Custom Search By Google

Custom Search

วันอังคารที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2551

พระเยซูทรงเป็นพระเจ้า

24 ธันวาคม 2006
โดย นคร เวชสุภาพร

วันคริสตมาสคือวันอะไรใครรู้บ้าง หลายๆ คนบอกว่าวันคริสตมาส คือวันประสูติของ พระเยซูคริสต์ ก็ถูกต้อง แต่ถ้าจะพูดให้ตรงๆ และชัดๆ วันคริสตมาส คือวันที่พระเจ้าลงมาเกิดเป็นมนุษย์ ตรงนี้สำคัญที่สุด จะเถียงกัน ก็เถียงกันตรงนี้แหละ จะไม่เชื่อก็เพราะตรงนี้แหละ ตรงที่ว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ มีผู้เดียวเท่านั้นตั้งแต่ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ มาจนถึงปัจจุบัน อนาคตและจนถึงนิรันดร์กาล มีผู้เดียวที่เป็นพระเจ้า แล้วมาเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์ทรงพระนามว่า “เยซู”

เป็นวันที่มนุษยชาติได้รับของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจากพระบิดาเจ้า

วันนี้ทั่วโลก ทุกคนก็ตื่นเต้น โดยเฉพาะเด็กๆ เพราะรอคอยของขวัญ จะมีการรับของขวัญอย่างมากมาย เขามีการบันทึกเป็นสถิติไว้ทุกปี ในช่วงคริสตมาสของประเทศอเมริกา เขาบอกว่ากระดาษห่อของขวัญใช้ไปกว่า 30 ล้านม้วน โบว์ผูกของขวัญประมาณ 60 ล้านม้วน การ์ดอวยพรประมาณ 380 ล้านใบ และต้นคริสตมาสประมาณ 35 ล้านต้น เฉพาะอเมริกาประเทศเดียว เทศกาลที่เขาฉลองกัน และร่วมยินดี เพราะเป็นธรรมเนียมว่า เมื่อถึงเทศกาลคริสตมาสจะมีการให้ของขวัญกัน เพราะคริสตมาสแรก เมื่อ 2,000 กว่าปีที่ผ่านมาแล้ว เป็นวันที่มนุษยชาติได้รับของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจากพระบิดาเจ้า พระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นของขวัญวันคริสตมาสที่ประทานให้กับมนุษย์ทั่วๆ ไปทุกๆ คน


การฉลองคริสตมาสในทุกๆ ปี ทุกคนก็พยายามที่จะหาซื้อของขวัญแจกจ่ายกัน

จิตใจเรามีความสุข มีความชื่นชมยินดี เพราะว่าในโลกวิญญาณ ได้รู้ว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ และพระเจ้าได้ทรงประทานพระเยซูคริสต์ให้มาเป็นของขวัญ เพื่อให้มนุษย์ได้รับความรอด เพราะฉะนั้นเราทั้งหลายจึงมีจิตใจชื่นชมยินดีในช่วงเทศกาลคริสตมาส ก็เลยหาของขวัญแปลกๆ ใหม่ๆ หากันทุกปี เพื่อให้ลูกๆ แล้วก็คนที่เรารักใคร่สนิทสนมกัน เป็นการเฉลิมฉลองวันคริสตมาส


แต่ของขวัญของพระเจ้าที่ประทานให้กับมนุษย์ เมื่อ 2,000 ปีมาแล้วนั้น คือการเสด็จลงมาเกิดของพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้เตรียมและบอกล่วงหน้าไว้ ไม่ใช่แค่ไม่กี่พันปี แต่จริงๆ แล้วพระเจ้าทรงรู้ล่วงหน้าแล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้น ตั้งแต่ปฐมกาลก็บอกไว้แล้ว ว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรของพระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์ จากหญิงพรหมจารีย์ ในหนังสือปฐมกาล 3:15 ไล่ลงไป พระเจ้าบอกล่วงหน้ามาเรื่อยๆ


พระคัมภีร์ทั้งเล่มเป็นเรื่องเกี่ยวกับคริสตมาสและวันอีสเตอร์

วันประสูติของพระเยซูคริสต์ และวันที่พระองค์ถูกตรึงตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม คือวันอีสเตอร์ พระคัมภีร์ทั้งเล่มพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับการไถ่ถอนของพระเยซู ว่าพระเยซูจะมาเกิดอย่างไร เกิดที่ไหน เป็นอย่างไร อย่างละเอียดยิ๊บเลย ตั้งแต่ตัวอักษร ตัวแรกของหนังสือพระคัมภีร์ ไปจนกระทั่งถึงบทสุดท้าย คือหนังสือวิวรณ์


เมื่อสองครั้งที่แล้ว ได้พูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ในสมัยปฐมกาลมาแล้ว ว่าพระองค์ทรงเตรียมพระเยซูคริสต์ไว้เรียบร้อยแล้ว แต่วันนี้ผมจะยกตัวอย่างจากหนังสืออิสยาห์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาประมาณ 600 หรือ 700 ปีก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิดเป็นมนุษย์ ในหนังสืออิสยาห์ 7:14


อิสยาห์ 7:14

“เพราะฉะนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าจะประทานหมายสำคัญเอง ดูเถิด หญิงสาวคนหนึ่งจะตั้งครรภ์ และคลอดบุตรชายคนหนึ่ง และเขาจะเรียกนามของท่านว่า อิมมานูเอล”


