Custom Search By Google

Custom Search

วันจันทร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2553

คริสเตียนมีราคาเท่าไหร่นะ

แต่ไหนแต่ไรมามนุษย์เราอาจจะถูกตีค่าด้วยวัตถุนิยมต่างๆ บ้างก็อาจจะเป็นการศึกษา บ้างก็อาจจะเป็นเรื่องของเผ่าพันธุ์ แต่เมื่อเราอ่านพระคัมภีร์เราพบว่ามนุษย์ทุกคนตกอยู่ในความบาปและค่าจ้างความบาปนี้ก็คือความตาย ถ้าเป็นเช่นนั้นเราคงตีค่าราคาของเราได้เท่ากับความตายหรือบาปที่เราทำเป็นแน่ แล้วแบบนี้เราจะว่าอย่างไร? ถ้าเราพบว่าค่าจ้างของความบาปคือความตายนั้นมันมาจากบาปที่เราคิดว่ามันเล็กน้อยหรืออาจจะไม่ผิดเลย บางคนอาจจะมีค่าแค่กับคำโกหก คำนินทาลับหลัง บ้างก็อาจจะหนักหน่อย คือการดูถูกและตำหนิติเตียนคนอื่น บางทีอาจหนักไปถึงการฆ่าคน ยิ่งพูดไปก็ยิ่งดูเหมือนว่าเราไม่มีคุณค่าเลย หลายคนอาจจะท้อแท้ก็ได้เพราะว่าคุณค่าในตัวเรามันน้อยมากตามการกระทำของเรา แต่ที่เขียนเช่นนี้ไม่ได้กำลังพูดให้เรารู้สึกแย่กับสิ่งที่เราทำ แต่อยากให้เราพบคุณค่าแท้จริงในชีวิตของเรา

ในพระกิตติคุณมัทธิวบทที่4ข้อที่1-11ตอนมารทดลองพระเยซู 4:1 ครั้งนั้นพระวิญญาณทรงนำพระเยซูเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร เพื่อพญามารจะได้มาทดลอง4:2 และเมื่อพระองค์ทรงอดพระกระยาหารสี่สิบวันสี่สิบคืนแล้ว ภายหลังพระองค์ก็ทรงอยากพระกระยาหาร4:3 เมื่อผู้ทดลองมาหาพระองค์ มันก็ทูลว่า "ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงสั่งก้อนหินเหล่านี้ให้กลายเป็นพระกระยาหาร"4:4 ฝ่ายพระองค์ตรัสตอบว่า "มีเขียนไว้แล้วว่า `มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียวหามิได้ แต่บำรุงด้วยพระวจนะทุกคำซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า'"4:5 แล้วพญามารก็นำพระองค์ขึ้นไปยังนครบริสุทธิ์ และให้พระองค์ประทับที่ยอดหลังคาพระวิหาร4:6 แล้วทูลพระองค์ว่า "ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงโจนลงไปเถิด เพราะมีเขียนไว้แล้วว่า `พระองค์จะรับสั่งให้เหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์ในเรื่องท่าน และเหล่าทูตสวรรค์จะเอามือประคองชูท่านไว้ เกรงว่าในเวลาหนึ่งเวลาใดเท้าของท่านจะกระแทกหิน'"4:7 พระเยซูจึงตรัสตอบมันว่า "มีเขียนไว้อีกว่า `อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน'"4:8 อีกครั้งหนึ่งพญามารได้นำพระองค์ขึ้นไปบนภูเขาอันสูงยิ่งนัก และได้แสดงบรรดาราชอาณาจักรในโลก ทั้งความรุ่งเรืองของราชอาณาจักรเหล่านั้นให้พระองค์ทอดพระเนตร4:9 แล้วได้ทูลพระองค์ว่า "ถ้าท่านจะกราบลงนมัสการเรา เราจะให้สิ่งทั้งปวงเหล่านี้แก่ท่าน"4:10 พระเยซูจึงตรัสตอบมันว่า "อ้ายซาตาน จงไปเสียให้พ้น เพราะมีเขียนไว้แล้วว่า `จงนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน และปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว'"4:11 แล้วพญามารจึงละพระองค์ไป และดูเถิด มีเหล่าทูตสวรรค์มาปรนนิบัติพระองค์


