Custom Search By Google

Custom Search

วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2552

พระธรรมประจำวัน รู้จัก (2)‏

คำว่า "รู้จัก" เป็นเรื่องที่สำคัญเรื่องหนึ่งในศาสนศาสตร์พันธสัญญาเดิม ซึ่งเมื่อศึกษาแล้ว จะทำให้เราได้คิดว่า เรารู้จักพระเจ้าอย่างแท้จริงหรือไม่

คำว่า "รู้จัก" ในภาษาฮีบรู คือ คำว่า "ญาดา" ซึ่งคำคำนี้มีความหมายหลายอย่าง อาจแปลว่า รับรู้ รู้ เข้าใจ ซึ่งก็ตรงกับคำว่า "know" คำเหล่านี้พบได้ในคนทั่วไปเช่นกัน แต่ในพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิมใช้ในที่อื่นอีก ที่น่าสนใจ

"ฝ่ายชายนั้นสมสู่อยู่กับเอวาภรรยาของตน นางก็ตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชื่อคาอิน นางจึงกล่าวว่า 'พระเจ้าทรงโปรดให้ฉันได้ผู้ชายคนหนึ่ง' " (ปฐมกาล 4:1)

คำว่า "ญาดา" ในที่นี้ คือ คำว่า "สมสู่" ดังนั้น การรู้หรือการรับรู้ ยังไม่เป็นถือว่าเป็นการรู้จักอย่างแท้จริง แต่จะต้องมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งเหมือนสามีภรรยาด้วย

เวลาคนที่แต่งงานกันแล้ว ความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยา จะเป็นอย่างไรบ้าง? เป็นการรู้จักเพียงผิวเผินหรือไม่?

สามีภรรยาบางคู่ แต่งงานกันมาแล้วหลายปี แล้วบอกว่าเพิ่งจะรู้จักคู่ของตนเอง

การรู้จัก จะต้องรู้อย่างแท้จริง และไม่ใช่เพียงแค่รู้เท่านั้น แต่จะต้องยอมรับได้ด้วย แม้ว่าสิ่งที่บุคคลที่เรารู้จักนั้นจะไม่ใช่สิ่งที่เราพอใจ

เราอยากยอมรู้จักพระเจ้าทุกด้านจริง ๆ หรือไม่? หรือเราอยากเพียงรู้จักเพียงด้านที่เราอยากให้พระองค์ทรงเป็น?

"มีกษัตริย์องค์ใหม่ขึ้นครองราชสมบัติในประเทศอียิปต์ พระองค์มิได้ทรงรู้จักกับโยเซฟ" (อพยพ 1:8)

เวลาผ่านไปสี่ร้อยไป ชนชาติอิสราเอลมีลูกหลานเยอะมากทั่วอียิปต์ แต่ฟาโรห์จะไม่รู้จักพระเจ้าได้หรือไม่?

เรารู้จักหมอบัดเลห์ แม้ว่าเราจะไม่รู้จักท่านเป็นการส่วนตัว แล้วอย่างฟาโรห์จะไม่รู้จักโยเซฟได้หรือ? แน่นอน ฟาโรห์รู้จักโยเซฟอย่างแน่นอน เพียงแต่เขาไม่ยอมให้โยเซฟมีอิทธิพลเหนือชีวิตของเขา

ดังนั้น การรู้จักที่แท้จริง จะต้องยอมให้บุคคลที่เรารู้จักนั้น มีอิทธิพลในการดำเนินชีวิตของเราด้วย นี่คือความหมายของคำว่า "รู้จัก"

และไม่เพียงแต่ยอมรับเท่านั้น แต่เราจำเป็นต้องมีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้ง และยอมให้บุคคลผู้นั้นมีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิต

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ชีวิตของเราได้รู้จักพระเจ้าแล้วหรือยัง? ถ้าเรารู้จักพระเยซูคริสต์แล้ว เราจะเติบโตขึ้น และรู้จักพระองค์มากขึ้นได้อย่างไร?

