![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi-W7swiTJgp9lZCz5wZJTwhW7eOW9ZFtVX6X9ROWiKXOxKrj3oE7epRejHgzKYyT4V1jsvTIjqPDjdX7yHYVcpHLVTCCQw6NXaxIkPXXwl88RynY3RHE0UUJCBzgD1gwmSfZksEQrQS4nV/s400/0346_0.jpg)
ตอนที่ 1 ความน่าเชื่อถือของพระคัมภีร์
กำเนิดพระคัมภีร์
ชนชาติอิสราเอลได้ถูกเลือกโดยพระเจ้า และได้ถูกมอบหมายให้รักษาพระบัญญัติของพระเจ้า ในประมาณปี 1400 ก่อน ค.ศ. ได้มีการเริ่มเขียนถึงสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงสำแดง เริ่มเขียนโดยโมเสสหลังจากที่ได้พบพระเจ้าที่ภูเขาซีนาย และได้เขียนย้อนหลังไปถึงการสร้างโลก โดยการดลใจของพระเจ้า และได้มีการรวบรวมพระวจนะ ประวัติศาสตร์ คำพยากรณ์ กฎหมาย และอื่นๆอีกมากมาย ตามการดลใจของพระเจ้า
หลังจากนั้นก็มีการร่วมรวมเข้าเป็นพระคัมภีร์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จำถึงเล่มสุดท้ายประมาณปี ค.ศ. 96 – 97 ซึ่งเป็นปีที่พระคัมภีร์เล่มสุดท้ายของยอห์น คือ พระธรรมวิวรณ์ (Revelation of John) ใช้เวลารวบรวมทั้งสิ้น 1600 ปี ถูกเขียนโดยคนประมาณ 40 คน มีทั้งสิ้น 66 เล่ม
พระคัมภีร์มาถึงปัจจุบันได้อย่างไร
พระคัมภีร์อยู่มาถึงปัจจุบันได้เนื่องจากการข่มเหงคริสตจักรในสมัยแรก จดหมายหรือคำสอน ของอัครทูตรวมทั้งพันธสัญญาเดิม ที่คริสเตียนได้คัดลอกไว้จึงเป็นอันตรายสำหรับผู้ที่ครอบครองไว้ เป็นส่วนช่วยให้ได้พระคัมภีร์ที่มีเนื้อหาตรงกับของแท้ เพราะการเก็บพระคัมภีร์ในสมัยนั้นเป็นอันตายถึงชีวิต จึงมีการเก็บเฉพาะส่วนที่ถูกต้องเท่านั้น และเก็บไว้อย่างดีเลิศมิดชิด จึงไม่มีปัญหาเรื่องฉบับปลอม เพราะในเวลานั้นอัครทูตก็ยังมีชีวิตอยู่
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh61UPyfphnMUjVP98FZqVTeFvwLKEBXPYqrK-EjX3gNgRN6Yvzn3hpeDt0KL5rooALPJc7n5Wr-6lAv-q93DBMTB3vuQRcFDlSK1PEXPi7EgBSRmBcfoKEKsGfMCMRRbTDp2ltdTb0FP3-/s400/2timothy3.jpg)
ต่อมาเมื่อมี ค.ศ. 1454 เครื่องพิมพ์ได้ถูกสร้างขึ้น โดยมีสำเนาพระคัมภีร์ถึง 2000 ฉบับ ในการเปรียบเทียบกัน เพื่อสร้างพระคัมภีร์ฉบับที่สมบูรณ์ที่สุดในสมัยนั้น ซึ่งจัดพิมพ์โดยนาย John Gutenberg เป็นภาษาเยอรมัน ต่อมาได้ถูกแปลออกมาเป็นภาษาอังกฤษ ในยุคของกษัตริย์ King James ในปี ค.ศ. 1611 และต่อมาก็ได้แปลออกเป็นภาษาอื่นๆเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบันได้ถูกแปลกว่า 1200 ภาษา รวมทั้งภาษาไทยด้วย
เอกลักษณ์ของพระคัมภีร์ไบเบิล
พระคัมภีร์มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างน่าอัศจรรย์
เป็นเรื่องที่ยากมากที่หนังสือ 66 เล่มจะมีความสอดคล้องกัน โดยไม่ขัดกันเลยแม้แต่เล่มเดียว โดยที่มีผู้เขียนกว่า 40 คน ที่เกิดในยุคและสมัยแตกต่างกัน
พระคัมภีร์อ้างสิทธิอำนาจของการดลใจจากพระเจ้า