ตรงที่เขียนไว้ว่า “หญิงสาวคนหนึ่งจะตั้งครรภ์ และคลอดบุตรชายคนหนึ่ง” ในหนังสือพระคัมภีร์เดิมฉบับภาษากรีก ซึ่งเขาเรียกกันว่าเซ็ปตัวจิน คำว่า “หญิงสาวคนหนึ่ง” แปลว่าหญิงพรหมจารีย์



หญิงพรหมจารีย์ คลอดบุตรชาย มีผู้เดียวในโลกที่ได้ถูกบันทึกเอาไว้

อิสยาห์ 9:6

“ด้วยมีเด็กคนหนึ่งเกิดมาเพื่อเรา มีบุตรชายคนหนึ่งประทานมาให้เรา และการปกครองจะอยู่ที่บ่าของท่าน และท่านจะเรียกนามของท่านว่า "ที่ปรึกษามหัศจรรย์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระบิดานิรันดร์ องค์สันติราช"


“เด็กคนหนึ่ง” ที่มาเกิดก็คือองค์พระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า


ทุกครั้งที่ผมพูดถึงพระเยซูคริสต์ ให้ท่านจำตรงนี้ไว้แม่นๆ ว่าองค์พระเยซูคริสต์คือพระเจ้า องค์พระเยซูคริสต์ คือพระบุตรของพระเจ้า


มีคาห์ 5:2-4

“โอ เบธเลเฮม เอฟราธาห์ แต่เจ้า ผู้เป็นหน่วยเล็กในบรรดาตระกูลของยูดาห์ จากเจ้าจะมีผู้หนึ่งออกมาเพื่อเรา เป็นผู้ที่จะปกครองในอิสราเอล ดั้งเดิมของท่านมาจากสมัยเก่า จากสมัยโบราณกาล ดังนั้น พระองค์จะทรงมอบเขาไว้จนถึงเวลา ที่หญิงผู้เจ็บครรภ์จะคลอดบุตร แล้วบรรดาพี่น้องที่เหลืออยู่จะกลับมายังคนอิสราเอล และพระองค์จะทรงยืนมั่น ทรงเลี้ยงฝูงแกะของพระองค์ด้วยพระกำลังแห่งพระเจ้า ด้วยสง่าราศีแห่งพระนามพระเยโฮวาห์พระเจ้าของพระองค์ และเขาทั้งหลายอยู่ได้ เพราะบัดนี้พระองค์จะทรงเป็นใหญ่ ตลอดจนถึงที่สุดท้ายปลายพิภพ”


ตอนนี้บอกถึงเรื่องสถานที่ที่จะเกิด คือเบธเลเฮม

“จนถึงเวลาที่หญิงคนนี้เจ็บครรภ์จะคลอดบุตร” บุตรคนนี้คือพระเยซู พระบุตรของพระเจ้า จะมาเกิดเป็นมนุษย์ ในวันคริสตมาส


แปลว่าผู้ช่วยให้รอด

วันนี้เราจะมาคุยกัน ถึงความหมายสำคัญที่สุดของวันคริสตมาส คือวันที่พระเจ้าเสด็จลงมาประสูติเป็นมนุษย์ชื่อเยซู “เยซู” แปลว่าผู้ช่วยให้รอด


พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งปวงบนโลกใบนี้ และบนจักรวาลนี้ เราจะนำข้อพระคัมภีร์บางส่วน ซึ่งบันทึกเกี่ยวกับเรื่องพระเยซูเป็นพระเจ้ามาอ่านกัน



โคโลสี 1:15-16

“พระองค์ทรงเป็นพระฉายของพระเจ้า ผู้ซึ่งไม่ประจักษ์แก่ตา ทรงเป็นบุตรหัวปีเหนือสรรพสิ่งทั้งปวง เพราะว่าในพระองค์สรรพสิ่งได้ถูกสร้างขึ้น ทั้งในท้องฟ้าและที่แผ่นดินโลก สิ่งซึ่งประจักษ์แก่ตาและซึ่งไม่ประจักษ์แก่ตา ไม่ว่าจะเป็นเทวบัลลังก์ หรือเป็นเทพอาณาจักร หรือเป็นเทพผู้ครองหรือศักดิเทพ สรรพสิ่งทั้งสิ้นถูกสร้างขึ้นโดยพระองค์และเพื่อพระองค์”


“สรรพสิ่งทั้งสิ้นถูกสร้างขึ้นโดยพระองค์ และเพื่อพระองค์”

“พระองค์” คำนี้ก็คือพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า และพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดองค์นี้ ก็ได้ทรงมาบนโลกมนุษย์และอยู่กับมนุษย์ ใช้ชีวิตเหมือนมนุษย์

ฟิลิปปี 2:5-8

“ท่านจงมีน้ำใจต่อกัน เหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงสภาพของพระเจ้า แต่มิได้ทรงถือว่าการเท่าเทียมกับพระเจ้านั้น เป็นสิ่งที่จะต้องยึดถือ แต่ได้กลับทรงสละ และทรงรับสภาพทาส ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์ และเมื่อทรงปรากฏพระองค์ในสภาพมนุษย์แล้ว พระองค์ก็ทรงถ่อมพระองค์ลงยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา กระทั่งความมรณาที่กางเขน”