พระเจ้าทรงรู้จักมนุษย์ทุกคน ทรงรู้จักเราแต่ละคนดีมาก ถึงขนาดเส้นผมของเราพระองค์ก็ทรงนับไว้แล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เราจะต้องกลัวอะไรอีกเล่า สิ่งที่เรากลัวคงจะมีอย่างเดียว คือ กลัวว่าเราจะไม่รู้จักพระองค์

พระองค์ทรงอยู่ในนิรันดร์กาล พระองค์ทรงอยากรู้จักมนุษย์ และไม่เพียงแค่นั้น พระองค์ทรงอยากให้เรารู้จักพระองค์ด้วย

พระเจ้าไม่ชอบแยกตัว เพราะพระองค์เป็นความรัก และถ้าพระองค์ทรงเป็นความรัก แล้วไม่มีสิ่งใดให้รัก แล้วพระองค์จะทรงเป็นความรักได้อย่างไร ดังนั้น พระองค์ทรงสร้างตัวแทนของพระองค์ขึ้นมา เป็นผลงานชิ้นโบแดง คือ "มนุษย์"

พระเจ้าเป็นผู้ที่เริ่มต้นความสัมพันธ์ก่อนเสมอ พระองค์ทรงถ่อมใจ พร้อมที่จะสร้างมนุษย์ และอยู่กับมนุษย์ด้วย พระองค์ทรงพยายามที่จะเปิดเผยพระองค์เองก่อนที่เราอยากจะรู้จักพระองค์เสีย อีก เมื่อมนุษย์อยากรู้จักพระเจ้า พระองค์ก็มิได้ทรงปฏิเสธ ดังเช่นโมเสส ท่านอยากรู้จักพระองค์ อยากเห็นพระเจ้า พระองค์ก็ทรงยินดีอย่างมาก แต่เนื่องจากความจำกัดของมนุษย์ ถ้ามนุษย์ได้รู้จักพระเจ้าจริง ๆ แล้ว มนุษย์จะต้องตาย พระเจ้าจึงทรงปกป้องโมเสส คือ ทรงอนุญาตให้ท่านได้เห็นพระสิริของพระองค์



คศ. เจนจิรา คีรีรัตน์นิติกุล

BIT Delivery (ศาสนศาสตร์พันธสัญญาเดิม) เรื่อง รู้จัก

คณะเพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 05/07/2009

พระธรรมประจำวัน รู้จัก (1)‏

เราแต่ละคนเป็นคริสเตียน ย่อมที่จะรู้จักพระเจ้า แต่ระดับของการรู้จักพระเจ้าแตกต่างกันไป

การรู้จักพระเจ้าที่สุดขั้วนั้น ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 2 ฝั่ง ได้แก่ พวกที่รู้จักพระเจ้าน้อยเกินไป และพวกที่รู้จักพระเจ้ามากเกินไป

1. พวกที่รู้จักน้อยเกินไป
"เพราะว่าเมื่อข้าพเจ้าเดินทางมาสังเกตดูสิ่งที่ท่านนมัสการนั้น ข้าพเจ้าได้พบแท่นแท่นหนึ่ง มีคำจารึกไว้ว่า 'แด่พระเจ้าที่ไม่รู้จัก' เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าจึงมาประกาศ และแสดงให้ท่านทั้งหลายทราบ ถึงพระเจ้าที่ท่านไม่รู้จักแต่ยังนมัสการอยู่" (กิจการ 17:23)

พระธรรมตอนนี้ ได้กล่าวถึงตอนที่อาจารย์เปาโลพูดกับชาวเอเธนส์ ชาวเอเธนส์รู้สึกว่าพวกเขาไม่สามารถที่จะรู้จักพระเจ้าได้ เขาจึงเอาแต่นมัสการ นมัสการ แล้วก็จากไป

ถ้าเราเชื่อว่ามีพระเจ้า แล้วเราไม่มีความสัมพันธ์กับพระเจ้า เราก็คงจะไม่แตกต่างกับคนที่ไม่รู้จักพระองค์ เช่นกัน ถ้ารู้จักพระเจ้าแล้ว ไม่ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าแล้ว จะมีประโยชน์อะไรเล่า

2. ผู้ที่ (คิดว่าตนเอง) รู้จักมากเกินไป
"16 เหตุฉะนั้นอย่าให้ผู้ใดพิพากษาปรักปรำท่านในเรื่องการกิน การดื่ม ในเรื่องเทศกาล วันต้นเดือน หรือวันสะบาโต
18 อย่าให้ผู้ใดตัดสิทธิ์ของท่าน ด้วยเขาทำทีถ่อมตัวลง กราบไหว้ทูตสวรรค์ ใฝ่ฝันอยู่ในนิมิต ผยองขึ้นเปล่าๆตามความคิดของเนื้อหนัง
23 จริงอยู่สิ่งเหล่านี้ดูท่าทีมีปัญญา คือการเต็มใจนมัสการ การถ่อมตัวลงและการทรมานกาย แต่ไม่มีประโยชน์อะไรในการต่อสู้กับความต้องการของเนื้อหนัง" (โคโลสี 2:16,18,23)

