เริ่มต้นใหม่
โดย ดร. นรินิตย์ จินดาขันธ์ (29/8/2008)
เราคงเคยได้ยินคำพูดที่ว่า “เริ่มต้นดี มีชัยไปกว่าครึ่ง” แต่คงไม่มีใครสามารถปฏิเสธความจริงในข้อนี้ได้ อย่างไรก็ตามหลายครั้งที่เรามักจะเริ่มต้นด้วยดี แต่พอมาถึงกลางทางสิ่งที่ดีก็เริ่มจะหดหาย วินัยต่าง ๆ ความขยันขันแข็งหรือความอดทนที่เคยมีก็เริ่มที่จะจืดจางลง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ย่อมส่งผลกระทยต่อเป้าหมายข้างหน้าที่เรากำลังจะเดินไป
ในชีวิตคริสเตียนก็เช่นเดียวกัน หลายคนอาจจะมีความกระตือรือร้นในพระเจ้าอย่างมากเมื่อเริ่มเชื่อใหม่ ๆ และดำเนินชีวิตตามพระคำของพระองค์ทุกประการ อย่างไรก็ตามเมื่อเวลาเปลี่ยนไป สิ่งต่าง ๆ ก็เริ่มเปลี่ยนตาม ยิ่งเราได้รู้จักพระเจ้านานเท่าใด ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระองค์ก็ยิ่งห่ามมากเท่านั้น เราเริ่มไม่ใส่ใจกับความถูกต้องในการดำเนินชีวิตเท่าใดนัก เพราะคิดว่าตนเองเติบโตในพระเจ้ามากพอเกินกว่าที่จะคิดถึงเรื่องเหล่านั้น เรากลายเป็นคนที่รู้จักพระเจ้าผ่านทางสมอง ผ่านทางสติปัญญาของเราเท่านั้น แต่เราไม่เคยมีประสบการณ์กับพระเจ้าในการดำเนินชีวิตเลย เราจำได้หรือไม่ว่าครั้งสุดท้ายที่พระเจ้าตอบคำอธิษฐานของเรานั้นเมื่อไร ? ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้าเมื่อครั้งเริ่มเชื่อตอนนี้นั้นแตกต่างกันอย่างไร ? ยังไม่สายเกินไปหากเราจะเริ่มต้นใหม่ตั้งแต่วันนี้ เริ่มต้นที่จะกลับไปสู่ความรักดั้งเดิมของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง
สิ่งสำคัญอันดับแรกในการเริ่มต้นกับพระองค์อีกครั้งก็คือการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้า เพราะชีวิตคริสเตียนเป็นชีวิตแห่งความสัมพันธ์ เหมือนที่ได้บอกไว้ใน 1 โครินธ์ 1:9 ว่า “พระเจ้าเป็นผู้ทรงความสัตย์ พระองค์ได้ทรงเรียกท่านให้สัมพันธ์สนิทกับพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา” จำเป็นที่เราจะต้องตั้งเวลาเพื่อที่จะพูดคุยกับพระองค์เป็นประจำทุกวัน เพื่อที่เราจะได้ประสบการณ์กับพระองค์ เพื่อที่เราจะได้รู้จักพระองค์มากขึ้น ไม่ใช่แค่ความรู้ทางสมองเท่านั้น แต่เป็นความรู้ที่ได้มาจากประสบการณ์กับพระองค์อย่างแท้จริง “แต่ขอท่านทั้งหลายจงเจริญขึ้นในพระคุณและในความรู้ ซึ่งมาจากพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า พระผู้ช่วยให้รอดของเรา” 2 เปโตร 3:18
สิ่งสำคัญประการต่อมาคือ การที่เราต้องมีชีวิตที่เหมือนกันทั้งภายในและภายนอก หลายคนมีชีวิตที่ดีในวันอาทิตย์ มีชีวิตที่เป็นแบบอย่างเมื่ออยู่ที่โบสถ์ แต่เมื่อกลับมาถึงบ้าน เมื่ออยู่ในที่ทำงาน เรากลับมีชีวิตอีกแบบหนึ่ง เราควรที่จะเริ่มต้นใหม่ เริ่มทำให้ชีวิตภายนอกที่เราแสดงออกนั้นสอดคล้องกับชีวิตที่อยู่ภายใน อย่าเป็นเหมือนพวกธรรมจารย์ หรือพวกฟาริสี ที่หน้าซื่อใจคดทั้งหลาย เพราะปลายทางของเขาเหล่านั้นก็คือความพินาศนั่นเอง “วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมจารย์และพวกฟารีสี คนหน้าซื่อใจคด ด้วยเจ้าขัดชำระถ้วยชามแต่ภายนอก ส่วนภายในถ้วยชามนั้นเต็มด้วยการโจรกรรมและการมัวเมากิเลส โอพวกฟาริสีตาบอด จงชำระถ้วยชามภายในเสียก่อน เพื่อข้างนอกจะได้สะอาดด้วย” มัทธิว 23:25-26