เมื่อเราอ่านพระคัมภีร์ตอนนี้เราจะพบว่าในข้อที่8มารได้พยามซื้อพระเยซูคริสต์ด้วยอาณาจักรของโลกนี้ แต่เราพบว่าพระองค์ปฏิเสธและขับไล่ไป หากราคาของพระองค์นั้นคืออาณาจักรทั้งหมดของโลกนี้มารมันก็คงจะซื้อพระองค์ได้ แต่ทว่าคุณค่าของพระองค์นั้นไม่สามารถเทียบกับสิ่งใดได้เลย เราจึงพบว่าพระองค์เลือกที่จะปฏิเสธและซื้อมนุษย์อย่างเราเหมือนในพระคัมภีร์ที่บอกกับเราว่าโรม 6:23 // เพราะว่าค่าจ้างของความบาปคือความตาย แต่ของประทานจากพระเจ้าคือชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา.. เพราะองค์ยอมรับคุณค่าที่ต่ำต้อยคือบาปทั้งหลายของเราที่มารมันซื้อไป ให้เราเป็นทาสมันด้วยชีวิตที่มีราคาที่ไม่มีใครสามารถซื้อได้ พี่น้องที่รัก นานเท่าไหร่แล้วที่เราไม่ได้ตระหนักถึงคุณค่าในชีวิตของเรา วันนี้เราถูกซื้อมาด้วยราคาที่สูงและแสนแพงเพื่อที่เราจะได้ใกล้ชิดพระบิดา มันคงถึงเวลาแล้วที่เราน่าจะกลับใจใหม่หันจากสิ่งที่ไม่มีคุณค่ามาสู่คุณค่าที่แท้จริงในพระคริสต์ผู้ซึ่งรับความผิดบาปแทนเราเพื่อที่เราจะได้สวมชีวิตพระองค์ไว้เพื่อสำแดงสง่าราศีของพระองค์

วันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2553

พระเจ้าใจร้าย?

จงวางใจพระเจ้า อย่ากลัวเลย

18 พย.07
โดย
พิชัย เอาฬาร

เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว พวกเราก็ได้ฟังเกี่ยวกับเรื่องยุคสุดท้าย และที่พระเจ้าจะเสด็จมารับเราไป ในแต่ละวันพวกเราคอยพระเยซูคริสต์เสด็จมารับเราใช่ไหม นั่นเป็นสิ่งที่เราหวังไว้
เรามอบชีวิตไว้กับพระองค์ เพราะเราต้องการพ้นจากบ่วงกรรม เราต้องการไปอยู่กับพระองค์ในสวรรค์ เราไม่ได้เชื่อลมๆ แล้งๆ พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าได้สร้างมนุษย์คนแรก คืออาดัม จากผงคลีและทรงให้ลมปราน ให้ชีวิต ให้สติปัญญา ให้ความรู้ ให้ความเข้าใจ แต่มนุษย์ก็ล้มลงในความบาป เพราะความบาปของเรา พระเยซูคริสต์จึงมาไถ่เราบนไม้กางเขน เพราะความบาปนั้นแหละถึงแม้จะเชื่อ พระเจ้าแล้ว เราก็ยังกระวนกระวายว่าจะเอาอะไรกิน เอาอะไรดื่ม ถ้าเราไม่กระวนกระวายถึงเรื่องการกินการอยู่ พระเยซูคริสต์ก็คงไม่บอกไว้ในมัทธิว 6:25-26 ว่า.-


มัทธิว 6:25-26

“เหตุฉะนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่าอย่ากระวนกระวายถึงชีวิตของตนว่าจะเอาอะไรกิน หรือจะเอาอะไรดื่ม และอย่ากระวนกระวายถึงร่างกายของตนว่าจะเอาอะไรนุ่งห่ม ชีวิตสำคัญยิ่งกว่าอาหารมิใช่หรือ และร่างกายสำคัญยิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่มมิใช่หรือ จงดูนกในอากาศ มันมิได้หว่าน มิได้เกี่ยว มิได้ส่ำสมไว้ในยุ้งฉาง แต่พระบิดาของท่านทั้งหลาย ผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงเลี้ยงนกไว้ ท่านทั้งหลายมิประเสริฐกว่านกหรือ”


ถ้าย้อนไปดูมนุษย์คู่แรก คิดว่าคงจะไม่กระวนกระวายแน่ เพราะหิวเมื่อไหร่ก็หยิบผลไม้มาทาน แล้วไม่มีเสื้อผ้าใช่ไหม ก็ไม่ต้องกระวนกระวายว่าจะต้องเอาอะไรนุ่งห่ม ไม่ต้องกระวนกระวายว่าพรุ่งนี้จะกินอะไร พรุ่งนี้จะเอาอะไรดื่ม แต่พวกเราในปัจจุบันต่างกัน