สิ่งต่าง ๆ ที่คนในกลุ่มนี้ทำ จะดูดีมาก แต่คนกลุ่มนี้กลับคิดภาคภูมิใจในตัวเอง เขารู้สึกว่าเขารู้จักพระเจ้ามากกว่าคนอื่น ซึ่งเขารู้สึกเช่นนี้จากการที่เขาได้กระทำตามพระบัญญัติอย่างเคร่งครัด คนกลุ่มนี้จะรู้สึกภูมิใจว่าตัวเองมีความรู้ความเข้าใจอย่างล้ำลึก สามารถทำตามกฎเกณฑ์อย่างเคร่งครัดได้อย่างดี แต่คนเหล่านี้ได้เอาชีวิตของตนติดกับกฎเกณฑ์ หรือการปฏิบัติต่าง ๆ และวัดความชอบธรรมของตัวเองอยู่เหนือคนอื่น สุดท้ายแล้ว คนกลุ่มนี้จะไม่ต่างจากพวกฟาริสี

เราอยู่กลุ่มใดในสองกลุ่มนี้หรือไม่? ขอที่เราจะไม่เป็นเหมือนคนสองกลุ่มนี้







คศ. เจนจิรา คีรีรัตน์นิติกุล

BIT Delivery (ศาสนศาสตร์พันธสัญญาเดิม) เรื่อง รู้จัก

คณะเพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 05/07/2009

วันเสาร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2552

Salt Of The Earth: 1. ใช้วาจาของเราเป็นเกลือ‏

1. ใช้วาจาของเราเป็นเกลือ
"จงให้วาจาของท่านประกอบด้วยเมตตาคุณเสมอ ปรุงด้วยเกลือให้มีรส เพื่อท่านจะได้รู้จักตอบให้จุใจแก่ทุกคน" (โคโลสี 4:6)

ให้วาจาเราจะเป็นเหมือนเกลือ ให้คำพูดของเราเป็นดังเกลือ หมายถึง ถ้อยคำของเราที่จะพูด จะต้องเป็นถ้อยคำที่มีรสชาด

ชีวิตคริสเตียนเป็นชีวิตที่มีรสชาติ ชื่นชมยินดี เปรมปรีดิ์ในพระเจ้าเสมอ ไม่ใช่ดำรงชีวิตอยู่ไปวัน ๆ เราจะต้องหาโอหาสที่จะให้ชีวิตของเรามีรสชาติ แตกต่าง ไม่จืดชืด แม้สถานการณ์รอบข้างของเราจะนำให้เราจืดชืด ดึงความเค็มของเราออกไป ทำให้เราเป็นไปตามสถานการณ์ ตามสิ่งที่เราได้พบเจอ

ขอที่คำพูดของเราจะเติมชีวิตที่กำลังตกต่ำ ให้ได้รับการหนุนใจ ได้รับการชูกำลังขึ้น ใช้วาจาเป็นเกลือ

หลายครั้ง ชีวิตของหลายคนอยู่ในความกลัว สิ่งเหล่านี้จะทำลายทัศนคติที่ดี ไม่ว่าเราไปที่ใด เราจะได้ยินแต่สิ่งที่แย่ ๆ อยู่เสมอ พูดถึงเหตุการณ์ที่แย่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นภัยพิบัติที่กำลังเกิดขึ้น ได้แก่ โรคระบาด ภัยธรรมชาติ สงคราม (ความขัดแย้งต่าง ๆ) และการกันดารอาหาร (เศรษฐกิจตกต่ำ) แท้จริงแล้วสิ่งเหล่านี้ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่ เพราะโลกของเรากำลังอยู่ในส่วนปลายยุค สิ่งเหล่านี้กำลังโจมตีชีวิตของเราให้เราคิดในทางที่ลบ แต่สำหรับคริสเตียน เราไม่ควรรับสิ่งเหล่านี้มากจนทำให้ความเชื่อสั่นคลอน ขอที่เราจะยึดความเชื่อ จะไม่กลัวต่อสถานการณ์ใด ๆ เพราะพระเจ้าจะนำเรา พระเจ้าจะทรงดูแลชีวิตเรา เราจะไม่หวั่นไหว

