Custom Search By Google

Custom Search

วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ศึกษาพระธรรม 1ยอห์น บทที่ 2 (1)‏

พระคริสต์ผู้ทูลขอเพื่อเรา

--------------------------------------------------------------------------------

"1 ลูกของข้าพเจ้าเอ๋ย ข้าพเจ้าเขียนข้อความเหล่านี้ ถึงท่านทั้งหลาย เพื่อท่านจะได้ไม่ทำบาป และถ้าผู้ใดทำบาป เราก็มีพระองค์ผู้ทูลขอพระบิดาเพื่อเรา คือ พระเยซูคริสต์ผู้ทรงเที่ยงธรรมนั้น
2 และพระองค์ทรงเป็นผู้ลบล้างพระอาชญาที่ตกกับเราทั้งหลาย เพราะบาปของเรา และไม่ใช่แต่บาปของเราพวกเดียว แต่ของมนุษย์ทั้งปวงในโลกด้วย
3 เรามั่นใจได้ว่า เราคุ้นกับพระองค์โดยข้อนี้ คือ ถ้าเราประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์
4 คนใดที่กล่าวว่า 'ข้าพเจ้าคุ้นกับพระองค์' แต่มิได้ประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ คนนั้นเป็นคนพูดมุสา และความจริงไม่ได้อยู่ในคนนั้นเลย
5 แต่ผู้ใดที่ประพฤติตามพระวจนะของพระองค์ ความรักของพระเจ้าก็ถึงความบริบูรณ์ในคนนั้นแล้วอย่างแน่แท้ ด้วยอาการอย่างนี้แหละเราทั้งหลายจึงรู้ว่า เราอยู่ในพระองค์
6 ผู้ใดกล่าวว่า ตนอยู่ในพระองค์ ผู้นั้นก็ควรดำเนินตามทางที่พระองค์ทรงดำเนินนั้น" (1ยอห์น 2:1-6)


--------------------------------------------------------------------------------

ถ้าเราอ่านพระธรรมตอนนี้ จะเข้าใจได้ว่า ท่านยอห์นแนะนำไม่ให้เราทำบาป และเราก็เข้าใจแล้วว่าบาปเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ แต่หากเราทำบาป พระเยซูคริสต์ก็ทรงทูลขอเพื่อเราอยู่ นี่คือเป็นการตีความหมายตามลำดับข้อความ เป็นการโยงเข้าอย่างดีกับ 1ยอห์น 1:9 อย่างดี คือ เมื่อเราทำบาป เราก็สารภาพ และพระเจ้าก็จะทรงยกโทษให้แก่เรา

แต่การตีความหมายของพระธรรมตอนนี้ จำเป็นต้องทำความเข้าใจอย่างดี

สิ่งที่ท่านยอห์นพูดถึงตอนนี้ ท่านยอห์นได้กล่าวต่อว่า ถ้าหากว่าเราได้คุ้นกับพระองค์ คือได้รู้จักกับพระองค์อย่างแท้จริงแล้ว จะต้องยืนยันด้วยการอยู่ในธรรมบัญญัติของพระองค์ คนที่คุ้นกับพระเจ้าจะไม่ทำบาป จะรักษาบัญญัติอย่างดี นี่จึงเป็นการทำให้เราทราบว่าอาจารย์ยอห์นไม่ได้เปิดช่องให้เราทำบาปได้ เพื่อที่จะสารภาพภายหลัง เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นเราจะขัดแย้งกับตัวของเราเอง และถ้าเรายังคงทำบาปเช่นนั้น ก็แสดงว่าเราไม่รู้จักพระเจ้า

พระเยซูคริสต์ทรงเป็นความจริง ถ้าหากเรามุสา พระคริสต์ก็ทรงอยู่ในเราไม่ได้

"ท่านทั้งหลายมาจากพ่อของท่านคือมาร และท่านใคร่จะทำตามความปรารถนาของพ่อท่าน มันเป็นผู้ฆ่าคนตั้งแต่ปฐมกาล และมิได้ตั้งอยู่ในสัจจะ เพราะมันไม่มีสัจจะ เมื่อมันพูดเท็จ มันก็พูดตามสันดานของมันเอง เพราะมันเป็นผู้มุสา และเป็นพ่อของการมุสา" (ยอห์น 8:44)

แต่ตรงกันข้าม ถ้าหากเราประพฤติตามพระวจนะของพระองค์ ความรักของพระเจ้าก็ถึงเรา ความบริบูรณ์ของพระเจ้าก็อยู่ในเรา

ถ้าเราอยู่ในพระองค์ พระองค์ก็ทรงอยู่ในเรา พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ทรงอยู่ในเรา เราจึงจำเป็นต้องแสดงออกอย่างถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นใคร มีของพระทานมากมายเพียงใด แต่ถ้าไม่มีลักษณะเช่นนี้ คือไม่เชื่อฟังบัญญัติของพระองค์ และยังคงแสดงลักษณะทางฝ่ายเนื้อหนัง เช่น การพูดคำหยาบคาย การที่มีลักษณะเป็นคนช่างฉุนเฉียว ทะเลาะวิวาท เป็นต้น ก็แสดงว่าเขายังไม่รู้จักพระเจ้าอย่างแท้จริง นี่เป็นสิ่งที่น่ากลัว เพราะว่าคนเช่นนี้ เขาคิดว่าได้อยู่ในพระองค์แล้ว แต่แท้จริงแล้วมิได้เป็นอย่างที่เขาคิดเลย

"อย่าให้คำหยาบคายออกมาจากปากท่านเลย แต่จงกล่าวคำที่ดี และเป็นประโยชน์ให้เหมาะสมกับความต้องการ เพื่อจะได้เป็นคุณแก่คนที่ได้ยินได้ฟัง" (เอเฟซัส 4:29)

"เพราะว่า ความต้องการของเนื้อหนังต่อสู้พระวิญญาณ และพระวิญญาณก็ต่อสู้เนื้อหนัง เพราะทั้งสองเป็นศัตรูกัน ดังนั้นสิ่งที่ท่านทั้งหลายปรารถนาทำ จึงกระทำไม่ได้" (กาลาเทีย 5:17)

"9 เราทั้งหลายสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า และพระบิดาด้วยลิ้นนั้น และด้วยลิ้นนั้นเราก็แช่งด่ามนุษย์ ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงสร้างไว้ตามพระฉายาของพระองค์
10 คำสรรเสริญ และคำแช่งด่าก็ออกมาจากปากอันเดียวกัน ดูก่อนพี่น้องของข้าพเจ้า ไม่ควรให้เป็นเช่นนั้น
11 บ่อน้ำพุจะมีน้ำจืด และน้ำกร่อยพุ่งออกมาจากช่องเดียวกันได้หรือ
12 พี่น้องทั้งหลายต้นมะเดื่อ จะออกผลเป็นมะกอกเทศได้หรือ หรือเถาองุ่นจะออกผลเป็นมะเดื่อได้หรือ บ่อน้ำพุเค็มก็ทำให้เกิดน้ำจืดอีกไม่ได้เลย (ยากอบ 3:9-12)

เป็นไปไม่ได้ ที่เมื่อพระวิญญาณอยู่ในเรา แล้วเราจะแช่งด่าผู้อื่น จะทำสิ่งที่ลามก พูดจาไม่สุภาพ และด้วยลักษณะเหล่านี้เราจะสามารถสังเกตได้ว่าผู้ใดอยู่ในพระเจ้า หรือไม่ได้อยู่ในพระเจ้า และเมื่อผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ เขาก็จะมีลักษณะเหมือนพระองค์ คือ อ่อนโยนและสุภาพ

สิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่เพื่อที่เราจะไปมองผู้อื่น แต่จะเป็นสิ่งที่เราควรจะนำมาใคร่ครวญกับชีวิตของเรา เรากำลังประนีประนอมกับบาปโดยคิดว่าสามารถอธิษฐานสารภาพได้หรือไม่?

"เมื่อเราได้รับความรู้เรื่องความจริงแล้ว แต่เรายังขืนทำผิดอีก เครื่องบูชาลบบาปนั้น ก็จะไม่มีเหลืออยู่เลย" (ฮีบรู 10:26)

พระคริสต์ไม่เคยทำบาปเลย ในพระองค์ไม่มีบาปเลย และผู้ที่อยู่ในพระองค์ ก็ต้องดำเนินตามทางที่พระองค์ทรงเดินนั้น

การที่อยู่ในพระองค์ ไม่ใช่เรื่องที่ง่าย ๆ เพราะเราจำเป็นจะต้องรับกางเขนของตนแบกไว้ แล้วเดินตามพระองค์ไป ดังที่พระองค์ทรงรับกางเขนของพระองค์ไว้ เดินไปสู่กางเขน เพื่อที่ช่วยเราให้พ้นบาป เราจำเป็นต้องสู้เต็มกำลัง เพื่อที่คำว่า "บริสุทธิ์ ปราศจากตำหนิ" จะเกิดขึ้นในชีวิตของเรา

"ในพระเยซูคริสต์นั้น พระองค์ได้ทรงเลือกเราไว้ ตั้งแต่ก่อนที่จะทรงเริ่มสร้างโลก เพื่อเราจะบริสุทธิ์ และปราศจากตำหนิในสายพระเนตรของพระองค์" (เอเฟซัส 1:4)

ท่านยอห์นได้เน้นย้ำให้เราเกรงกลัวต่อบาป ที่เราจะไม่ทำบาป เพราะว่าสิ่งเหล่านั้นทำให้เราออกจากทางของพระองค์ และจะนำเราไปสู่พระอาชญาของพระองค์ สำหรับพระเจ้าแล้ว ถ้าหากเราทำผิดบัญญัติเพียงข้อเดียวก็เท่ากับผิดทั้งหมด แม้ในสายตามนุษย์จะไม่เป็นเช่นนั้นก็ตาม

"เพราะว่า ผู้ใดรักษาธรรมบัญญัติได้ทั้งหมด แต่ผิดอยู่ข้อเดียว ผู้นั้นก็เป็นผู้ผิดธรรมบัญญัติทั้งหมด" (ยากอบ 2:10)

ถ้าเราผ่านก้าวนี้ด้วยความเข้าใจ ชีวิตของเราก็จะก้าวไปสู่ความบริบูรณ์ในพระองค์


อ.ประดิษฐ์ พรกีรติกุล
คำแบ่งปันกลุ่มเซลล์เพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 26/06/2009

เรื่อง ศึกษาพระธรรม 1ยอห์น

วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ศึกษาพระธรรม 1ยอห์น บทที่ 1 (2)‏

พระเจ้าทรงเป็นความสว่าง

--------------------------------------------------------------------------------

"5 นี่เป็นข้อความที่เราได้ยินจากพระองค์ และบอกแก่ท่านทั้งหลาย คือว่า พระเจ้าทรงเป็นความสว่าง และความมืดในพระองค์ไม่มีเลย
6 ถ้าเราจะว่า เราร่วมสามัคคีธรรมกับพระองค์ และยังดำเนินอยู่ในความมืด เราก็พูดมุสา และไม่ได้ดำเนินชีวิตตามความจริง
7 แต่ถ้าเราดำเนินอยู่ในความสว่าง เหมือนอย่างพระองค์ทรงสถิตในความสว่าง เราก็ร่วมสามัคคีธรรมซึ่งกันและกัน และพระโลหิตของพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ ก็ชำระเราทั้งหลายให้ปราศจากบาปทั้งสิ้น
8 ถ้าเราทั้งหลายจะว่า เราไม่มีบาป เราก็ลวงตนเอง และสัจจะไม่ได้อยู่ในเราเลย
9 ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงสัตย์ซื่อ และเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น
10 ถ้าเรากล่าวว่า เราไม่ได้ทำบาป ก็เท่ากับเราทำให้พระองค์เป็นผู้ตรัสมุสา และพระดำรัสของพระองค์ก็มิได้อยู่ในเราทั้งหลายเลย" (1ยอห์น 1:5-10)


--------------------------------------------------------------------------------

ในพระเจ้าเป็นความสว่างที่ไม่มีความมืดเลย ความมืดจะเข้ามาเกี่ยวข้องกับพระองค์ไม่ได้เลย นี่เป็นความจริงที่เราจะต้องยึดเอาไว้ เพื่อเราจะเข้าใจในสิ่งต่อไปนี้

ถ้าเราบอกว่าเรามีความสัมพันธ์กับพระองค์ แต่ยังดำเนินอยู่ในความมืด นั่นคือยังทำบาป ท่านยอห์นบอกว่า เรากำลังจะมุสา เพราะเป็นไปไม่ได้ ในความสว่างไม่มีความมืด ถ้าหากเราอยู่ในพระเจ้าและพระเจ้าอยู่ในเรา สิ่งที่จะเกิดขึ้น คือ ต้องไม่มีความมืด และถ้าหากว่าเราทำบาป ก็จะเกิดกำแพงขวางกั้นระหว่างเรากับพระเจ้า

ถ้าเราอยู่ในความสว่างอย่างแท้จริง นั่นคือการมีสามัคคีธรรมร่วมกับพระคริสต์ ชีวิตเราจะต้องไม่มีบาป ในเวลานั้น ฤทธิ์เดชแห่งพระโลหิตพระองค์ในการไถ่บาป จะสมบูรณ์ ชีวิตเราจะได้รับการชำระพระโลหิตของพระองค์ก็ชำระเราให้ปราศจากบาปทั้งสิ้น

พระองค์ทรงประทานพระสัญญา ว่าเมื่อเราสารภาพบาปของเรา พระสัญญาของพระเจ้าจะปรากฎในชีวิตของเรา คือ ชำระชีวิตของเราให้ปราศจากบาปทั้งสิ้น และเรากับพระเจ้าก็สามารถมีสามัคคีธรรมร่วมกัน การเกิดสามัคคีธรรมจะเกิดในเวลานั้น แต่ถ้าเรายังทำบาปอยู่ ความสามัคคีธรรมนั้นจะไม่เกิด

แต่ต่อมา ท่านยอห์นก็บอกว่า เราทุกคนทำบาป และถ้าเราบอกว่าเราไม่บาป เราก็โกหก

สิ่งเหล่านี้ฟังดูแล้วเหมือนจะขัดแย้งกัน!

สภาพที่เกิดขึ้นนั้น เป็นเวลาช่วงใด? เป็นเวลาก่อนที่เรารู้จักพระเจ้า หรือเมื่อเวลาที่เรารู้จักพระเจ้าแล้ว?

ก่อนที่เราจะมาถึงพระคริสต์ ถ้าเราบอกว่าเราไม่มีบาป ก็แสดงว่าเขากำลังบอกว่าพระคัมภีร์ผิด และเขาก็ไม่ต้องการพึ่งพระเยซูคริสต์ คนเหล่านี้เป็นคนที่ไม่มีความจริงอยู่ในชีวิต เพราะเขาปฏิเสธพระเจ้าอยู่เล้ว เขาจึงไม่สารภาพต่อพระเจ้าแน่นอน

ถ้าหากว่าเรารู้จักกับพระเจ้าแล้ว เราจะกล้าบอกหรือไม่ว่าเราไม่มีบาป? เราก็คงจะไม่บอกเช่นนั้น เพราะเรารู้อยู่แล้วว่ามนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป และเราก็รู้ว่าถ้าเราสารภาพ พระองค์ก็จะยกบาปของเรา และเราจะมีสามัคคีธรรมร่วมกับพระองค์ได้ แต่ถ้าเราทำบาปอีก สามัคคีธรรมนั้นก็จะเกิดปัญหาขึ้นมา เพราะพระองค์ไม่สามารถมีสามัคคีธรรมกับความบาปคือความมืดได้

ดังนั้น ถ้าหากเราทำบาป แล้วเราบอกว่าเรามีสามัคคีธรรมกับพระองค์ นี่จึงเป็นสิ่งที่ขัดแย้ง เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นศัตรูกับความบาป

"7 อย่างไรก็ตาม เราจะบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลาย คือ การที่เราจากไปนั้นก็เพื่อประโยชน์ของท่าน เพราะถ้าเราไม่ไป องค์พระผู้ช่วยก็จะไม่เสด็จมาหาท่าน แต่ถ้าเราไปแล้ว เราก็จะใช้พระองค์มาหาท่าน
8 เมื่อพระองค์นั้นเสด็จมาแล้ว พระองค์จะทรงกระทำให้โลกรู้แจ้งในเรื่องความผิด ความชอบธรรม และการพิพากษา
9 ในเรื่องความผิดนั้น คือ เพราะเขาไม่วางใจในเรา
10 ในเรื่องความชอบธรรมนั้น คือเพราะเราไปหาพระบิดา และท่านทั้งหลายจะไม่เห็นเราอีก
11 ในเรื่องการพิพากษานั้น คือเพราะเจ้าโลกนี้ถูกพิพากษาแล้ว (ยอห์น 16:7-11)

งานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ คือ ที่เราจะเข้าใจในเรื่องความผิด ความชอบธรรม และการพิพากษา พระองค์จะไม่ยอมให้เราทำบาป

อยากขอเน้นย้ำว่า พระคัมภีร์ 1ยอห์น 1:9 นี้ ไม่ใช่เหมือนเครื่องมือที่เราจะใช้ในการทำบาป

"เหตุฉะนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆ ก็ล่วงไป นี่แน่ะ กลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น" (2โครินธ์ 5:17)

แม้ในเวลาที่พระเยซูคริสต์ทรงไม่ถือโทษหญิงล่วงประเวณีที่ถูกนำตัวมาเพื่อรับการลงโทษ พระองค์ก็ได้กำชับต่อนางว่า พระองค์ไม่เอาโทษเขา แต่อย่าทำบาปอีก

"นางนั้นทูลว่า 'พระองค์เจ้าข้า ไม่มีผู้ใดเลย' และพระเยซูตรัสว่า 'เราก็ไม่เอาโทษเจ้าเหมือนกัน จงไปเถิด และอย่าทำผิดอีก' " (ยอห์น 8:11)

เมื่อเราได้รับโอกาสแห่งชีวิตใหม่ ซึ่งเป็นชีวิตที่เราได้รับจากพระเจ้าด้วยความรักของพระองค์ ถ้าหากว่าพระองค์ไม่ให้แก่เราก็ไม่ใช่ความผิดของพระองค์ เพราะว่าสิ่งที่เราควรได้รับ คือโทษเนื่องจากความบาปของเรา แต่โดยพระคุณและความรัก พระเยซูคริสต์จึงทรงยอมตาย ยอมทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส เพื่อเราจะได้มีโอกาสใหม่อีกครั้งหนึ่ง ชีวิตใหม่ของเราจึงควรที่จะต้องถวายเกียรติแด่พระเจ้า ดังนั้นเราจะกลับไปทำบาปอีกไม่ได้ เราต้องเน้นยำเช่นนี้ มิเช่นนั้นคริสเตียนก็จะทำบาปอยู่เรื่อย ๆ โดยคิดว่าทำบาปแล้วจะสารภาพได้ ถ้าเขาคิดเช่นนั้น ก็เป็นความขัดแย้งในตัวเขาเอง และเขาก็จะไม่สามารถมีสามัคคีธรรมกับพระเจ้าได้เลย

ชีวิตเราจะต้องปฏิเสธความบาปทั้งสิ้น และรังเกียจบาปเหมือนกับที่พระองค์ทรงรังเกียจ อย่าเล่นกับสิ่งที่พระองค์รังเกียจ

"26 เมื่อเราได้รับความรู้เรื่องความจริงแล้ว แต่เรายังขืนทำผิดอีก เครื่องบูชาลบบาปนั้น ก็จะไม่มีเหลืออยู่เลย
27 แต่จะมีความหวาดกลัวในการรอคอยการพิพากษาโทษ และไฟอันร้ายแรง ซึ่งจะเผาผลาญบรรดาคนที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้า" (ฮีบรู 10:26)

ถ้าคริสเตียนทำบาป กำแพงจะปรากฎ ขวางกันเขาไว้ ทำให้เขาไม่สามารถมีสามัคคีธรรมกับพระองค์ เขาจะอยู่ด้วยความหวาดกลัว

"7 ท่านที่รักทั้งหลาย ขอให้เรารักซึ่งกันและกัน เพราะว่าความรักมาจากพระเจ้า และทุกคนที่รักก็บังเกิดมาจากพระเจ้า และรู้จักพระเจ้า
8 ผู้ที่ไม่รักก็ไม่รู้จักพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นความรัก (1ยอห์น 4:7-8)

ถ้าผู้ใดที่รู้จักพระองค์ มีสามัคคีธรรมกับพระองค์ เขาก็จะสามารถที่จะรักพี่น้อง แม้ว่าคนคนนั้นจะไม่น่ารัก และถ้าเราไม่รัก ก็แสดงว่าเราก็ไม่รู้จักพระเจ้า แสดงว่าเราปฏิเสธพระเจ้า ความหวาดกลัวในการพิพากษาก็จะอยู่กับชีวิตเรา

การสารภาพที่ทำให้เกิดสามัคคีธรรมอย่างแท้จริง คือ การที่เราสารภาพ แล้วไม่ขืนกลับไปทำอีก คือไม่กลับไปทำบาปที่เกิดจากความเจตนาอีก แต่ถ้าเราตั้งใจแล้ว แล้วเราทำบาปโดยไม่เจตนา พระสัญญาของพระองค์ใน 1ยอห์น 1:9 นี้ก็จะเกิดผลในชีวิตของเขา

เราจำเป็นต้องเปลี่ยนทัศนคติและมุมมองความเข้าใจเกี่ยวกับพระเจ้า ว่าในพระองค์ จะต้องไม่มีความมืด และความบริสุทธิ์ของพระองค์เป็นความบริสุทธิ์ที่แท้จริง

พระเจ้าทรงให้โอกาสแก่เราเสมอ ที่เราจะเริ่มต้นกลับมีความสัมพันธ์ มีความสามัคคีธรรมกับพระองค์ใหม่ได้ และโดยการสามัคคีธรรมที่แท้จริง พระโลหิตของพระเยซูคริสต์จึงจะมีผลชำระเราให้บริสุทธิ์อย่างแท้จริง

พระเจ้าของเราบริสุทธิ์ พระองค์ทรงมีพระประสงค์ให้ชีวิตของเราบริสุทธิ์ ทรงเน้นย้ำเสมอให้เรามีชีวิตที่บริสุทธิ์

สิ่งเหล่านี้ เราจะสามารถใช้ในการตอบคำถามแก่คนที่ยังไม่รู้จักพระเจ้าได้ คือ มักจะมีคนมองว่า คริสเตียนสามารถทำบาปได้ เพราะในที่สุดเขาก็สามารถสารภาพได้ แต่ความเป็นจริงมิได้เป็นเช่นนั้น เพราะเงื่อนไขการชำระ ก็คือ เราจำเป็นจะต้องสารภาพ และตั้งใจที่จะไม่กลับไปทำอีก นี่แหละ การชำระจึงจะเกิดผล ไม่ได้เป็นการชำระอย่างที่เขาเข้าใจ

"เหตุฉะนั้น ท่านจึงไม่ใช่คนต่างด้าวต่างแดนอีกต่อไป แต่ว่าเป็นพลเมืองเดียวกันกับธรรมิกชน และเป็นครอบครัวของพระเจ้า" (เอเฟซัส 2:19)

คำว่า "ธรรมิกชน" นั้น ในฉบับ King James ใช้คำว่า "saints" ซึ่งแปลว่า "วิสุทธิชน" นี่เป็นคำที่ทำให้เราเห็นภาพพจน์อย่างชัดเจน ว่าชีวิตเราจะต้องบริสุทธิ์ ขอที่เราจะเข้าใจ และดำเนินชีวิตใหม่ ที่จะเป็นชีวิตที่เป็นวิสุทธิชน แล้วเราจะไม่ต้องกลัวการพิพากษาอีกต่อไป