สภาพเหตุการณ์คืนที่พระเยซูมาประสูติ เราจะเห็นถึงความลึกซึ้งของพระเจ้า

“พระเยซูคริสต์ผู้ทรงสภาพของพระเจ้า ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์” นี่ถูกบันทึกอยู่ในพระคัมภีร์ ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าจริงๆ และเป็นมนุษย์จริงๆ ถ้าเราดูรายละเอียด สภาพเหตุการณ์คืนที่พระเยซูมาประสูติ เราจะเห็นถึงความลึกซึ้งของพระเจ้าว่า พระเจ้าทรงมาเกิดเป็นมนุษย์อย่างไร พระองค์ทรงเสียสละสภาพความเป็นพระเจ้า ซึ่งสูงส่ง ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก และยอมมาเกิดเป็นมนุษย์ที่ต่ำต้อย และพระองค์ทรงประสูติที่โรงนา อยู่ในรางหญ้า


สูงกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ

เรารู้แล้วว่าพระเยซูคือพระเจ้าผู้สูงสุด ถ้าคิดอย่างมนุษย์ เราก็คิดว่ามีตั้งหลายวิธีที่พระเจ้าจะเสด็จลงมาช่วยมนุษย์ ใช่ไหมครับ เราคิดของเราเอง ถ้าเป็นพระเจ้า น่าจะช่วยเราเหมือนในลิเก เสด็จลงมาเป็นพระเจ้าเลย “มนุษย์บาปหรือ! หายบาปเดี๋ยวนี้” แบบง่ายๆ แต่พระเจ้าทรงมีแผนการของพระองค์ ที่สูงกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ


นั่นคือความรู้สึกของมนุษย์ที่ถูกทอดทิ้ง

ทำไมพระองค์ต้องเลือกมาเกิดเป็นทารกน้อยในโรงนา และต้องเติบโตมาเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากต่างๆ บนโลกใบนี้ พระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูทรงมีสภาพเป็นมนุษย์ทุกประการ เกิดเหมือนมนุษย์ เติบโตเหมือนมนุษย์ ทำงานเหมือนมนุษย์ มีความคิดความรู้สึกทุกอย่างเหมือนมนุษย์เลย แต่พระองค์ก็ทรงเป็นพระเจ้าจริงๆ แม้หลายครั้งจะได้ทรงแสดงการอัศจรรย์ ให้รู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า แต่หลายครั้งในพระคัมภีร์ เราก็ได้เห็นถึงความรู้สึกของพระเยซู ซึ่งไม่ต่างอะไรกับความรู้สึกของพวกเรา คือความสุข ความทุกข์ ความเหนื่อย ความเพลีย ความอ่อนล้า ความท้อแท้ และแม้กระทั่งความกลัว ตอนที่พระเยซูจะถูกตรึงที่ไม้กางเขน ถูกจับที่สวนเกเสมเน พระองค์ทรงอธิษฐานตั้ง 3 ครั้ง กลัวจนกระทั่งเหงื่อเป็นเลือด กลัวมากๆ นั่นคือความรู้สึกของมนุษย์ ไม่ใช่พระเจ้า และตอนที่พระองค์จะทรงสิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขน พระองค์ทรงร้องตะโกนเสียงดังว่า “พระเจ้า พระเจ้าทำไมถึงทอดทิ้งข้าพระองค์” นั่นคือความรู้สึกของมนุษย์ที่ถูกทอดทิ้ง


พระเจ้าทรงเลือกที่จะลงมาเกิดเป็นมนุษย์ด้วยวิธีนี้ เพื่อพระองค์จะสามารถบอกเราทั้งหลายได้ว่า พระองค์ทรงเคยเป็นอย่างที่เราเป็น เคยเดินเหมือนที่เราเดิน

บนโลกใบนี้ เรารู้สึกอย่างไร พระองค์ทรงเข้าใจ พระองค์ทรงลำบากเหมือนที่เราลำบากอยู่บนโลกใบนี้ ความคิด ความรู้สึกของเราทุกอย่าง พระองค์ทรงเข้าใจดี เพราะพระองค์ทรงเดินเหมือนชีวิตของเราทั้งหลาย คือเป็นมนุษย์อย่างเรา เพื่อต้องการที่จะสื่อสารกันได้ เราอาจจะคิดว่า “พระเจ้าไม่เข้าใจในความทุกข์ยากลำบากของเราหรอก พระเจ้าอาจจะไม่เข้าใจปัญหาของเราหรอก เพราะว่ามันลึกซึ้งมาก” แต่พระเจ้าบอก “ฉันเข้าใจ เพราะตอนฉันมาเกิดเป็นมนุษย์นั้น ฉันก็ผ่านความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้นด้วย” และเป็นความทุกข์ยากลำบากที่มากเสียด้วย คือรับเอาความบาปทั้งหมดของมวลมนุษยชาติมาไว้ที่พระองค์เอง ไม่มีมนุษย์คนไหน เคยได้รับความกลัวถึงขนาดเหงื่อเป็นเลือดออกมา เหมือนพระเยซูเลย


ลองฟังเรื่องเล่าเรื่องนี้ดู เป็นอุทาหรณ์เรื่องหนึ่ง ซึ่งทำให้เราเห็นว่าทำไมพระเจ้าต้องมาเกิดเป็นมนุษย์

มีครอบครัวชาวไร่ครอบครัวหนึ่ง ทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์อยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ชาวไร่คนนี้เขามีภรรยาที่เชื่อพระเจ้า และรักพระเจ้ามาก แต่ตัวเขาเองยังไม่เชื่อพระเจ้าเลย วันคริสตมาสปีหนึ่ง ภรรยาพยายามชวนให้เขาไปโบสถ์ด้วยกัน แต่เขาไม่ยอมไป และบอกว่าเขาไม่เคยเชื่อเรื่องพระเจ้าลงมาเกิดเป็นมนุษย์เลย ไม่เข้าใจว่าในเมื่อพระเจ้ามีฤทธิ์เดชอำนาจมากมาย ทำไมต้องลดตัวลงมาเกิดเป็นมนุษย์ และต้องทนทุกข์ทรมานตัวเองแบบนี้


