสมัยนั้น ภาพจะเหมือนสมัยโนอาห์ ดังนั้น เราจึงควรที่จะคิดถึงว่าสมัยโนอาห์เป็นเช่นไร เพราะในวันสุดท้าย ก็จะเป็นเช่นนั้น

ในสมัยโนอาห์ โนอาห์พูดสิ่งใด ไม่มีใครฟัง เพราะชาวโลกจะหมกมุ่นอยู่กับโลกนี้ และเขาก็กินและดื่ม ฉลองกัน จนกระทั่งเรือโนอาห์ปิด ภาพนี้จะปรากฎอย่างแน่นอน คริสเตียนมากมายก็จะไม่ได้รับเสด็จในเวลานั้น เพราะไปอยู่กับโลก

พระบุตรไม่ทราบว่าจะเสด็จกลับมาเมื่อไร มีเพียงพระบิดาเท่านั้น เพราะว่าสิ่งที่พระบิดาต้องการ คือ คริสเตียน ที่ซื่อสัตย์



เรื่องทาสผู้ไม่สัตย์ซื่อ


--------------------------------------------------------------------------------

"45 ใครเป็นทาสสัตย์ซื่อและฉลาด ที่นายได้ตั้งไว้เหนือพวกบ่าวทาสสำหรับแจกอาหารตามเวลา
46 เมื่อนายมาพบเขากระทำอยู่อย่างนั้น ทาสผู้นั้นก็จะเป็นสุข
47 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า นายจะตั้งเขาไว้ให้ดูแลบรรดาข้าวของของท่าน
48 แต่ถ้าทาสนั้นชั่วและคิดในใจว่า 'นายของข้ามาช้า'
49 แล้วจะตั้งต้นโบยตีเพื่อนทาส และกินดื่มอยู่กับเพื่อนขี้เมา
50 นายของทาสผู้นั้น จะมาในวันที่เขาไม่คิดในโมงที่เขาไม่รู้
51 และจะทำโทษเขาถึงสาหัส ทั้งจะขับไล่ให้เขาไปอยู่ในที่ของพวกคนหน้าซื่อใจคด ซึ่งที่นั่นจะมีแต่การร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน (มัทธิว 24:45-51)


--------------------------------------------------------------------------------

ผู้ที่สัตย์ซื่อ เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเห็นว่าเป็นผู้ที่ฉลาด และการวัดความซื่อสัตย์และฉลาด วัดโดยการที่ทรงไม่บอกให้เรารู้ว่าจะเสด็จมาเมื่อไร แม้ว่าพระองค์ทรงบอกแก่เราว่าจะมีเหตุการณ์อะไรมาก่อน แต่ไม่บอกเวลา และผู้ที่สัตย์ซื่อและฉลาด ก็จะได้เตรียมตัวอยู่เสมอ

ขอพระเจ้าทรงช่วยเรา ที่เราจะจดจำเรื่องราวที่เราจะยึดไว้ เพื่อเป็นพรต่อชีวิตของเรา เพื่อเราจะไม่พลาด ให้เราเตรียมพร้อม รักพระเจ้าตั้งแต่เวลานี้เลย เพื่อเวลานั้นเราจะยืนหยัดจนถึงที่สุดได้ แล้วเราจะเป็นทาส เป็นบ่าวที่ซื่อสัตย์ ที่พระเจ้าทรงพอพระทัย เพราะพระเจ้าทรงทราบทุกสิ่ง

วันเวลาเหล่านั้น ไม่ใกล้ไม่ไกล เพราะเมื่อเกิดขึ้น ทุกอย่างจะเป็นไปอย่างรวดเร็วมาก เราจึงต้องฉลาดและซื่อสัตย์ทุกวินาที ยืนหยัดอยู่กับพระเจ้าตลอดเวลา อย่าให้พลาด



อ.ประดิษฐ์ พรกีรติกุล

คำแบ่งปันกลุ่มเซลล์เพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 17/04/2009