พระคัมภีร์ไบเบิลเป็นหนังสือที่กล้าอ้างว่าได้รับการดลใจในการเขียนโดยพระเจ้า
2 ทิโมธี 3:16
พระคัมภีร์ ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสอน การตักเตือนว่ากล่าว การปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี และการอบรมในทางธรรม
พระคัมภีร์เป็นหนังสือที่ไม่มีการปรับปรุงแก้ไขใดๆทั้งสิ้นจึงมั่นใจได้ว่าไม่มีการตกหล่นหรือเพิ่มเติมเนื้อหาอย่างแน่นอน เนื่องจากยอห์นผู้เขียนพระคัมภีร์เล่มสุดท้ายนั้นได้บอกไว้แล้ว
วิวรณ์ 22:18 - 19
ข้าพเจ้าเตือนทุกคนที่ได้ยินคำพยากรณ์ในหนังสือนี้ว่า ถ้าผู้ใดจะเพิ่มเติมคำเข้าไปในหนังสือนี้ พระเจ้าก็จะทรงเพิ่มภัยพิบัติที่เขียนไว้ในหนังสือเล่มนี้แก่ผู้นั้น และถ้าผู้ใดตัดข้อความออกจากหนังสือพยากรณ์นี้ พระเจ้าก็จะทรงเอาส่วนแบ่งของผู้นั้น ที่มีอยู่ในต้นไม้แห่งชีวิตและที่มีอยู่ในวิสุทธนครนั้น ซึ่งบรรยายไว้ในหนังสือเล่มนี้ไปเสีย
มีหนังสืออรรถาธิบายมากมาย
พระคัมภีร์เป็นหนังสือที่มีผู้เขียนหนังสือเพื่ออธิบาย และตีความหมายเนื้อหาของพระคัมภีร์มากที่สุดในโลก ซึ่งต่างจากหนังสือเล่มอื่นๆที่ไม่จำเป็นต้องมีอรรถาธิบายก็สามารถเข้าใจได้หมดแล้ว
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhuQruSuf4aYsvmfnOW8K9AGHIn9vMusLDp8oswEng_XJWBgwbz-O8bwTQNW24IrMgSvHHuemu6a4CK6KODnbt3IhJ88EtUMpfIKF_QkUVURgiPuwE0SehZ5q2HXNkCEl5EDYnzmXaGOWE7/s400/0346_2.jpg)
พระคัมภีร์เป็นหนังสือที่อ่านได้ทั้งชีวิต
พระคัมภีร์เป็นหนังสือเพียงเล่มเดียวที่อ่านได้ตลอดทั้งชีวิต ไม่ว่าจะอ่านจบกี่รอบแล้ว แต่เมื่อมาอ่านใหม่ก็จะได้รับข้อคิดใหม่ๆเสมอ คริสเตียนจะอ่านพระคัมภีร์ทุกวันเพื่อรับการสอนจากพระเจ้า เชื่อหรือไม่ว่า ไม่มีมนุษย์สักคนในโลกที่อ่านพระคัมภีร์หมดจนเข้าใจถี่ถ้วน 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่มีใครที่รู้หมดทั้งเล่ม แม้จะอ่านสักร้อยรอบก็เป็นเรื่องยาก คริสเตียนทุกคนต่างก็ต้องเรียนพระคัมภีร์อยู่เสมอ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะพระเจ้าต้องการให้อ่านไปตลอดทั้งชีวิตนั่นเอง
เหตุผลที่พระคัมภีร์ไบเบิลเชื่อถือได้
1. ความตรงไปตรงมา
พระคัมภีร์เป็นหนังสือที่ซื่อตรงมาก แม้ความจริงจะน่าเจ็บปวดแค่ไหนก็ตาม
พระคัมภีร์กล่าวว่า
ยาโคบ ผู้เป็นต้นกำเนิดแห่งชนชาติอิสราเอล เป็นคนหลอกลวง ซึ่งเขาได้หลอกลวงพี่ชายตนเองเพื่อจะได้รับสิทธิบุตรหัวปี
โมเสส ผู้นำชนชาติอิสราเอล เป็นผู้นำที่ไม่มีความมั่นคงและโลเล ก่อนที่โมเสสจะมาช่วยเหลือชนชาติอิสราเอลนั้น โมเสสได้ฆ่าคนแล้วหลบหนีไปยังทะเลทราย นอกจากนั้นโมเสสยังไม่วางใจในพระเจ้า โดยได้ปฏิเสธคำสั่งของพระเจ้าอยู่หลายหน และยังละเมิดคำสั่งพระเจ้า จนพระเจ้าไม่พอใจเพราะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีแก่ชนชาติอิสราเอล จนโมเสสถูกลงโทษไม่ให้มีโอกาสเข้าสู่ดินแดนพันธสัญญา