อ.ประดิษฐ์ พรกีรติกุล

คำแบ่งปันกลุ่มเซลล์เพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 19/06/2009

เรื่อง ศึกษาพระธรรม 1ยอห์น

ศึกษาพระธรรม 1ยอห์น บทที่ 1 (1)‏

ยอห์นซาบซึ้งในความรักของพระคริสต์มาก หลังจากที่พระองค์ทรงเสด็จสู่สวรรค์แล้ว อาจารย์ยอห์นได้เขียนจากสิ่งที่ท่านได้สัมผัส สิ่งที่ท่านเห็นว่าเป็นสิ่งที่สำคัญ

"ดังนั้น ยังตั้งอยู่สามสิ่ง คือ ความเชื่อ ความหวังใจ และความรัก แต่ความรักใหญ่ที่สุด" (1โครินธ์ 13:13)

ในความรักอันนี้แหละ เป็นสิ่งที่ท่านยอห์นได้เขียนไปถึงบรรดาคริสตจักร ว่าท่านซาบซึ้งในความรักของพระเยซูคริสต์เช่นไร และเพื่อที่บรรดาสาวกจะได้เข้าใจว่าควรจะปฏิบัติเช่นไร

ในพระธรรม 1ยอห์น ได้เน้นถึง "ความรัก" ให้เรารักกันและกัน

ท่านได้เริ่มต้นเหมือนพระธรรมยอห์น คือ ได้กล่าวถึงพระวาทะซึ่งบังเกิดเป็นมนุษย์ นั่นคือ องค์พระเยซูคริสต์



พระวาทะแห่งชีวิต

--------------------------------------------------------------------------------

"1 ซึ่งมีตั้งแต่ปฐมกาล ซึ่งเราได้ยิน ซึ่งเราได้เห็นกับตา ซึ่งเราได้พินิจดู และจับต้องด้วยมือของเรานั้น เกี่ยวกับพระวาทะแห่งชีวิต
2 (และชีวิตนั้นได้ปรากฏ และเราได้เห็น และเป็นพยาน และประกาศชีวิตนิรันดร์นั้นแก่ท่านทั้งหลาย ชีวิตนั้นได้ดำรงอยู่กับพระบิดา และได้ปรากฏแก่เราทั้งหลาย)
3 ซึ่งเราได้เห็น และได้ยินนั้น เราก็ได้ประกาศให้ท่านทั้งหลายรู้ด้วย เพื่อท่านทั้งหลายจะได้ร่วมสามัคคีธรรมกับเรา เราทั้งหลายก็ร่วมสามัคคีกับพระบิดา และกับพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์
4 และเราเขียนข้อความเหล่านี้ เพื่อความปลาบปลื้มยินดีของเรา {สำเนาโบราณบางฉบับว่า ท่าน} จะได้เต็มเปี่ยม (1ยอห์น 1:1-4)


--------------------------------------------------------------------------------

ท่านได้พบกับสิ่งมหัศจรรย์ คือ ความเป็นพระเจ้าที่ซ่อนอยู่ในความเป็นมนุษย์ของพระคริสต์ที่ชัดเจนมาก

เป็นสิ่งที่ยากที่จะยอมรับว่าผู้ที่เขาได้รู้จักนั้นดำรงอยู่ก่อนตั้งแต่สมัยสร้างโลก และการที่จะยอมรับว่าใครเป็นพระเจ้านั้น บุคคลผู้นั้นจะต้องเป็นคนที่สมบูรณ์แบบ แต่อาจารย์ยอห์นก็ได้กล่าวถึงพระเยซูคริสต์เช่นนั้น เพราะขณะที่ท่านติดตามพระเยซูคริสต์ ท่านได้พินิจพิจารณาชีวิตของพระเยซูคริสต์อย่างละเอียดมากได้สัมผัสกับพระเยซูคริสต์อย่างใกล้ชิด ท่านได้พบความสมบูรณ์แบบของพระองค์ และท่านยอมรับว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระวาทะ

ลองคิดถึงว่าถ้าหากว่าเราได้อยู่ในสมัยนั้น เราก็คงจะดูพระองค์อย่างใกล้ชิด แทบจะเรียกว่าจับผิดเลยก็เป็นได้ ซึ่งท่านยอห์นก็คงจะเป็นเช่นนั้น และเมื่อท่านได้ดูชีวิตของพระองค์วันแล้ววันเล่า ในที่สุดท่านก็ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า

"1 วันอาทิตย์เวลาเช้ามืด มารีย์ชาวมักดาลาถึงอุโมงค์ฝังศพ นางเห็นหินออกจากปากอุโมงค์อยู่แล้ว
2 นางจึงวิ่งไปหาซีโมนเปโตร และสาวกอีกคนหนึ่งที่พระเยซูทรงรักนั้น และพูดกับเขาว่า 'เขาเอาองค์พระผู้เป็นเจ้าออกไปจากอุโมงค์แล้ว และพวกเราไม่รู้ว่าเขาเอาพระองค์ไปไว้ที่ไหน'
3 เปโตรจึงออกไปยังอุโมงค์กับสาวกคนนั้น
4 เขาวิ่งไปทั้งสองคน แต่สาวกคนนั้นวิ่งเร็วกว่าเปโตรจึงมาถึงอุโมงค์ก่อน
5 เขาก้มลงมองดูเห็นผ้าป่านวางอยู่ แต่เขาไม่ได้เข้าไปข้างใน
6 ซีโมนเปโตรตามมาถึงภายหลัง แล้วเข้าไปในอุโมงค์เห็นผ้าป่านวางอยู่
7 และผ้าพันพระเศียรของพระองค์ไม่ได้วางอยู่กับผ้าอื่น แต่พับไว้ต่างหาก
8 แล้วสาวกคนนั้นที่มาถึงก่อนก็ตามเข้าไปด้วย เขาได้เห็นและเชื่อ
9 เพราะว่า ขณะนั้นเขายังไม่เข้าใจข้อพระธรรมที่เขียนไว้ว่า พระองค์จะต้องฟื้นขึ้นมาจากความตาย
10 แล้วสาวกทั้งสองก็กลับไปยังบ้านของตน" (ยอห์น 20:1-10)

จากเหตุการณ์นี้ จะเห็นได้ว่า ยอห์นวิ่งเร็วกว่า ไปถึงอุโมงค์ก่อน และเปโตรมาถึงทีหลัง แต่ปรากฎว่าเปโตรรีบเข้าไปข้างใน ในขณะที่ท่านยอห์นพิเคราะห์พิจารณา ท่านได้ใกล้ชิดกับพระเยซูคริสต์มาตลอด ได้สังเกตชีวิตของพระองค์อย่างใกล้ชิด ได้สัมผัสพระองค์ และท่านก็ได้จดจำถ้อยคำของพระองค์ ท่านจึงใคร่ครวญ แม้ท่านยังไม่เข้าใจ แต่ท่านก็เก็บไปคิด เพราะท่านได้เห็นแล้วว่าพระองค์ยิ่งใหญ่มาก ท่านรู้จักพระองค์เป็นอย่างดี นี่เป็นแบบอย่างที่ดีที่เราควรนำเป็นแบบอย่าง เพราะคนที่ยิ่งรู้จักพระองค์มาก ก็จะยิ่งตื่นเต้นกับความยิ่งใหญ่กับพระองค์ แล้วเขาก็จะไม่อยู่เฉย ๆ

คนที่รู้จักพระเจ้า จะพร้อมที่จะทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อพระองค์ ถ้าเขายิ่งรู้จักพระเจ้ามากเท่าไร เขาก็จะยิ่งเห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์ เขาจะไม่ให้สิ่งอื่นสำคัญกว่าพระองค์ พร้อมที่จะสละชีวิตเพื่อพระองค์ แต่ตรงกันข้าม ผู้ใดที่ไม่รู้จักกับพระองค์อย่างถ่องแท้ หรือรู้จักไม่มาก เขาจะไม่กระตือรือร้น และจะไม่สามารถเทิดทูนพระองค์ ถวายชีวิตแด่พระองค์ได้

"แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้" (มัทธิว 6:33)

นี่คือสิ่งที่ทำให้รู้จักกับพระเยซูคริสต์มากขึ้น คือ การที่เราแสวงหาแผ่นดินของพระองค์และความชอบธรรมของพระองค์ สิ่งนี้จะทำให้เรารู้จักพระเจ้ามากขึ้น และจะยิ่งรักพระเจ้ามากขึ้น

"ดังนี้แหละ เราจึงรู้จักความรัก โดยที่พระองค์ได้ทรงยอมสละพระชนม์ของพระองค์ เพื่อเราทั้งหลาย และเราทั้งหลายก็ควรจะสละชีวิตของเราเพื่อพี่น้อง" (1ยอห์น 3:16)

พระองค์ทรงรักเราด้วยชีวิต และพระเจ้าก็บอกให้เรารักพี่น้องเช่นกัน

แล้วเราจะรักพี่น้องอย่างไร? คือ ถึงขนาดที่จะยอมสละชีวิตเพื่อพี่น้องได้ สิ่งนี้จะเกิดได้โดยการที่เรารู้จักพระเยซูคริสต์

ยอห์นจึงได้เริ่มต้นโดยการที่บอกว่า เขาได้สัมผัสกับพระองค์อย่างใกล้ชิด และได้พบแล้วว่าพระองค์คือพระเจ้า สิ่งนี้จึงเป็นสาเหตุเดียวกันกับที่สาวกทุก ๆ คนยอมที่จะสละชีวิตให้กับพระองค์ และยอมทำทุกสิ่งให้กับพี่น้อง

ความยินดีที่ได้รับนั้นอยู่ในพระคริสต์ ความยินดีของเราจะเต็มเปี่ยมเมื่อใจของเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์ นี่จะเป็นสิ่งที่จะนำมาซึ่งสันติสุขแท้ในพระองค์

พระเยซูคริสต์ทรงเสด็จไปสู่เบื้องขวาพระบิดา พระวิญญาณเราก็ไม่สามารถมองเห็นได้ แต่สิ่งที่เราจะมองเห็นได้ คือ พี่น้อง และสิ่งที่เรากระทำต่อพี่น้อง ก็จะเป็นสิ่งที่บ่งชี้ว่าเรารู้จักพระองค์เพียงไร

"13 แต่บัดนี้ ในพระเยซูคริสต์ ท่านทั้งหลายซึ่งเมื่อก่อนอยู่ไกล ได้เข้ามาใกล้โดยพระโลหิตของพระคริสต์
14 เพราะว่า พระองค์ทรงเป็นสันติสุขของเรา เป็นผู้ทรงกระทำให้ทั้งสองฝ่ายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และทรงรื้อกำแพงที่กั้นระหว่างสองฝ่ายลง
15 คือ การเป็นปฏิปักษ์กัน โดยในเนื้อหนังของพระองค์ ได้ทรงให้ธรรมบัญญัติอันประกอบด้วย บทบัญญัติ และกฎหมายต่างๆ นั้นเป็นโมฆะ เพื่อจะกระทำให้ทั้งสองฝ่ายเป็นคนใหม่คนเดียวในพระองค์ เช่นนั้นแหละ จึงทรงกระทำให้เกิดสันติสุข
16 และเพื่อจะทรงกระทำให้ทั้งสองพวกคืนดีกับพระเจ้า เป็นกายเดียวโดยกางเขน ซึ่งเป็นการทำให้การเป็นปฏิปักษ์ต่อกันหมดสิ้นไป
17 และพระองค์ได้เสร็จมาประกาศสันติสุขแก่ท่านที่อยู่ไกล และประกาศสันติสุขแก่คนที่อยู่ใกล้" (เอเฟซัส 2:13-17)

ถ้าเราไปมีเรื่องกับผู้ที่อิทธิพล ผู้ที่มีอำนาจมากกว่าเรา เราก็คงจะเกรงกลัว ซึ่งเป็นเหตุการณ์เช่นเดียวกับเราเมื่อก่อนที่จะรู้จักพระเจ้า เพราะเวลานั้นเราเป็นศัตรูกับพระเจ้า แต่เรากลับไม่รู้ว่าพระองค์น่ากลัวว่าสิ่งที่มีอำนาจที่เรากลัวเสียอีก

"อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย แต่ไม่มีอำนาจที่จะฆ่าจิตวิญญาณ แต่จงกลัวพระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ ที่จะให้ทั้งจิตวิญญาณทั้งกายพินาศในนรกได้" (มัทธิว 10:28)

และพระเยซูคริสต์ทรงมาเพื่อที่เราจะไม่ต้องเป็นปฏิบักษ์กับพระเจ้า เราจึงมีสันติสุขอยู่ได้ และให้เราตระหนักเสมอว่า ถ้าหากเราอยู่ในบาป เราจะเป็นปฏิบักษ์กับพระองค์



อ.ประดิษฐ์ พรกีรติกุล

คำแบ่งปันกลุ่มเซลล์เพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 19/06/2009

เรื่อง ศึกษาพระธรรม 1ยอห์น

วันอังคารที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2552

บทเพลงซาโลมอน

www.thaisermons.com
บทเพลงซาโลมอน
Song of Solomon

(๑) ผู้เขียน
- ผู้เขียนคือกษัตริย์ซาโลมอน (๑.๕, ๓.๗, ๙, ๑๑, ๘.๑๑-๑๒) มีคำที่กล่าวถึงพระนามของพระองค์ว่า “พระราชา” และ “กษัตริย์” พระคัมภีร์ไทยแปลว่า กษัตริย์ซาโลมอน (๑.๔, ๑๒, ๓.๙)
- เขียนในราวปี กคศ. ๙๗๑-๙๓๑ ขณะที่ซาโลมอนครองราชย์
- กษัตริย์ซาโลมอนคือเจ้าบ่าว นั่งมาบนพระวอหรูหรา (๓.๗-๑๐) ทรงรถม้าของพระราชา (๖.๑๒) เพลงซาโลมอนกล่าวสัตว์ป่าและธรรมชาติ ซึ่งซาโลมอนชื่นชอบ (๑ พกษ. ๔.๓๓) - คาดว่าซาโลมอนเขียนเพลงบทนี้กล่าวถึง “เจ้าสาว” มเหสีคนแรกของพระองค์ ต่อจากนั้นก็หลงเจิ่นไปจากทางของพระเจ้า ทำบาปทางเพศ มีมเหสี ๗๐๐ องค์ และนางห้าม ๓๐๐ คน (๑ พกษ. ๑๑.๑๓)

(๒) เพลงซาโลมอน- ชื่อ “เพลงรักของซาโลมอน” “บทเพลงแห่งเพลงทั้งหลาย” (Song of songs)
- เป็นหนังสือที่เข้าใจยาก ลึกลับและมีการตีความหลากหลายมากที่สุด๑) นิทานเปรียบเทียบ ๒) บทละคร ๓) บทเพลงแต่งงานของชาวซีเรีย เจ้าบ่าวเป็นพระราชา และเจ้าสาวเป็นพระราชินี๔) หนังสือรวบรวมบทเพลงในพิธีทางศาสนาของคนที่ไม่เชื่อในพระเจ้า ที่บูชาความอุดมสมบูรณ์ ๕) หนังสือรวบรวมบทเพลงแห่งความรัก
- ตัวละครในท้องเรื่อง คือ เจ้าสาว คนรักของเธอซึ่งเป็นคนเลี้ยงแกะ และซาโลมอน (บางคนเข้าใจว่าซาโมอนเป็นคนเลี้ยงแกะนั่นเอง ปญจ. ๒.๗)

(๓) ความเห็นของผู้นำ
- ผู้นำชาวยิว(หนังสือมิชนาห์ ทัลมุด ทาร์กุม) มีความเห็นความว่าบทเพลงซาโลมอน เป็นภาพความรักของพระเจ้าที่มีต่อชนชาติอิสราเอล
- ผู้นำคริสตจักรในสมัยโบราณ เช่น ฮิปโปไลทัส ออริเจน เจอโรม อาธานาเซียส ออกัสติน เบอร์นาร์ดเห็นว่าบทเพลงซาโลมอนเป็นภาพของ...๑) เจ้าบ่าวคือพระเยซูคริสต์๒) เจ้าสาวคือคริสตจักร

(๔) การตีความเพลงซาโลมอน
- พซม. ๑.๕-๖ “โอบุตรีแห่งเยรูซาเล็ม ดิฉันผิวดำๆ แต่ว่าดำขำ ดังเต็นท์ของพวกเคดาร์ ดังวิสูตรของกษัตริย์ซาโลมอน อย่ามองค่อนขอดดิฉันเพราะดิฉันผิวคล้ำ เนื่องจากแสงแดดแผดเผาดิฉัน...” ดำคล้ำ : หมายถึงคริสตจักรเป็นที่น่าเกียจเพราะความผิดบาป ดำขำ : หมายถึงความน่ารักในฝ่ายจิตวิญญาณเมื่อกลับใจเสียใหม่
- พซม. ๒.๑๒ “ดอกไม้ต่างๆนานากำลังปรากฏบนแผ่นดิน เวลาสำหรับวิหคร้องเพลงมาถึงแล้ว และเสียงคูของนกเขาก็ได้ยินอยู่ในแผ่นดินของเรา” เสียงนกเขาขันคู : คำเทศนาของบรรดาอัครทูต ที่เทศนาภายหลังวันเทศกาลเพนเตคอส
- พซม. ๕.๑ “น้องของฉันจ๊ะ เจ้าสาวของฉันจ๋า ฉันเข้ามาในสวนของฉันแล้วนะ ฉันได้มาเก็บเอามดยอบของฉันพร้อมกับไม้สีเสียดของฉันแล้ว ฉันรับประทานรวงผึ้งกับน้ำผึ้งของฉันแล้ว” พระคัมภีร์ข้อนี้ : พิธีมหาสนิทที่พระเยซูและสาวกรับประทานขนมและน้ำองุ่น

(๕) จุดประสงค์- เพื่อยกย่องความรักและการสมรสของมนุษย์
- ปฐก. ๑.๒๗, ๒.๒๐-๒๓ พระเจ้าทรงสร้างชายและหญิง ทรงสถาปนาการสมรสอันบริสุทธิ์ (ปฐก. ๒.๒๔) ซึ่งต่างจากโลกนี้ที่เห็นการสมรสเป็นของสกปรกและแสวงหาประโยชน์ทางด้านเพศ - สามีภรรยาแบบคริสเตียนจะต้องมีความรัก การรักษาคำมั่นสัญญา การอุทิศตัว (กาย ใจ อารมณ์ และจิตวิญญาณ)ให้แก่กันและกัน

(๖) เนื้อหาสาระ
๑) เรื่องราว
- ตอนที่ ๑ การเกี้ยวพาราสี (๑.๒-๓.๕)
- ตอนที่ ๒ การแต่งงาน (๓.๖-๕.๑)
- ตอนที่ ๓ การเติบโตในชีวิตสมรส (๕.๒-๘.๔)
๒) รวมบทเพลงแห่งความรัก (บางคนบอกว่ามีหลายเรื่องอยู่ในพระคัมภีร์เล่มนี้)
- มีละครตัวเดียวกันตลอดทั้งเรื่อง
- มีคำพูดและรูปประโยคล้ายคลึงกันเช่น ความรักหวานกว่าเหล้าองุ่น (๑.๒, ๔.๑๐) กลิ่นน้ำมันหอม (๑.๓, ๑๒, ๓.๖, ๔.๑๐) แก้มของเจ้าสาว (๑.๑๐, ๕.๑๓) ตาเธอเหมือนนกพิราบ (๑.๑๕, ๔.๑) ฟันเหมือนฝูงแกะ(๔.๒, ๖.๖) คำวิงวอนเพื่อธิดาเยรูซาเล็ม (๒.๗, ๓.๕, ๘.๔) เจ้าบ่าวเหมือนละมั่ง (๒.๙,๒.๙, ๑๗, ๘.๑๔)
- มีการเขียนที่ใช้ไวยากรณ์ฮีบรูเป็นเอกลักษณ์โดยเฉพาะ ไม่เหมือนกันเล่มอื่น- การเดินเรื่องอย่างมีเอกภาพ

(๗) บทเพลงแห่งความรักในพระคัมภีร์ฉบับภาษาไทยปรากฏคำว่า “รัก” ๖๓ ครั้ง
- รัก ๔ ครั้ง aheb
- ความรัก ๑๘ ครั้ง dod
- ที่รัก ๓๕ ครั้ง rayah
- รักใคร่ ๔ ครั้ง machmad
- น่ารัก ๒ ครั้ง aheb “อันเหวลึกอย่านึกว่าเหวตื้นปากเหวลื่นอย่าคะนองไปลองผลัก อันเหวหินปีนป่านไม่ง่ายนักแต่เหวรักเสือกสนไปจนตาย” “จะหักอื่นขืนหักก็จักได้ หักอาลัยนี้ไม่หลุดสุดจะหักสารพัดตัดขาดประหลาดนักแต่ตัดรักนี้ไม้ขาดประหลาดใจ”

เรื่อง พระพรของพระเจ้า

--------------------------------------------------------------------------------

"22 พระพรของพระเจ้ากระทำให้มั่งคั่ง และพระองค์มิได้แถมความโศกเศร้าไว้ด้วย {หรือ การงานมิได้เพิ่มอะไรให้เลย}
23 คนโง่กระทำความผิดเหมือนการเล่นสนุก แต่ความประพฤติอันกอปรด้วยปัญญา เป็นความเพลิดเพลินแก่คนที่มีความเข้าใจ" (สุภาษิต 10:22-23)


--------------------------------------------------------------------------------

เราอยู่ในโลกนี้ เรามีเป้าหมายที่ชัดเจน คือ เพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า เราได้รับพระพรมากมายจากพระเจ้า พระพรที่มาจากพระเจ้าจะไม่แถมความโศกเศร้าให้แก่เรา

คนส่วนใหญ่ในโลกนี้ อยากประสบความสำเร็จ ไม่อยากล้มเหลว อยากมีผลงาน มีฐานะที่ดีขึ้น อยู่สุขสบายขึ้น จึงไม่น่าแปลกใจ ที่หนังสือ 2 ประเภทที่ขายดีที่สุดเสมอ ได้แก่ หนังสือเกี่ยวกับวิธีการประสบความสำเร็จ เคล็ดลับของบุคคลที่ประสบความสำเร็จ และอีกประเภทหนึ่ง ได้แก่ หนังสือเกี่ยวกับความต้องการของจิตใจ เพราะหลาย ๆ คนที่ประสบความสำเร็จแล้ว มีฐานะที่ดีแล้ว แต่เขาก็ยังต้องไขว่คว้าบางอย่างอยู่ เพราะเขารู้สึกชีวิตยังไม่เต็ม

ถ้าเราอยากร่ำรวยเงินทอง โลกนี้อาจให้แก่เราได้ แต่เมื่อเราได้สิ่งเหล่านั้นแล้ว เราจะมีความสุขหรือไม่?