เรื่อง ศึกษาพระกิตติคุณมัทธิว 24

รับใช้เต็มท่าที (3)‏

รับใช้เต็มท่าที (3)‏

ความผิดพลาดของคริสตจักรในอดีต
การเปลี่ยนแปลง ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเราเอง

พวกเราอยู่ในปัจจุบัน พวกเราคือพลังของคริสตจักรในปัจจุบัน เราจะต้องเคลื่อนไหว ขอพระเจ้าช่วยเราที่ทุกครั้งที่เราเคลื่อนไหว จะมีการเคลื่อนที่เกิดขึ้น เป็นการเคลื่อนไปข้างหน้า

พระเจ้าไม่ได้เรียกร้องให้เราเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เพียงแค่ทีละก้าวก็เพียงพอแล้ว แต่อย่าซอยเท้าอยู่กับที่

สิ่งที่เป็นข้อบกพร่องในอดีต ก็ปล่อยให้มันผ่านไป แต่อย่าให้เกิดขึ้นอีก

1. แยกเรื่องการสร้างสาวกออกจากการประกาศ

"19 เหตุฉะนั้น เจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้เป็นสาวกของเรา ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์
20 สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้ นี่แหละเราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค" (มัทธิว 28:19-20)

การสร้างสาวก และการประกาศ เดิมมักจะแบ่งออกเป็น การประกาศ กระทำนอกคริสตจักร กระทำกับคนที่ไม่เป็นคริสเตียน แต่การสร้างสาวกกระทำในคริสตจักร กระทำกับคนที่เป็นคริสเตียน นี่เป็นข้อผิดพลาด

จากพระมหาบัญชาของพระองค์ ทรงให้เราสั่งสอนชนทุกชาติ ที่ตอนนั้นยังไม่เป็นสาวก ยังไม่เป็นคริสเตียน ให้เป็นสาวกของพระเยซูคริสต์ สอนให้เป็นสาวก ดังนั้น เราจึงไม่ควรแยกออกจากกัน

การแยกการประกาศและการสร้างสาวกออกจากกัน ทำให้การประกาศมีปัญหา ซึ่งปัญหาหนึ่ง คือ การติดตามผล เพราะมีการประกาศ เมื่อการประกาศสิ้นสุด คนที่รับเชื่อเหล่านั้นก็หายไป เพราะไม่มีใครติดตามผล นี่คือปัญหาที่เกิดขึ้น ตอนนี้ก็ยังไม่มีทางแก้ไขปัญหานี้

การสร้างสาวกไม่ใช่งานครั้งเดียวจบ แต่เป็นกระบวนการของความสัมพันธ์

เริ่มต้นคนที่ยังไม่เป็นคริสเตียน ก็อาจจะยังไม่พร้อมสำหรับคำสอนบางประการ แต่เมื่อเรามีความสัมพันธ์ที่ดี เมื่อถึงเวลา เราก็จะสามารถที่จะให้เขากระทำตามได้

การสร้างสาวกและการประกาศเป็นเรื่องเดียวกัน และเป็นไปด้วยสายสัมพันธ์

การประกาศด้วยเวทีใหญ่ ๆ อาจมีผู้รับเชื่อมากมาย แต่เมื่องานจบ ผู้คนก็มักจะหายไป เพราะว่าไม่มีการติดตามผล แต่ถ้าหากการประกาศเรากระทำโดยการสร้างสายสัมพันธ์ จะเป็นสิ่งที่ยั่งยืน

คริสเตียนส่วนใหญ่ มักจะชอบหว่านข่าวประเสริฐ แต่ไม่คิดที่จะเก็บเกี่ยว ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง เพราะคงจะไม่มีผู้ใดที่หว่านพืช แล้วจะไม่เก็บเกี่ยวผล และคริสเตียนได้มีการหว่าน มีการลงทุนในการหว่านมากมาย แต่กลับมีการเก็บเกี่ยวน้อยมาก