“…นี่ถ้าเราเป็นห่านด้วย พวกมันคงเข้าใจเราดีกว่านี้”

คืนนั้นภรรยาพาลูกๆ ไปโบสถ์และปล่อยให้เขาอยู่บ้านคนเดียว ปรากฏว่าคืนนั้น ในขณะที่เขานั่งพักผ่อนอยู่บ้านคนเดียว ก็เกิดพายุหิมะหนักมาก และเขาก็เห็นฝูงห่านฝูงหนึ่งพลัดหลงมา เข้าใจว่าเป็นฝูงห่านที่บินหลบหนาวมาอีกฝั่งหนึ่ง แต่มาเจอพายุหิมะเสียก่อน ก็เลยพยายามหาที่หลบ ฝูงห่านฝูงนี้กำลังตกใจกลัวและหนาวสั่นมาก ชายคนนี้ก็คิดที่จะช่วยฝูงห่านฝูงนี้ เขาจึงเดินไปเปิดโรงนาที่ว่างอยู่ ซึ่งข้างในมีกองฟางอยู่เต็ม น่าจะเป็นที่หลบหนาวชั่วคราวให้กับฝูงห่านฝูงนี้ได้ แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไร ฝูงห่านก็ไม่ยอมเดินเข้าไปในโรงนานั้นสักที ยิ่งเขาพยายามกวาดต้อน ฝูงห่านก็ยิ่งตกใจกลัว พากันหนีกระเจิดกระเจิง แล้วเขาก็รำพึงออกมาว่า (ฟังตรงนี้ให้ดีๆ) “เจ้าห่านพวกนี้ไม่รู้หรือไงว่าเรากำลังต้องการช่วยเจ้าให้รอดชีวิต นี่ถ้าเราเป็นห่านด้วย พวกมันคงเข้าใจเราดีกว่านี้” คิดได้ดังนั้น เขาก็เดินไปที่คอกห่าน แล้วก็อุ้มห่านตัวหนึ่งที่เขาเลี้ยงเอาไว้จนเชื่องออกมา แล้วก็ปล่อยห่านของเขาตัวนั้น ลงไปท่ามกลางฝูงห่านที่พลัดหลง ที่กำลังหนาวสั่น

เจ้าห่านตัวนี้ ซึ่งคุ้นเคยกับบริเวณนี้เป็นอย่างดี ก็รีบเดินเข้าไปในโรงนา เพื่อหลบหนาว ทันใดนั้นฝูงห่านที่พลัดหลงก็ค่อยๆ เดินตามเข้าไปทีละตัว จนหมด คืนนั้นห่านทุกตัวก็ได้หลบพายุหิมะในโรงนา จนหิมะหยุด ก็พากันบินต่อไป


เขาไม่เคยเข้าใจว่าทำไมพระเจ้าต้องมาเกิดเป็นมนุษย์

ในระหว่างที่เขากำลังยืนดูฝูงห่านเดินเข้าไปในโรงนานั้น เขาก็คิดขึ้นมาได้ถึงคำพูดที่เขาพูดกับภรรยาเมื่อเช้านี้ที่ว่า เขาไม่เคยเข้าใจว่าทำไมพระเจ้าต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เขาเพิ่งประสบกับตัวเอง เขาจึงรู้ว่าพระเจ้ามีวัตถุประสงค์อะไร เพื่ออะไร และเพื่อใคร


อาทิตย์ต่อมาเขาก็ได้ไปปรากฏตัวที่โบสถ์ และได้รับเชื่อในเช้าวันนั้น

นี่คืออุทาหรณ์เรื่องหนึ่ง ที่ทำให้เราเห็นว่าทำไมพระเจ้าต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็เพื่อที่จะเข้าใจ พระองค์รู้ว่าคุยกับเราอย่างไร เราก็ไม่เข้าใจ จะบอกเราอย่างไรว่าพระองค์ทรงรัก ทรงเข้าใจเราดี จะทำตัวอย่างไรให้เราเข้าใจว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้านะ จะทำอย่างไรให้เราวางใจในพระองค์ได้ นี่ขนาดเกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว เดินอยู่บนโลกใบนี้แล้ว เรายังสามารถวางใจในพระเจ้าได้เพียงแค่นี้ เหมือนกับทุกวันนี้ที่ขึ้นบ้าง ลงบ้าง แล้วถ้าพระองค์ไม่มาเกิดเป็นมนุษย์อย่างนี้ เราก็ยิ่งไม่สามารถเข้าใจพระองค์ได้เลย


คราวนี้เราจะมาดูว่าพระเจ้าเสด็จลงมาประสูติที่โลกใบนี้ เพื่ออะไร และเพื่อใคร จากบันทึกในพระคัมภีร์ เราพอจะสรุปได้อย่างคร่าวๆ


มีเหตุผลหลักๆ อยู่ 4 ประเด็นด้วยกันก็คือ.-

ข้อที่ 1 เพื่อให้ผู้คนได้รับรู้ถึงพระฉายของพระเจ้า ให้รู้ว่าพระเจ้าทรงเป็นอย่างไร พระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูคือพระเจ้า ใครที่ได้พบพระเยซู ก็คือได้พบพระเจ้านั่นเอง