คำพูดของมนุษย์มีอิทธิพลทั้งทางด้านบวก (อวยพร) และทางด้านลบ (คำสาปแช่ง)

คำอธิษฐานของเรา เรากำลังพยายามที่จะเปลี่ยนสิ่งที่ลบให้เป็นบวก อาทิเช่น อธิษฐานให้คนหายจากโรคภัยไข้เจ็บ อธิษฐานอวยพรให้ลูก ๆ เชื่อฟัง เจริญก้าวหน้า ขอที่เราจะใช้คำพูดในการเสริมสร้าง ไม่ใช่ทำลาย

เมื่อชาวยิวเห็นคนที่ตาบอด ได้สงสัยไปก่อน ว่าเกิดจากความบาปของเขา หรือจากความผิดของพ่อแม่ของเขา แต่เมื่อพระเยซูคริสต์ได้ยิน พระองค์ตรัสตอบว่า

"พระเยซูตรัสตอบว่า 'มิใช่ว่าชายคนนี้หรือบิดามารดาของเขาได้ทำบาป แต่เขาเกิดมาตาบอด เพื่อให้พระราชกิจของพระเจ้าปรากฏในตัวเขา' " (ยอห์น 9:3)

นี่แหละ คำตรัสของพระเยซู พระองค์ทรงตรัสอวยพรเขา ว่าไม่ว่าเขาจะเป็นเช่นไร แต่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา กำลังจะทำให้พระราชกิจของพระเจ้าสำเร็จ พระองค์มิได้ทรงมองที่อดีต แต่ทรงอวยพรเพื่ออนาคตของเขา

พระเยซูคริสต์ทรงมีวาจาที่เป็นเกลือ ที่จะหนุนใจ ชูใจ อวยพร เช่นกัน ขอที่เราจะใช้วาจาในการหนุนใจ กล่าวพระวจนะของพระเจ้า ให้อนาคต ให้ความหวังกับเขา เพื่อที่เขาจะไม่คิดในสิ่งที่ตกต่ำ

พระเจ้าสร้างเรา และพระเจ้ามีแผนการในชีวิตของเราทุก ๆ คน

เมื่อครั้งที่มีคนนำเอาหญิงล่วงประเวณีมาให้พระเยซูคริสต์ตัดสินลงโทษ คนทั้งหลายต่างกล่าวโทษหญิงนี้ แต่พระองค์กลับมิได้ตรัสสิ่งใดเลยถึงความผิดของหญิงนี้ แต่กลับตรัสว่าพระองค์ทรงอภัย และตรัสสั่งหญิงนั่นมิให้ทำบาปอีก

ศัตรูของเรา คือมารซาตาน ไม่ใช่คน ขอที่เราจะไม่เข้าใจผิด ดังนั้น การที่เราด่าว่าใคร สาปแช่งใคร ย่อมไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง เพราะพระเจ้าทรงเรียกเราที่จะอวยพร เพื่อเราเองจะได้รับพระพร

"9 อย่าทำการร้ายตอบแทนการร้าย อย่าด่าตอบการด่า แต่ตรงกันข้ามจงอวยพรแก่เขา ด้วยว่าพระองค์ได้ทรงเรียกให้ท่านกระทำเช่นนั้น เพื่อท่านจะได้รับพระพร
10 เพราะว่าผู้ที่จะรักชีวิต และปรารถนาที่จะเห็นวันดี ก็ให้ผู้นั้นยั้งลิ้นของตนไม่พูดสิ่งชั่ว และห้ามปากไม่ให้พูดเป็นอุบายล่อลวง (1เปโตร 3:9)

ถ้าเราอยากให้ทุกวันเป็นวันดี ขอที่เราพูดเป็นคำอวยพร พูดเสริมสร้างผู้อื่น เพราะเราจะได้รับเช่นนั้นเหมือนกัน

"ผู้ที่กระทำบาปก็มาจากมาร เพราะว่ามารได้กระทำบาปตั้งแต่เริ่มแรก พระบุตรของพระเจ้าได้เสด็จมาปรากฏก็เพราะเหตุนี้ คือเพื่อทรงทำลายกิจการของมาร" (1ยอห์น 3:8)

มารมีแผนการ มีกิจการเยอะแยะมากมาย และหลายครั้งเราก็ตกอยู่ในแผนของมัน แต่พระเยซูคริสต์ทรงได้เสด็จมาเพื่อทำลายแผนการของมารซาตาน มันจึงไม่มีอำนาจที่จะวางแผนเหนือชีวิตของเรา