พระเยซูบอกว่า “ผู้ที่ลำบากเหน็ดเหนื่อยจงมาหาเรา เราจะทำให้ท่านทั้งหลายหายเหนื่อยเป็นสุข”

พอมาเชื่อพระเจ้าแล้ว ไหนใครมีความสุขเหลือเกินตลอดเวลา มีน้อย ส่วนใหญ่มีทั้งสุขๆ ดิบๆ เยอะ ถ้าพูดถึงจิตใจเรามีสันติสุข เอาแยกกันระหว่าง “สันติสุข” กับ “ความสุข” ก็แล้วกัน



คำว่า “สันติสุข” นั้นแน่นอน วันที่เรายกมือ “ข้าจะติดตามพระองค์” วันนั้นเราเต็มไปด้วยสันติสุข แต่วันนั้นเราอาจจะไม่มีความสุข หรือวันรุ่งขึ้นหรือต่อๆ มาอีกหลายวัน อาจจะไม่มีความสุขก็ได้ เพราะพ่อแม่ไล่ออกจากบ้าน เชื่อพระเจ้าแล้ว เป็นคนนอกรีต นอกศาสนา เป็นคนไทยก็ต้องนับถือศาสนาพุทธ ความสุขไม่มีซะแล้ว ถึงแม้เราจะไม่มีความสุข เพราะไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหน แต่ในจิตใจผมเชื่อว่าทุกคนที่เชื่อพระเจ้าแล้ว เรามีสันติสุข เราไม่ห่วงว่าเราจะอยู่ตรงไหน เพราะพระเจ้าจะทรงช่วยเรา



หลังจากเชื่อพระเจ้าแล้ว เราก็ยังกระวนกระวายว่าถ้าพระเยซูคริสต์เสด็จมาจะถูกรับไปไหม แต่ถ้าเราเชื่อในพระเจ้า เชื่อในพระเยซูคริสต์ เชื่อในพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ที่ไถ่เราแล้ว วันที่พระเยซูคริสต์เสด็จมารับเราไปนั้น เราจะได้ไปอยู่กับพระเจ้าแน่นอน


หลายๆ ครั้ง เราก็อยากเป็นเหมือนมารีย์ที่อยู่แทบพระบาทพระเยซู มีความสุขเหลือเกิน

แต่ละวันเราก็กระวนกระวายเรื่องหนี้สิน เมื่อไหร่จะใช้หมดสักที รถยนต์ก็ยังผ่อนอยู่ บ้านที่ดินก็ยังผ่อนอยู่ ธุรกิจการค้าที่ยืมเขามา ก็ยังไม่ได้ใช้ ถึงสิ้นเดือนก็กระวนกระวายจะเอาเงินที่ไหนให้เงินเดือนลูกน้อง ผู้ที่ทำงานบริษัทส่งออกต่างประเทศ ก็กระวนกระวายว่าสินค้าที่ขายไปจะขาดทุนเท่าไหร่ เพราะเงินบาทมันแข็งขึ้นทุกวัน จะหยิบกุญแจมาสตาร์ทรถสักทีหนึ่ง วันนี้น้ำมันจะขึ้นอีก 40 สตางค์หรือเปล่า ผู้ที่เป็นพ่อแม่ตายายก็กระวนกระวายว่า “ลูกหลานฉันจะทำอย่างไร” ตอนนี้เขาคุยกันเรื่องโลกร้อน น้ำจะท่วม จะทำอย่างไร นั่นเป็นความอึดอัดของเนื้อหนัง ความกระวนกระวายในความคิด เป็นความสับสนในจิตใจ หลายๆ ครั้ง เราก็อยากเป็นเหมือนมารีย์ที่อยู่แทบพระบาทพระเยซู มีความสุขเหลือเกิน เราอยากทำเหมือนกษัตริย์ดาวิด ที่เขียนไว้ในสดุดี บทที่ 27 ว่า.-



สดุดี 27:4

“ข้าพเจ้าทูลขอสิ่งหนึ่งจากพระเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าจะเสาะแสวงหาเสมอ คือที่ข้าพเจ้าจะได้อยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า ตลอดวันเวลาชั่วชีวิตของข้าพเจ้า เพื่อจะดูความงามของพระเจ้า และเพื่อจะพินิจพิจารณาอยู่ในพระวิหารของพระองค์”