หลาย ๆ คนที่ได้สิ่งเหล่านี้แล้ว แต่ในใจของเขายังหิวกระหาย ยังว่างเปล่า เขาเหล่านั้นไขว่คว้าสิ่งต่าง ๆ ในโลกนี้ แต่ไม่แสวงหาฝ่ายวิญญาณ ผลสุดท้ายเขาก็จะไม่เหลืออะไรเลย

"เพราะถ้าผู้ใดจะได้สิ่งของสิ้นทั้งโลก แต่ต้องเสียชีวิตของตน ผู้นั้นจะได้ประโยชน์อะไร หรือผู้นั้นจะนำอะไรไปแลกเอาชีวิตของตนกลับคืนมา" (มัทธิว 16:26)

ยาที่ขายดีที่สุดก็คือ ยานอนหลับ เพราะมีคนเป็นอันมากที่ทุกข์ใจ เจอมรสุมชีวิต แต่พระคัมภีร์บอกแก่เราว่า คนชอบธรรมจะมีความสุขในพระคำของพระองค์

"1 ความสุขเป็นของบุคคล ผู้ไม่ดำเนินตามคำแนะนำของคนอธรรม หรือยืนอยู่ในทางของคนบาป หรือนั่งอยู่ในที่นั่งของคนที่ชอบเยาะเย้ย
2 แต่ความปีติยินดีของผู้นั้น อยู่ในพระธรรมของพระเจ้า เขาภาวนาพระธรรมของพระองค์ ทั้งกลางวันและกลางคืน
3 เขาเป็นเช่นต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมธารน้ำ ซึ่งเกิดผลตามฤดูกาล และใบก็ไม่เหี่ยวแห้ง การทุกอย่างซึ่งเขากระทำก็จำเริญขึ้น ชีวิตที่วางใจพระเจ้าเปรียบเหมือนต้นไม้" (สดุดี 1:1-3)

ถ้าไม่มีความสว่างส่องทางให้แก่ชีวิต เราก็จะไม่มีเป้าหมายชัดเจน ไร้เป้าหมาย

เมื่อตอนที่โมเสสได้มอบหมายหน้าที่ให้แก่โยชูวา ชาวอิสราเอลคงจะกลัว กังวล ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป จะข้ามแม่น้ำจอร์แดนหรือไม่ ข้ามไปแล้วจะทำอะไรต่อไป แต่ก็ถึงเวลาที่โมเสสจะต้องจากไปแล้ว พระเจ้าก็ทรงเลือกโยชูวา และทรงหนุนใจ

"7 เพียงแต่จงเข้มแข็ง และกล้าหาญยิ่งเถิด ระวังที่จะกระทำตามธรรมบัญญัติทั้งหมด ซึ่งโมเสสผู้รับใช้ของเราได้บัญชาเจ้าไว้นั้น อย่าหลีกเลี่ยงจากธรรมบัญญัตินั้นไปทางขวามือ หรือทางซ้าย เพื่อว่าเจ้าจะไปในถิ่นฐานใด เจ้าจะได้รับความสำเร็จอย่างดี
8 อย่าให้หนังสือธรรมบัญญัตินี้ห่างเหินไปจากปากของเจ้า แต่เจ้าจงตรึกตรองตามนั้น ทั้งกลางวัน และกลางคืน เพื่อเจ้าจะได้ระวังที่จะกระทำตามข้อความที่เขียนไว้นั้นทุกประการ แล้วเจ้าจะมีความจำเริญ และเจ้าจะสำเร็จผลเป็นอย่างดี" (โยชูวา 1:7-8)

ในปีนี้ ได้มีการประกวดคำขวัญสำหรับคริสเตียนศึกษา และคำขวัญที่ได้รับรางวัลชนะเลิศก็คือ "พระคำนำชีวิต ทุกอาทิตย์มาร่วมเรียนพระคำ" นี่เป็นคำขวัญที่ดีมาก เป็นความจริง ขอให้เราใช้พระคำในการนำชีวิตของเรา

ความสำเร็จของคริสเตียน ไม่เหมือนกับโลกนี้ โลกนี้วัดความสำเร็จที่ผลงาน การเรียนสูง ๆ รายได้ดี มีเกียรติ แต่ความสำเร็จของคริสเตียน คือ ชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณที่เกิดผล ซึ่งเป็นชีวิตที่ติดสนิทกับพระเจ้า ไม่ใช่พึ่งตนเองและเดินในเส้นทางของตนเอง แต่เดินโดยการทรงนำของพระเจ้า มีพระเจ้าเป็นผู้นำในชีวิตของเรา

พระเยซูคริสต์สมัยวัยเด็ก พระองค์ทรงจำเริญขึ้นในด้านสติปัญญา ในด้านร่างกาย และเป็นที่ชอบจำเพาะพระเจ้าและต่อหน้าคนทั้งปวง

"พระเยซูก็ได้จำเริญขึ้น ในด้านสติปัญญา ในด้านร่างกาย และเป็นที่ชอบจำเพาะพระเจ้า และต่อหน้าคนทั้งปวงด้วย" (ลูกา 2:52)

พระองค์ทรงมีสุขภาพดี เติบโตตามวัย แข็งแรง และมีสติปัญญา มีความรู้ในการคิดในการพูด และทรงเป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้า มีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระเจ้า และกับมนุษย์ด้วย ชีวิตของพระเยซูคริสต์เป็นความครบบริบูรณ์ของคนคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง

"ท่านที่รัก ข้าพเจ้าอธิษฐานขอให้ท่านมีพลานามัยสมบูรณ์ และเจริญสุขทุกประการ อย่างจิตวิญญาณของท่านจำเริญอยู่นั้น" (3ยอห์น 2)

ความสำเร็จอย่างสมบูรณ์ ก็คือมีสุขภาพที่ดี มีความสุข ประสบความสำเร็จ และไม่พอ จะต้องมีสุขภาพฝ่ายจิตวิญญาณที่ดีด้วย

"ถ้าพระเจ้ามิได้ทรงสร้างบ้าน บรรดาผู้ที่สร้างก็เหนื่อยเปล่า ถ้าพระเจ้ามิได้ทรงเฝ้าอยู่เหนือนคร คนยามตื่นอยู่ก็เหนื่อยเปล่า" (สดุดี 127:1)

ถ้าเราไม่มีพระเจ้า สิ่งที่เราพยายามสร้าง พยายามแสวงหา ก็จะสูญเปล่า จะเหนื่อยเปล่า ไม่มีคุณค่าเลย ไม่ประสบความสำเร็จ

วันนี้ อยากกล่าวถึง 2 ด้าน คือ ความมั่งคั่งที่แท้จริง และความสุขที่แท้จริง



ความมั่งคั่งที่แท้จริง
"1 มีสิ่งสามานย์อย่างหนึ่งที่ข้าพเจ้าเห็นภายใต้ดวงอาทิตย์ และสิ่งนั้นหนักแก่มนุษย์
2 คือ มนุษย์คนใดที่พระเจ้าประทานทรัพย์สมบัติ สิ่งของ และยศถาบรรดาศักดิ์ให้ จนสิ่งใดๆ ที่เขาปรารถนาสำหรับตัว เขาก็มีครบไม่ขาดเลย แต่พระเจ้ามิได้ทรงโปรดให้เขาชื่นใจใช้สิ่งนั้น คนนอกบ้านนอกเมืองกลับเอาไปชื่นใจใช้เสีย นี่ก็อนิจจัง และเป็นความทุกข์ใจอย่างร้ายแรง" (ปัญญาจารย์ 6:1-2)

ปัญญาจารย์ เขียนโดยซาโลมอน ท่านมีสติปัญญาเป็นเลิศ แม้ในชีวิตของท่าน ท่านเคยเดินทางผิด ออกจากทางของพระองค์ แต่เมื่อท่านมีอายุมากขึ้น ท่านก็ตระหนักได้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนอนิจจัง

เราอาจทำหลายสิ่งหลายอย่างไว้ แต่รู้สึกไม่มีความสุขแท้ รู้สึกว่าเหนื่อยเปล่า

"อนึ่ง ทุกๆ คนที่พระเจ้าประทานทรัพย์สมบัติให้ ก็ได้ทรงโปรดให้รับประทานของเหล่านั้น ได้รับส่วนของตน และยินดีปรีดาในการงานของตนได้ นี่แหละเป็นของประทานจากพระเจ้า" (ปัญญาจารย์ 5:19)

ถ้าเรามีพระเจ้าอยู่ในใจ ติดตามพระองค์ เชื่อฟังพระองค์ เราจะมีความสุขกับสิ่งที่เรามีอยู่ เราจะไม่กระวนกระวาย เพราะพระพรของพระเจ้าไม่ได้แถมด้วยความกังวล ความกลุ้มใจ ความอึดอัด แต่เราจะมีความชื่นชมยินดี อิ่มเอิบใจ

หลายคนกำลังเป็นห่วงถึงอนาคตของลูกหลาน ถึงขนาดหลายครอบครัวไม่อยากมีลูก เพราะกลัวลูก ๆ ลำบาก แต่ลูก ๆ เป็นมรดกที่พระเจ้าประทานให้ เป็นความสุข เพื่อที่ให้ผู้ที่เป็นพ่อแม่ได้สร้างชีวิตให้เขาดำเนินในทางของพระเจ้า สิ่งเหล่านี้ทำให้เราได้เห็นพรของพระเจ้ามากมาย

โยบมีทรัพย์สมบัติเยอะแยะ มีลูกหลายคน แต่ซาตานอยากทดลองความเชื่อของเขา พระเจ้าก็ทรงอนุญาต ในวันเดียว ทรัพย์สมบัติของท่านหมดสิ้น แต่ท่านก็ยังสรรเสริญพระเจ้า ซึ่งคนอื่น ๆ ทำไม่ได้อย่างแน่นอน แต่โยบทำได้

"ท่านว่า 'ข้าพเจ้ามาจากครรภ์มารดาของข้าพเจ้าตัวเปล่า และข้าพเจ้าจะกลับไปตัวเปล่า พระเจ้าประทาน และพระเจ้าทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระเจ้า' " (โยบ 1:21)

หลังจากที่ผ่านพ้นการทดลองต่าง ๆ ไปได้ พระเจ้าก็ทรงอวยพรโยบอย่างมากมาย

อาจารย์เปาโลไว้วางใจพระเจ้า เพราะท่านรู้ถึงเคล็ดลับที่จะรู้ถึงความอิ่มท้องและความอดอยาก ท่านรู้จักพระเจ้า และท่านก็รับใช้พระองค์ แม้ชีวิตท่านจะมีความเป็นอยู่อย่างง่าย ๆ แต่ชีวิตของท่านก็มีความสุข

"ข้าพเจ้ารู้จักที่จะเผชิญกับความตกต่ำ และรู้จักที่จะเผชิญกับความอุดมสมบูรณ์ ไม่ว่าในกรณีใดๆ ข้าพเจ้ารู้จักเคล็ดลับที่จะเผชิญ กับความอิ่มท้อง และความอดอยาก ความสมบูรณ์พูนสุข และความขัดสน" (ฟิลิปปี 4:12)

มัทธิว เดิมเป็นนายด่านภาษี ในสายตาของเพื่อนร่วมชาติ เป็นคนขายชาติ ไม่น่าคบ แต่เขามีฐานะที่ดีมาก เขาได้สิ่งที่เป็นวัตถุอย่างมากมาย แต่วันที่เขาพบพระเยซู พระองค์ทรงเรียกให้เขาตามพระองค์ไป และเมื่อได้พบพระองค์ มัทธิวได้เปลี่ยนชีวิตของเขา เขาจัดงานเลี้ยงเพราะเขารู้จักพระเยซูคริสต์ ได้พบกับชีวิตใหม่ เขายอมที่จะสละทรัพย์สิน ละอาชีพของเขา ยอมใช้ความรู้ที่มีในการรับใช้พระองค์ และขอบคุณพระเจ้า ท่านจึงได้เขียนพระคัมภีร์ขึ้นมา เป็นพรให้แก่พวกเราจนทุกวันนี้

ผู้ที่เชื่อใหม่ท่านหนึ่ง ในวันที่ท่านได้รับบัพติสมา ท่านจัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลอง เลี้ยงโต๊ะจีน เชิญเพื่อนของเขามาร่วมงานฉลองด้วย เพราะเขาได้พบกับชีวิตใหม่ เขามีความชื่นชมยินดี และเป็นการประกาศตัวอย่างชัดเจน

อีกบุคคลผู้หนึ่ง ชื่อ ศักเคียส เป็นคนเก็บภาษีเช่นกัน และตำแหน่งสูงกว่ามัทธิว มีฐานะที่ดี วันหนึ่งเมื่อทราบว่าพระเยซูคริสต์จะเสด็จผ่าน แต่คนเบียดเสียดกันอย่างมาก เขาไม่สามารถจะเห็นพระเยซูคริสต์ เขาจึงตัดสินใจปีนต้นไม้ ถึงแม้ว่าเขาจะอายุไม่น้อยแล้ว แต่เขาก็พยายาม เพราะอยากเห็นพระองค์ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย และเมื่อเขาพบพระเยซู พระองค์ตรัสว่าอยากไปบ้านของเขา เขาชื่นชมยินดีอย่างมากมาย เพราะว่าปกติไม่มีใครที่คบหากับเขา แต่พระองค์ก็ทรงยินดีที่จะไปที่บ้านของเขา ศักเคียสดีใจอย่างมาก เขาได้รับการเปลี่ยนแปลง เขาได้ชดใช้เงินที่โกงมาแถมเพิ่มเงินให้ แถมก็ใช้เงินในการบริจาค สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ต่างจากศักเคียสคนเดิมอย่างมาก



ความสุขที่แท้จริง
หลายคนขาดความสุขแท้ ไขว่คว้าสิ่งของในโลกนี้ แม้ได้มาก็ยังไม่มีความสุขแท้ นั้นเป็นเพราะเขาเดินทางไม่ถูกต้อง ยังไม่ได้รู้จักกับพระเจ้าเที่ยงแท้

คริสเตียนไม่จำเป็นต้องแสวงหาสิ่งใดที่จะทำให้เราอิ่มใจ อิ่มเอิบ เพราะมีเพียงพระคัมภีร์เท่านั้น ที่จะให้เราในสิ่งเหล่านี้ได้ทั้งหมด พระคำของพระเจ้าสามารถทำให้จิตวิญญาณของเราแช่มชื่นขึ้น ยิ่งอ่าน ชีวิตของเราก็จะยิ่งสะอาด

มีคนกล่าวไว้ว่า "ความบาปทำให้เราห่างจากพระคำของพระเจ้า และพระคำของพระเจ้าก็ทำให้เราห่างจากบาป"

สันติสุขที่แท้จริงไม่ขึ้นกับสิ่งแวดล้อม เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น เมื่อสิ่งต่าง ๆ ไม่เป็นไปตามที่ต้องการ เขาก็จะเศร้า ขาดสันติสุข แต่ความสุขของคริสเตียน คือ ความผูกพันกับพระเจ้า

นกชนิดหนึ่ง ไนจิงเกล ร้องเสียงที่ไพเราะมากเมื่อมีพายุ หรือยามคืนมืดมิด ชีวิตคริสเตียนควรจะเป็นเช่นนั้น เพราะเรามีพระคำของพระเจ้า เรามีสันติสุขมาก มีความชื่นชมยินดี


"จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกเวลา ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่า จงชื่นชมยินดีเถิด" (ฟิลิปปี 4:4)


นักเขียนผู้หนึ่ง เป็นผู้หญิงชาวไต้หวัน เมื่อเป็นวัยรุ่นเขาก็ป่วยเป็นโรคชนิดหนึ่ง เขาเจ็บปวดมาก แต่เขารู้จักกับพระเจ้า ทุกครังที่เขาปวดเขาก็ร้องทูลขอต่อพระเจ้า เขาขอที่พระเจ้าจะประทานสันติสุขให้แก่เขา เขาจึงสามารถถวายเกีรยติแด่พระเจ้า เป็นพรแก่ผู้อื่น แม้ว่าเขาจะไม่ได้เรียนจบสูง ๆ แต่ว่าเขาก็ได้เป็นนักเขียน และได้รับโล่ห์เกียรติยศจากประธานธิบดี เพราะบทความของเขานั้นเป็นพรแก่ทุก ๆ คนที่ได้อ่าน

ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง มีแพทย์ชาวยิวท่านหนึ่ง เป็นผู้ที่เป็นที่รัก แต่ท่านถูกกักกันในค่ายนาซี ภรรยา ลูก ๆ พ่อแม่ของท่านโดนฆ่าต่อหน้าต่อตา ทำร้ายจิตใจของท่านอย่างมาก แต่ท่านก็ขอบคุณพระเจ้า ท่านกล่าวว่า "ถึงแม้พวกนาซีจะพรากทุกสิ่งไปจากเขา แต่จิตใจที่มีอิสระ มีสันติสุขของพระเจ้า พวกนาซีนำไปไม่ได้" นี่แหละเป็นชีวิตที่มีสันติสุขแท้ ไม่ขึ้นกับสิ่งแวดล้อม ไม่ขึ้นกับบุคคล เขาสามารถยืนหยัดต่อไปได้



ศจ. วิวัฒน์ วงศ์สันติชน

สรุปคำเทศนาโบสถ์ไทย คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 14/06/2009

เรื่อง พระพรของพระเจ้า

วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ศึกษาพระธรรม 2ทิโมธี (4)‏

คุณธรรมแห่งการรับใช้
1. มีคุณธรรมในคำพูด คุณภาพการสอน มั่นคงในความจริงแห่งพระวจนะ

"14 จงเตือนเขาทั้งหลายถึงข้อนี้ และกำชับเขาต่อพระพักตร์พระผู้เป็นเจ้า {สำเนาต้นฉบับบางฉบับว่า พระเจ้า} ไม่ให้เขาโต้เถียงกันในเรื่องถ้อยคำ ซึ่งไม่เป็นประโยชน์เลย แต่กลับเป็นเหตุให้คนที่ฟังเขวไป
15 จงอุตส่าห์สำแดงตนว่า ได้ทรงพิสูจน์แล้ว เป็นคนงานที่ไม่ต้องอาย ใช้พระวจนะแห่งความจริงอย่างถูกต้อง
16 จงหลีกเสียจากคำสอนที่ไร้คุณธรรม เพราะคำอย่างนั้นจะนำคนไปสู่อธรรมมากยิ่งขึ้น
17 และคำพูดของเขาจะแพร่ออกไปเหมือนแผลเนื้อร้าย ในพวกนั้นมีฮีเมเนอัส กับฟีเลทัสเป็นต้น
18 คนทั้งสองนั้นได้หลงจากความจริง โดยถือว่าการฟื้นจากความตายนั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว เขากำลังทำให้ความเชื่อของบางคนไขว้เขวไป
19 แต่ว่า รากฐานซึ่งพระเจ้าทรงวางไว้นั้นมีตราประทับไว้ว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรู้จักคนเหล่านั้น ที่เป็นของพระองค์" และ "ให้ทุกคนซึ่งออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าละทิ้งความชั่วเสีย" (2ทิโมธี 2:14-19)

2. มีคุณธรรมในด้านตัวตน เป็นการชำระตนให้พ้นจากมลทิน

"20 ในบ้านใหญ่หลังหนึ่งๆ มิได้มีแต่ภาชนะทอง และเงินเท่านั้น แต่มีภาชนะไม้ และภาชนะดินด้วย บางก็เพื่อศิลปะ และบ้างก็สามัญ
21 ถ้าผู้ใดชำระตัวให้พ้นจากสิ่งที่ไม่มีค่า เขาก็จะเป็นภาชนะที่มีค่า ซึ่งชำระให้บริสุทธิ์แล้ว เหมาะที่เจ้าของเรือนจะใช้ให้เป็นประโยชน์ พร้อมกับการดีทุกอย่าง
22 ดังนั้น ท่านจงหลีกหนีเสียจากราคะตัณหาของคนหนุ่ม และจงใฝ่ในทางธรรม ในความเชื่อ ความรัก และสันติสุขร่วมกับผู้ที่ออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยใจบริสุทธิ์
23 อย่าข้องแวะกับปัญหาอันโง่เขลา และไม่เป็นสาระ ด้วยรู้แล้วว่าปัญหาเหล่านั้น ก่อให้เกิดการทะเลาะวิวาทกัน
24 ฝ่ายผู้รับใช้ขององค์พระผู้เป็นเจ้า ต้องไม่เป็นคนที่ชอบการทะเลาะวิวาท แต่ต้องมีใจเมตตาต่อทุกคน เป็นครูที่เหมาะสม และมีความอดทน
25 ชี้แจงให้ฝ่ายตรงกันข้ามเข้าใจด้วยความสุภาพว่า พระเจ้าอาจจะทรงโปรดให้เขากลับใจ และมาถึงซึ่งความจริง
26 และหลุดพ้นบ่วงของมาร ผู้ซึ่งดักจับเขาไว้ให้ทำตามความประสงค์ของมัน {หรือ โดยผู้รับใช้ของพระองค์ได้จับเขามาให้เป็นเชลยแห่งน้ำพระทัยของพระเจ้า}" (2ทิโมธี 2:20-26)

คุณธรรมเป็นรากฐานที่แท้จริงของการรับใช้ พระเจ้าทรงดูที่ท่าที คือดูคุณภาพของความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพระเจ้า

แก่นแท้ของศาสนา = ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าในชีวิตของเรา ถ้าเราถือศาสนาแต่เปลือก ก็คือ พระเจ้ามิได้ทรงมีสิทธิอำนาจในตัวเรา สิ่งเหล่านี้อาจารย์เปาโลต้องการเตือนคริสเตียน ให้ระวังที่จะไม่ถือศาสนาแต่เพียงเปลือกนอก

อาจารย์เปาโลได้เตือนให้ท่านทิโมธียึดแบบอย่างที่ถูกต้องไว้ ทั้งจากคนและจากพระคัมภีร์ (3:1-4:5) ให้เราระวังที่จะไม่หลงไปจากความจริง เพราะสิทธิอำนาจของพระคัมภีร์เป็นกุญแจแห่งการเชิญยุคสุดท้าย

"16 พระคัมภีร์ ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และ {หรือ ทุกตอนที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้า ก็} เป็นประโยชน์ในการสอน การตักเตือนว่ากล่าว การปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี และการอบรมในทางธรรม
17 เพื่อคนของพระเจ้าจะพรักพร้อมที่จะกระทำการดีทุกอย่าง"

บริบทของพระคัมภีร์ตอนนี้ กำลังพูดถึงยุคสุดท้าย อาจารย์เปาโลเตือนให้เรายึดพระคำเพื่อใช้ในการดำเนินชีวิตในยุคสุดท้าย



คำกำชับสุดท้ายของผู้รับใช้
"16 ในการแก้คดีครั้งแรกของข้าพเจ้านั้น ไม่มีใครเข้าข้างเจ้าสักคนเดียว เขาได้ละทิ้งข้าพเจ้าไปหมด ขอโปรดอย่าให้พวกเขาต้องได้รับโทษเลย
17 แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประทับอยู่ใกล้ข้าพเจ้า และได้ทรงประทานกำลังให้ข้าพเจ้า ประกาศพระวจนะได้อย่างเต็มที่ เพื่อให้คนต่างชาติทั้งปวงได้ยิน ดังนั้นข้าพเจ้าจึงรอดพ้นจากปากสิงห์" (2ทิโมธี 4:16-17)

อย่าให้วาระสุดท้ายในชีวิตของเรา หลงไปจากสิ่งที่เป็นนิรันดร์กาล แต่ขอที่เราจะให้ทั้งหมดที่เรามี อุทิศเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วเราจะสามารถกล่าวเช่นเดียวกับอาจารย์เปาโล นี่จะเป็นชิวิตแห่งการอุทิศตน


อ. ปดิพัทธ์ สันติภาดา

คำแบ่งปันคณะเพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 01/02/2009

เรื่อง ศึกษาพระธรรม 2 ทิโมธี

วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ศึกษาพระธรรม 2ทิโมธี (3)‏

การอุทิศตน

2. เป็นคนงานที่อดทน
2.1 อดทนต่อความยากลำบากเพื่อพระคริสต์

"จงมอบคำสอนเหล่านั้น ซึ่งท่านได้ยินจากข้าพเจ้าต่อหน้าพยานหลายคน ไว้กับคนที่ซื่อสัตย์ ที่สามารถสอนคนอื่นได้ด้วย" (2ทิโมธี 2:2)

และเพราะเหตุข่าวประเสริฐนั้น ข้าพเจ้าจึงทนทุกข์ ถูกล่ามโซ่ตั้งผู้ร้าย แต่พระวจนะของพระเจ้านั้น ไม่มีผู้ใดเอาโซ่ล่ามไว้ได้ (2ทิโมธี 2:9)

ความเชื่อสืบทอดผ่านคน พันธกิจของคริสตจักรก็คือการสร้างคนที่สัตย์ซื่อ คนที่จะสามารถสอนต่อ คนที่จะสืบทอดเจตนารมณ์สู่คนรุ่นต่อ ๆ ไป

เราจะต้องอดทนเหมือนทหารที่ดีของพระเยซูคริสต์ เป็นเหมือนนักกีฬาที่วิ่งแข่งขันเพื่อคว้ามงกุฎ

2.2 อดทนตามแบบอย่างของพระเยซูคริสต์

"จงระลึกถึงพระเยซูคริสต์ ผู้ได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตาย และทรงสืบเชื้อสายจากดาวิด ตามข่าวประเสริฐที่ข้าพเจ้าประกาศนั้น" (2ทิโมธี 2:8)

2.3 อดทนเพื่อความรอดของผู้อื่น

"เหตุฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงยอมทนทุกอย่าง เพราะเห็นแก่ผู้ที่ทรงเลือกไว้นั้น เพื่อเขาจะได้รับความรอด ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์ พร้อมทั้งศักดิ์ศรีนิรันดร์" (2ทิโมธี 2:10)

คนที่ต้องการที่จะรับความรอดมีอีกเป็นจำนวนมาก แล้วเราจะรับใช้ด้วยท่าทีเช่นไร? เราควรจะทำเต็มที่เพื่อเห็นแก่ความรอดของผู้อื่น เพื่อเห็นแก่ผู้ที่หลงหายจากทางของพระเจ้า

การทรงเลือกของพระเจ้านั้น ไม่เหมือนกับการเลือกของเรา เรามีอคติ เราไม่ยุติธรรม เรามีเหตุผลที่จะเลือกบางอย่าง แต่พระเจ้าทรงยุติธรรม พระองค์ทรงมีเหตุผล แต่ว่าเหตุผลของพระองค์ไม่เหมือนเรา ทรงเลือกด้วยสิทธิอำนาจของพระองค์ เป็นสิทธิอำนาจในการไถ่ นี่จึงเป็นพระคุณ ไม่ขึ้นกับความดีหรือความไม่ดีของแต่ละคน เป็นสิทธิอำนาจโดยเด็ดขาด

แต่อาจารย์เปาโลไม่รู้ว่าใครบ้างที่เป็นผู้ที่ได้รับการทรงเลือก ดังนั้นท่านจึงต้องรับใช้ ประกาศแก่ทุกคน


อ. ปดิพัทธ์ สันติภาดา

คำแบ่งปันคณะเพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 01/02/2009

เรื่อง ศึกษาพระธรรม 2 ทิโมธี

อย่ากลัวเลย

อย่ากลัวเลย !