พระคัมภีร์จะเป็นจริงในชีวิตของเราได้ ผ่านทางความเชื่อ พระเยซูคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเราแล้ว แต่ผู้ที่จะได้รับความรอดคือผู้ที่เชื่อในพระองค์เท่านั้น พระคัมภีร์มีพระสัญญามากมาย ถ้าเราเพียงแค่อ่าน แค่ท่อง แต่ไม่เชื่อ สิ่งเหล่านั้นก็จะไม่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา เพราะวิญญาณจิตของเราจะติดต่อกับพระวจนะของพระเจ้าได้ ก็ผ่านทางความเชื่อ

"เพราะว่าในข่าวประเสริฐนั้น ความชอบธรรมของพระเจ้าก็ได้สำแดงออก โดยเริ่มต้นก็ความเชื่อ สุดท้ายก็ความเชื่อ ตามที่พระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ" (โรม 1:17)

ความเชื่อในที่นี้ ไม่ใช่เพียงแค่เชื่อว่ามีพระเจ้า แต่จะต้องเชื่อในถ้อยคำของพระองค์ด้วย ถ้าเรารับรู้แต่เราไม่เชื่อ ผลก็ไม่เกิดในชีวิตของเรา

มารซาตานก็เชื่อว่ามีพระเจ้า และมันก็รู้จักพระองค์ดี แต่ว่ามันไม่กระทำตามสิ่งที่พระองค์ตรัส

ทุกคนมีความเชื่อได้ แม้แต่คนที่ไม่รู้จักพระเจ้า เขาก็มีความเชื่อ

ถ้าอาหารที่เรารับประทานเข้าไป เป็นประโยชน์ เมื่อเรารับประทาน เราก็จะได้รับประโยชน์ เช่นเดียวกัน พระวจนะของพระเจ้าเป็นอาหารแห่งชีวิต เมื่อรับเข้าไป นั่นคือ เชื่อในถ้อยคำเหล่านั้น จิตวิญญาณก็จะเติบโต และได้รับชีวิต

"9 เราทั้งหลายสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระบิดาด้วยลิ้นนั้น และด้วยลิ้นนั้นเราก็แช่งด่ามนุษย์ ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงสร้างไว้ตามพระฉายาของพระองค์
10 คำสรรเสริญและคำแช่งด่าก็ออกมาจากปากอันเดียวกัน ดูก่อนพี่น้องของข้าพเจ้า ไม่ควรให้เป็นเช่นนั้น
11 บ่อน้ำพุจะมีน้ำจืดและน้ำกร่อยพุ่งออกมาจากช่องเดียวกันได้หรือ (ยากอบ 3:9-11)





ผป. วิวัฒน์ วุฒิกุลเจริญวงศ์

คำแบ่งปันคณะเพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 16/08/2009

เรื่อง Salt of The Earth

วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2552

แบ่งปันคำเทศนา จากการเทศนาฟื้นฟูเรื่อง “มินา”‏

แบ่งปันคำเทศนา จากการเทศนาฟื้นฟูเรื่อง “มินา”

ผู้แบ่งปันพระพร : ศจ.สมศักดิ์ ชูสงฆ์

สถานที่เกิดพระพร : คริสตจักรไมตรีจิต หลังสวน

วันที่เกิดพระพร : 5 กันยายน 2552

พระคำอ้างอิง: ลูกา 19:11-27 คำอุปมาเรื่องเงินสิบมินา

การเทศนา ณ ไมตรีจิต หลังสวน ซอย 5 จัดขึ้นอย่างเรียบง่ายแต่ทรงฤทธิ์ โดยเราเริ่มต้นด้วยอาหารฝ่ายร่างกาย อิ่มหนำกับกระเพาะปลาแสนอร่อยของสมาชิกท่านหนึ่ง ผู้ชิมคนหนึ่งถึงกับเปรยว่า “กระเพาะปลาของจริงหรือเปล่าเนี่ย ทำไมกินแล้วรู้สึกเหมือนกันหูฉลามจัง” นั่นคือว่า รับประกันความอร่อยของจริง