เราอยากจะทำอย่างนั้น แต่เราไม่ได้เป็นมารีย์ได้ตลอดเวลา

เราก็ต้องเป็นมาธาด้วย เราต้องหุงหาอาหาร เราต้องออกไปทำมาหากิน เวลาที่เราออกไปทำมาหากิน เป็นมาธา แน่นอนเราก็อยู่ห่างไกลจากพระเยซู กลับมาบ้าน ได้มาอธิษฐานร่วมกันในครอบครัวเราก็เป็นมารีย์ วันอาทิตย์เราได้มาสรรเสริญพระเจ้า ได้มานมัสการ ได้มาร้องเพลง เราก็เป็นเหมือนมารีย์ จิตใจก็เบิกบาน ดังนั้นชีวิตของเราที่ดำเนินในแต่ละวัน เป็นทั้งมารีย์แล้วก็มาธาสลับกันไปเสมอ ถ้าจะบอกว่า “อย่ากังวลเลย” มันอดกังวลไม่ได้หรอก มาธาก็กังวลว่าถ้าจะเอาน้ำมันมาชโลมที่เท้าพระเยซู เหมือนมารีย์ แล้วเอาผมที่สวยงามนั้นเช็ดที่เท้าพระเยซู เหมือนกับมารีย์ ใครจะเป็นคนหาข้าวให้พระเยซูทาน


เราต้องรู้ว่าพระเจ้าทรงครอบครองจิตใจของเราทุกวินาที อะไรที่เกิดขึ้นในชีวิตของท่าน เป็นสิ่งที่มาจากพระเจ้าทั้งนั้น

บางครั้ง โดยเฉพาะสามีภรรยาเราก็จะมีคนหนึ่งเป็นมารีย์ แล้วอีกคนหนึ่งก็จะเป็นมาธา ฉะนั้นใครที่เป็นมารีย์ก็เป็นมารีย์เถอะเวลานั้น ใครที่เป็นมาธาก็เป็นมาธาเถอะ อย่าอิจฉาซึ่งกันและกันเลย การที่จะอยู่โดยมีสันติสุข เราต้องรู้ว่าพระเจ้าทรงครอบครองจิตใจของเราทุกวินาที อะไรที่เกิดขึ้นในชีวิตของท่าน เป็นสิ่งที่มาจากพระเจ้าทั้งนั้น ถ้าเกิดสิ่งที่ท่านไม่พอใจ หรือสิ่งที่ไม่ดีในจิตใจของท่าน หรือในการงาน หรือในธุรกิจ ในครอบครัว อะไรก็แล้วแต่ อย่าบอกว่า “พระเจ้าใจร้าย” บางคนก็บอกว่า “พระเจ้าใจร้าย ทำไมทำกับฉันอย่างนี้” บางคนก็บอกว่า “พระเจ้าใจร้าย ปล่อยให้มารซาตานทำกับฉันได้” นั่นเป็นเรื่องของเนื้อหนัง แต่ถ้าเราได้รู้จักความรักของพระเจ้า รู้จักฤทธิ์เดชของพระเจ้าแล้ว รู้จักความห่วงใยของพระเจ้า เราจะรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้น เป็นผลดีกับผู้ที่รักพระองค์เสมอ ในมัทธิว 6:24 บอกว่า.-


มัทธิว 6:24

“ไม่มีผู้ใดเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนายได้ เพราะว่าจะชังนายข้างหนึ่ง และจะรักนายอีกข้างหนึ่ง หรือจะนับถือนายฝ่ายหนึ่ง และจะดูหมิ่นนายอีกฝ่ายหนึ่ง ท่านจะปฏิบัติพระเจ้าและจะปฏิบัติเงินทองพร้อมกันไม่ได้”




ใจเชื่อว่า “พระเจ้าทำได้” อีกใจหนึ่ง “ถ้าได้เงินมา ก็ดีนะ” หาวิธีไหนก็ได้ที่จะได้เงินมา ใจหนึ่งก็คิดว่า “เราเชื่อพระเจ้ามาตั้งนานแล้ว ทำไมเรายังกระวนกระวายอีก” พระเจ้าอยู่กับเราเสมอ แล้วพระเจ้าก็สำแดงให้เรารู้ว่าแต่ละวันๆ นั้น พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่ แต่มันก็ยังไม่ได้อย่างใจเราสักที เราต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อจะได้เงินมาใช้หนี้เขา นี่ก็คือความกระวนกระวาย และความไม่สบายใจ เป็นเรื่องธรรมดา


กำแพงเมืองจีนที่ว่าใหญ่ มันก็ยังใหญ่สู้กำแพงในใจของเราไม่ได้ แต่พระเจ้าพาเราข้ามกำแพงมาได้ทุกเวลา