ไม่เพียงแต่การมีชีวิตที่เป็นแบบอย่างเท่านั้น สิ่งสำคัญคือ เราต้องสามารถนำพระคำของพระองค์มาใช้ในชีวิตประจำวันด้วย หากเราไม่สามารถนำพระคำของพระองค์มาใช้ได้อย่างเกิดผลแล้ว ก็คงเปรียบเหมือนกับการที่เรามีปืนที่ดีมาก ๆ อยู่ในมือ แต่ก็ไม่สามารถนำมายิงให้เข้าเป้าได้ ซึ่งไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใดเลย เราจำเป็นต้องให้พระคำของพระเจ้าเป็นเหมือนกับโคมส่องเท้าของเรา เป็นเหมือนกับเสาเมฆและเสาเพลิงที่คอยนำพาชีวิตของเราเพื่อที่เราจะได้มีชีวิตที่เป็นแบบอย่างสมกับที่เรียกตนเองว่า “คริสเตียน” “พระวจนะของพระองค์เป็นโคมสำหรับเท้าของข้าพระองค์ และเป็นความสว่างแก่มรรคาของข้าพระองค์........ข้าพระองค์โน้มจิตใจข้าพระองค์ปฏิบัติตามกฏเกณฑ์ของพระองค์เป็นนิตย์จนอวสาน” สดุดี 119:105, 112
ข้อควรระวังเมื่อเราได้เดินกับพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอก็คือ อย่าพอใจกับสภาพฝ่ายจิตวิญญาณที่เป็นอยู่ หลาย ๆ คนคิดว่าตนเองเติบโตในพระเจ้ามากแล้ว เป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณแล้ว ทำให้ไม่สนใจที่จะพัฒนาตนเองให้เติบโตมากยิ่งขึ้น ทำให้ไม่มีจิตใจที่หิวกระหายน้ำนมฝ่ายวิญญาณเหมือนแต่ก่อน อาจารย์เปาโลเตอนเราทุกคนให้ระวังให้ดี โดยเฉพาะผู้ที่คิดว่าตนเองมั่นคงดีแล้ว เพราะหากเขาพลาดลง จะเป็นการยากหรือใช้เวลานานกว่าจะสามารถเข้ามายืนที่จุดเดิมได้ “เหตุฉะนั้นคนที่คิดว่าตัวเองมั่นคงดีแล้ว ก็จงระวังให้ดี กล้วว่าจะล้มลง” 1 โครินธ์ 10:12 ไม่เพียงแต่คนที่ไม่ยอมเติบโตเท่านั้น แต่คนที่ไม่มีความกระตือรือร้นในทางของพระเจ้าก็เช่นกัน พระเจ้าทรงเตือนให้ปรับปรุงตัวเสียใหม่ ไม่เช่นนั้นอาจจะต้องพบกับการตีสอนจากพระองค์ก็เป็นได้ “เรารู้จักแนวการกระทำของเจ้า เจ้าไม่เย็นไม่ร้อน เราใคร่ให้เจ้าเย็นหรือร้อน เพราะเหตุที่เจ้าเป็นแต่อุ่น ๆ ไม่เย็นและไม่ร้อน เราจะคายเจ้าออกจากปากของเรา” วิวรณ์ 3:15-16
ไม่มีคำว่าสายเกินไปสำหรับการเริ่มต้นกับพระเจ้าใหม่อีกครั้ง เพราะการเติบโตในทางของพระองค์นั้นเป็นกระบวนการที่เราต้องเรียนรู้ตลอดชีวิตของเรา แต่อาจจะสายเกินแก้หากเรายังคงพลัดวันประกันพรุ่ง ไม่ยอมเริ่มต้นกับพระองค์เสียที เพราะวันนั้นก็ใกล้เข้ามา และเราไม่รู้ว่าพระองค์จะเสด็จกลับมาเวลาใด ดังนั้นจงเตรียมตัวให้พร้อมก่อนที่จะไม่มีเวลาให้เตรียม
ขอพระเจ้าทรงอวยพระพร.
วินัยของน้องหมา (ข้างถนน)
-
วันที่ 18/8/2011
เช้านี้ขณะที่รถติดไฟแดงอยู่บริเวณสี่แยกสามย่าน
ซึ่งเบื้องหน้าเป็นจามจุรีสแควร์นั้น
พลันก็เหลือบเห็นน้องหมาตัวหนึ่งเดินข้ามทางม้าลายด้วยอ...
13 ปีที่ผ่านมา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น