สดุดีบทที่ 91 เป็นยาขนานเอกแก้ความกลัว :

"ผู้ที่อาศัยอยู่ ณ ที่กำบังขององค์ผู้สูงสุด ผู้อยู่ในร่มเงาของผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ จงทูลพระเจ้าว่า ' ที่ลี้ภัยของข้าพระองค์และป้อมปราการของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์.....พระองค์จะทรงช่วยกู้ตัวท่าน' " เรามีสิทธิที่จะลี้ภัยในที่ๆนี้เพราะพระองค์เป็นพระบิดาของเราทางความเชื่อในพระเยซู. ยอห์น 15 กล่าวไว้ในทำนองเดียวกันเกี่ยวกับการเข้าสนิทในเถาองุ่น ข้อที่ 2 กล่าวว่าพระองค์เป็นที่ลี้ภัย เป็นป้อมปราการ และเป็นพระเจ้า เมื่อเราอาศัยพักพิงกับพระเจ้า เราเริ่มรู้จักพระองค ์คุณต้องรู้จักใครบางคนมาก่อนๆที่คุณจะไว้วางใจเขา จำไว้ด้วยว่า

1.พระเจ้ารักคุณ.
2. พระองค์ปราถนาแต่สิ่งดีๆเพื่อคุณ
3. พระองค์ได้ทำทุกสิ่งเพื่อให้คุณมีชิวิตที่มีชัยชนะ.

อย่าปรักปรำพระเจ้าว่าพระองค์กระทำสิ่งที่ขัดกับนิสัยของพระองค์.จงตรวจสอบแหล่งข้อมูลนี้… ซาตานนั้นเองเป็นตัวการให้ข้อมูล



ข้อ 3-6 "เพราะพระองค์จะทรงช่วยกู้ตัวท่านจากกับของพรานนกและจากโรคภัยอย่างร้ายแรงนั้น พระองค์จะทรงปกท่านไว้ด้วยปีกของพระองค์ และท่านจะลี้ภัยอยู่ไต้ปีกของพระองค์ ความสัตย์สุจริตของพระองค์เป็นโล่และเป็นดั้ง ท่านจะไม่กลัวความสยดสยองในกลางคืนหรือกลัวลูกธนูที่ปลิวไปในกลางวัน หรือโรคภัยที่ไล่มาในความมืด." จงยึดมั่นในข้อพระธรรมนี้ เมื่อเกิดความกลัว เพราะพระเจ้าจะช่วยกู้ท่าน



ข้อ 7-8 "พันคนจะล้มอยู่ที่ข้างๆท่าน แต่ภัยนั้นจะไม่มาใกล้ท่าน.... ." ข้อพระธรรมนี้นำไปใช้ได้กับทุกสิ่ง ตั้งแต่การตกงานจนถึงอุบัตวเหตุ จงรับรู้ด้วยว่า ความเจ็บปวด ภัยไม่อาจมาถึงบ้านของท่าน พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อต่อพระวจนะและต่อท่านI



ข้อ 9-10 "เพราะท่านได้กระทำให้พระเจ้าผู้เป็นที่ลี้ภัยของข้าพเจ้า คือองค์ผู้สูงสุด เป็นที่อยู่ของท่าน ไม่มีการร้ายใดๆจะตกมาบนท่าน ไม่มีภัยมาใกล้เต็นท์ของท่าน ;" เป็นการตอกย้ำอีกครั้งหนึ่งว่าพระเจ้าเป็นที่ๆท่าอาศัยพักพิงได้



ข้อ 11-13 "เพราะพระองค์จะสั่งเหล่าฑูตสวรรค์ของพระองค์ในเรื่องท่าน ให้ระแวดระวังท่านในทางทั้งปวงของท่าน เขาทั้งหลายจะเอามือประคองชูท่านไว้ เกรงว่าเท้าของท่านจะกระแทกหิน ท่านจะเหยียบสิงห์และงูเห่า ท่านจะย่ำสิงห์หนุ่มและงู พระคัมภีร์สอนว่า เรามีฑูตสวรรค์ล้อมรอบตัวเรา ท่านมีสิทธิอำนาจเหนือภูตผีปีศาจ และสิ่งต่างๆที่พวกมันจะนำเข้ามาในชีวิตของท่าน พระเจ้าประทานทุกสิ่งแก่ท่านเพื่อท่านจะมีชีวิตที่มีชัย



ข้อพระธรรมต่อไปน่าตื่นเต้นมาก มีพระสัญญามากขึ้น ผมขอแนะให้ท่านใส่ชื่อของท่านเองในพระธรรมต่อไปนี้



ข้อ 14-16 "เพราะเขาผูกพันกับเราด้วยความรัก เราจะช่วยกู้เขา เราจะป้องกันเขาไว้ เพราะเขารู้จักนามเรา เมื่อเขาร้องทูลเรา เราจะตอบเขา เราจะอยู่กับเขาในยามลำบาก เราจะช่วยเขาให้พ้นและให้เกียรติเขา เราจะให้เขาอิ่มใจด้วยชีวิตยืนยาว และสำแดงความรอดของเราแก่เขา"

พระองค์จะทำตามพระสัญญาเสมอ เมื่อท่านอ่านพระธรรมสดุดีนี้จบ จงสรรเสริญพระองค์ และทูลต่อพระองค์ว่าท่านซาบซึ้งในการปกป้องและช่วยกู้ของพระองค์์์

คำถาม
ในชีวิตของท่าน ท่านกลัวอะไรบ้าง?

ท่านจะจัดการกับมันด้วยความเชื่ออย่างไร?

ข้อพระธรรมเสริมสำหรับท่าน:
สดด. 56:3-4
ฮบ. 13:5-6
1 ยน. 4:18
ยชว. 1:9
สดด. 27:1
สดด. 23


ขอบคุณที่มาของบทความ
: คริสตจักรบางนาแบบติสต์
182 ซ.วัดบางนาใน ถ.สรรพาวุธ
แขวงบางนา เขตบางนา
กทม.02-3934380
e-mail : Bangnachurch@yahoo.com

วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ศึกษาพระธรรม 2ทิโมธี (2)‏

การอุทิศตน
สำหรับประเด็นเรื่องการอุทิศตนนั้น อยากจะขอแบ่งออกเป็นประเด็นการเป็นผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อ และเป็นคนงานที่อดทน

1. ผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อ
1.1 สัตย์ซื่อในแรงจูงใจ

"เมื่อข้าพเจ้าระลึกถึงท่านในการอธิษฐานอยู่เสมอนั้น ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าได้รับใช้ด้วยจิตสำนึกอันบริสุทธิ์ เช่น บรรพบุรุษของข้าพเจ้า" (2ทิโมธี 1:3)

อาจารย์เปาโลให้ความสำคัญกับแรงจูงใจอย่างมาก

"เพราะว่า คำเตือนสติของเรา มิได้เกิดมาจากความคิดผิด หรือการโสโครก หรืออุบายใด ๆ" (1เธสะโลนิกา 2:3)

"เพราะพระเจ้าผู้ซึ่งข้าพเจ้าได้รับใช้ ด้วยชีวิตจิตใจของข้าพเจ้า ในการประกาศข่าวประเสริฐเรื่องพระบุตรของพระองค์นั้น ทรงเป็นพยานของข้าพเจ้าว่า เมื่อข้าพเจ้าอธิษฐานนั้น ข้าพเจ้าระลึกถึงท่านทั้งหลายเสมอไม่ว่างเว้น" (โรม 1:9)

จิตสำนึกของเรา ถูกเปิดเผยกับพระเจ้าเสมอ มนุษย์ดูที่ผลงาน แต่พระเจ้าดูที่แรงจูงใจ

มีหลายคนที่มารับใช้พระเจ้า เพราะหวังผลประโยชน์บางประการ อาทิเช่น บางคนในชีวิตของเขาล้มเหลว แต่เมื่อเข้ามารับใช้ในโบสถ์ก็มีคนให้การยอมรับมากมาย เป็นต้น แต่คนที่รับใช้พระเจ้าเพื่อหวังผลประโยชน์เช่นนี้ ในที่สุดก็จะอยู่ได้ไม่นาน เพราะวันหนึ่งเมื่อเขาไม่ได้สิ่งที่ต้องการ เขาก็จะเลิกที่จะรับใช้พระเจ้า

ถ้าเราต้องการที่จะยืนหยัดรับใช้พระเจ้า เราจะต้องมีแรงจูงใจที่ถูกต้อง

1.2 สัตย์ซื่อต่อของประทาน

"อันของประทานของพระเจ้าซึ่งมีอยู่ในท่าน โดยที่ข้าพเจ้าได้เอามือวางบนท่านนั้น ขอเตือนว่าท่านจงกระทำให้รุ่งเรืองขึ้น" (2ทิโมธี 1:6)

อาจารย์เปาโลเตือนถึงเรื่องของประทาน แสดงว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญ การไม่นำของประทานที่พระเจ้าประทานให้แก่เรามาใช้นั้น เป็นการเพิกเฉยต่อพระคุณของพระเจ้า

ของประทานที่อยู่ในตัวของเรานั้น จะยังไม่สมบูรณ์ ดังเช่นของประทานของท่านทิโมธีนั้น ได้เริ่มต้นโดยผ่านการวางมือ แต่อาจารย์เปาโลได้เตือนให้ท่านทิโมธีกระทำแก่ของประทานของท่าน คือ "พัดกระพือให้ไฟลึกเต็มขนาด"

ของประทานในพระคัมภีร์มีมากมาย เป็นการกระทำที่ทำให้พี่น้องจำเริญขึ้นในพระเยซูคริสต์ เป็นการทำให้คนที่เป็นคริสเตียนหรือไม่เป็นคริสเตียนดีขึ้นในทางของพระเจ้า ต้องเริ่มต้นด้วยท่าทีที่ถูกต้อง

ประโยชน์ของการใช้ของประทานนั้น อยู่ที่มนุษย์ด้วยกันเอง การรับใช้พระเจ้าแท้จริงแล้ว คือการรับใช้มนุษย์นั้นเอง เพราะว่าพระองค์ทรงสมบูรณ์ พระองค์ไม่จำเป็นต้องให้เราทำสิ่งใดเพื่อพระองค์ พระองค์ไม่จำเป็นที่จะต้องให้เราเล่นดนตรีให้เราฟัง เพราะว่ามาตรฐานของพระองค์คงจะเกินความสามารถของเรานัก แต่พระองค์จะทรงพอพระทัยเมื่อเรารับใช้พระองค์ และพระองค์ทรงประสงค์ให้เรารับใช้พี่น้อง

การที่เรามีความรับผิดชอบมากขึ้น เจริญในหน้าที่การงาน มีลูกมากมายที่ต้องเลี้ยง สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งผิด แต่ถ้าสิ่งเหล่านื้ทำให้เราไม่รับใช้พระเจ้า แสดงว่าชีวิตเราเริ่มมีปัญหาแล้ว

1.3 สัตย์ซื่อต่อทีมงาน

"อย่าละลายที่จะเป็นพยานฝ่ายองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา หรือฝ่ายตัวข้าพเจ้าที่ถูกจำจองอยู่ เพราะเห็นแก่พระองค์ แต่จงมีส่วนในการยากลำบาก เพื่อเห็นแก่ข่าวประเสริฐ โดยอาศัยฤทธิ์เดชแห่งพระเจ้า" (2ทิโมธี 1:8)

ขณะที่อาจารย์เปาโลประกาศ แล้วเกิดผลมากมาย ประสบความสำเร็จ ทีมงานก็คงอยากทำงานร่วมด้วย แต่เมื่ออาจารย์เปาโลติดคุก โดนข่มเอง ก็จะมีผู้ที่เคยเป็นทีมงานบางคน แยกตัวออกมา ทิ้งทีมงานไป

"15 ท่านก็ทราบแล้วว่า คนทั้งปวงที่อยู่ในแคว้นเอเชียนั้น ต่างก็ผละไปจากข้าพเจ้าหมด ในพวกนั้นมีฟีเจลัส และเฮอร์โมเกเนสรวมอยู่ด้วย
16 ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระเมตตา แก่ครอบครัวของโอเนสิโฟรัสด้วยเถิด เพราะเขาได้กระทำให้ข้าพเจ้าชื่นใจบ่อยๆ เขาไม่มีความรังเกียจโซ่ตรวนของข้าพเจ้าเลย" (2ทิโมธี 1:15-16)

โอเนสิโฟรัส เป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่เรา เพราะเมื่ออาจารย์เปาโลถูกจองจำนั้น เขาก็ยังคงอยู่กับท่าน นี่แสดงถึงระดับของ commitment ที่เขามีต่อการรับใช้

"เพราะเหตุนั้นเอง ข้าพเจ้าจึงได้ทนทุกข์ลำบากเช่นนี้ ถึงกระนั้นข้าพเจ้าก็ไม่ละอาย เพราะว่าข้าพเจ้ารู้จักพระองค์ที่ข้าพเจ้าได้เชื่อ และข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า พระองค์ทรงสามารถรักษา ซึ่งข้าพเจ้าได้มอบไว้กับพระองค์ {หรือ ซึ่งพระองค์ได้ทรงมอบให้แก่ข้าพเจ้า} จนถึงวันพิพากษาได้" (2ทิโมธี 1:12)

ระดับ commitment ของแต่ละคนนั้น แปลผันตามระดับของการที่คนคนนั้นรู้จักกับพระเยซูคริสต์ ถ้าหากว่าผู้ใดรู้จักพระองค์ ก็จะยอมที่จะ commit เพื่อพระองค์ และการรู้จักนี้เอง เป็นความหมายของชีวิตนิรันดร์

"และนี่แหละ คือชีวิตนิรันดร์ คือที่เขารู้จักพระองค์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว และรู้จักพระเยซูคริสต์ที่พระองค์ทรงใช้มา" (ยอห์น 17:3)

ทุกวันนี้เรารู้จักกับพระเยซูคริสต์อย่างไร? รู้จักมากเพียงไร?

อาจารย์เปาโลมีประสบการณ์กับพระเจ้าอย่างมากมาย ท่านเองรู้จักพระเจ้า ท่านจึงยอมที่จะเผชิญความทุกข์ยากลำบากต่าง ๆ เพื่อพระองค์ แม้ว่าท่านจะรู้จักพระเจ้าอย่างมากมาย แต่ท่านเองก็ยังบอกว่า ท่านยังรู้จักพระองค์เพียงสลัว ๆ และท่านก็เชื่อมั่นว่าท่านจะรู้จักพระองค์มากขึ้นเมื่อท่านได้อยู่กับพระองค์

"เพราะว่า บัดนี้เราเห็นสลัวๆ เหมือนดูในกระจก แต่เวลานั้นจะได้เห็นพระพักตร์ชัดเจน เดี๋ยวนี้ความรู้ของข้าพเจ้าไม่สมบูรณ์ เวลานั้นข้าพเจ้าจะรู้แจ้งเหมือนพระองค์ทรงรู้จักข้าพเจ้า " (1โครินธ์ 13:12)

1.4 สัตย์ซื่อแม้ไม่เป็นไปตามที่คิด

แม้ว่าอาจารย์เปาโลจะถูกจำจอง ยากลำบาก ทนทุกข์ ถูกผละ ติดกับโซ่ตรวน แต่ว่าท่านก็ไม่ย่อท้อที่จะรับใช้พระเจ้า เช่นเดียวกัน แม้ว่าผลของการรับใช้ของเราจะไม่เป็นไปอย่างที่เราคิด ก็ขอที่เราจะไม่เลิกที่จะรับใช้


อ. ปดิพัทธ์ สันติภาดา

คำแบ่งปันคณะเพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 01/02/2009

เรื่อง ศึกษาพระธรรม 2 ทิโมธี

สาเหตุที่ไม่ควรโกรธเร็ว

สาเหตุที่ไม่ควรโกรธเร็ว
R2 นพ.สุทิตต์ กุลสรรค์ศุภกิจ 100609

o พระเจ้าสร้างทุกส่วนในชีวิตองเราจากพระฉายของพระองค์
o มีความโกรธมีไว้เพื่ออะไร ทำไมต้องโกรธ ไม่โกรธได้ไหม ควรโกรธเรื่องไหนบ้าง โกรธอย่างไร
o โกรธแล้วจะเกิดอะไรขึ้น
สดุดี 124:3 แล้วเขาจะกลืนเราเสียทั้งเป็น เมื่อความโกรธของเขาพลุ่งขึ้นต่อเรา

ปัญหาความโกรธของมนุษย์
1. โกรธเร็ว โกรธง่าย โกรธบ่าย จุดเดือดต่ำ อะไรนิดอะไรหน่อยก็โกรธ ตัวเองเป็นใหญ่ หัวเสียบ่อยๆ
2. โกรธแล้วเป็นเรื่อง หลุด ทั้งคำพูด การกระทำ บางคนด่าว่า บางคนลงไม้ลงมือ
3. โกรธอย่างไม่ควร เรื่องที่ควรโกรธกลับไม่โกรธ เรื่องที่ไม่ควรโกรธกลับเป็นฟืนเป็นไฟเรื่อง
ยอห์น 7:23 ถ้าในวันสะบาโตคนเข้าสุหนัต เพื่อมิให้ล่วงละเมิดธรรมบัญญัติของโมเสสแล้ว ท่านทั้งหลายจะโกรธเรา เพราะเราทำให้ชายผู้หนึ่งหายโรคเป็นปกติในวันสะบาโตหรือ
4. แม้บางเรื่องสมควรโกรธ แต่จัดการควบคุมความโกรธไว้ไม่ได้
5. โกรธแล้วเก็บสะสม ปล่อยให้ความโกรธครอบงำ > ขุ่นเคืองใจ ขมขื่น ทำร้ายทำลายตนเองและผู้อื่น ใครเคยให้ความโกรธครอบงำบ้าง
6. จัดการกับสิ่งที่เราโกรธอย่างไม่ถูกต้อง ตามราวีคนอื่น
กิจการของอัครทูต 26:11 ข้าพระบาทได้ทำโทษเขาบ่อยๆในธรรมศาลาทุกแห่ง และบังคับเขาให้กล่าวคำหมิ่นประมาทพระเจ้า และเพราะข้าพระบาทโกรธเขายิ่งนัก ข้าพระบาทได้ตามไปข่มเหงถึงหัวเมืองในต่างประเทศ