ดาวิด กษัตริย์ที่ชาวอิสราเอลรักมากที่สุด พระคัมภีร์ได้กล่าวว่าพระองค์ได้เอาภรรยาของทหารคนหนึ่งของพระองค์มา และได้วางอุบายให้สามีของนางไปออกรบเพื่อจะได้ถูกฆ่าเพื่อปกปิดความผิดบาป
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg61lnygoSKEqUqb6Z7j_lQpvDaD7yPFzB2aE2d-CHKoeQnUnq8lPcy9p7PeY4puwl5X_7-k75wT2B4N7DG01w__oyoEj1aaIC5A2EF-kdbw8SqOLytGqUqx6EG0xTodnOSZmX6XtdPLHC_/s400/0346_3.jpg)
พระคัมภีร์ได้กล่าวโทษคนของพระเจ้าคือชนชาติอิสราเอลว่า เลวร้ายมากยิ่งกว่าเมืองโสโดมและโกโมราห์เสียอีก พระคัมภีร์ยังแสดงถึงธรรมชาติของมนุษย์ที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า และยังทำนายถึงอนาคตที่เต็มไปด้วยปัญหา พระคัมภีร์สอนว่าทางไปสู่สวรรค์นั้นแคบ แต่ทางไปสู่นรกนั้นกว้าง
เห็นได้ชัดว่าพระคัมภีร์ไม่ได้เขียนขึ้นเพื่อต้องการ คำตอบสบายๆ หรือง่ายๆ ที่มองศาสนาและธรรมชาติของมนุษย์ในแง่ดีเพียงด้านเดียว
2. การรักษาพระคัมภีร์ไว้ให้เหมือนต้นฉบับเดิม
เมื่อประเทศอิสราเอลได้ถูกจัดตั้งขึ้นใหม่หลังจากได้กระจัดกระจายไปหลายพันปี คนเลี้ยงแกะชาวเบดูอินคนหนึ่งได้พบสมบัติทางโบราณคดีที่สำคัญที่สุดชิ้นหนึ่ง เป็นเวลากว่า 2000 ปีมาแล้วที่เอกสารนี้ได้ถูกซ่อนอยู่ในไหแตก ในถ้ำแห่งหนึ่งทางชายฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของทะเลตาย นอกจากนี้ยังมีการค้นพบต้นฉบับคัดลอกซึ่งมีอายุเก่ากว่าสำเนา ที่เก่าที่สุดที่มีอยู่ ถึง 1000 ปี ฉบับคัดลอกฉบับหนึ่งที่สำคัญที่สุดคือฉบับคัดลอกของพระธรรมอิสยาห์ ที่ปรากฎว่าเหมือนกับหนังสืออิสยาห์ในพระคัมภีร์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน สิ่งเหล่านี้ได้ลบคำกล่าวอ้างของบรรดาผู้ที่เชื่อว่า ต้นฉบับพระคัมภีร์ ได้สูญหายไปกับกาลเวลา และถูกบิดเบือนไป
3. ข้ออ้างในพระคัมภีร์เองว่าได้รับการดลใจจากพระเจ้า
2 ทิโมธี 3:16
พระคัมภีร์ ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสอน การตักเตือนว่ากล่าว การปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี และการอบรมในทางธรรม
ถ้าผู้เขียนพระคัมภีร์ ไม่ได้กล่าวว่าตนกำลังพูดแทนพระเจ้า เราก็คงจะทึกทักไปเอง แต่ว่าหากไม่ได้เป็นเช่นนั้นแล้ว พระคัมภีร์ก็เป็นเพียงแค่วรรณกรรมทางประวัติศาสตร์และจริยธรรม ธรรมดาๆเล่มหนึ่งเท่านั้น และปัจจุบันนี้ก็คงจะไม่มีคริสเตียนและชาวยิวทั่วโลกอยู่เป็นล้านๆคนได้ แต่ว่ามีหลักฐานและข้อโต้แย้งมากมายที่สนับสนุนว่าผู้เขียนได้รับแรงบันดาลใจจากพระเจ้า พระคัมภีร์คงจะเป็นหนังสือที่ดีไม่ได้ หากผู้เขียนโกหกเรื่องแหล่งที่มาของข้อมูล
4. การอัศจรรย์ของพระคัมภีร์