2. ยกเรื่องการประกาศและการสร้างสาวกไปที่ผู้รับใช้เต็มเวลา

ผลที่เกิดขึ้นจากความผิดพลาดนี้ คือ

1. ส่งผลให้ผู้รับใช้มีจำนวนไม่พอสำหรับงานรับใช้ ทำให้ผู้รับใช้งานหนักมาก และสุขภาพไม่ดี ตายทั้งฝ่ายร่างกาย และจิตวิญญาณ

2. ทำให้งานในคริสตจักรไม่เกิดผลเท่าที่ควร

รถปกติมีลูกสูบอยู่ 4 สูบ และจะทำงานร่วมกัน ถ้าหากให้ทำงานเพียงทีละสูบ ก็คงจะไม่ไหว

3. โยงเรื่องการประกาศและการสร้างสาวกเข้ากับของประทาน

ส่งผลให้สมาชิกไม่มีใจในการประกาศ เพราะว่ามักอ้างว่า "ไม่มีของประทาน"

ส่วนคนที่มีของประทานในบางสิ่งบางอย่าง ก็จะทำสิ่งนั้นอย่างเดียว โดยอ้างว่ามีของประทานในสิ่งนั้น

แต่พระคัมภีร์มิได้พูดเช่นนั้น ทุกคนต้องสร้างสาวก นี่เป็นการรับใช้พระเจ้าเต็มท่าที ทั้งท่าทีตามของประทาน และท่าทีในการสร้างสาวก และ "การสร้างสาวก ไม่ต้องใช้ของประทาน"

ดังเช่นที่ พ่อแม่จะอ้างว่าไม่มีของประทานในการเลี้ยงเด็ก แล้วไม่ยอมเลี้ยงเด็ก ก็คงจะไม่ถูกต้อง ขอบคุณพระเจ้า ที่ถึงแม้พ่อแม่จะไม่มีของประทานในการเลี้ยงลูก ก็ยังเลี้ยงเราโตขึ้นมาได้

สิ่งที่อยากฝากเราไว้ก็คือ อย่าให้ผู้รับใช้ของพระเจ้าต้องทำงานทุกอย่างในคริสตจักร แต่ขอที่เราทุกคนจะช่วยกัน อย่าให้สมาชิกต้องนั่งเฉย ๆ แต่ช่วยกันรับใช้



อ. ประยูร ลิมะหุตะเศรณี

Workshop C, Youth Challenge 2009

เมื่อวันที่ 04/04/2009

เรื่อง รับใช้เต็มท่าที

My Blog

  • วินัยของน้องหมา (ข้างถนน) - วันที่ 18/8/2011 เช้านี้ขณะที่รถติดไฟแดงอยู่บริเวณสี่แยกสามย่าน ซึ่งเบื้องหน้าเป็นจามจุรีสแควร์นั้น พลันก็เหลือบเห็นน้องหมาตัวหนึ่งเดินข้ามทางม้าลายด้วยอ...
    12 ปีที่ผ่านมา
  • บทความคริสเตียน - บทความคริสเตียน http://www.gracezone.org/index.php/christian-articles บทความทางด้านจิตวิญญาณ หลักข้อเชื่อ พระเจ้า พระคัมภีร์ พระเจ้า พระคัมภีร์ แนวทางในการ...
    15 ปีที่ผ่านมา
  • คริสเตียนกับการรับใช้พระเยซู - คริสเตียนกับการรับใช้พระเยซู วัน พุธ 08 ต.ค. 08@ 17:47:37 ICT หัวข้อ: สรุปคำเทศนาประจำอาทิตย์ ดร.ทะนุ วงค์ธนานุกุล วัน อาทิตย์ ที่ 21 กันยายน 2008 พระธร...
    15 ปีที่ผ่านมา
  • - แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้องจะนมัสการพระบิดา ด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้...
    15 ปีที่ผ่านมา

Christian Blog

บล็อกวาไรตี้

เทคโนโลยี

ดาวน์โหลดโปรแกรมมาใหม่ล่าสุด |

วาไรตี้

ข่าวประจำวัน

สารบัญเว็บไทย

กินลม ชมทะเล ที่มาร์คเฮ้าส์บังกะโล เกาะกูด จ.ตราด

Thailand Map