ยอห์น 14:6-7

“พระเยซูตรัสกับเขาว่า "เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา ถ้าท่านทั้งหลายรู้จักเราแล้ว ท่านก็จะรู้จักพระบิดาของเราด้วย ตั้งแต่นี้ไปท่านก็จะรู้จักพระองค์และได้เห็นพระองค์"


เราอาจจะมองเห็นได้ว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่ ทรงฤทธิ์อำนาจสูงสุด จากสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น ทั้งธรรมชาติ จักรวาล แต่ก็มีหลายสิ่งหลายอย่างในความเป็นพระเจ้าที่เราไม่สามารถสัมผัสหรือมองเห็นได้ด้วยตา เช่น บอกเราว่าพระเจ้าเป็นความรัก พระเจ้าทรงเสียสละ พระเจ้าทรงเข้าใจเราทุกอย่าง สิ่งเหล่านี้ที่เราสามารถรับรู้ได้ และทำให้เรารู้จักพระเจ้าดีขึ้น ก็โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ ที่ลงมาเกิดเป็นมนุษย์เหมือนเราทั้งหลาย และกระทำการเหล่านี้ให้เราได้เห็น



ยอห์น 14:8-11

“ฟีลิปทูลพระองค์ว่า "พระองค์เจ้าข้า ขอสำแดงพระบิดาให้ข้าพระองค์ทั้งหลายได้เห็น ก็พอใจข้าพระองค์แล้ว" พระเยซูตรัสกับเขาว่า "ฟีลิปเอ๋ย เราได้อยู่กับท่านนานถึงเพียงนี้ และท่านยังไม่รู้จักเราอีกหรือ ผู้ที่ได้เห็นเราก็ได้เห็นพระบิดา ท่านจะพูดได้อย่างไรอีกว่า 'ขอสำแดงพระบิดาให้ข้าพระองค์ทั้งหลายเห็น' ท่านไม่เชื่อหรือว่า เราอยู่ในพระบิดาและพระบิดาทรงอยู่ในเรา คำซึ่งเรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายนั้น เรามิได้กล่าวตามใจชอบ แต่พระบิดาผู้ทรงสถิตอยู่ในเรา ได้ทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์ จงเชื่อเราเถิดว่า เราอยู่ในพระบิดาและพระบิดาทรงอยู่ในเรา หรือมิฉะนั้นก็จงเชื่อเพราะกิจการเหล่านั้นเถิด”


“จงเชื่อเถิดว่าเราอยู่ในพระบิดา และพระบิดาทรงอยู่ในเรา”



“เรา” ในที่นี้ก็คือพระเยซูคริสต์

กับพระบิดาเป็นหนึ่งเดียวกัน ก็คือเป็นพระเจ้าลงมาเกิดเป็นมนุษย์ สำแดงความรัก สำแดงความท้อใจ สำแดงความเมตตา สำแดงว่าพระเจ้าเป็นผู้ที่มีพระลักษณะ หรือมีนิสัยแบบนี้ รักเราขนาดนี้ ให้เราเห็นกับตาเลย จับต้องมองเห็นได้





ข้อที่ 2 เพื่อที่จะประกาศข่าวประเสริฐเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า และสั่งสอนมนุษย์ทั้งหลาย



มัทธิว 4:23

“พระเยซูได้เสด็จไปทั่วแคว้นกาลิลี ทรงสั่งสอนในธรรมศาลาของเขา ทรงประกาศข่าวประเสริฐเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า และทรงรักษาโรคภัยไข้เจ็บของชาวเมืองให้หาย”


“ทรงประกาศข่าวประเสริฐ เรื่องแผ่นดินของพระเจ้า”



ลูกา 4:42-44

“ครั้นรุ่งเช้า พระองค์เสด็จออกไปยังที่เปลี่ยว ประชาชนเที่ยวเสาะหาพระองค์ ครั้นพบแล้วก็หน่วงเหนี่ยวพระองค์ไว้ ไม่ให้ไปจากเขา แต่พระองค์ตรัสแก่เขาว่า "เราต้องไปประกาศข่าวประเสริฐ แห่งแผ่นดินของพระเจ้าแก่เมืองอื่นด้วย เพราะว่าที่เราได้รับใช้มา ก็เพราะเหตุนี้เอง" พระองค์ทรงประกาศในธรรมศาลาทั่วยูเดีย”


“เราต้องไปประกาศข่าวประเสริฐ แห่งแผ่นดินของพระเจ้าแก่เมืองอื่นด้วย เพราะว่าที่เราได้รับใช้มา ก็เพราะเหตุนี้”



พระเยซูได้ถูกใช้มา เพื่อมาประกาศกับมนุษย์ ในภาษาของมนุษย์

เพื่อให้มนุษย์เข้าใจถึงเรื่องเกี่ยวกับอาณาจักรของพระเจ้า แผ่นดินของพระเจ้า สวรรค์ที่พระเจ้าทรงตระเตรียมไว้ให้กับเราว่า “สวรรค์นั้นมีจริงๆ บ้านในสวรรค์มีอยู่ ถ้าไม่มีเราคงได้บอกเจ้าแล้ว” พระเยซูได้ตรัสไว้อย่างนั้น บอกเป็นภาษามนุษย์ที่พยายามให้มนุษย์เข้าใจมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ พระเยซูยอมสละสภาพของพระเจ้าลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อประกาศข่าวประเสริฐและเรื่องราวของพระเจ้า เพราะใครจะรู้เรื่องราวของพระเจ้าได้เท่ากับตัวของพระองค์เอง เมื่อพระเจ้าลงมาประกาศเอง ก็ย่อมต้องทำให้คนสามารถที่จะเชื่อได้มากขึ้น เข้าใจได้มากขึ้น พระเจ้าก็ตระเวนสั่งสอนมนุษย์เรื่องการดำเนินชีวิตในโลกใบนี้ ว่าเราควรจะทำตัวอย่างไร ให้เป็นที่ถวายเกียรติและเป็นที่พอพระทัยพระเจ้ามากที่สุด