การอพยพออกจากอียิปต์ของชาวอิสราเอล เป็นพื้นฐานทางประวัติศาสตร์ที่สนับสนุนให้เชื่อว่าพระเจ้าทรงสำแดงต่อชาวอิสราเอล ถ้าทะเลแดงไม่ได้แยกออกตามในพระคัมภีร์ พระคัมภีร์เดิมก็คงสูญเสียสิทธิอำนาจที่จะกล่าวในนามพระเจ้า
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhRsea4_hECwUxOkTGFWcC-8uxlU6AMI9az0eXX_AC6g9JR7SAAiKt4Y5S4aTljt5XQe4G-0Usl04MGscWgSwimkMpSkRHFb6IjjJgBUwBBUga-ddqbbKesFmw9hZpdKRpQQBinj75nuTSc/s400/0346_4.jpg)
พระคัมภีร์ใหม่ก็มีเรื่องราวของการอัศจรรย์ต่างๆเช่นกัน อัครทูตเปาโลยอมรับว่า ถ้าพระเยซูไม่ได้ทรงฟื้นขึ้นมาจากความตาย ความเชื่อของคริสเตียนก็มีพื้นฐานอยู่บนการหลอกลวงเท่านั้น
1 โครินธ์ 15:14 - 17
ถ้าพระคริสต์มิได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมา การเทศนาของเรานั้นก็ไม่มีหลัก ทั้งความเชื่อของท่านทั้งหลายก็ไม่มีหลักด้วยและก็จะปรากฏว่าเราอ้างพยานเท็จในเรื่องพระเจ้า เพราะเราอ้างพยานว่าพระองค์ได้ทรงชุบพระคริสต์ให้เป็นขึ้นมา แต่ถ้าคนตายไม่ถูกทรงชุบให้เป็นขึ้นมาแล้ว พระองค์ก็ไม่ได้ทรงชุบพระคริสต์ให้เป็นขึ้นมา เพราะว่าถ้าการชุบให้เป็นขึ้นมาไม่มี พระคริสต์ก็ไม่ได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมา และถ้าพระคริสต์ไม่ได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมา ความเชื่อของท่านก็ไร้ประโยชน์ ท่านก็ยังตกอยู่ในบาปของตน
เพื่อเป็นการยืนยันความน่าเชื่อถือ พระคัมภีร์ใหม่ได้อ้างรายชื่อพยานหลายคนไว้ ซึ่งพยานเหล่านี้อยู่ในช่วงเวลาที่พิสูจน์ได้ด้วย พยานหลายคนยอมสละแม้ชีวิต มิใช่เพื่อศีลธรรมที่ไม่อาจจับต้องได้หรือเพื่อความเชื่อมั่นฝ่ายวิญญาณ แต่เพื่อคำกล่าวอ้างที่พวกเขายืนยันว่าพระเยซูทรงฟื้นขึ้นมาจากความตาย
การสละชีวิตตนเองเพื่อความเชื่อไม่ใช่เรื่องแปลก แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่าคนเหล่านั้นยอมสละชีวิตของตนเองบนพื้นฐานอะไร คงไม่มีใครยอมตายเพื่อเรื่องที่รู้ว่าเป็นเรื่องโกหก
5. เอกภาพของพระคัมภีร์
ผู้เขียน 40 คน ใช้เวลากว่า 1600 ปีเขียนพระคัมภีร์ 66 เล่ม ซึ่งประกอบขึ้นเป็นพระคัมภีร์ แม้จะมีช่วงเวลาในช่วงยุค เงียบ 400 ปีที่พระเจ้าไม่ได้ตรัสอะไร (แต่ก็มีบันทึกไว้ในพระธรรมนอกสารบบของคาทอลิก) อย่างไรก็ตามหนังสือปฐมกาลไปจนถึงวิวรณ์ ทุกเล่มต่างก็ให้คำตอบไปในทางเดียวกันต่อคำถามทุกคำถามที่เราสงสัยกันว่าทำไมเราจึงมาอยู่ที่นี่? เราจะขจัดความกลัวของเราได้อย่างไร? เราจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขได้อย่างไร? เราจะคืนดีกับพระเจ้าได้อย่างไร? และอีกหลายๆคำถาม พระคัมภีร์ทุกเล่มได้ตอบคำถามเหล่านี้อย่างสอดคล้องกัน แสดงให้เห็นว่าพระคัมภีร์ไม่ได้เป็นหนังสือหลายเล่ม แต่เป็นเล่มเดียว
6. ความเที่ยงตรงทางประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์