เราขอบคุณพระเจ้า มนุษย์ทุกคนเป็นอย่างนี้หมดแหละ ที่ขอบคุณพระเจ้า เพราะเรามีพระเจ้าเป็นที่พึ่ง เป็นความหวัง มีหลายครั้งในชีวิตของพวกเรา เหมือนกับเราเจอกำแพง แล้วเดินต่อไม่ได้ ถ้าเราไม่มีพระเจ้า ก็คงชนกำแพงตาย แต่ชีวิตของท่านทุกคน แม้แต่ชีวิตของผมเอง ครอบครัวของพวกเราเองเจอกำแพงมาไม่รู้ตั้งกี่ร้อยกำแพง กำแพงเมืองจีนที่ว่าใหญ่ มันก็ยังใหญ่สู้กำแพงในใจของเราไม่ได้ แต่พระเจ้าพาเราข้ามกำแพงมาได้ทุกเวลา แม้แต่วันนี้ เราก็ยังมีกำแพง แต่จงเชื่อเถิดว่าไม่มีอะไรที่พระเจ้าทำไม่ได้ คริสเตียนใหม่ไม่ค่อยกังวลเท่าไหร่ เพราะยังไม่ค่อยเจออะไรมาก คริสเตียนยิ่งนานวันยิ่งเจอปัญหาเยอะ ถ้าสมมติว่าฟังอย่างนี้แล้ว ท่านอาจจะบอกว่า “ไม่เอาแล้ว เลิกเชื่อพระเจ้าดีกว่า” ถ้าเลิกเชื่อจริงๆ แล้วเวลาที่ท่านเจอปัญหาล่ะ ใครจะช่วยท่าน ที่เรามาเชื่อพระเจ้า เพราะเรารู้ว่าเราเป็นมนุษย์ที่อ่อนแอ ไม่มีสติปัญญา ไม่มีความสามารถที่จะต่อสู้กับชีวิตในโลกนี้ได้ ไม่มีสติปัญญาที่จะต่อสู้กับฝ่ายวิญญาณนี้ได้ เราจึงถ่อมใจลงและสารภาพว่า “ลูกเป็นคนบาป ขอพระเจ้าทรงช่วยลูกด้วย” ถ้าท่านเชื่อ ท่านจะได้เห็นการอัศจรรย์ของพระเจ้า เห็นชัยชนะ เห็นการทรงนำของพระเจ้า คริสเตียนทั่วทั้งโลกนี้ มีประสบการณ์เหมือนกัน คือมีชัยชนะ ถึงแม้ว่าแต่ละวันๆ จะต้องกังวลเรื่องการดำเนินชีวิต แต่สิ่งที่เราหวังไว้ก็คือรอวันที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จมา เราจะได้ไปอยู่กับพระองค์ จบกันทีโลกนี้ จบกันทีเรื่องของเนื้อหนัง เรามีความหวัง มีวันที่จะไปอยู่กับพระเจ้า มีวันที่จะมีชีวิตนิรันดร์ ดีกว่าไม่รู้ว่าตายแล้วไปไหน “ฉันจะตกนรกหรือเปล่า” “ฉันก็ทำดีทุกอย่าง แต่ฉันก็ไม่แน่ใจว่าจะได้ไปสวรรค์หรือเปล่า” แต่วันใดที่ท่านมาเชื่อพระเจ้า ยกมือปุ๊บ ท่านเชื่อได้เลยว่าท่านได้ไปสวรรค์แน่นอน เพราะเป็นคำสัญญาของพระเยซูคริสต์ เป็นคำสัญญาของพระเจ้า ที่บอกว่า “เราจะรับเขาต่อหน้าพระบิดา” “ผู้ที่เชื่อเรา เราจะไปก่อน ไปเตรียมบ้านให้ไว้บนสวรรค์” นั่นคือพระสัญญาของพระเยซูคริสต์ที่สัญญาให้กับผู้ที่เชื่อทุกคน


พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้าที่มาเกิดเป็นมนุษย์ ฉะนั้นสัญญานั้นพระองค์ไม่ลืม มนุษย์อย่างเราๆ สัญญากับใคร อยากจะทำเหมือนกันตามสัญญานั้น แต่มันทำไม่ได้ ไปยืมเงินเขามา “วันนั้น วันนี้ฉันจะคืนให้” แต่ปรากฏว่าธุรกิจการค้ามันไม่ดี ถึงวันนั้นไม่ได้เงินมา เราก็ไม่รู้จะเอาเงินที่ไหนไปคืนเขา เราไม่กะจะโกง เรากะจะทำตามสัญญา แต่เราทำไม่ได้ ผมเชื่อว่าในโลกนี้ ไม่มีใครคิดจะโกงใคร และไม่มีใครคิดจะทำร้ายใคร ที่เราได้ยินเสมอว่าเพราะความจำเป็นบีบบังคับ เพราะว่าทำไม่ได้จึงผิดสัญญา แต่พระสัญญาของพระเยซูคริสต์นั้น พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า พระองค์ทำได้ พระองค์มีฤทธิ์เดช ปัญหาต่างๆ นั้น ถูกแก้ไขโดยพระเจ้า