สาเหตุที่ไม่ควรโกรธเร็วมีอะไรบ้าง

1. เป็นพฤติกรรมอย่างหนึ่งของบุคคลต่อไปนี้
1.1 คนที่ขาดความเข้าใจ
o เอาอารมณ์ของตัวเองเป็นที่ตั้ง ไม่ต้องใช้เหตุผลใดๆ เหตุผลเดียวคือ ไม่ชอบ ไม่ถูกใจ ไม่พอใจของฉัน
o ไม่ต้องเข้าใจเรื่องอื่นๆ ไม่ต้องใช้เหตุผลอื่นๆ
o โกรธต้องมีเหตุผลด้วยหรือ ก็มันโกรธนี่นา คิดว่าผมแกล้วโกรธหรือ ผมโกรธจริงๆ ไมได้เสแสร้ง
สุภาษิต 14:29 บุคคลที่โกรธช้าก็มีความเข้าใจมาก แต่บุคคลที่โมโหเร็วก็ยกย่องความโง่
o ไม่เพียงแต่ความโกรธต้องมีเหตุผลอันสมควร แต่ต้องเป็นเหตุผลที่ชอบธรรม ไม่ใช่เพียงเหตุผลอย่างมนุษย์
ยก 1:20 ความโกรธของมนุษย์ไม่ได้ทำให้เกิดความชอบธรรมแห่งพระเจ้า
1.2 คนโง่
o ปล่อยให้ของขึ้นเต็มที่ มีของอยู่เต็ม ระเบิดได้ตลอดเวลา
สุภาษิต29:11 คนโง่ย่อมให้ความโกรธของเขาพลุ่งออกมาเต็มที่แต่ปราชญ์ย่อมยับยั้งโทสะไว้เงียบๆ
ปัญญาจารย์ 7:9 อย่าให้ใจของเจ้าโกรธเร็ว เพราะความโกรธมีประจำอยู่ในทรวงอกของคนเขลา
o ไม่ต้องยั้ง ไม่รู้จักยั้ง ให้มันพังกันไปข้างหนึ่ง
สุภาษิต 14:1 ปัญญาสร้างเรือนของเธอขึ้น แต่ความโง่รื้อมันลงด้วยมือตนเอง
o โยนาห์โกรธ ทำให้เกิดความโง่ ดื้อรั้น เอาแต่ใจ
โยนาห์ 4:1-4
1 เหตุการณ์นี้ไม่เป็นที่พอใจโยนาห์อย่างยิ่ง และท่านโกรธ
2 ท่านจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า "ข้าแต่พระเจ้า เมื่อข้าพระองค์ยังอยู่ในประเทศของข้าพระองค์ ข้าพระองค์พูดแล้วว่าจะเป็นไปเช่นนี้มิใช่หรือ นี่แหละเป็นเหตุให้ข้าพระองค์ได้รีบหนีไปยังเมืองทารชิช เพราะข้าพระองค์ทราบว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงกอปรด้วยพระคุณ และทรงพระกรุณา ทรงกริ้วช้า และบริบูรณ์ด้วยความรักมั่นคงและทรงกลับพระทัยไม่ลงโทษ
3 ข้าแต่พระเจ้า เพราะฉะนั้นบัดนี้ ขอพระองค์ทรงเอาชีวิตของข้าพระองค์ไปเสีย เพราะว่าข้าพระองค์ตายเสียก็ดีกว่าอยู่"
4 และพระเจ้าตรัสว่า "การที่เจ้าโกรธเช่นนี้ดีอยู่หรือ"
โยนาห์ 4:9 แต่พระเจ้าตรัสกับโยนาห์ว่า "ที่เจ้าโกรธเพราะต้นละหุ่งนั้นดีอยู่แล้วหรือ" ท่านทูลว่า "ที่ข้าพระองค์โกรธถึงอยากตายนี้ดีแล้วพระเจ้าข้า"
1.3 คนที่ขาดสามัญสำนึก
o ไม่รู้กาลเทศะ
o ไม่รู้อะไรควรไม่ควรโกรธ
o ที่ไหนควรหรือไม่ควรโกรธ
o เวลาไหนควรหรือไม่ควรโกรธ
สุภาษิต 19:11 สามัญสำนึกที่ดีกระทำให้คนโกรธช้าและที่มองข้ามการทรยศไปเสียก็เป็นศักดิ์ศรีแก่เขา
o นาอามานโกรธ ทำให้ขาดสามัญสำนึก เกือบไม่ได้รับการรักษาโรคเรื้อน
2พกษ5:10-14 10 เอลีชาก็ส่งผู้สื่อสารมาเรียนท่านว่า "ขอจงไปชำระตัวในแม่น้ำจอร์แดนเจ็ดครั้ง และเนื้อของท่านจะกลับคืนเป็นอย่างเดิม และท่านจะสะอาด"
11 แต่นาอามานก็โกรธและไปเสีย บ่นว่า "ดูเถิด ข้าคิดว่าเขาจะออกมาหาข้าเป็นแน่และมายืนอยู่ และออกพระนามของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเขา แล้วโบกมือเหนือที่นั้นให้โรคเรื้อนหาย
12 อาบานาและฟารปาร์แม่น้ำเมืองดามัสกัส ไม่ดีกว่าบรรดาลำน้ำแห่งอิสราเอลดอกหรือ ข้าจะชำระตัวในแม่น้ำเหล่านั้นและจะสะอาดไม่ได้หรือ" ท่านจึงหันตัวแล้วไปเสียด้วยความเดือดดาล
13 แต่พวกข้าราชการของท่านเข้ามาใกล้และเรียนท่านว่า "คุณพ่อของข้าพเจ้า ถ้าท่านผู้เผยพระวจนะจะสั่งให้ท่านกระทำสิ่งใหญ่โตประการหนึ่งท่านจะไม่กระทำหรือ ถ้าเช่นนั้นเมื่อท่านผู้เผยพระวจนะกล่าวแก่ท่านว่า "จงไปล้างและสะอาดเถิด" ควรท่านจะทำยิ่งขึ้นเท่าใด"
14 ท่านจึงลงไปจุ่มตัวเจ็ดครั้งในแม่น้ำจอร์แดน ตามถ้อยคำของคนแห่งพระเจ้า และเนื้อของท่านก็กลับคืนเป็นอย่างเนื้อของเด็กเล็กๆ และท่านก็สะอาด
1.4 คนที่ควบคุมตัวเองไม่ได้
o รู้จักอด รู้จักทน
สุภาษิต 14:17 คนโมโหร้ายประพฤติโง่เขลา แต่คนเฉลียวฉลาดนั้นอดทน
o รู้จักควบคุมตนเอง
สุภาษิต 16:32 บุคคลผู้โกรธช้าก็ดีกว่าคนมีกำลังมาก และบุคคลผู้ปกครองจิตใจของตนเองก็ดีกว่าผู้ที่ตีเมืองได้
สุภาษิต 29:8 คนมักเยาะเย้ยกระทำบ้านเมืองให้ลุกเป็นไฟแต่ปราชญ์แปรความโกรธเกรี้ยวไปเสีย
1.5 คนถือทิฐิ
o มุ่งแต่เอาชนะ
สุภาษิต 15:18 คนใจร้อนเร้าการวิวาท แต่บุคคลผู้โกรธช้าก็ระงับการชิงดี

2. ทำให้เกิดผลร้ายต่อตนเอง
2.1 ทำให้ขาดสติ
เฉลยธรรมบัญญัติ 19:6 ด้วยเกรงว่าผู้อาฆาตกำลังโกรธจัดจะไล่ตามชายผู้ฆ่าคนคนนั้นทัน เพราะหนทางไกลแล้วฆ่าเขาเสียแม้ว่าชายผู้นั้นไม่มีโทษถึงตาย เพราะเขามิได้เป็นอริกับเพื่อนบ้านของเขามาก่อน
o คาอินโกรธเลยฆ่าอาเบล
ปฐมกาล4 :5-9 5 แต่คาอินกับเครื่องบูชาของเขานั้น พระองค์ไม่พอพระทัย คาอินก็โกรธแค้นนัก หน้าบูดบึ้งอยู่
6 พระเจ้าจึงตรัสถามคาอินว่า เจ้าโกรธเคืองหน้าบูดบึ้งอยู่ทำไม
7 ถ้าเจ้าทำดีเราก็จะพอใจรับเจ้ามิใช่หรือถ้าเจ้าทำไม่ดีบาปก็หมอบอยู่ที่ประตูอยากตะครุบเจ้า เจ้าจะต้องเอาชนะบาปนั้นให้ได้
8 ฝ่ายคาอินก็พูดชวนอาแบลน้องชายของตนว่า เราไปนากันเถอะ"เมื่ออยู่ที่นาด้วยกันคาอินก็โถมเข้าฆ่าอาแบลน้องชายของตนเสีย
o ขาดสติจึงทำผิดบาปได้ง่าย ให้ควบคุมสติก่อน
สดุดี 4:4 โกรธก็โกรธเถิดแต่อย่าทำบาป จงคำนึงในใจเวลาอยู่บนที่นอนและสงบอยู่
เอเฟซัส 4:26 จะโกรธก็โกรธได้ แต่อย่าทำบาป อย่าให้ถึงตะวันตกท่านยังโกรธอยู่
2.2 เป็นการเพาะบ่มความเกลียดชัง
o โกรธไม่หาย โกรธทุกวัน โกรธบ่อยๆ จะกลายเป็นเกลียดชัง
สดุดี 55:3 ข้าพระองค์บ้าไปเพราะเสียงของศัตรู เพราะการบีบบังคับของคนอธรรม เหตุว่าเขานำความทุกข์ยากลำบากมาให้ข้าพระองค์ และเขาบ่มความเกลียดชังข้าพระองค์โดยความโกรธ
o คริสเตียนจึงไม่ควรให้ความโกรธอยู่กับเราข้ามคืน
เอเฟซัส 4:26 จะโกรธก็โกรธได้ แต่อย่าทำบาป อย่าให้ถึงตะวันตกท่านยังโกรธอยู่
o หากบ่มเอาไว้ในใจ จะทำให้ความโกรธในชีวิตแปรเปลี่ยนเป็นความขุ่นเคือง คับแค้น ข้องจิต ขมขื่นใจ ทำให้คนเป็นอันมากเสียไป
ฮบ12:15 จงระวังให้ดีอย่าให้ใครเพิกเฉยต่อพระคุณของพระเจ้า และอย่าให้มีรากขมขื่นงอกขึ้นมา ทำความยุ่งยากให้ ซึ่งจะเป็นเหตุให้คนเป็นอันมากเสียไป
2.3 ทำให้จิตใจชั่วร้าย
สดุดี 37:8 จงระงับความโกรธ และทิ้งความพิโรธ อย่าให้ใจของท่านเดือดร้อน มีแต่จะชั่วไป
o จิตใจชั่วร้าย คิดแผนหาช่องแก้แค้นให้หายโกรธ
เอสเธอร์ 2:21 ในครั้งนั้นเมื่อโมรเดคัยนั่งอยู่ที่ประตูพระราชวัง บิกธานและเทเรช ขันทีสองคนของพระราชา ผู้เฝ้าธรณีประตูมีความโกรธและหาช่องที่จะประทุษร้ายกษัตริย์อาหสุเอรัส
2.4 ทำให้ติดบ่วงพันธนาการ
o เป็นนิสัย ลักษณะชีวิต หากไม่แก้ ไม่มีวันหาย
o จะแก้ยังแก้ยาก ต้องพยายาม
สุภาษิต 19:19 คนที่โมโหฉุนเฉียวจะต้องได้รับโทษ เพราะถ้าเจ้าช่วยกู้เขาแล้วก็ต้องช่วยกู้เขาอีก
2.5 เป็นการสร้างศัตรูและการทรยศ
o โดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ
สุภาษิต 29:22 คนเจ้าโมโหย่อมเร้าการวิวาท และคนที่มักโกรธก็เป็นเหตุให้มีการทรยศมากขึ้น
2.6 ทำให้ได้รับโทษ
o หลายสถาน เจ็บตัว ต้องโทษ จ่ายค่าเสียหาย คนเกลียด
สุภาษิต 19:19 คนที่โมโหฉุนเฉียวจะต้องได้รับโทษ เพราะถ้าเจ้าช่วยกู้เขาแล้วก็ต้องช่วยกู้เขาอีก

3. ทำให้เกิดผลร้ายต่อคนอื่น
3.1 ทำให้คนรอบข้างเดือดร้อน
o คนที่มักโกรธ มักไม่ค่อยมีเหตุผล จะโกรธเราอีกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ อยู่ให้ห่างไกลไว้เป็นดี
สุภาษิต 22:24 อย่าเป็นมิตรกับคนที่มักโกรธ หรือไปกับคนขี้โมโห
o ชุมนุมที่ไม่มีเหตุผล จะเห็นใครเป็นมิตรหรือศัตรูเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ อยู่ให้ห่างไกลไว้เป็นดี
ปฐมกาล 49:6 จิตวิญญาณของเราเอ๋ย อย่าเข้าไปในที่ชุมนุมของเขา จิตใจของเราเอ๋ย อย่าเข้าร่วมในที่ประชุมของเขาเหตุว่าเขาฆ่าคนด้วยความโกรธ เขาตัดเอ็นน่องวัวตัวผู้ตามอำเภอใจเขา
3.2 ทะเลาะวิวาท ต่อสู้ทำร้ายกัน
สุภาษิต 15:18 คนใจร้อนเร้าการวิวาท แต่บุคคลผู้โกรธช้าก็ระงับการชิงดี

เตือนใจ
1. พระเจ้าทรงควบคุมพระพิโรธได้เสมอ
o พิโรธอย่างชอบธรรม
o จัดการอย่างชอบธรรมด้วย
อิสยาห์ 54:9 “สำหรับเราเรื่องนี้เหมือนสมัยของโนอาห์ เราได้ปฏิญาณว่าน้ำของโนอาห์ จะไม่ท่วมแผ่นดินโลกอีกเลยฉันใด เราจึงได้ปฏิญาณว่าเราจะไม่โกรธเจ้า และจะไม่ขนาบเจ้าฉันนั้น
อิสยาห์ 57:16 เพราะเราจะไม่ต่อสู้แย้งอยู่เป็นนิตย์ หรือโกรธอยู่เสมอ เพราะจิตวิญญาณออกมาจากเรา และเราได้สร้างลมปราณ

2. ความโกรธของมนุษย์มักไม่ชอบธรรม
o เอาตัวเองเป็นมาตรฐาน ตัวเองก็ไม่สมบูรณ์
o เพราะมนุษย์ เอาตัวเองเป็นมาตรฐานในเรื่องความโกรธ
o และมนุษย์เองก็ไม่สมบูรณ์
ยก1:20 ความโกรธของมนุษย์ไม่ได้ทำให้เกิดความชอบธรรมแห่งพระเจ้า

3. พระคัมภีร์จึงเตือนให้ละทิ้งความโกรธ
o ด้วยเหตุที่มนุษย์มักโกรธแบบไม่ชอบธรรม
o โกรธแล้วมักทำบาป
o พระคัมภีร์จึงเตือนเราให้เปลี่ยนนิสัย ละทิ้งความโกรธ
เอเฟซัส 4:31 จงให้ใจขมขื่น และใจขัดเคือง และใจโกรธ และการทะเลาะเถียงกัน และการพูดเสียดสี กับการคิดปองร้ายทุกอย่างอยู่ห่างไกลจากท่านเถิด
โคโลสี 3:8 แต่บัดนี้ สารพัดสิ่งเหล่านี้ท่านจงเปลื้องทิ้งเสีย คือความโกรธ ความขัดเคือง การคิดปองร้าย การพูดเสียดสี คำพูดหยาบโลน
ยากอบ 1:19 ดูก่อนพี่น้องที่รักของข้าพเจ้า จงทราบข้อนี้ จงให้ทุกคนไวในการฟัง ช้าในการพูด ช้าในการโกรธ

4. โกรธพี่น้องต้องถูกพิพากษาโทษ
o พระเยซูเป็นผู้สอนสิ่งนี้ จากพระโอษฐ์ของพระองค์
o มิเช่นนั้น จะสร้างความแตกแยกมากขึ้นๆ ต้องจำกัดวง สร้างวัฒนธรรมใหม่ที่ดี หยุดยั้งวงจรอุบาทว์
มัทธิว 5:22 เราบอกท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดโกรธพี่น้องของตน ผู้นั้นจะต้องถูกพิพากษาลงโทษ ถ้าผู้ใดจะพูดกับพี่น้องว่า "อ้ายโง่" ผู้นั้นต้องถูกนำไปที่ศาลสูงให้พิพากษาลงโทษและผู้ใดจะว่า "อ้ายบ้า" ผู้นั้นจะมีโทษถึงไฟนรก

5. อย่ายั่วให้คนโกรธ
o เป็นวิธีทำร้ายและทำลายคน ทำให้คนขาดสติ เห็นบ่อยในเกมส์กีฬา ยั่วให้ขาดสติ
สุภาษิต 25:23 ลมเหนือนำฝนมาฉันใด ลิ้นที่ส่อเสียด ก็นำหน้าความโกรธฉันนั้น
o อยากช่วยเหลือคน ต้องช่วยให้เขาคิดได้ ต้องช่วยให้หายโกรธก่อน ถูกผิดว่ากันอีกที
o ช่วยโดยวิธีใดวิธีหนึ่ง เช่น เปลี่ยนบรรยากาศ ให้ทำกิจกรรมอื่นๆที่สบายใจเพลินๆแทน เช่น กินอาหาร ออกกำลัง สร้างโอกาสให้สามารถทำสิ่งดีให้คนอื่น
o สิ่งสำคัญที่พระคัมภีร์สอนเราเสมอคือ คำพูดที่อ่อนหวาน ละลายความโกรธ
สุภาษิต 15:1 คำตอบอ่อนหวานช่วยละลายความโกรธเกรี้ยวให้หายไป แต่คำกักขฬะเร้าโทสะ
สุภาษิต 25:15 ความพากเพียรอาจจะชักนำผู้ครอบครองได้ และลิ้นที่อ่อนหวานอาจจะโน้มน้าวจิตใจให้อ่อนลงได้

วันพุธที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ศึกษาพระธรรม 2 ทิโมธี (1)

พระคัมภีร์ 2 ทิโมธี มีข้อที่เรารู้จักกันดีหลายข้อด้วยกัน เช่น แต่ข้ารู้จักพระองค์ที่ข้าเชื่อ ทหารที่ดีของพระคริสต์ แต่ถ้าหากว่าเราจะต้องการทราบเจตนารมณ์ผู้เขียน อยากขอหนุนใจให้อ่านทั้งเล่ม

เมื่อได้อ่านจดหมายฉบับนี้ พบว่ามีหลายประเด็นด้วยกัน แต่ที่ต้องการเน้นในวันนี้ จะเป็นเรื่อง การอุทิศตน

การที่จะอ่านพระคัมภีร์ให้เข้าใจอย่างแท้จริง เราควรจะศึกษาถึงพื้นฐาน background เพื่อที่เราจะทราบถึงเป้าหมาย เพื่อเราจะเข้าใจถึงสิ่งที่ผู้เขียนต้องการจะสอน เพื่อเราจะทราบถึงความคิดเบื้องลึก เพราะว่าพระคัมภีร์นั้น เขียนมาเกือบ 2000 ปีมาแล้ว ดังนั้นภาษาที่ใช้ก็จะต่างจากที่เราใช้ในปัจจุบัน ขอบคุณพระเจ้าที่พระคัมภีร์ภาษาไทยได้มีการแปลใหม่ เป็นภาษาที่เข้าใจได้ง่ายสำหรับคนในยุคปัจจุบัน ซึ่งแปลโดยผู้ทรงคุณวุฒิ ที่มีความรู้ในภาษาเดิมเป็นอย่างดี จึงอยากขอหนุนใจให้พี่น้องลองอ่านดู ใช้อ่านคู่กับพระคัมภีร์ภาษาไทยที่เราใช้ปัจจุบัน ก็จะทำให้เข้าใจได้ดีมากยิ่งขึ้น

สำหรับการอ่านจดหมายฝากในพระคัมภีร์ เราควรจะรู้ถึงสิ่งเหล่านี้

ผู้เขียนเป็นใคร ผู้รับเป็นใคร แล้วเราจะเข้าใจถึงบริบท เพราะเรื่องราว เหตุการณ์ต่าง ๆ กันไป ปัญหาของแต่ละที่ แต่ละคนก็แตกต่างกันเช่นกัน

สังคม ว่าในยุคสมัยนั้น สถานการณ์เป็นอย่างไร ในพระคัมภีร์ใหม่เราก็สามารถศึกษาได้ผ่านทางพระธรรมกิจการ เช่นเดียวกับที่เราจะสามารถเข้าใจพระคัมภีร์หมวดผู้เผยพระวจนะน้อยได้ โดยผ่านทางการอ่านพระธรรมพงษ์กษัตริย์ พงศาวดาร อาทิเช่น

"การถูกข่มเหง การทนทุกข์ยากลำบากของข้าพเจ้า และสิ่งที่ได้เกิดขึ้นกับข้าพเจ้า ณ เมืองอันทิโอก เมืองอิโคนียูม และเมืองลิสตรา การกดขี่ข่มเหงที่ข้าพเจ้าได้ทนเอา ถึงกระนั้นก็ดี องค์พระผู้เป็นเจ้า ได้ทรงโปรดให้ข้าพเจ้ารอดพ้นจากสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด" (2ทิโมธี 3:11)

ถ้าเราอยากเข้าใจ เราก็ควรจะไปอ่านในพระธรรมกิจการร่วมด้วย โดยไปอ่านในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเมืองเหล่านี้

คำศัพท์ เราสามารถเข้าใจได้มากขึ้น ถ้าหากเราอ่านมากกว่า 1 versions เราก็สามารถเข้าใจได้มากขึ้น จะช่วยเราได้ดีทีเดียวถ้าหากว่าเราไม่เข้าใจคำศัพท์บางคำ

การหาข้อความหลัก เพื่อที่เราจะทราบถึงการสอนหลักของพระคัมภีร์เล่มนั้น ๆ

Commitment มีความหมายหลายอย่าง เป็นการสัญญา การทุ่มเท ฯลฯ คำว่า commitment นี้ พระคัมภีร์จะใช้ในกรณีคู่สมรส เป็นพันธสัญญาระหว่างคู่สมรส เป็นความหมายที่ลึกซึ้ง เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ระหว่างพระเยซูคริสต์กับคริสตจักร พระยาเวห์กับอิสราเอล ซึ่งจะแยกจากกันไม่ได้

ดังนั้น ถ้าหากเรามี commitment ที่เราจะยึดมั่นในความเชื่อ แม้ว่าเราจะโดนข่มเหง โดนต่อต้านเช่นไร เราก็จะยังคงยึดมั่นในความเชื่อ



อ. ปดิพัทธ์ สันติภาดา

คำแบ่งปันคณะเพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 01/02/2009

เรื่อง ศึกษาพระธรรม 2 ทิโมธี

วันอังคารที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ความอดทน

ความอดทน
นพ.สุทิตต์ กุลรรค์ศุภกิจ R 4 S_K 050609
• โลกนี้เป็นโลกที่ไม่อดทน ทุกอย่างเร่งรีบ รวดเร็ว และรวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ ความอดทนก็ลดน้อยลงเรื่อยๆเช่นเดียวกัน ฝ่าไฟแดง เอาตามใจตัวเองเข้าว่า
• ความอดทน เป็นเรื่องที่สวนทางกับวิถีของโลกในปัจจุบัน
• คริสเตียนคิดอย่างไรกับเรื่องความอดทน
o เรามีความอดทนมากน้อยขนาดไหน
o เราสูญเสียความอดทนบ่อยไหม
o ความอดทนของเรามีขีดจำกัดแค่ไหน อดทนได้มากขึ้นอีกหน่อยได้ไหม อดทนได้มากขึ้นอีกเท่าไหร่
o ความอดทนของเราขึ้นอยู่กับปัจจัยอะไรเป็นหลักบ้าง ตัวเราเอง หรือ สิ่งแวดล้อม หรือ คน
o ความอดทนเกิดขึ้นเองไหม

รากศัพท์ในพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้องกับคำว่า อดทน

Qawah= "to wait," "to expect” คาดหวัง รอคอย
Ps 40:1 ข้าพเจ้าได้เพียรรอคอยพระเจ้า พระองค์ทรงเอนพระองค์ลง ฟังคำร้องทูลของข้าพเจ้า
Ps 37:7 จงสงบอยู่ต่อพระเจ้า และเพียรรอคอยพระองค์อยู่ อย่าให้ใจของท่านเดือดร้อนเพราะเหตุ ผู้ที่เจริญตามทางของเขา หรือเพราะเหตุผู้ที่กระทำตามอุบายชั่ว

Qul = "to wait" or "to hope for" or "to expect" รอคอย หวังใจคอย คาดหวัง
Job 35:14 จะยิ่งน้อยกว่านั้นสักเท่าใด เมื่อท่านว่า ท่านไม่เห็นพระองค์ และเมื่อว่า คดีนั้นก็อยู่ต่อพระพักตร์พระองค์ และท่านคอยพระองค์อยู่

Erekh ruach ="long of spirit" จิตวิญญาณแห่งการรอคอย
Eccl 7:8 เบื้องปลายแห่งสิ่งใดๆก็ดีกว่าเบื้องต้นแห่งสิ่งนั้นๆ มีใจอดกลั้นก็ดีกว่ามีใจอหังการ

Ha'arikh nephesh = "that I should be patient" อดทน
Job 6:11 ข้ามีกำลังอะไร ที่ข้าจะคอยและอะไรเป็นอวสานของข้าที่ข้าจะต้องอดทน