เมื่อถึงช่วงของการรับอาหารฝ่ายวิญญาณ เราก็ได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์จากพระคำของพระเจ้ามากขึ้น ผ่านทางครูสมศักดิ์ ซึ่งท่านได้บอกเราว่า “มินา” ในที่นี้ หมายถึง “ความเชื่อ” โดยบริบทนี้เป็นการเล็งถึงองค์พระเยซูที่ทรงให้ทุนกับเรา และเราทั้งหลายนั้นเป็นทาส ซึ่งจะต้องมีความสัตย์ซื่อในการลงทุนอย่างเต็มกำลังเพื่อแผ่นดินของพระเจ้า ทั้งนี้ ผลของการลงทุนจะไม่มีคำว่าขาดทุน มีแต่กำไรและกำไร มีแต่บำเหน็จและบำเหน็จ ซึ่งบำเหน็จสูงสุดก็คือชีวิตนิรันดร์ในสวรรคสถาน และพระเกียรติเป็นของพระเจ้า

การเสด็จมาในโลกครั้งแรกขององค์พระเยซูนั้น ทรงเสด็จมาให้ทุน ให้ทุนด้วยฤทธิ์แห่งกางเขน เพื่อคนบาปอย่างเรา และพระองค์จะเสด็จมาอีก เพียงแต่ว่าครั้งนี้ พระองค์จะมารับทุนและกำไร ซึ่งได้ทรงให้กับพวกเราไว้ตั้งแต่ครั้งแรก

ดังนั้น เราต้องลงทุนในฐานะนักธุรกิจของพระเจ้า ลงทุนโดยพึ่งพาพระองค์ และพึงระลึกไว้เสมอว่า

1) เรามีพระเยซูคริสต์เป็นนายทุน

2) เราต้องกล้าลงทุน

3) เราต้องสัตย์ซื่อในการลงทุน รักษาทุน และสร้างกำไร

คนที่ยอมลงทุน จะมีแต่ได้กับได้ ส่วนคนที่ไม่ยอมลงทุน จะมีแต่เสียกับเสีย หากเราในฐานะผู้เชื่อมิได้ลงทุน มิได้ใช้ความเชื่อ แต่กลับนำทุนหรือความเชื่อไปเก็บไว้เฉยๆ เมื่อพระเยซูเสด็จมา พระองค์ก็จะตรัสว่า "จงเอาเงินมินาหนึ่งนั้นไปจากเขาให้แก่คนที่มีสิบมินา"

ด้วยว่าเรารู้จักองค์พระเจ้าที่เราเชื่อแล้ว จึงขอที่เราจะใช้ความเชื่อ ไว้วางใจในการทรงนำของพระเจ้า เพียรพยายามในการลุกขึ้นฉายแสง นำวิญญาณจิตมากมายมาสู่แผ่นดินของพระเจ้า

4 ช. ในการใช้ความเชื่อ

1) พระเยซูเชิญคุณให้มีส่วนร่วมในพันธกิจของพระองค์

2) พระเยซูใช้คุณให้ทำพันธกิจของพระองค์

3) พระเยซูช่วยคุณ ทรงให้ฤทธานุภาพทั้งสิ้นแก่คุณ

4) พระเยซูชมคุณ เมื่อคุณทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ จะทรงตรัสว่า “ดีแล้ว เจ้าเป็นทาสที่ดี”

Salt Of The Earth: Introduction‏

วัยเพื่อคุณ หรือวัยทำงาน เป็นวัยที่มีศักยภาพ ขอท้าทายที่เราจะ "ทะเยอทะยาน" ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เพื่อที่เราจะไม่เหมือนเดิม เพราะผู้ที่จะเหมือนเดิมได้มีผู้เดียว คือ "พระเจ้า" ส่วนเราซึ่งเป็นมนุษย์จำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ขอที่เราจะเป็นเหมือนโยเซฟ ผู้ซึ่งตกต่ำสุด ถูกขายยเป็นทาส แต่ได้กลับกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ เป็นรองเพียงแค่ฟาโรห์ เราจะก้าวสูงขึ้นไป สูงขึ้นทางเดียว ไม่ต่ำลง จะต้องเป็นหัว ไม่เป็นหาง ถึงแม้ว่านี้เรายังเป็นหาง แต่สักวันหนึ่งเราจะต้องเป็นหัว พระเจ้าทรงอยู่กับเรา เราทำได้อย่างแน่นอน เราจะต้องมีอิทธิพลต่อคนมากมาย

"ถ้าท่านเชื่อฟังพระบัญญัติของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ซึ่งข้าพเจ้าบัญชาท่านในวันนี้ และระวังที่จะกระทำตาม พระเจ้าจะทรงกระทำให้ท่านเป็นหัวไม่ใช่เป็นหาง กระทำให้สูงขึ้นทางเดียวมิใช่ให้ต่ำลง" (เฉลยธรรมบัญญัติ 28:13)