ในสดุดี 37:4-5

“จงปีติยินดีในพระเจ้า และพระองค์จะประทานตามใจปรารถนาของท่าน จงมอบทางของท่านไว้กับพระเจ้า วางใจในพระองค์ และพระองค์จะทรงกระทำให้สำเร็จ”




“พระองค์จะกระทำให้สำเร็จ”

คือสำเร็จตามน้ำพระทัยของพระองค์ อย่าเข้าใจผิด เพราะส่วนใหญ่จะคิดว่า “ตามที่ฉันทูลขอ” “ตามที่ฉันอยากได้” อันนั้นก็ไม่ได้ผิดนัก แต่เวลาไหนล่ะ คือน้ำพระทัย จงรอคอย พระองค์ไม่ลืมสัญญา มนุษย์ขี้ลืม พวกเราทุกคนขี้ลืม บอกวันนี้ บางทีพรุ่งนี้ก็ลืมแล้ว บางทีก็แกล้งลืม บางทีก็ไม่ได้ตั้งใจ

ในสดุดี 37:23-26

“ถ้าพระเจ้าทรงนำย่างเท้าของมนุษย์คนใด และคนนั้นพอใจในมรรคาของพระองค์ แม้เขาล้ม เขาจะไม่ถูกเหวี่ยงลงเหยียดยาว เพราะว่าพระหัตถ์พระเจ้าพยุงเขาไว้ ข้าพเจ้าเคยหนุ่ม และเดี๋ยวนี้แก่แล้ว แต่ข้าพเจ้ายังไม่เคยเห็นคนชอบธรรมถูกทอดทิ้ง หรือลูกหลานของเขาขอทาน เขาแจกจ่ายอย่างกว้างขวางและให้ยืมเสมอ และลูกหลานของเขาก็เป็นคำพร”


“ถ้าพระเจ้าทรงนำย่างเท้าของมนุษย์คนใด และคนนั้นพอใจในพระมรรคาของพระองค์”

ข้อนี้เป็นข้อแม้ พระเจ้าอยากจะนำ แล้วท่านไม่พอใจ ท่านไม่อยากจะให้พระเจ้านำ สัญญาข้อนี้ก็หมดไป เรารู้ว่าชีวิตของเราที่จะไปอยู่กับพระคริสต์นั้น มันสำคัญ ถึงแม้ว่าวันจันทร์ถึงวันเสาร์จะทำงานอย่างเหนื่อยอ่อน ลำบากเหลือเกิน อยากจะพักผ่อน แต่มีความรู้สึกว่าวันนี้สำคัญ เช้าวันอาทิตย์สำคัญ ต้องมาหาพระเจ้า เพราะมาหาพระเจ้า เราจะได้รับพระพร เราจะเต็มไปด้วยความสุข เรามาด้วยความเชื่อ เรามาด้วยการสรรเสริญพระเจ้า เรามาด้วยการขอบพระคุณว่าพระเจ้าจะทรงประทานทุกสิ่งทุกอย่างให้กับเรา


“แม้เขาล้ม เขาจะไม่ถูกเหวี่ยงลงเหยียดยาว”

ในชีวิตของเราทุกคนแต่ละวันนั้น มีใครบ้างไม่เคยล้ม ล้มหมายถึงล้มทางด้านเศรษฐกิจ ล้มทางด้านการเงิน ล้มลุกคลุกคลาน แต่พระเจ้าบอกว่า “แม้เขาล้ม เขาจะไม่ถูกเหวี่ยงลงเหยียดยาว” คำว่าเหยียดยาว ก็คือไม่ได้ลุกขึ้นมาเลย ธุรกิจเจ๊ง ก็เจ๊งไปเลย อะไรๆ ก็หมดไปเลย เพราะว่าพระหัตถ์พระเจ้าพยุงเขาไว้ ฉะนั้นเราเชื่อในพระเจ้า ถ้าเราล้มลงไป แล้วพระเจ้าไม่ช่วยเราล่ะ ใครจะช่วย เพราะในสดุดีบทที่ 23 บอกว่า.-



สดุดี 23:3 “เพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์”