Hupomone = “endurance, continuance” ทนทาน อดทนนาน
Lk 8:15 และซึ่งตกที่ดินดีนั้น ได้แก่คนเหล่านั้นที่ได้ยินพระวจนะด้วยใจเลื่อมใสศรัทธา แล้วก็จดจำไว้ จึงเกิดผลโดยความเพียร
Lk 21:19 ท่านจะได้ชีวิตรอดโดยความอดทนของท่าน
Rom 5:3-4 3 ยิ่งกว่านั้น เราชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากของเราด้วย เพราะเรารู้ว่าความทุกข์ยากนั้น ทำให้เกิดความอดทน 4 และความอดทนทำให้เห็นว่าเราเป็นคนที่พระเจ้าทรงใช้ได้ และการที่เราเห็นเช่นนั้นทำให้เกิดมีความหวังใจ
= "stedfastness" in the American Standard Revised Version แน่วแน่
Rom 8:25 แต่ถ้าเราทั้งหลายคอยหวังใจในสิ่งที่เรายังไม่ได้เห็น เราจึงมีความเพียรคอยสิ่งนั้น
= "endurance" in the American Standard Revised Version ทนทาน
Jas 5:11จงดู เราถือว่าผู้ที่อดทนก็เป็นสุข ท่านได้รู้เรื่องความอดทนของโยบ และได้เห็นแล้วว่าในที่สุดปลายนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเปี่ยมไปด้วยพระเมตตากรุณาสักเท่าใด

makrothumia = "patience" อดทน
Heb 6:12 เราไม่อยากให้ท่านเป็นคนเฉื่อยช้า แต่ให้ตามเยี่ยงอย่างแห่งคนเหล่านั้นที่อาศัยความเชื่อและความเพียร จึงได้รับตามพระสัญญาเป็นมรดก
Jas 5:10 พี่น้องทั้งหลาย จงเอาแบบอย่างในการทนทุกข์และการอดทนของผู้เผยพระวจนะ ผู้ได้กล่าวความในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า

Makrothumeo = "to bear long” ทนทานยาวนาน
Mt 18:26 ทาสลูกหนี้ผู้นั้นจึงกราบลงวิงวอนว่า ข้าแต่ท่าน ขอโปรดผัดไว้ก่อน แล้วข้าพเจ้าจะใช้หนี้ทั้งสิ้น
Mt 29 เพื่อนทาสคนนั้นได้กราบลงอ้อนวอนว่า ขอโปรดผัดไว้ก่อนแล้วข้าพเจ้าจะใช้ให้'
Jas 5:7 เหตุฉะนั้นพี่น้องทั้งหลาย จงอดทนจนกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมา จงดูชาวนารอคอยผลอันล้ำค่าที่จะได้จากแผ่นดิน เพียรคอยจนกระทั่งมีฝนต้นฤดูและฝนชุกปลายฤดู
= "be patient, longsuffering " the Revised Version (British and American) อดทน ยากลำบากอย่างยาวนาน
1 Thess 5:14 และพี่น้องทั้งหลาย เราขอวิงวอนพวกท่านให้ตักเตือนคนที่เกียจคร้าน หนุนน้ำใจผู้ที่ท้อใจ ชูกำลังคนที่อ่อนกำลัง และมีใจอดเอาเบาสู้ต่อคนทั้งปวง
= "patient” the King James Version and the Revised Version (British and American)
Jas 5:7-8 7 เหตุฉะนั้นพี่น้องทั้งหลาย จงอดทนจนกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมา จงดูชาวนารอคอยผลอันล้ำค่าที่จะได้จากแผ่นดิน เพียรคอยจนกระทั่งมีฝนต้นฤดูและฝนชุกปลายฤดู 8ท่านทั้งหลายก็จงอดทนเช่นนั้นเหมือนกัน จงตั้งอกตั้งใจให้ดี เพราะใกล้จะถึงเวลาที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาแล้ว

Makrothumos = "patiently" อย่างอดทน
Acts 26:3เพราะฝ่าพระบาทมีความรู้ชำนาญยิ่งในบรรดาขนบธรรมเนียม และปัญหาต่างๆของพวกยิวแล้ว เหตุฉะนั้นขอฝ่าพระบาทได้โปรดทนฟังข้าพระบาท

Hupomeno = "patiently" อย่างอดทน
1 Pet 2:20 เพราะจะเป็นความดีความชอบอย่างไรถ้าท่านทำความชั่ว และท่านถูกเฆี่ยนเพราะการกระทำชั่วนั้น แม้ท่านจะอดทนต่อการถูกเฆี่ยนด้วยความอดกลั้น แต่ว่าถ้าท่านทั้งหลายกระทำการดีและทนเอาเมื่อตกทุกข์ยาก เพราะการดีนั้น ท่านก็จะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า

Anexikakos = "patient" อดทน
="forbearing” Revised Version(British and American), King James Version margin "
2 Tim 2:4 ไม่มีทหารคนใดที่เข้าประจำการแล้วจะยุ่งอยู่กับงานฝ่ายพลเรือน ด้วยว่าเขามุ่งที่จะทำให้ผู้บังคับบัญชาพอใจ

Epieikes = "gentle" the Revised Version (British and American) อ่อนสุภาพ
1 Tim 3:3ไม่ดื่มสุรามึนเมา ไม่เป็นนักเลงหัวไม้ แต่เป็นคนสุภาพ ไม่เป็นคนชอบวิวาท ไม่เป็นคนเห็นแก่เงิน

Hupomeno = "patient in tribulation" ทนต่อความทุกข์ยาก
Rom 12:121 จงชื่นชมยินดีในความหวัง จงอดทนต่อความยากลำบากจงขะมักเขม้นอธิษฐาน
= "the patient waiting for Christ"
= "the patience of Christ" the Revised Version (British and American)
2 Thess 3:5ขอพระเป็นเจ้าทรงนำใจของท่านทั้งหลายให้เข้าถึงความรักของพระเจ้า และถึงความมั่นคงของพระคริสต์

องค์ประกอบในความหมายของความอดทนในพระคัมภีร์

1. อดทนกับสิ่งที่เราไม่ชอบ
• เราไม่ต้องอดทนกับสิ่งที่เราชอบ แต่อดทนกับสิ่งที่เราไม่ชอบ
• แสดงถึงที่มาของความอดทน คือ อดทนต่อสิ่งที่เราไม่ชอบ
1.1 แรงกดดันทางกายภาพ
• เช่น สภาพที่จำกัด ความไม่ยุติธรรม การกดขี่ข่มเหง ความทุกข์ยาก
1.2 แรงกดดันทางจิตใจ
• เช่น ความไม่ชอบใจ ไม่พอใจใครบางคน ไม่พอใจบางสิ่ง เกิดขึ้นในจิตใจของเราเอง เป็นสิ่งบีบคั้นความรู้สึกส่วนตัว
• อาจเป็นเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง ไม่สำคัญ แต่เรากลับรู้สึกว่าต้องอดทนกับสิ่งนั้นๆ

รม 12:12 จงชื่นชมยินดีในความหวัง จงอดทนต่อความยากลำบากจงขะมักเขม้นอธิษฐาน

2. อดทนอย่างยาวนาน
• อดทนไม่นาน ไม่เรียกว่าอดทน อดทนครั้งเดียวไม่เรียกว่าอดทน
• ความอดทนเป็นลักษณะชีวิตอย่างหนึ่ง เป็นสิ่งที่สะท้อนออกมาจากชีวิต
• ความอดทนแท้จึงไม่ใช่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว ไม่ได้แปรผันตามอารมณ์ของเรา ไม่ได้แปรผันกับสถานการณ์ สิ่งแวดล้อมหรือแรงกดดัน
• แต่สะท้อนออกมาจากลักษณะชีวิตภายในของเรา

Jas 5:7 เหตุฉะนั้นพี่น้องทั้งหลาย จงอดทนจนกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมา จงดูชาวนารอคอยผลอันล้ำค่าที่จะได้จากแผ่นดิน เพียรคอยจนกระทั่งมีฝนต้นฤดูและฝนชุกปลายฤดู

3. อดทนด้วยความเพียรพยายาม
• มีความแน่วแน่ มั่นคง เพียรพยายาม มุ่งมั่นฟันฝ่าไปให้ได้
• ความอดทนเป็นความเพียรพยายามมุ่งตรงต่อไปข้างหน้า
• ความอดทนจึงไม่ใช่การนิ่งเฉย ไม่ใช่การเพิกเฉยต่อสิ่งที่กดดันเรา
• คนที่อดทนแท้จริง จึงไม่เลิกที่จะมุ่งตรงต่อไปยังหลักชัย ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น จะอดทนฟันฝ่าไปให้ได้
• ความอดทนจึงไม่ใช่ ความเฉื่อยชา การเพิกเฉย หรือเกียจคร้าน
• ความอดทนจึงต้องมีเป้าหมาย ไม่ใช่อดทนกับอะไร โดยไม่รู้เหตุผล หรือ มีเหตุผลอื่นๆที่ไม่เป็นสาระ
• คริสเตียนอดทนเพื่อพระเจ้า และแผนการของพระองค์ ที่จะสำเร็จผ่านชีวิตของเรา

2 ทธ2:4 ไม่มีทหารคนใดที่เข้าประจำการแล้วจะยุ่งอยู่กับงานฝ่ายพลเรือน ด้วยว่าเขามุ่งที่จะทำให้ผู้บังคับบัญชาพอใจ

4. อดทนด้วยความยินดี
• ด้วยความเข้าใจและยอมรับ
• คริสเตียนไม่ได้ ซาดิส ไม่ได้ชอบความยากลำบาก
• แต่เรามีความยินดีที่ได้มีส่วนร่วมในการทำงานรับใช้พระเจ้า

คส1:24 บัดนี้ข้าพเจ้าปลื้มปีติในการที่ได้รับความทุกข์ยากเพื่อท่าน ส่วนการทนทุกข์ของพระคริสต์ที่ยังขาดอยู่นั้น ข้าพเจ้าก็รับทนจนสำเร็จในเนื้อหนังของข้าพเจ้า เพราะเห็นแก่พระกายของพระองค์ คือคริสตจักร

5. อดทนและรอคอยเป้าหมายให้มาถึง
• คาดหวังไม่ใช่อยู่ไปเรื่อยๆ
• อยู่ไปเรื่อยๆ แสดงว่าไม่ได้คาดหวัง ไม่ได้คาดหวัง ก็ไม่ต้องอดทนคอย
• หากเราไม่คิดรอคอยพระเจ้า เราจะรอคอยสิ่งอื่นๆ แทน อดทนเพื่อสิ่งนั้นๆแทน
• คริสเตียนมีความอุตสาหะพากเพียร ด้วยความคาดหวัง จึงเปลี่ยนชีวิตและอดทนรอคอยพระเจ้า
• เราคาดหวังรอคอย และเปลี่ยนแปลงชีวิตให้พร้อมที่จะอยู่กับพระองค์เสมอ
• พร้อมที่จะอยู่ร่วมกับพระเจ้าบนแผ่นดินสวรรค์ จึงอดทนรอคอยวันนั้นด้วยใจจรดจ่อ
• อาจมาถึง อาจมาถึงในเวลาที่เรายังมีลมหายใจ หรือ ในเวลาที่เราจากโลกนี้ไปก็ได้

สดด 37:7 จงสงบอยู่ต่อพระเจ้า และเพียรรอคอยพระองค์อยู่ อย่าให้ใจของท่านเดือดร้อนเพราะเหตุ ผู้ที่เจริญตามทางของเขา หรือเพราะเหตุผู้ที่กระทำตามอุบายชั่ว

คุณค่าของความอดทน

1. ความอดทนมีต้นแบบมาจากพระเจ้า

สดด86:15 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า แต่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้ากอปรด้วยพระกรุณา และพระเมตตา
ทรงกริ้วช้า และอุดมด้วยความรักมั่นคง และความสัตย์สุจริต

• พระเจ้าทรงกริ้วช้า เต็มเปี่ยมด้วยความรัก และมีจุดมุ่งหมายในความอดทนเสมอ คือ เพื่อให้เราทั้งหลายได้รับความรอด ไม่ต้องการให้คนหนึ่งคนใดพินาศเลย

โรม 2:4 หรือว่าท่านประมาทพระกรุณาคุณอันอุดม และความอดกลั้นพระทัย และความอดทนของพระองค์ ท่านไม่รู้หรือว่าพระกรุณาคุณของพระเจ้านั้น มุ่งที่จะชักนำท่านให้กลับใจใหม่

2เปโตร 3:9 องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงเฉื่อยช้า ในเรื่องพระสัญญาของพระองค์ ตามที่บางคนคิดนั้น แต่พระองค์ได้ทรงอดกลั้นพระทัยไว้ เพราะเห็นแก่ท่านทั้งหลายมาช้านาน พระองค์ไม่ทรงประสงค์ที่จะให้ผู้หนึ่งผู้ใดพินาศเลย แต่ทรงปรารถนาที่จะให้คนทั้งปวงกลับใจเสียใหม่

2เปโตร 3:15 และจงถือว่า การที่องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราทรงอดกลั้นพระทัยไว้นานนั้น เป็นการช่วยเราให้รอด ดังที่เปาโลน้องที่รักของเราได้เขียนจดหมายถึงท่านทั้งหลาย ตามสติปัญญาซึ่งพระองค์ได้ทรงโปรดประทานแก่เขานั้น

• ลูกของพระเจ้าจะเลียนแบบจากพระองค์ ต้องเลียนแบบพระลักษณะความอดทนของพระองค์

2. ความอดทนเป็นวิถีชีวิตของผู้เชื่อ

• คนที่ไม่เชื่อ ไม่จำเป็นต้องอดทน ความอดทนขึ้นอยู่กับตัวเขาเอง ทำก็ได้ ไม่ทำก็ได้
• คนที่เชื่อพระเจ้า ได้ตายต่อตนเองตั้งแต่วันแรกที่เชื่อพระเจ้าแล้ว

มธ10:24-25 24 ขณะนั้นพระเยซูจึงตรัสกับเหล่าสาวกของพระองค์ว่า “ถ้าผู้ใดใคร่ตามเรามาให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเอง และรับกางเขนของตนแบกและตามเรามา
25 เพราะว่าผู้ใดใคร่จะเอาชีวิตรอด ผู้นั้นจะเสียชีวิต แต่ผู้ใดจะเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เรา ผู้นั้นจะได้ชีวิตรอด

กท2:20 ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว ข้าพเจ้าเองไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตซึ่งข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้ ข้าพเจ้าดำเนินอยู่โดยศรัทธาในพระบุตรของพระเจ้า ผู้ได้ทรงรักข้าพเจ้า และได้ทรงสละพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า

• ผู้เชื่อจึงไม่ได้ดำเนินชีวิตโดยมีตัวเองเป็นศูนย์กลางต่อไป จะทนต่ออะไร หรือไม่ทนต่ออะไรตามใจของตัว
• แต่เราอดทนต่อสิ่งใดๆที่เป็นน้ำพระทัยพระเจ้า ไม่ได้เอาตัวเราเป็นเกณฑ์อีกต่อไป

• จริงๆแล้วเมื่อเราเชื่อ เราต้องต่อสู้กับสิ่งต่างๆมากมาย ทั้งสู้กับโลกนี้

ยน15:18 ถ้าท่านทั้งหลายเป็นของโลก โลกก็จะรักท่านซึ่งเป็นของโลก แต่เพราะท่านไม่ใช่ของโลก เพราะเราได้เลือกท่านออกจากโลก เหตุฉะนั้นโลกจึงเกลียดชังท่าน

• สู้กับเนื้อหนัง ความทุกข์ยาก ผู้เชื่อจึงเป็นคนที่อดทน สะเทินน้ำสะเทิ้นบก ทนทายาท คือ เป็นทายาทของพระคริสต์ตัวจริง
• เราจึงตั้งหน้าตั้งตารอคอยพระองค์ และต้องอดทนต่อสู้กับความเสื่อมทรามลงของบาป และวิถีของโลกนี้

ยากอบ 5:7 - 8 7 เหตุฉะนั้นพี่น้องทั้งหลาย จงอดทนจนกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมา จงดูชาวนารอคอยผลอันล้ำค่าที่จะได้จากแผ่นดิน เพียรคอยจนกระทั่งมีฝนต้นฤดูและฝนชุกปลายฤดู
8 ท่านทั้งหลายก็จงอดทนเช่นนั้นเหมือนกัน จงตั้งอกตั้งใจให้ดี เพราะใกล้จะถึงเวลาที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาแล้ว

วิวรณ์ 14:9-12 9 และทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งเป็นองค์ที่สามตามไป ประกาศด้วยเสียงอันดังว่า “ถ้าผู้ใดบูชาสัตว์ร้ายและรูปของมัน และมีเครื่องหมายของมันไว้ที่หน้าผากหรือที่มือ
10 ผู้นั้นจักต้องดื่มเหล้าองุ่นแห่งพระพิโรธของพระเจ้า ซึ่งไม่ได้ระคนกับสิ่งใด ที่ได้เทลงในถ้วยพระพิโรธของพระองค์ และเขาจะต้องถูกทรมานด้วยไฟและกำมะถัน ต่อหน้าทูตสวรรค์ผู้บริสุทธิ์ทั้งหลายและต่อพระพักตร์พระเมษโปดก
11และควันแห่งการทรมานของเขาพลุ่งขึ้นตลอดไปเป็นนิตย์ และคนทั้งหลายที่บูชาสัตว์ร้ายและรูปของมัน และที่รับเครื่องหมายชื่อของมัน จะไม่มีการพักผ่อนเลยทั้งกลางวันและกลางคืน”
12 นี่แหละความอดทน ซึ่งพวกธรรมิกชนคือผู้ที่ประพฤติตามพระบัญญัติของพระเจ้า และดำเนินตามความเชื่อของพระเยซูจะต้องมี

• วิถีแห่งความอดทนจึงเป็นวิถีชีวิตของผู้เชื่อตั้งแต่วันแรก

3. ความอดทนเป็นผลพระวิญญาณ

• ทุกคนมีพระวิญญาณพระเจ้าควบคุมชีวิต
• เชื่อแท้จะต้องแสดงผลพระวิญญาณ ต้องรู้จักอดทน และ อดทนมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อเดินกับพระเจ้านานวันมากขึ้น
• คริสเตียนจึงไม่ใช่คนที่ระเบิดอารมณ์ได้ตลอดเวลา

กท5:22-23 22 ฝ่ายผลของพระวิญญาณนั้น คือความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ ความปรานี ความดี ความสัตย์ซื่อ
23 ความสุภาพอ่อนน้อม การรู้จักบังคับตน เรื่องอย่างนี้ไม่มีธรรมบัญญัติห้ามไว้เลย

4. ความอดทนเป็นด่านแรกของการรู้จักบังคับตน

• ถ้าอดทนไม่เป็น จะควบคุมตัวเองได้อย่างไร
• ทั้งคำพูดและการกระทำ

ยก3:10 คำสรรเสริญและคำแช่งด่าก็ออกมาจากปากอันเดียวกัน ดูก่อนพี่น้องของข้าพเจ้า ไม่ควรให้เป็นเช่นนั้น

2ปต1:5-6 5 เพราะเหตุนี้เอง ท่านจงอุตส่าห์จนสุดกำลังที่จะเอาคุณธรรมเพิ่มความเชื่อ เอาความรู้เพิ่มคุณธรรม
6 เอาความเหนี่ยวรั้งตนเพิ่มความรู้ เอาขันตีเพิ่มความเหนี่ยวรั้งตน และเอาธรรมเพิ่มขันตี

5. ความอดทนเป็นคุณสมบัติของบุคคลพิเศษ

ผู้มีปัญญา

สุภาษิต 14:17 คนโมโหร้ายประพฤติโง่เขลา แต่คนเฉลียวฉลาดนั้นอดทน

ผู้ใหญ่

ฟป3:14-16 14 ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไปสู่หลักชัย เพื่อจะได้รับรางวัล ซึ่งในพระเยซูคริสต์พระเจ้าได้ทรงเรียกจากเบื้องบน ให้เราไปรับ
15 เราซึ่งเป็นผู้ใหญ่แล้วจึงคิดอย่างนั้น และถ้าท่านคิดอย่างอื่น พระเจ้าก็จะทรงโปรดให้เรื่องนั้นประจักษ์แก่ท่านด้วย
16 แต่เราได้แค่ไหนแล้ว ก็ให้เราดำเนินตรงตามนั้นต่อไป

ผู้ถ่อมใจ

เอเฟซัส 4:2 คือจงมีใจถ่อมลงทุกอย่าง และใจอ่อนสุภาพอดทนนาน และอดกลั้นต่อกันและกัน ด้วยความรัก

ฟป2:6-8 6 ผู้ทรงสภาพของพระเจ้า แต่มิได้ทรงถือว่าการเท่าเทียมกับพระเจ้านั้นเป็นสิ่งที่จะต้องยึดถือ
7 แต่ได้กลับทรงสละ และทรงรับสภาพทาส ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์
8 และเมื่อทรงปรากฏพระองค์ในสภาพมนุษย์แล้ว พระองค์ก็ทรงถ่อมพระองค์ลงยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา กระทั่งความมรณาที่กางเขน

ฮีบรู 12:2 หมายเอาพระเยซูเป็นผู้บุกเบิกความเชื่อ และผู้ทรงทำให้ความเชื่อของเราสมบูรณ์ พระองค์ได้ทรงอดทนต่อกางเขน เพื่อความรื่นเริงยินดีที่ได้เตรียมไว้สำหรับพระองค์ ทรงถือว่าความละอายนั้นไม่เป็นสิ่งสำคัญและพระองค์ได้ประทับ ณ เบื้องขวาพระที่นั่งของพระเจ้า

ผู้ที่สามารถรักผู้อื่นได้

1โครินธ์ 13:4 ความรักนั้นก็อดทนนานและกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว
1โครินธ์ 13:7 ความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ และทนต่อทุกอย่าง
ฮีบรู 5:2 ท่านแสดงใจอดทนนานด้วยความรักต่อคนเขลาและคนหลงผิดได้ เพราะท่านเองก็มีความอ่อนแอเช่นเดียวกับมนุษย์ทุกคน

9. ความอดทนช่วยรักษาชีวิตให้ถึงความรอด

ลูกา 21:19 ท่านจะได้ชีวิตรอดโดยความอดทนของท่าน
มัทธิว 24:13 แต่ผู้ใดทนได้จนถึงที่สุดผู้นั้นจะรอด

10. ความอดทนทำให้พระเจ้าทรงใช้เราได้

โรม 5:4 และความอดทนทำให้เห็นว่าเราเป็นคนที่พระเจ้าทรงใช้ได้ และการที่เราเห็นเช่นนั้นทำให้เกิดมีความหวังใจ

• ไม่เลิกกลางคัน ไม่ท้อแท้ง่าย ไม่ท้อใจง่ายๆ
• แข็งแกร่ง มุ่งมั่น อดทนฟันฝ่า จนงานสำเร็จ

กจ20:24 แต่ข้าพเจ้ามิได้ถือว่า ชีวิตของข้าพเจ้าเป็นสิ่งมีค่าและประเสริฐสำหรับตัวข้าพเจ้า แต่ในชีวิตของข้าพเจ้าขอทำหน้าที่ให้สำเร็จก็แล้วกัน และทำการปรนนิบัติที่ได้รับมอบหมายจากพระเยซูเจ้า คือที่จะเป็นพยานถึงข่าวประเสริฐ ซึ่งสำแดงพระคุณของพระเจ้านั้น

• ความอดทนทำให้ทำตามน้ำพระทัยได้

ฮีบรู 10:36 ท่านทั้งหลายจำเป็นต้องมีความอดทน เพื่อว่าท่านจะได้สามารถกระทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าได้ แล้วท่านจะได้รับสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้นั้น