ยอห์น 15:14-15

“ถ้าท่านทั้งหลายประพฤติตามที่เราสั่งท่าน ท่านก็จะเป็นมิตรสหายของเรา เราจะไม่เรียกท่านทั้งหลายว่าบ่าวอีก เพราะบ่าวไม่ทราบว่านายทำอะไร แต่เราเรียกท่านว่ามิตรสหาย เพราะว่าทุกสิ่งที่เราได้ยินจากพระบิดาของเรา เราได้สำแดงแก่ท่านแล้ว”




โดยการทำเป็นตัวอย่าง

“เพราะว่าทุกสิ่งที่เราได้ยินจากพระบิดาของเรา เราได้สำแดงให้แก่ท่านแล้ว” พระเยซูตรัสอย่างนั้น ลักษณะเหมือนกับพ่อแม่ที่เลี้ยงลูก และต้องการอบรมสั่งสอนลูก โดยการทำเป็นตัวอย่าง ถ้าเราบอกลูก สอนลูกว่าอย่ากินเหล้า อย่าสูบบุหรี่ แล้วตัวพ่อเอง กินเหล้าด้วย สูบบุหรี่ด้วย คำสอนนั้นก็ไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับลูก ลูกก็ไม่กระทำตาม พระเจ้าลงมาทำเป็นตัวอย่างเลยว่าพระองค์ทรงมีพระเมตตาอย่างไร พระองค์มีบุคลิกเป็นอย่างไร พระองค์ทรงสงสารคนทุกข์ยากลำบากอย่างไร



ข้อที่ 3 เพื่อที่เราทั้งหลายจะสามารถวางใจในพระเจ้าได้

เพราะว่าคนเราก่อนที่จะเชื่อใครหรือวางใจใครได้ อย่างน้อยเราก็อยากจะมีความสนิทสนม ใกล้ชิดกันมากขึ้นเสียก่อน พระเจ้าจึงต้องเสด็จมาเป็นมนุษย์ เพื่อให้พวกเราได้รู้จักพระองค์ (ผ่านทางถ้อยคำของพระเจ้า) และเมื่อเรารู้จักพระองค์แล้ว เราก็สามารถวางใจในพระองค์ได้ต่อไป และบอกกันต่อๆ ไป


ยอห์น 12:44-46

“และพระเยซูทรงประกาศว่า "บรรดาผู้ที่วางใจในเรานั้น หาได้วางใจในเราเองไม่ แต่วางใจในพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา และผู้ที่เห็นเราก็เห็นพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา เราเข้ามาในโลกเป็นความสว่าง เพื่อทุกคนที่วางใจในเราจะมิได้อยู่ในความมืด”




ผู้ที่อยู่ในความมืดก็คือผู้ที่ไม่รู้ว่าตัวเองจะไปทางไหน

ในข้อนี้บอกว่าคนที่วางใจในพระเยซู ก็จะไม่ต้องอยู่ในความมืด ผู้ที่อยู่ในความมืดก็คือผู้ที่ไม่รู้ว่าตัวเองจะไปทางไหน มีชีวิตอยู่แบบไม่รู้จุดหมายปลายทาง ไม่มีความหวัง ไม่มีเป้าหมาย อยู่ไปวันๆ หนึ่ง แต่ผู้ที่รู้จักพระเจ้าและวางใจในพระเจ้า ก็จะมีชีวิตอยู่ท่ามกลางแสงสว่าง อยู่ด้วยความหวังใจทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ในโลกนี้ก็ได้รู้ว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วย พระองค์มีแผนการสำหรับเรา มีพระประสงค์ในตัวของเราอย่างไร ไม่ว่าเราจะเดินทางไปไหน หรืออยู่ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากขนาดไหน พระองค์ทรงทำให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่งได้ และทรงเข้าใจพวกเราดี และในโลกหน้าก็คือเรามั่นใจได้ว่า เมื่อหยุดพักการงานในโลกใบนี้แล้ว เราก็ได้มีบ้านถาวรที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้พวกเราเรียบร้อยไปแล้ว มีชีวิตนิรันดร์อยู่ร่วมกับพระองค์ในสวรรค์



ข้อที่ 4 เพื่ออภัยในความบาปผิดของพวกเราทั้งหลาย ให้เราทั้งหลายได้รับความรอดและมีชีวิตนิรันดร์

ยอห์น 3:16-18

“เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก มิใช่เพื่อพิพากษาลงโทษโลก แต่เพื่อช่วยกู้โลกให้รอดโดยพระบุตรนั้น ผู้ที่วางใจในพระบุตรก็ไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษ ส่วนผู้ที่มิได้วางใจก็ต้องถูกพิพากษาลงโทษอยู่แล้ว เพราะเขามิได้วางใจ ในพระนามพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”