แต่พระเจ้าบอกว่าพระเจ้ารักทุกคนที่เชื่อในพระองค์ ท่านเจอปัญหาเมื่อไหร่ พระเจ้าจะเข้ามาช่วยเสมอ

สเทเฟนถูกเขาขว้างด้วยหิน พระเยซูซึ่งอยู่บนสวรรค์ยังลุกขึ้นยืนรับสเท-เฟนขึ้นไป เราอาจจะไม่ได้มีความสำคัญ หรือทำอะไรได้ดีเท่ากับสเทเฟน แต่พระเจ้าบอกว่าพระเจ้ารักทุกคนที่เชื่อในพระองค์ ท่านเจอปัญหาเมื่อไหร่ พระเจ้าจะเข้ามาช่วยเสมอ ท่านกังวลก็กังวลไป แต่ให้รู้ว่าพระเจ้าช่วยท่านได้ตลอดเวลา


ในสุภาษิต 3:5-6

“จงวางใจในพระเจ้าด้วยสุดใจของเจ้า และอย่าพึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง จงยอมรับรู้พระองค์ในทุกทางของเจ้า และพระองค์จะทรงกระทำให้วิถีของเจ้าราบรื่น”


ถามว่า “เราวางใจในพระเจ้าทุกลมหายใจหรือเปล่า” เพราะเรามีทั้งมารีย์และมาธาอยู่ในชีวิตของเราเหมือนกัน

ขอบคุณพระเจ้าวันที่พระเยซูคริสต์เสด็จมา แล้วเราได้ไปอยู่บนสวรรค์นั้น เราก็มีชีวิตเหมือนมารีย์ตลอด ไม่ต้องกินข้าว ไม่ต้องทำมาหากิน ไม่ต้องมีเครื่องนุ่งห่ม บางทีเราก็อยากย้อนไปอยู่ในสวนเอเดนกับอาดัมและอีฟ ณ วันนั้น สวนนั้นอยู่ได้แค่ 2 คน แล้ววันนี้ก็ไม่มีสิทธิ์เข้าไป เพราะการทำบาปของบรรพบุรุษของเรา แต่เรามีสิทธิ์เข้าไปในวันที่พระเยซูคริสต์เสด็จมารับเราไป เพราะว่าพระเยซูคริสต์ชำระเราแล้ว ให้สะอาดบริสุทธิ์โดยการตายบนไม้กางเขน เราจึงมีสิทธิ์ที่จะเข้าสวนเอเดนอีกครั้งหนึ่ง ให้เราวางใจในพระเจ้าด้วยสิ้นสุดจิต สุดใจ อย่าพึ่งพาความรอบรู้ของตัวเอง เพราะว่ามนุษย์ทุกคน ส่วนใหญ่ก็ต้องพยายามจนสุดกำลัง ทุกวิถีทาง แต่ขอบคุณพระเจ้าที่เรารู้จักพระคำของพระเจ้า เราพยายามทุกวิถีทาง แต่เราไม่ทำในวิถีทางของความบาป เราทำทุกวิถีทางในทางบริสุทธิ์ แต่ถ้าคนที่ไม่รู้จักพระเจ้า ไม่มีพระเจ้าก็ทำทุกวิถีทางเหมือนกัน อะไรก็ได้ ที่จะให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตัวเองปรารถนา แม้แต่จะต้องฆ่าคนก็จะต้องทำ แต่เราผู้เชื่อในพระเจ้านั้น เราไม่ทำ เรายอมให้เขาทำได้ แต่จะยอมได้แค่ไหนนั้น ก็แล้วแต่ว่าวันนั้นความเชื่อที่พระเจ้าประทานให้กับท่านมีมากน้อยแค่ไหน



ฉะนั้นเจอปัญหา อย่ากระวนกระวาย อย่ากลัว เพราะพระเจ้าทรงอยู่ด้วยเสมอ เพราะพระเจ้าสั่งไว้ตั้งแต่แรก ตอนที่ชาวอิสราเอลอพยพออกจากอียิปต์ในบัญญัติ 10 ประการ ให้ปฏิบัติตาม



ในอพยพ 20:3-6

“อย่าให้มีพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากเรา อย่าทำรูปเคารพสำหรับตน เป็นรูปสิ่งใดซึ่งมีอยู่ในฟ้าเบื้องบน หรือบนแผ่นดินเบื้องล่าง หรือในน้ำใต้แผ่นดิน อย่ากราบไหว้หรือปรนนิบัติรูปเหล่านั้น เพราะเราคือพระเจ้าของเจ้า เป็นพระเจ้าที่หวงแหน ให้โทษบิดาตกทอดไปถึงลูกหลานของผู้ที่ชังเรา จนถึงสามชั่วสี่ชั่วอายุคน แต่เราแสดงความรักมั่นคงต่อคนที่รักเราและปฏิบัติตามบัญญัติของเรา จนถึงพันชั่วอายุคน”


ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าพันชั่วอายุคน พระเจ้าจะหวงแหน พระเจ้าจะอวยพรเรา

อาจจะคิดว่าพันชั่วอายุคน เราคงอยู่ไม่ถึง ในเมื่อพระเยซูคริสต์จะเสด็จกลับมารับไปแล้วจะถึงได้อย่างไร อาจจะแค่ถึงหลาน ถึงเหลน ก็คงรับไปหมดแล้ว แต่พระเจ้าบอกว่า “เราจะอวยพรเจ้านาน” ขึ้นอยู่กับว่าท่านเอาอะไรมาเป็นรูปเคารพแทนที่พระเจ้าหรือเปล่า ในขณะที่ท่านเจอปัญหา หรือท่านจะทำอะไรตามอำเภอใจ แต่ทำไม่ได้ สิ่งต่างๆ เหล่านี้เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะพระเจ้าเกลียดท่าน แต่พระองค์ทรงหวงแหน พระเจ้ารู้ว่าถ้าท่านตามใจตัวเอง มันอันตราย มันจะเข้าสู่ความบาป พระเจ้าก็ป้องกันไว้ พระองค์ไม่ให้เราทำอะไรตามอำเภอใจ เพราะพระองค์รักเรา อยากจะกอดเราไว้ อยากจะรักษาชีวิตของเราจนถึงเวลาที่พระองค์เสด็จมา แล้วรับเราไป


วิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุด คือยิ่งเจอปัญหา ยิ่งหาเวลาอธิษฐาน หาเวลานมัสการ หาเวลาที่จะอยู่กับพระเจ้า

เหมือนกษัตริย์ดาวิดในสดุดีบทที่ 27 บอกว่า “อยากจะอยู่ในพระนิเวศของพระองค์ เพื่อจะดูความสง่างามของพระองค์” แล้วผมเชื่อว่าเวลาที่ท่านเข้าไปนมัสการ ไม่ว่าท่านจะมีความทุกข์แค่ไหน พระพรของพระเจ้า ความรักของพระเจ้า ความอิ่มใจ พระเจ้าจะประทานให้ แล้วท่านจะมีชัยชนะ ถึงแม้ว่าปัญหานั้นจะไม่ได้รับการแก้ไขในเวลานั้น แต่ถึงเวลา พระเจ้าจะจัดการให้ และปัญหานั้นจะสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี โดยพระคุณและความรักของพระเจ้า ไม่ใช่มนุษย์ ขอบคุณครับ

My Blog

  • วินัยของน้องหมา (ข้างถนน) - วันที่ 18/8/2011 เช้านี้ขณะที่รถติดไฟแดงอยู่บริเวณสี่แยกสามย่าน ซึ่งเบื้องหน้าเป็นจามจุรีสแควร์นั้น พลันก็เหลือบเห็นน้องหมาตัวหนึ่งเดินข้ามทางม้าลายด้วยอ...
    12 ปีที่ผ่านมา
  • บทความคริสเตียน - บทความคริสเตียน http://www.gracezone.org/index.php/christian-articles บทความทางด้านจิตวิญญาณ หลักข้อเชื่อ พระเจ้า พระคัมภีร์ พระเจ้า พระคัมภีร์ แนวทางในการ...
    15 ปีที่ผ่านมา
  • คริสเตียนกับการรับใช้พระเยซู - คริสเตียนกับการรับใช้พระเยซู วัน พุธ 08 ต.ค. 08@ 17:47:37 ICT หัวข้อ: สรุปคำเทศนาประจำอาทิตย์ ดร.ทะนุ วงค์ธนานุกุล วัน อาทิตย์ ที่ 21 กันยายน 2008 พระธร...
    15 ปีที่ผ่านมา
  • - แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้องจะนมัสการพระบิดา ด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้...
    15 ปีที่ผ่านมา

Christian Blog

บล็อกวาไรตี้

เทคโนโลยี

ดาวน์โหลดโปรแกรมมาใหม่ล่าสุด |

วาไรตี้

ข่าวประจำวัน

สารบัญเว็บไทย

กินลม ชมทะเล ที่มาร์คเฮ้าส์บังกะโล เกาะกูด จ.ตราด

Thailand Map