วิวรณ์ 13:10 ผู้ใดที่กำหนดไว้ให้ไปเป็นเชลย ผู้นั้นก็จะต้องไปเป็นเชลย ผู้ใดฆ่าเขาด้วยดาบ ผู้นั้นก็ต้องถูกฆ่าด้วยดาบ นี่แหละคือความอดทนและความเชื่อที่พวกธรรมิกชนจะต้องมี

พระเยซู

มธ26:39 แล้วเสด็จดำเนินไปอีกหน่อยหนึ่ง ก็ซบพระพักตร์ลงถึงดินอธิษฐานว่า “โอพระบิดาของข้าพระองค์ ถ้าเป็นได้ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์เถิด แต่อย่างไรก็ดี อย่าให้เป็นตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์

มธ26:42 พระองค์จึงเสด็จไปอธิษฐานครั้งที่สองอีกว่า “ข้าแต่พระบิดาของข้าพระองค์ ถ้าถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์ไม่ได้ และข้าพระองค์จำต้องดื่มแล้ว ก็ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์

11. ความอดทนสร้างแบบอย่างและแรงบันดาลใจให้ผู้อื่น

ยากอบ 5:10-11 10 พี่น้องทั้งหลาย จงเอาแบบอย่างในการทนทุกข์และการอดทนของผู้เผยพระวจนะ ผู้ได้กล่าวความในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า
11 จงดู เราถือว่าผู้ที่อดทนก็เป็นสุข ท่านได้รู้เรื่องความอดทนของโยบ และได้เห็นแล้วว่าในที่สุดปลายนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเปี่ยมไปด้วยพระเมตตากรุณาสักเท่าใด

ชีวิตคริสเตียนต้องอดทนกับอะไรบ้าง

1. ความยากลำบากในชีวิต

มธ8:19-20 19 ขณะนั้นมีธรรมาจารย์คนหนึ่งมาหาพระองค์ทูลว่า “อาจารย์เจ้าข้า ท่านไปทางไหน ข้าพเจ้าจะตามท่านไปทางนั้น”
20 พระเยซูจึงตรัสว่า “หมาจิ้งจอกยังมีโพรง และนกในอากาศก็ยังมีรัง แต่บุตรมนุษย์ไม่มีที่ที่จะวางศีรษะ

มก10:29-30 29 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดได้สละบ้าน หรือพี่น้องชายหญิง หรือบิดามารดา หรือลูก หรือไร่นา เพราะเห็นแก่เราและข่าวประเสริฐของเรา
30 ในยุคนี้ ผู้นั้นจะได้รับตอบแทนร้อยเท่าคือ บ้าน พี่น้องชายหญิง มารดา ลูกและไร่นา ทั้งจะถูกการข่มเหงด้วยและในยุคหน้าจะได้ชีวิตนิรันดร์

โรม 12:12 จงชื่นชมยินดีในความหวัง จงอดทนต่อความยากลำบาก จงขะมักเขม้นอธิษฐาน

1เธสะโลนิกา 3:4 ด้วยว่าเมื่อเราได้อยู่กับท่านทั้งหลาย เราได้บอกท่านไว้ก่อนแล้วว่า เราจะต้องทนการยากลำบาก แล้วก็เป็นจริงอย่างนั้น ตามที่ท่านก็รู้อยู่แล้ว

2. อดทนต่อการกดขี่ข่มเหง

ยน15:18-19 18 ถ้าโลกนี้เกลียดชังท่านทั้งหลาย ก็จงรู้ว่าโลกได้เกลียดชังเราก่อน
19 ถ้าท่านทั้งหลายเป็นของโลก โลกก็จะรักท่านซึ่งเป็นของโลก แต่เพราะท่านไม่ใช่ของโลก เพราะเราได้เลือกท่านออกจากโลก เหตุฉะนั้นโลกจึงเกลียดชังท่าน

1คร4:10-13 10 เราทั้งหลายเป็นคนเขลาเพราะเห็นแก่พระคริสต์ และท่านทั้งหลายเป็นคนมีปัญญาในพระคริสต์ เราทั้งหลายมีกำลังน้อย แต่ท่านทั้งหลายมีกำลังมาก ท่านทั้งหลายมีเกียรติยศ แต่เราทั้งหลายเป็นคนอัปยศ
11 จนขณะนี้เราก็ยังหิว กระหาย ขาดเครื่องนุ่งห่ม ถูกโบยตี และไม่มีบ้านอยู่
12 เราทำการหนักด้วยมือของเราเอง เมื่อถูกด่าเราก็อวยพร เมื่อถูกเคี่ยวเข็ญเราก็ทนเอา
13เมื่อถูกใส่ร้ายเราก็พยายามปรองดอง เรากลายเป็นเหมือนหยากเยื่อของโลก และเหมือนราคีของสิ่งสารพัดจนถึงบัดนี้

ฮีบรู 11:35-38 35 พวกผู้หญิงก็ได้รับคนพวกของนางที่กลับฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีก บางคนก็ถูกทรมาน แต่ก็ไม่ยอมรับการปลดปล่อย เพื่อเขาจะได้กลับมีชีวิตที่ดีกว่านั้นอีก
36 บางคนต้องทนต่อคำเยาะเย้ยและการถูกโบยตี และยังถูกล่ามโซ่และถูกขังคุกด้วย
37 บางคนก็ถูกขว้างด้วยก้อนหิน บางคนก็ถูกเลื่อยเป็นท่อนๆ บางคนก็ถูกฆ่าด้วยคมดาบ บางคนก็นุ่งห่มหนังแกะหนังแพะพเนจรไป สิ้นเนื้อประดาตัว ตกระกำลำบากและถูกเคี่ยวเข็ญ
38 เขาพเนจรไปในถิ่นทุรกันดาร และตามภูเขาและอยู่ตามถ้ำและตามโพรง

3. อดทนต่อการทดลอง

• ล่อลวงให้เดินออกนอกทางพระเจ้า เป็นเหมือนตัวทดสอบความเชื่อ
• พระเยซูก็ทรงถูกทดลองมาแล้ว

ยากอบ 1:12 คนที่อดทนต่อการทดลองใจก็เป็นสุข เพราะเมื่อปรากฏว่าผู้นั้นทนได้แล้วเขาจะได้รับมงกุฎแห่งชีวิต ซึ่งพระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้แก่คนทั้งหลายที่รักพระองค์

1คร10:13 ไม่มีการทดลองใดๆเกิดขึ้นกับท่าน นอกเหนือจากการทดลองซึ่งเคยเกิดกับมนุษย์ทั้งหลาย พระเจ้าทรงสัตย์ธรรม พระองค์จะไม่ทรงให้ท่านต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้ และเมื่อท่านถูกทดลองนั้น พระองค์จะทรงโปรดให้ท่านมีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้ด้วย เพื่อท่านจะมีกำลังทนได้

4. อดทนต่อพี่น้อง

• คริสเตียนตัวป่วน

มธ18:21-22 21 ขณะนั้นเปโตรมาทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า หากพี่น้องของข้าพระองค์จะกระทำผิดต่อข้าพระองค์เรื่อยไป ข้าพระองค์ควรจะยกความผิดของเขาสักกี่ครั้ง ถึงเจ็ดครั้งหรือ”
22 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “เรามิได้ว่าเพียงเจ็ดครั้งเท่านั้น แต่เจ็ดครั้งคูณด้วยเจ็ดสิบ

กท5:16-15 13 13 ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ที่ทรงเรียกท่านก็เพื่อให้มีเสรีภาพ อย่าเอาเสรีภาพของท่านเป็นช่องทางที่จะปล่อยตัวไปตามเนื้อหนัง แต่จงรับใช้กันและกันด้วยความรักเถิด
14 เพราะว่าธรรมบัญญัติทั้งสิ้นนั้นสรุปได้เป็นคำเดียว คือว่า จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง
15 แต่ถ้าท่านกัดและกินเนื้อกันและกัน จงระวังให้ดี เกรงว่าจะย่อยยับไปตามๆกัน

โรม 15:1 พวกเราซึ่งมีความเชื่อเข้มแข็ง ควรจะอดทนต่อความเชื่อของคนที่เคร่งในข้อหยุมๆหยิมๆและไม่ควรกระทำสิ่งใดตามความพอใจของตัวเอง

ยากอบ 5:7 - 9 7 เหตุฉะนั้นพี่น้องทั้งหลาย จงอดทนจนกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมา จงดูชาวนารอคอยผลอันล้ำค่าที่จะได้จากแผ่นดิน เพียรคอยจนกระทั่งมีฝนต้นฤดูและฝนชุกปลายฤดู
8 ท่านทั้งหลายก็จงอดทนเช่นนั้นเหมือนกัน จงตั้งอกตั้งใจให้ดี เพราะใกล้จะถึงเวลาที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาแล้ว
9 พี่น้องทั้งหลาย จงอย่าบ่นว่ากันและกัน เพื่อท่านจะไม่ต้องถูกทรงพิพากษา จงดูองค์พระผู้พิพากษาทรงประทับยืนอยู่ที่ประตูแล้ว

5. อดทนต่อการเตือนสติและสั่งสอน

• การเตือนสติมีทั้งคนยินดีและคนที่ไม่ชอบ

สภษ15;32 บุคคลผู้เพิกเฉยต่อคำเตือนสติก็ดูหมิ่น ตนเอง แต่บุคคลผู้สนใจการทักท้วงก็ได้ความเข้าใจ

สภษ25:12 คนตักเตือนที่ฉลาดกับหูที่คอยฟัง ก็เหมือนแหวนหรืออาภรณ์ทองคำ

• ยุคสุดท้ายคนทนฟังไม่ได้

2ทธ 4:2-5 2 ให้ประกาศพระวจนะ ให้ขะมักเขม้นที่จะทำการทั้งในขณะที่มีโอกาสและไม่มีโอกาส ให้ชักชวนด้วยเหตุผล เตือนสติและตักเตือนให้อดทนอยู่เสมอในการสั่งสอน
3 เพราะจะถึงเวลาที่คนจะทนต่อคำสอนที่มีหลักไม่ได้ แต่เขาจะรวบรวมครูไว้ให้สอนในสิ่งที่เขาชอบฟัง เพื่อบรรเทาความอยาก
4 เขาจะเลิกฟังความจริง และจะหันไปฟังเรื่องนิยายต่างๆ
5 แต่ท่านจงหนักแน่นมั่นคง จงอดทนต่อความทุกข์ยากลำบาก จงทำหน้าที่ของผู้ประกาศข่าวประเสริฐ และจงกระทำพันธบริการของท่านให้สำเร็จ

• ต้องอดทน ยินดีรับฟังคำเตือนสติ

1คร4:14 ข้าพเจ้ามิได้เขียนข้อความเหล่านี้เพื่อให้ท่านละอายใจ แต่เขียนเพื่อเตือนสติท่าน ในฐานะที่ท่านเป็นลูกที่รักของข้าพเจ้า

1ธส3:1-3 เพราะว่าคำเตือนสติของเรามิได้เกิดมาจากความคิดผิด หรือการโสโครกหรืออุบายใดๆ

ฮบ.13 : 22 พระดำรัสของพระเจ้าตรัสว่า “ดูก่อนพี่ - น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอวิงวอนท่านให้เพียรฟังคำเตือนสตินี้เพราะข้าพเจ้าได้เขียนมาถึงท่านทั้งหลายแต่เพียงย่อ ๆ เท่านั้น”

2ปต1:12-13 12 เหตุฉะนั้น ถึงแม้ว่าท่านจะรู้และตั้งมั่นคงอยู่ในความจริงแล้วก็ดี ข้าพเจ้าก็พร้อมอยู่เสมอที่จะเตือนสติท่านทั้งหลาย ให้ระลึกถึงสิ่งเหล่านี้
13ตราบใดที่ข้าพเจ้ายังอาศัยอยู่ในกายนี้ ข้าพเจ้าเห็นสมควรที่จะเตือนสติท่านทั้งหลายให้ระลึกถึงข้อความเหล่านั้น

6. อดทนต่อการตีสอน

• คิดว่าชีวิตของเราต้องถูกตีอีกกี่ครั้ง
• ยังต้องตีอีกกี่ที จึงจะเอาความไม่ดีออกจากชีวิตเราได้
• การตีสอนมาได้ในหลายลักษณะ แต่ที่แน่ๆทำให้เราต้องสำนึกและ เจ็บปวด เพื่อเราจะละทิ้งทางแห่งความอสัตย์อธรรมนั้นๆ

ฮีบรู 12:7 ท่านทั้งหลายจงรับและทนเอาเถอะเพราะเป็นการตีสอน พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อท่านในฐานะที่ท่านเป็นบุตรของพระองค์ ด้วยว่ามีบุตรคนใดเล่าที่บิดาไม่ได้ตีสอนเขาบ้าง

7. อดทนรับใช้พระเจ้า

• งานที่ยากลำบากที่สุดในแผ่นดินโลก
• เป็นงานที่มีสิทธิพิเศษมากที่สุดในแผ่นดินโลกเช่นเดียวกัน
• ต้องทุ่มเท จ่ายราคา เสียสละ

1คร11:23-27 23 เขาเป็นคนรับใช้ของพระคริสต์หรือ ข้าพเจ้าเป็นดีกว่าเขาเสียอีก (ข้าพเจ้าพูดอย่างคนบ้า) ข้าพเจ้าทำงานใหญ่ยิ่งกว่าเขาอีก ข้าพเจ้าติดคุกมากกว่าเขา ข้าพเจ้าถูกโบยตีเกินขนาด ข้าพเจ้าหวิดตายบ่อยๆ
24 พวกยูเดียเฆี่ยนข้าพเจ้าห้าครั้งๆละสามสิบเก้าที
25 เขาตีข้าพเจ้าด้วยตะบองสามครั้ง เขาเอาก้อนหินขว้างข้าพเจ้าครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าเผชิญภัยเรือแตกสามครั้ง ข้าพเจ้าลอยอยู่ในทะเลวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง
26 ข้าพเจ้าต้องเดินทางบ่อยๆ เผชิญภัยอันน่ากลัวในแม่น้ำ เผชิญโจรภัย เผชิญภัยจากชนชาติของข้าพเจ้าเอง เผชิญภัยจากคนต่างชาติ เผชิญภัยในนคร เผชิญภัยในป่า เผชิญภัยในทะเล เผชิญภัยจากพี่น้องทรยศ
27 ต้องทำงานเหน็ดเหนื่อยและยากลำบาก ต้องอดหลับอดนอนบ่อยๆ ต้องหิวและกระหาย ต้องอดข้าวบ่อยๆ ต้องทนหนาวและเปลือยกาย

2คร4:7-12 7 แต่ว่าเรามีของมีค่านี้อยู่ในภาชนะดิน เพื่อให้เห็นว่า ฤทธิ์เดชอันเลิศนั้นเป็นของพระเจ้า ไม่ได้มาจากตัวเราเอง
8 เราถูกขนาบรอบข้าง แต่ก็ไม่ถึงกับกระดิกไม่ไหว เราจนปัญญาแต่ก็ไม่ถึงกับหมดมานะ
9 เราถูกข่มเหงแต่ก็ไม่ถูกทอดทิ้ง เราถูกตีลงแล้ว แต่ก็ไม่ถึงตาย
10 เราแบกความตายของพระเยซูไว้ที่กายเราเสมอ เพื่อว่าชีวิตของพระเยซูจะปรากฏในกายของเราด้วย
11 เพราะว่าพวกเราที่มีชีวิตอยู่นั้น ต้องถูกมอบไว้แก่ความตายอยู่เสมอ เพราะเห็นแก่พระเยซู เพื่อว่าพระชนม์ชีพของพระเยซูจะได้ปรากฏในเนื้อหนังของเรา ซึ่งจะต้องตายนั้น
12 เหตุฉะนั้นความตายจึงกำลังออกฤทธิ์อยู่ในเรา แต่ชีวิตกำลังออกฤทธิ์อยู่ในท่านทั้งหลาย

1ทิโมธี 4:10 เหตุที่เราตรากตรำทำงานและทนสู้ ก็เพราะว่าเรามีความหวังใจในพระเจ้าผู้ดำรงพระชนม์ พระผู้ช่วยให้รอดของคนทั้งปวง โดยเฉพาะของผู้ที่เชื่อในพระองค์

ผลของความอดทน

1. ได้รับความสุขถาวร

• คนที่ไม่อดทน คนที่ยอมแพ้ง่ายๆ จะมีความสุขในจิตใจได้หรือ จะมีความภาคภูมิใจในชีวิตได้หรือ
• คนที่อดทนได้ เป็นคนที่ชนะตนเองก่อน จึงเป็นชัยชนะแท้ และเป็นความมั่นใจในผลงานการทรงสร้างของพระเจ้าที่ทรงกระทำผ่านชีวิตของเรา
• หากแต่ต้องร่วมมือกับพระองค์ จึงจะฟันฝ่าอุปสรรคนานาไปได้

ยากอบ 1:12 คนที่อดทนต่อการทดลองใจก็เป็นสุข เพราะเมื่อปรากฏว่าผู้นั้นทนได้แล้วเขาจะได้รับมงกุฎแห่งชีวิต ซึ่งพระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้แก่คนทั้งหลายที่รักพระองค์

ยากอบ 5:11 จงดูเราถือว่าผู้ที่อดทนก็เป็นสุข ท่านได้รู้เรื่องความอดทนของโยบ และได้เห็นแล้วว่าในที่สุดปลายนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเปี่ยมไปด้วยพระเมตตากรุณาสักเท่าใด

2. ความสมบูรณ์

• เราอดทนฟันฝ่าความทุกข์ยาก เพื่อให้เราเรียนรู้ มีความหนักแน่นมั่นคง และไม่ขาดสิ่งดีใดๆเลย
• คนที่ไม่อดทนฟันฝ่าไป เหมือนสอบตกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ผ่านเสียที

ยก1:2-4 2 ดูก่อนพี่น้องของข้าพเจ้า เมื่อท่านทั้งหลายประสบความทุกข์ยากลำบากต่างๆ ก็จงถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดี
3 เพราะท่านทั้งหลายรู้ว่า การทดลองความเชื่อของท่านนั้น ทำให้เกิดความหนักแน่นมั่นคง 4 และจงให้ความมั่นคงนั้นบรรลุผลอันสมบูรณ์ เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เป็นคนที่ดีพร้อม มีคุณสมบัติครบถ้วน ไม่มีสิ่งใดบกพร่องเลย

3. ครอบครองร่วมกับพระคริสต์

• คนที่อดทนเพื่อพระคริสต์เท่านั้น จึงจะได้อยู่ร่วมกับพระคริสต์บนแผ่นดินสวรรค์

2ทิโมธี 2:12 ถ้าเรามีความอดทน เราก็จะได้ครองร่วมกับพระองค์ ถ้าเราไม่ยอมรับพระองค์ พระองค์ก็จะไม่ทรงยอมรับเราเช่นเดียวกัน

ส่งท้าย
• ความอดทนไม่สามารถสร้างขึ้นได้ในเวลาข้ามคืน ต้องฝึกและสร้างลักษณะนิสัยนี้ขึ้นในชีวิตตั้งแต่ในเวลาปัจจุบัน
• และต้องมีจุดมุ่งหมายในความอดทนนั้นๆ หากไม่ได้มีจุดหมายเพื่อพระเจ้า ความอดทนนั้นอาจไม่มีความหมายแต่อย่างใดเลยก็ได้

วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ช่วยให้ผู้อื่นได้รับพร

"1 พระเจ้าตรัสแก่อับราม ว่า 'เจ้าจงออกจากเมือง จากญาติพี่น้อง จากบ้านบิดาของเจ้า ไปยังดินแดนที่เราจะบอกให้เจ้ารู้

2 เราจะให้เจ้าเป็นชนชาติใหญ่ เราจะอวยพรแก่เจ้า จะให้เจ้ามีชื่อเสียงใหญ่โตเลื่องลือไป แล้วเจ้าจะช่วยให้ผู้อื่นได้รับพร

3 เราจะอำนวยพรแก่คนที่อวยพรเจ้า เราจะสาปคนที่แช่งเจ้า บรรดาเผ่าพันธุ์ทั่วโลกจะได้พรเพราะเจ้า' " (ปฐมกาล 1:1-3)


--------------------------------------------------------------------------------

พระเยซูคริสต์ทรงประทานพระมหาบัญชา ให้สาวกของพระองค์ออกไปประกาศพระกิตติคุณ นี่เป็นสิ่งที่พระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่ได้สอนไว้ ให้เรานำเอาความรัก เอาพระคุณของพระเจ้าประกาศออกไป

"19 เหตุฉะนั้น เจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้เป็นสาวกของเรา ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์
20 สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้ นี่แหละเราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค" (มัทธิว 28:19-20)

เราจำเป็นต้องได้รับพระพรจากพระเจ้าก่อน เราจึงสามารถนำพรไปสู่ผู้อื่นได้

ปฐมกาล 1-11 ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ที่มนุษย์ได้พลาดพลั้งล้มลงในบาป บาปนั้นยิ่งมาก็ยิ่งมากขึ้น และพระเจ้าก็ทรงใช้เหตุการณ์น้ำท่วมโลกในการชำระล้างโลกนี้ หลังจากนั้น พระเจ้าทรงเลือกครอบครัวของโนอาห์ขึ้นมา ซึ่งเขาก็ได้ดำเนินชีวิตครอบครัว มีลูกหลานมากมาย

ปฐมกาล 12 เป็นการที่พระเจ้าเริ่มจัดการความสัมพันธ์ระหว่างพระองค์และมนุษย์ พระองค์ทรงพอพระทัยที่จะจัดการกับปัญหาความผิดบาปของมนุษย์อย่างจริงจัง เนื่องจากความผิดบาปได้มากมาย พระองค์ทรงโปรดที่จะทำให้ความผิดบาปเหล่านี้ได้รับการชำระล้างออกไป เพื่อให้มนุษย์ได้พบหนทางสู่ชีวิตใหม่ พระองค์ทรงเลือกอับราฮัม เพื่อจะเป็นชนชาติหนึ่ง เพื่อให้ชนชาตินี้เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับพรจากพระเจ้า

อับราฮัมเป็นบิดาแห่งความเชื่อ เมื่อพระเจ้าทรงเรียกอับราฮัม พระองค์ทรงประทานพระสัญญาให้แก่ท่าน เป็นการท้าทาย พระองค์ทรงต้องการให้อับราฮัมมีการเริ่มต้นใหม่ ออกจากเมืองเออร์ พระองค์ต้องการยกชูอับราฮัมขึ้นมา ให้เข้าสู่เส้นทางใหม่ ซึ่งการจะเดินเข้าสู่เส้นทางใหม่นั้น จะต้องได้รับการท้าทาย ต้องลงทุน เริ่มต้นจากการเดินทางออกจากแผ่นดินของตนเอง ออกจากที่ที่เข้าคุ้นเคย ที่ที่เขาใช้ชีวิตมาตั้งแต่เด็ก มีวัฒนธรรมที่คุ้นเคย แต่เขาต้องออกจากดินแดนนี้ พระเจ้าทรงต้องการใช้อับราฮัม พระองค์ทรงนำเขาออกจากญาติพี่น้อง ออกจากบ้านของบิดาของตน ซึ่งการออกเดินทางครั้งนี้ เป็นการออกทั้งหมดจริง ๆ และด้วยความเชื่อ อับราฮัมจึงก้าวสู่เส้นทางชีวิตใหม่ ซึ่งแตกต่างจากแต่ก่อนทั้งสิ้น