เหตุผลสำคัญที่สุด

เหตุผลสำคัญที่สุดที่พระเจ้าทรงสละความเป็นพระเจ้า ลงมาเกิดเป็นแบบมนุษย์ ทนทุกข์ทรมานแบบมนุษย์ และตายแบบมนุษย์บนโลกใบนี้ ก็เพื่อให้เราทั้งหลายได้รับการอภัยในความผิดบาป และได้รับความรอด เพราะจำเป็นที่จะต้องกระทำแบบนั้น


1 ยอห์น 3:5

“ท่านทั้งหลายรู้แล้วว่า พระองค์ได้ทรงปรากฏ เพื่อกำจัดบาปของเราให้หมดไป และพระองค์ไม่ทรงมีบาปเลย”


ด้วยการเสียสละชีวิตของพระองค์เอง

“พระองค์” คือพระเยซู พระบุตรของพระเจ้า ผู้ทรงเป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์เราเกิดมาก็มีบาปแล้ว และยังมีความผิดบาปในระหว่างที่เราใช้ชีวิต อยู่บนโลกใบนี้อีกมากมาย แต่ไม่ว่าบาปของเราจะหนักหนาแค่ไหนก็ตาม พระเยซูได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ ได้ลบล้างความบาปผิดของเรา ด้วยการเสียสละชีวิตของพระองค์เอง ด้วยการตายที่ไม้กางเขน เพื่อทำให้เราทั้งหลายได้รับความรอด


ฟีลิปปี 2:8

“และเมื่อทรงปรากฏพระองค์ในสภาพมนุษย์แล้ว พระองค์ก็ทรงถ่อมพระองค์ลง ยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา กระทั่งความมรณาที่กางเขน”


ถ้าถามว่าพระเยซูยอมสละพระองค์อย่างนั้น เพื่ออะไร ก็ตอบได้อย่างง่ายๆ เลย ก็เพราะความรักที่พระเจ้ามีต่อเราทั้งหลาย


1 ยอห์น 4:9-10

“โดยข้อนี้ ความรักของพระเจ้าก็เป็นที่ประจักษ์แก่เราทั้งหลาย คือพระเจ้าทรงใช้พระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เข้ามาในโลก เพื่อเราทั้งหลายจะได้ดำรงชีวิตโดยพระบุตร ความรักที่ข้าพเจ้าพูดถึงนี้มิใช่ที่เรารักพระเจ้า แต่ที่พระองค์ทรงรักเรา และทรงใช้พระบุตรของพระองค์ มาทรงเป็นผู้ลบล้างพระอาชญาที่ตกกับเราทั้งหลาย เพราะบาปของเรา”




โดยสรุปแล้ว เหตุผลทั้งสี่ประเด็นที่พูดมาทั้งหมดนี้ พระเจ้าทรงลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อลบล้างความผิดบาปของเรา และนำทางเราไปสู่ความรอดในชีวิตนิรันดร์นั่นเอง

ซึ่งทางเดียวเท่านั้นที่จะช่วยเราให้รอดได้ คือได้รับชีวิตนิรันดร์ในพระเจ้า ก็คือเราต้องเชื่อและวางใจในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระเจ้าและลงมาเกิดเป็นมนุษย์ และมาประกาศข่าวประเสริฐ ข่าวดีด้วยตัวของพระองค์เอง เพื่อให้มนุษย์ได้รู้จักพระเจ้าดีขึ้น และสามารถวางใจในพระเจ้าได้มากขึ้น


พระองค์ให้มาแล้ว เราก็แอบเก็บไว้ ไม่ไปเปิดดู

ที่กล่าวในตอนต้นว่า พระเจ้าได้มอบของขวัญที่ยิ่งใหญ่ให้กับมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ คือพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นพระบุตรของพระเจ้าเอง แต่ก็น่าเสียใจที่หลายท่าน หรือแม้แต่เราในอดีต ก็ไม่ได้สนใจของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าทรงประทานให้ เพราะเราไม่ต้อนรับพระเยซูคริสต์ เพราะเราไม่อยากได้ของขวัญชิ้นนี้ พระองค์ให้มาแล้ว เราก็แอบเก็บไว้ ไม่ไปเปิดดู หรือบางคนก็ทิ้งไปเลย หรือเก็บไว้ในห้องเก็บของ ไม่เปิดดูสักนิด ไม่ใช้เลย แต่ผู้ที่ให้นั้น ได้ให้เราเรียบร้อยแล้ว ในทางของพระเจ้า พระเยซูได้มาบังเกิดบนโลกใบนี้ 2,000 กว่าปีมาแล้ว แต่มีอีกหลายคนที่ยังไม่ได้รับของขวัญนี้เลย ทั้งๆ ที่ของขวัญได้ให้มาแล้ว 2,000 กว่าปี
ควรจะมีชีวิตอยู่อย่างไร ให้สมกับคุณค่าที่เราได้เริ่มรู้

เมื่อเราได้รับความรักมากมายขนาดนี้จากพระเจ้า เราควรจะทำตัวอย่างไร ให้เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์ ในแต่ละปีเมื่อเราระลึกถึงวันคริสตมาส ซึ่งเป็นของขวัญอันยิ่งใหญ่ เป็นความรัก ความอดทน เสียสละให้กับเราทั้งหลาย เราควรจะทดแทนพระคุณของพระองค์อย่างไร ควรจะกตัญญูรู้คุณพระองค์อย่างไร ควรจะมีชีวิตอยู่อย่างไร ให้สมกับคุณค่าที่เราได้เริ่มรู้ เริ่มเข้าใจแล้วว่าพระเจ้ารักเรามากขนาดไหน!