ทุกยุคทุกสมัยมีคนมากมายที่คลางแคลงใจในความเที่ยงตรงทางประวัติศาสตร์ของพระคัมภีร์ แต่ครั้งแล้วครั้งเล่าที่นักโบราณคดีสมัยปัจจุบันได้ขุดพบหลักฐานของบุคคล สถานที่ และวัฒนธรรมที่ปรากฏในพระคัมภีร์อยู่เสมอ บ่อยครั้งที่เห็นได้ชัดว่าเรื่องราวที่บันทึกในพระคัมภีร์นั้นน่าเชื่อถือกว่าข้อสันนิษฐานของบรรดานักวิชาการเสียอีก
และนับวันเข้าก็มีการค้นพบหลักฐานมากมายที่พิสูจน์ให้เห็นว่าเรื่องราวที่มีอยู่ในพระคัมภีร์นั้นเป็นเรื่องจริง ไม่ว่า ล้อรถม้าของทหารอียิปต์ในทะเลแดง เรือโนอาห์ที่ยอดเขาอารารัต กำมะถันที่เมือโสโดมและโกโมราห์ เป็นต้น
7. ความแม่นยำของคำพยากรณ์
พระคัมภีร์เป็นหนังสือที่บันทึกคำพยากรณ์ไว้มากมายและล้วนแล้วเป็นจริงทั้งสิ้น ตั้งแต่ยุคของโมเสสมาแล้ว พระคัมภีร์ได้พยากรณ์ถึงเหตุการณ์ที่ไม่มีใครอยากจะเชื่อ ก่อนที่อิสราเอลจะเข้าสู่ดินแดนพันธสัญญา โมเสสได้ทำนายว่า อิสราเอลจะไม่สัตย์ซื่อจนทำให้ต้องสูญเสียแผ่นดินที่พระเจ้าประทานให้ และต้องกระจัดกระจายไปทั่วโลก แต่ในที่สุดก็จะรวมตัวกันอีก และกลับมาตั้งถื่นฐานอีกครั้งหนึ่ง (เฉลยธรรมบัญญัติ 28 – 31 )
แต่หัวใจสำคัญของคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์เดิมคือ พระสัญญาเกี่ยวกับการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ผู้จะทรงช่วยประชากรของมนุษย์โลกให้พ้นจากความบาปผิดของเขาทั้งหลาย และในที่สุดจะนำการพิพากษาและสันติสุขมาในวันสุดท้าย
8. ความอยู่รอดของพระคัมภีร์
ตลอดช่วงประวัติศาสตร์อันยาวนานนั้น ไม่มีหนังสือเล่มใดเป็นที่รักและเกลียดชังเท่ากับพระคัมภีร์ ไม่มีหนังสือเล่มใดที่มีผู้ซื้อ ผู้ศึกษาและอ้างอิงอย่างมากมายเท่ากับหนังสือเล่มนี้ ในขณะที่หนังสือเล่มอื่นๆเป็นล้านๆเล่มได้ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แต่พระคัมภีร์ยังคงอยู่จนถึงทุกวันนี้ แม้ว่าบ่อยครั้งผู้ที่ไม่ชอบใจคำสอนของพระคัมภีร์จะไม่ใส่ใจ แต่พระคัมภีร์เองก็เป็นหนังสือที่เป็นศูนย์กลางของอารยธรรมตะวันตกตลอดมา
พระคัมภีร์นั้นมีประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน และไม่มีการสังคายนาเลยแม้แต่ครั้งเดียว ดังนั้นจึงมั่นใจได้ว่า เนื้อหาพระคัมภีร์ทุกตอนตรงกับต้นฉบับจริงๆ
ส่งท้าย
เหตุผลหลายประการเหล่านี้คงจะยืนยันความน่าเชื่อถือของพระคัมภีร์ไบเบิลได้เป็นอย่างดี และมีข้อสนับสนุนมากมายที่ยืนยันเช่นนั้น ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่มักจะมีการอ้างอิงข้อพระคัมภีร์อยู่เสมอ แสดงให้เห็นว่าพระคัมภีร์ไบเบิลไม่ใช่แค่หนังสือธรรมดาๆทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด
บทความนี้มาจาก Mythland
http://www.mythland.org
URL สำหรับเรื่องนี้คือ:
http://www.mythland.org/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=216
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น