หลายท่านอาจมีประสบการณ์ต้องเรียนต่อต่างประเทศ ต้องจากบ้านของตนเอง คิดถึงบ้าน จึงพยายามเรียนให้จบ เพื่อจะได้กลับบ้าน แต่ในสมัยอับราฮัมนั้น การสื่อสารก็ยังไม่พัฒนา เดินทางลำบาก ดังนั้นการเดินทางออกจากบ้านของอับราฮัม จึงเป็นการท้าทาย เป็นการลงทุนอย่างมาก และเมื่อมีการท้าทาย ก็มีพระพรด้วย แม้ว่าอับราฮัมจะต้องละทิ้งสิ่งต่าง ๆ มากมาย แต่เราจะพบว่า พระเจ้าได้ทรงประทานพระพรให้แก่ท่านอย่างมากมาย

ในพระธรรมตอนนี้ จะพบว่ามีคำที่เกี่ยวกับพรหลายครั้ง พระองค์ทรงอวยพรอับราฮัมว่าท่านจะเป็นชนชาติใหญ่ ทรงอวยพรแก่ท่าน ให้เป็นที่รู้จัก มีชื่อเสียง ซึ่งทุกวันนี้มีอยู่ 3 ศาสนาที่รู้ว่าอับราฮัมเป็นผู้ใด ได้แก่ ยูดาห์ คริสต์ และอิสลาม ซึ่งต่างก็เคารพยำเกรงอับราฮัมทั้งสิ้น ถ้าท่านอยู่ที่เมืองเออร์ คงจะไม่มีใครรู้จักท่านอย่างแน่นอน และไม่เพียงเท่านั้น พระเจ้ายังทรงอวยพรท่านเพื่อที่ชีวิตของท่านจะเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับพร

นี่เป็นภาระกิจที่สำคัญ คือ อับราฮัมจะช่วยให้ผู้อื่นได้รับพร นี่เป็นการรับพระมหาบัญชาให้ออกไปแบ่งปันกับผู้อื่น พระเจ้าทรงเลือกท่าน และใช้ท่าน เพื่อให้คนทั้งโลกได้รับพร

เช่นเดียวกัน เมื่อเราได้รับพรแล้ว พระเจ้าก็ทรงต้องการจะใช้เรา เพื่อให้ผู้อื่นได้รับพรจากพระเจ้าเช่นกัน พระพรต้องขยายออกไป เพื่อให้บรรดาประชาชาติทั้งหลายได้รับพรด้วย อย่าเก็บไว้แก่ตัวเองเท่านั้น อย่าเห็นแก่ตัว จะต้องแบ่งปันให้ผู้อื่นด้วย

จิตใจของพระเจ้า คือ ทรงรักบรรดามนุษย์ทั้งหลาย พระมหาบัญชาของพระเยซูคริสต์ก็เช่นเดียวกัน คือ ทรงสั่งให้เราแบ่งปันพรที่เราได้รับ ให้กับผู้อื่น พระกิตติคุณจะต้องได้รับการประกาศออกไป

เราคริสเตียนเป็นคนของพระเจ้า เป็นลูกฝ่ายจิตวิญญาณของอับราฮัม เรามีความผูกพันแม้ว่าจะไม่ได้สืบสายเลือดโดยตรง

"6 ดังที่อับราฮัมได้เชื่อพระเจ้า และการที่เชื่อนั้น พระองค์ทรงนับว่าเป็นความชอบธรรมแก่ท่าน
7 ฉะนั้นคนที่เชื่อนั่นแหละเป็นบุตรของอับราฮัม
8 และพระคัมภีร์นั้นรู้ล่วงหน้าว่า พระเจ้าจะทรงให้คนต่างชาติเป็นคนชอบธรรมโดยความเชื่อ จึงได้ประกาศข่าวประเสริฐแก่อับราฮัมล่วงหน้าว่า ชนชาติทั้งหลายจะได้รับพระพรเพราะเจ้า
9 เหตุฉะนั้น คนที่เชื่อจึงได้รับพระพรร่วมกับอับราฮัมผู้ซึ่งเชื่อ" (กาลาเทีย 3:6-9)

เรามีความเชื่อ เราได้รับพระคุณจากพระเจ้า ในด้านจิตวิญญาณเราเป็นลูกหลานของอับราฮัม จากพระสัญญาที่พระเจ้าทรงประทานแก่อับราฮัม เราจึงได้รับผลด้วยเช่นกัน เราจึงควรตอบสนอง เราจึงมีบทบาทภาระหน้าที่เช่นกัน คือ ที่จะเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับพร นี่เป็นพระคุณของพระเจ้าที่ทรงใช้เรา เราจึงควรรีบเร่งกระทำตามด้วยความขยันขันแข็ง เพราะการประกาศพระกิตติคุณเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า

สิ่งที่เราสามารถจะทำได้ เพื่อเป็นการตอบสนองพระมหาบัญชา ได้แก่

ขอที่เราจะสนับสนุนพันธกิจมิชชัน
อธิษฐานเพื่อพันธกิจมิชชัน ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำ ซึ่งคำอธิษฐานนี้เองจะเป็นพลังขับเคลื่อนให้พันธกิจนี่ก้าวไป และขอที่เราจะอธิษฐานเพื่อคริสตจักรลูก เพื่อผู้รับใช้
การถวายทรัพย์ มีส่วนร่วมในพันธกิจมิชชัน เพื่อให้ผู้ที่อยู่แนวหน้าสามารถทำงานอยู่ได้ แม้ว่าเราจะไม่มีโอกาสไป แต่จากการที่ถวายด้วยความเชื่อสนับสนุน เราก็จะได้รับพรเช่นกัน
ขอพระเจ้าดลใจเราทั้งหลายที่จะก้าวออกมา ออกไปเป็นมิชชันนารี เป็นแนวหน้า
อยากให้เราทั้งหลายตระหนักว่า พันธกิจมิชชัน มิใช่แค่คนส่วนหนึ่งที่ทำ แต่ขอที่เราทั้งหลายจะร่วมแรงร่วมใจทำพันธกิจนี้


ศจ. วิวัฒน์ วงศ์สันติชน

สรุปคำเทศนาโบสถ์จีน คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 07/06/2009

เรื่อง ช่วยให้ผู้อื่นได้รับพร

No arms, No legs, No worries

No arms, No legs, No worries"
เขียนโดย Nick Vujicic
ข้อมูลจาก www.thaisermons.com



อังคาร, 09 มิถุนายน 2009
Nick Vujicic เป็นชาว ออสเตรเลีย เกิดเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2525 จากพ่อแม่ชาวเซอร์เบียซึ่งอุทิศตนให้คริสต์ศาสนา — เขาเกิดมาไม่มีแขนทั้งสองข้าง มีขาสั้นๆ ข้างเดียวที่มีนิ้วโป้งสองนิ้วเท่านั้นแทนที่จะมัวหมกมุ่นสงสารตัวเอง หรือโกรธเกรี้ยวผู้คนรอบข้างด้วยเหตุผลต่างๆ นานาของ “ความไม่ยุติธรรม” (Why me?) เขากลับบอกพ่อแม่ว่าเขาอยากใช้ชีวิตปกติ ไม่ต้องการให้ใครมาดูแล หรือปฏิบัติต่อเขาอย่างพิเศษ — แล้วเขาก็ใช้ชีวิตปกติ ไปโรงเรียนสามัญเรียนร่วมกับเพื่อนที่มีร่างกายสมบูรณ์ ผู้คนต่างมองเขาอย่างประหลาดใจ โดยที่ไม่ได้ตระหนักเลยว่าสิ่งที่พวกเขาคิดกับความเป็นจริงนั้น เป็นคนละเรื่องเลย เขาเรียนจบทางบัญชี และปัจจุบันเป็นนักสร้างแรงบันดาลใจที่เดินรอบโลก เพื่อพูดกับเด็ก-วัยรุ่นที่มีความคับข้องใจ ไม่พอใจ เป็นตัวอย่างที่มีชีวิต แสดงให้เห็นว่าที่แต่ละคนมีนั้น ยิ่งใหญ่ขนาดไหน จะทุกข์ร้อนอะไรนักหนา


"No arms, No legs, No worries"


เรื่องเล่าอันน่าอัศจรรย์ใจเกี่ยวกับความเชื่อในภาวะ อันยากลำบาก ถ้าเรื่องของนิคไม่ทำให้เราเชื่อเรื่องความรักของพระเจ้าและพลังของพระองค์ รวมถึงสิ่งที่ความเชื่อนั้นทำให้เกิดขึ้นได้ ก็คงไม่มีเรื่องไหนที่จะทำให้เราเชื่อได้อีกแล้ว


ผมชื่อ นิค วูจิซิค และผมขอมอบสิ่งดีต่าง ๆ ให้เป็นของพระเจ้าสำหรับโอกาสการเป็นพยานของผมที่จับต้องหัวใจของคนนับแสนทั่วโลก!

ผมเกิดมาโดยที่ไม่มี แขนขาและหมอก็หาคำอธิบายทางการแพทย์ไม่ได้สำหรับ "ข้อบกพร่อง" จากการกำเนิดนี้ อย่างที่คุณน่าจะจินตนาการได้ว่าผมต้องเจอกับความท้าทายและอุปสรรคมากมาย


"คิดซะว่ามันเป็นความรู้สึกเป็นสุขอันบริสุทธิ์เถิดพี่น้อง เมื่อไหร่ก็ตามที่เราต้องเจอกับการทดลองในหลายรูปแบบ"


...ให้ถือ ว่าความเจ็บปวด ความทุกข์ยาก และการต่อสู้ดิ้นรนของเราเป็นความรู้สึกอันเป็นสุขงั้นเหรอ? ด้วยความที่พ่อแม่ของผมเป็นคริสเตียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพ่อของผมที่เป็นนักเทศน์ในโบสถ์ พวกเค้ารู้ซื้งในคำพูดนั้นเป็นอย่างดี

อย่าง ไรก็ตาม เช้าวันหนึ่งของวันที่ 4 ธันวาคม ปี 1982 ที่เมืองเมลเบิร์น (ประเทศออกเตรเลีย) สองคำสุดท้ายที่อยู่ในใจของพ่อแม่ผมก็คือ "สรรเสริญพระเจ้า!"

ลูก ชายคนแรกของพวกเขาเกิดมาไม่มีแขนขา! ไม่มีคำเตือนใด ๆ หรือแม้แต่เวลาให้เตรียมใจสำหรับเรื่องนี้ หมอก็ตกใจและไม่มีคำตอบใด ๆ เลย! ยังคงไม่มีเหตุผลทางการแพทย์ใด ๆ ที่จะอธิบายได้ว่าทำไมสิ่งนี้จึงเกิดขึ้น และตอนนี้นิคมีทั้งน้องชายและน้องสาวที่เกิดมาเหมือนกับเดกปกติคนอื่น ๆ


คน ทั้งโบสถ์เศร้าโศกกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับการเกิดมาของผม และพ่อแม่ผมก็รู้สึกไปกับเรื่องเหล่านั้น ทุกคนถามว่า "ถ้าพระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งความรัก ถ้างั้นทำไมพระองค์ถึงยอมให้สิ่งเลวร้ายแบบนี้เกิดขึ้น ไม่ใช่แค่กับใครคนอื่น แต่กับคริสเตียนที่ทุ่มเทแบบนี้" พ่อผมไม่คิดว่าผมจะมีชิวิตอยู่ได้นานนัก แต่ผลการทดสอบกลับบอกว่าผมเป็นเด็กผู้ชายแข็งแรง เพียงแค่แขนขาหายไปเท่านั้นเอง


พ่อแม่ผมมีความกังวลอย่างมากและแสดงให้ เห็นถึงความกลัวว่าชีวิตแบบไหนกันนะที่ผมจะเติบโตขึ้นมา ซึ่งมันก็เข้าใจได้อยู่หรอก แต่ว่าพระเจ้าก็ให้ความเข้มแข็ง สติปัญญา และความกล้าแก่พวกท่านในการที่จะผ่านสิ่งเหล่านี้ไปได้ในช่วงปีแรก ๆ และไม่นานหลังจากนั้นผมก็โตพอที่จะไปโรงเรียนได้


กฎหมาย ในประเทศไม่อนุญาตให้ผมได้เข้าโรงเรียนที่ดีที่สุดเนื่องจากสภาพความบกพร่อง ทางร่างกายของผม แต่พระเจ้าก็ทำเรื่องมหัศจรรย์และให้พลังแก่แม่ผมในการที่จะต่อสู้กับกฎหมาย เพื่อให้มันเปลี่ยนไป ผมเป็นคนหนึ่งในนักเรียนที่พิการรุ่นแรกที่ได้เข้าศึกษาในโรงเรียนในระดับ หน้า


ผม ชอบไปโรงเรียนและพยายามที่จะมีชีวิตเหมือนกับคนอื่น ๆ แต่ผมก็ได้รับรู้ในปีแรก ๆ ของการไปโรงเรียนถึงเวลาที่รู้สึกไม่สบายใจอันเกิดจากการถูกปฎิเสธ รู้สึกแปลกแยกและถูกล้อเลียนจากความแตกต่างทางร่างกายของผม เป็นเรื่องยากสำหรับผมที่จะชินกับความรู้สึกนั้น แต่ด้วยการสนับสนุนของพ่อแม่ ผมเริ่มที่จะพัฒนาทัศนคติที่ดีและคุณค่าที่ช่วยให้ผมก้าวผ่านเวลาแห่งความ ท้าทายนั้น


ผมรู้ ว่าภายนอกผมต่างจากคนอื่นแต่ข้างในนั้นผมก็เหมือนกับทุกคนแหละ มีหลายครั้งที่ผมรู้สึกแย่มาก ๆ จนไม่อยากไปโรงเรียนเพื่อที่จะไม่ต้องไปเจอเรื่องแย่ ๆ พวกนั้น แต่ผมก็ได้รับการชูใจจากพ่อแม่ในการที่จะไม่สนใจสิ่งเหล่านั้น และให้เริ่มหาเพื่อนโดยการไปพูดคุยกับเด็กบางคน ไม่นานนักเด็กนักเรียนเหล่านั้นก็รู้ว่าผมก็เหมือนพวกเขานั้นแหละ และจากตรงนั้น พระเจ้าก็อวยพรผมในการพบเพื่อนใหม่


มีบางเวลาที่ผมรู้สึก หดหู่และโกรธเกรี้ยวเพราะผมไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกาย ผม หรือไม่สามารถโทษใครได้สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้น ผมไปโรงเรียนสอนศาสนาวันอาทิตย์และได้เรียนรู้ว่าพระเจ้ารักเราทุกคนและ พระองค์ทรงห่วงใยเรา ผมก็เข้าใจความรักในแบบเด็ก ๆ แต่ผมไม่เข้าใจว่า ถ้าพระเจ้ารักผม ทำไมพระองค์ถึงทำให้ผมเป็นแบบนี้? เป็นเพราะว่าผมทำอะไรผิดหรือเปล่า? ผมคิดว่าผมต้องทำอะไรผิดแน่เลยเพราะจากเด็กทุกคนในโรงเรียน มีผมคนเดียวที่ประหลาด ผมรู้สึกเหมือนกับว่าผมเป็นภาระของคนรอบ ๆ ตัวผม และถ้าผมยิ่งตายเร็วเท่าไหร่ ทุกคนก็คงสบายขึ้นเท่านั้น ผมต้องการที่จะจบความเจ็บปวดและจบชีวิตนี้ด้วยอายุเพียงน้อยนิด แต่ผมก็ต้องขอบคุณอีกครั้งหนึ่ง สำหรับพ่อแม่และครอบครัวที่อยู่ตรงนั้นเพื่อผมตลอดเวลาเพื่อที่จะทำให้ผม รู้สึกดีและเข้มแข็ง


เนื่องจากการต้องดิ้นรนใน ด้านอารมณ์ของผม ผมต้องเจอกับการกลั่นแกล้ง การเคารพตัวเอง และความโดดเดี่ยว พระเจ้าได้ปลูกฝังความหลงไหลในการแบ่งปันเรื่องราวและประสบกาณ์ของผมเพื่อ ช่วยเหลือคนอื่นในการรับมือกับความท้าทายใด ๆ ก็ตามที่พวกเขาต้องเจอในชีวิตและยอมให้พระเจ้าเปลี่ยนเรื่องเหล่านั้นเป็น พระพร


เพื่อหนุนใจและดลใจให้ผู้อื่นใช้ชีวิตอย่างเต็มที่เท่าที่จะทำได้ และไม่ยอมให้สิ่งใดเข้ามาขวางความหวังและฝันของพวกเข้าได้
บทเรียนหนึ่งในเรื่องแรก ๆ ที่ผมได้เรียนรู้ก็คือการที่จะไม่ทึกทักเอาเอง


"และเรารู้ ว่าพระเจ้ากระทำดีที่สุดในทุกสิ่งเพื่อคนที่รักพระองค์" คำพูดนั้นโดนใจผมมากและพิสูจน์ให้เห็นว่าไม่มีสิ่งที่เรียกว่า โชค หรือความบังเอิญที่ทำให้สิ่ง "เลวร้าย" นี้เกิดขึ้นในชีวิตของเรา.
ผมได้พบกับความสงบอย่างสมบูรณ์ในการได้ รู้ว่าพระเจ้าจะไม่ปล่อยให้สิ่งใดเกิดขึ้นกับเราถ้าพระองค์ไม่มีจุดหมายที่ ดีสำหรับเราทุกคน ผมอุทิศทั้งชีวิตของผมให้กับพระเจ้าเมื่อผมอายุ 15 หลังจากได้อ่าน ยอห์น บทที่ 9
พระเยซูกล่าวว่าเหตุผลที่คนตาบอดเกิด มาตาบอดก็เพราะ "เพื่อว่างานของพระเจ้าจะได้รับการสรรเสริญผ่านทางคนนั้น" ผมเชื่ออย่างยิ่งว่าพระเจ้าจะรักษาผมเพื่อที่ผมจะได้เป็นพยายานอันยิ่งใหญ่ ให้กับพลังอันดีเลิศของพระองค์ หลังจากนั้นผมก็ได้รับสติปัญญาที่จะเข้าใจว่าถ้าเราอธิฐานเพื่อสิ่งใด ถ้าสิ่งนั้นเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นในเวลาของพระองค์ ถ้าสิ่งนั้นไม่ใช่พระประสงค์ของพระเจ้าที่จะให้เกิดขึ้น ผมก็รู้ว่าพระองค์มีสิ่งที่ดีกว่าให้กับผม ตอนนี้ผมได้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์ในการใช้ผมในสิ่งที่ผมเป็นและเป็น สิ่งที่คนอื่นไม่มี


ตอนนี้ผมอายุ 23 ปีและสำเร็จปริญญาตรีด้านการค้า เอกการวางแผนด้านการเงินและบัญชี ผมยังเป็นนักพูดให้กำลังใจและรักที่จะออกไปข้างนอกและแบ่งปันเรื่องราวของผม และเป็นพยาน ณ ที่ใดก็ตามที่โอกาสเป็นใจ ผมได้พัฒนาการพูดเพื่อให้เกี่ยวโยงกับการให้กำลังใจนักเรียนผ่านทางหัวข้อ ที่เป็นเรื่องท้าทายสำหรับเด็กวัยรุ่นในสมัยนี้ นอกจากนั้นผมยังเป็นนักพูดในภาคธุรกิจอีกด้วย


ผมมี ความรักในการยื่นมือออกไปช่วยเยาวชน และการทำตัวเองให้ว่างเพื่อสิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าอยากให้ผมทำ และที่ใดก็ตามที่พระองค์ทรงนำ ผมตาม


ผม มีความฝันและเป้าหมายมากมายที่ผมตั้งไว้เพื่อที่จะทำให้สำเร็จในชีวิตนี้ ผมอยากจะเป็นพยานที่ดีที่สุดที่ผมจะเป็นได้สำหรับความรักและความหวังของพระ เจ้า อยากเป็นนักพูดให้กำลังใจในระดับสากล และเพื่อถูกใช้เป็นภาชนะทั้งในเรื่องของคริสเตียนและเรื่องอื่น ๆ ผมอยากมีอิสระทางการเงินเมื่ออายุ 25 ผ่านทางการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ เพื่อออกแบบรถสำหรับผมที่จะขับได้และอยากได้รับการสัมภาษณ์และแบ่งปันเรื่อง ราวของผมผ่านทางรายการ "โอปราห์ วินฟรี โชว์"!
การได้เขียนหนังสือหลาย เล่มที่ติดอันดับขายดีที่สุดก็เป็นหนึ่งในความฝันของผม และผมหวังว่าจะเขียนหนังสือเล่มแรกให้เสร็จภายในสิ้นปีนี้ หนังสือเล่มนี้จะมีชื่อว่า "ไม่มีแขน ไม่มีขา ไม่มีกังวล!"


ผม เชื่อว่าถ้าคุณมีความปรารถนาและความหลงไหลที่จะทำสิ่งใด และถ้าสิ่งนั้นเป็นประสงค์ของพระเจ้า คุณก็จะทำสำเร็จในเวลาที่เหมาะสม จากการเป็นมนุษย์นี้เอง ทำให้เรามักจะจำกัดตัวเองโดยไร้เหตุผล! สิ่งที่แย่กว่านั้นก็คือการจำกัดความสามารถของพระเจ้าใตการกระทำทุกสิ่ง เราจำกัดพระเจ้าลงใน "กล่อง"
สิ่งที่ดีเกี่ยวกับพลังของพระเจ้าก็คือ การที่ถ้าเราต้องการที่จะทำสิ่งใดก็ตามเพื่อพระองค์ แทนที่จะสนใจความสามารถของเรา ให้เพ่งความสนใจไปที่เวลาที่เรามีที่จะให้พระองค์ เพราะเรารู้ดีว่าสิ่งที่กระทำนั้นเป็นสิ่งที่พระเจ้าทำผ่านเรา และเราไม่สามารถทำสิ่งใดได้เลยหากปราศจากพระองค์ แต่เมื่อเราทำตัวให้ว่างเพื่องานของพระเจ้าแล้ว ลองเดาดูซิว่าความสามารถของใครที่เราจะพึ่งพา? ของพระเจ้าไง!

ขอบคุณพระเจ้าสำหรับผู้ที่แปลมากครับ

My Blog

  • วินัยของน้องหมา (ข้างถนน) - วันที่ 18/8/2011 เช้านี้ขณะที่รถติดไฟแดงอยู่บริเวณสี่แยกสามย่าน ซึ่งเบื้องหน้าเป็นจามจุรีสแควร์นั้น พลันก็เหลือบเห็นน้องหมาตัวหนึ่งเดินข้ามทางม้าลายด้วยอ...
    12 ปีที่ผ่านมา
  • บทความคริสเตียน - บทความคริสเตียน http://www.gracezone.org/index.php/christian-articles บทความทางด้านจิตวิญญาณ หลักข้อเชื่อ พระเจ้า พระคัมภีร์ พระเจ้า พระคัมภีร์ แนวทางในการ...
    15 ปีที่ผ่านมา
  • คริสเตียนกับการรับใช้พระเยซู - คริสเตียนกับการรับใช้พระเยซู วัน พุธ 08 ต.ค. 08@ 17:47:37 ICT หัวข้อ: สรุปคำเทศนาประจำอาทิตย์ ดร.ทะนุ วงค์ธนานุกุล วัน อาทิตย์ ที่ 21 กันยายน 2008 พระธร...
    15 ปีที่ผ่านมา
  • - แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้องจะนมัสการพระบิดา ด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้...
    15 ปีที่ผ่านมา

Christian Blog

บล็อกวาไรตี้

เทคโนโลยี

ดาวน์โหลดโปรแกรมมาใหม่ล่าสุด |

วาไรตี้

ข่าวประจำวัน

สารบัญเว็บไทย

กินลม ชมทะเล ที่มาร์คเฮ้าส์บังกะโล เกาะกูด จ.ตราด

Thailand Map