ดำเนินชีวิตให้สมกับที่พระเจ้าได้ทรงรักเรา

เพราะฉะนั้น อยากให้คริสตมาสอยู่ในหัวใจของเรา อย่าให้คริสตมาสอยู่ข้างนอกตัวเรา หรืออยู่แค่รอบๆ ตัวเฉยๆ ให้เราเอาความรัก ความเมตตา ความห่วงใยของพระเจ้า เข้ามาอยู่ในจิตใจของเรา และดำเนินชีวิตให้สมกับที่พระเจ้าได้ทรงรักเรา คือดำเนินชีวิตด้วยความรักเหมือนพระองค์นั่นเอง ถวายเกียรติด้วยชีวิตของเรา ด้วยความประพฤติที่ดีของเรา ด้วยการกระทำที่ดีงามของเรา ด้วยการเชื่อฟังต่อพระองค์ ในหนังสือพระคัมภีร์ที่ทรงสอนเราไว้ พระโอวาทที่สอนเราไว้ว่าควรจะทำตัวอย่างไร ดำเนินชีวิตด้วยความรัก ความรักคืออดทนนาน กระทำคุณให้ ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติผิด แต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ


การทำอย่างนี้ เป็นการทดแทนพระคุณของพระเจ้า

พระเจ้าไม่ต้องการสิ่งต่างๆ จากเราเลยแม้แต่นิดเดียว พระองค์เป็นเจ้าของทุกสิ่ง พระองค์ทรงครอบครองและควบคุมอยู่เหนือทุกสิ่ง ทุกสิ่งที่ทรงสร้างเป็นของพระองค์ เกียรติเป็นของพระองค์ เงินและทองเป็นของพระองค์ ที่เราถวายอะไรต่างๆ ไปแล้ว พระองค์ไม่ได้ทรงต้องการเลย สิ่งที่พระองค์ต้องการที่สุดก็คือชีวิตของเราทั้งหลาย ที่ดำเนินตามแบบอย่างของพระเยซูคริสต์


นี่คือชีวิตที่สามารถที่จะถวายแด่พระองค์ได้

เหมือนบทเพลงที่เราร้องไปเมื่อสักครู่นี้ว่า ชีวิตขอมอบถวายแด่พระองค์ทุกสิ่ง ทุกอย่างที่เป็นอยู่และมีอยู่ ก็เพื่อพระองค์ทั้งสิ้น ถวายให้พระองค์ ให้เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์ ดำเนินชีวิตอยู่ในทางของพระองค์ พระองค์สอนว่าอะไรควรทำ เราก็ทำ พระองค์สอนว่าอะไรอย่าทำ เราก็ไม่ทำ เราตั้งใจจริง และเราอธิษฐานเสมอต่อพระเจ้าว่า



“ขอทรงช่วยเหลือเรา ที่เราทั้งหลายจะกระทำสิ่งที่ถูกต้องดีงาม ขอทรงประทานกำลังและสติปัญญาให้กับเราทั้งหลาย ที่เราจะสามารถตัดสินใจในการกระทำทุกสิ่ง ให้อยู่ในน้ำพระทัยของพระองค์ ให้เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์ ขอมอบถวายกาย ถวายชีวิตของข้าพระองค์ทั้งหลาย เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่ ที่สะอาดศักดิ์สิทธิ์จำเพาะพระพักตร์ของพระองค์ ยอมรับการเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่ ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ จะไม่ดำเนินชีวิตตามอย่างกิเลสตัณหาของฝ่ายเนื้อหนัง แต่จะดำเนินชีวิตตามพระบัญญัติของพระองค์ ตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งสถิตอยู่ในเรา”



ชีวิตอย่างนี้แหละถึงจะเป็นการทดแทนพระคุณ และความรักที่พระองค์ทรงให้เรา ขอพระเจ้าอวยพรครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

My Blog

  • วินัยของน้องหมา (ข้างถนน) - วันที่ 18/8/2011 เช้านี้ขณะที่รถติดไฟแดงอยู่บริเวณสี่แยกสามย่าน ซึ่งเบื้องหน้าเป็นจามจุรีสแควร์นั้น พลันก็เหลือบเห็นน้องหมาตัวหนึ่งเดินข้ามทางม้าลายด้วยอ...
    12 ปีที่ผ่านมา
  • บทความคริสเตียน - บทความคริสเตียน http://www.gracezone.org/index.php/christian-articles บทความทางด้านจิตวิญญาณ หลักข้อเชื่อ พระเจ้า พระคัมภีร์ พระเจ้า พระคัมภีร์ แนวทางในการ...
    15 ปีที่ผ่านมา
  • คริสเตียนกับการรับใช้พระเยซู - คริสเตียนกับการรับใช้พระเยซู วัน พุธ 08 ต.ค. 08@ 17:47:37 ICT หัวข้อ: สรุปคำเทศนาประจำอาทิตย์ ดร.ทะนุ วงค์ธนานุกุล วัน อาทิตย์ ที่ 21 กันยายน 2008 พระธร...
    15 ปีที่ผ่านมา
  • - แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้องจะนมัสการพระบิดา ด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้...
    15 ปีที่ผ่านมา

Christian Blog

บล็อกวาไรตี้

เทคโนโลยี

ดาวน์โหลดโปรแกรมมาใหม่ล่าสุด |

วาไรตี้

ข่าวประจำวัน

สารบัญเว็บไทย

กินลม ชมทะเล ที่มาร์คเฮ้าส์บังกะโล เกาะกูด จ.ตราด

Thailand Map