"ท่านทั้งหลายเป็นเกลือแห่งโลก ถ้าเกลือนั้นหมดรสเค็มไปแล้ว จะทำให้กลับเค็มอีกอย่างไรได้ แต่นั้นไปก็ไม่เป็นประโยชน์อะไร มีแต่จะทิ้งเสียสำหรับคนเหยียบย่ำ" (มัทธิว 5:13)

คำว่า "เกลือ" เป็นคำที่มีความหมายมาก ไม่ทราบว่าพี่น้องเคยได้ยินคำว่า "พันธสัญญาเกลือ" หรือไม่?

หลายคนมักจะอ้างพระคำของพระเจ้า บอกว่าจะต้องทำสิ่งนั้น ทำสิ่งนี้ เน้นพระวจนะคำของพระเจ้า แต่แท้จริงแล้วเขาไม่ทราบพระวจนะของพระเจ้าทั้งหมด ไม่รับเอาสิ่งที่พระคัมภีร์สอน ทั้ง ๆ ที่พระคำภีร์ก็เล่มเดียวกัน ดังเช่น ฟาริสี ที่ตั้งใจจับผิดพระเยซูคริสต์ ดูว่าพระเยซูคริสต์จะทรงรักษาคนง่อยในวันสะบาโตหรือไม่ พวกเรารู้ว่าวันสะบาโตจะต้องทำอย่างนั้น อย่างนี้ และห้ามทำอะไรบ้าง แต่เขากลับปฏิเสธส่วนของพระวจนะ ที่ให้เราเมตตา ให้เราช่วยเหลือมนุษย์ รักเพื่อนมนุษย์

"ไม่ควรหรือที่ท่านทั้งหลายจะรู้ว่า พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลพระราชทาน ตำแหน่งพระราชาเหนืออิสราเอลเป็นนิตย์แก่ดาวิด และบุตรหลานของพระองค์โดยพันธสัญญาเกลือ" (2พงศาวดาร 13:5)

"บรรดาเครื่องบูชาบริสุทธิ์ที่คนอิสราเอลมอบถวายแด่ พระเจ้า เราให้แก่เจ้าและแก่บุตรชายหญิงซึ่งอยู่กับเจ้า เป็นส่วนแบ่งถาวร เป็นพันธสัญญาเกลือเป็นนิตย์แด่พระเจ้าสำหรับเจ้า และเผ่าพันธุ์ของเจ้าด้วย" (กันดารวิถี 18:19)

พันธสัญญาเกลือ เป็นพันธสัญญาที่พระเจ้าทรงกระทำกับชาวอิสราเอลที่ทำหน้าที่เป็นปุโรหิต สมัยนั้น อิสราเอลต้องถวายเครื่องบูชาให้กับปุโรหิต และปุโรหิตได้รับอนุญาตให้นำเครื่องบูชาเหล่านั้นไปรับประทานได้ แต่ปุโรหิตจะไม่ได้รับทศางค์จากอิสราเอล เพราะคนที่จะได้รับทศางค์จะเป็นพวกเลวี

อิสราเอลจะถวายเครื่องบูชา โดยใช้เกลือเป็นเครื่องชำระ ดังนั้น เกลือจึงเป็นความหมายว่า "ชำระ" นั่นคือ ชำระเครื่องบูชา ชำระชีวิตของเราให้บริสุทธิ์ ให้สะอาด

"ท่านจงนำมาถวายพระเจ้า และ ปุโรหิตจะเอาเกลือพรมลงบนนั้น และถวายเป็นเครื่องเผาบูชาแด่พระเจ้า" (เอเศเคียล 43:24)

"เจ้าจงปรุงบรรดาธัญญบูชาด้วยใส่เกลือ เจ้าอย่าให้เกลือแห่งพันธสัญญากับพระเจ้าของเจ้า ขาดเสียจากธัญญบูชาของเจ้า เจ้าจงถวายเกลือพร้อมกับบรรดาเครื่องบูชาของเจ้า" (เลวีนิติ 2:13)

เราทั้งหลายเป็นเกลือแห่งโลก ภาษาอังกฤษ จะใช้คำว่า "salt" ซึ่งมีความหมาย อาจแปลว่า เค็ม หรือ เกลือ ก็ได้ ดังนั้น ถ้าหมดรสเค็ม ย่อมไม่ใช่เกลือ ไม่มีประโยชน์

คริสเตียนจะต้องมีชีวิตที่บริสุทธิ์ เพราะเกลืออยู่ที่ใด เกลือย่อมจะมีอิทธิพลที่จะทำให้ที่เหล่านั้นบริสุทธิ์ นอกจากนั้น เกลือยังใช้ในการถนอมอาหาร ที่จะไม่ให้เน่า ไม่ให้เสีย เนื่องจากความเค็มของเกลือ ย่อมแปลว่า คริสเตียนจะต้องมีอิทธิพลต่อคนรอบข้าง





ผป. วิวัฒน์ วุฒิกุลเจริญวงศ์

คำแบ่งปันคณะเพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 16/08/2009

เรื่อง Salt of The Earth
4. คนของพระองค์ยกพระเยซูคริสต์เป็นกษัตริย์เหนือกษัตริย์ เป็นจอมเจ้านายอย่างแท้จริง
พระเยซูคริสต์ทรงเป็น King of kings, Lord of lords เราจำเป็นต้องยำเกรงพระองค์เพราะพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์เหนือกษัตรย์ และเราจะต้องวางใจในพระองค์ เพราะพระองค์ทรงเป็นจอมเจ้านายของเรา

ถ้าคริสเตียนทุกคน ได้ยกพระเยซูคริสต์เป็นกษัตริย์และเป็นจอมเจ้านายในชีวิตของเขา จะเกิดอะไรขึ้น?

คริสเตียนหลายคนชอบถามว่า ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น บ่นตลอด ผมจะเรียกคริสเตียนกลุ่มนี้ว่า "คริสเตียนสายตาสั้น" เมื่อสายตาสั้น มองไม่เห็นว่าอดีต พระเจ้าทรงนำเขามาได้อย่างไร ลืมพระคุณของพระเจ้าที่มีมาตลอดชีวิตของเขา และมองไม่เห็นศักดิ์ศรีในอนาคตที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้ เห็นแต่ปัญหาที่เขากำลังประสบอยู่ นี่คือไม่วางใจในพระเจ้าอย่างแท้จริง

ถ้าคริสเตียนทุกคนสายตาสั้น การฟื้นฟูก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้

"เขาไม่กลัวข่าวร้าย จิตใจของเขายึดแน่น วางใจในพระเจ้า" (สดุดี 112:7)

คริสเตียนที่ได้รับการฟื้นฟู จะไม่กลัวข่าวร้าย แต่เขาจะวางใจในพระเจ้า



5. คนของพระองค์ประกาศข่าวประเสริฐ
อาจารย์ท่านหนึ่ง เป็นประทานทวีปจีน ท่านกล่าวประโยคหนึ่งว่า "ยุคสุดท้ายเราจะต้องประกาศข่าวประเสริฐ คริสเตียนจะต้องนิ่งและวิเคราะห์ ว่ามีอะไรที่คนไม่เชื่อมี แล้วเราก็มี เราพูดถึงการอัศจรรรย์ คนที่ไม่เชื่อก็ไม่มี เราบอกว่าพระเจ้าอวยพร คนที่ไม่เชื่อก็มี พระเจ้าทรงรักษาโรค คนไม่เชื่อก็มี ในยุคสุดท้ายจะต้องวิเคราะห์ให้ดี ว่าอะไรที่เรามีแล้วคนไม่เชื่อไม่มี นั้นคือ ไม้กางเขนแห่งความรอดของพระเยซูคริสต์ นี่คือสิ่งที่เราจะต้องประกาศ"

"ฉะนั้นความเชื่อเกิดขึ้นได้ก็เพราะการได้ยิน และการได้ยินเกิดขึ้นได้ก็เพราะการประกาศพระคริสต์" (โรม 10:17)

ความเชื่อเกิดขึ้นได้จากการได้ยินข่าวประเสริฐ การได้ยินพระวจนะของพระเจ้า ไม่ใช่การได้เห็นอะไร แต่จากการได้ยินพระวจนะของพระเจ้า ถ้าเราอยากเห็นการฟื้นฟู เราจำเป็นต้องประกาศข่าวประเสริฐ

ข่าวประเสริฐนี้ ชาวโลกอาจไม่ยอมรับ ข่าวประเสริฐแห่งกางเขนนี้ เป็นการที่เราถูกตรึงจากโลก และโลกจะถูกตัดขาดจากเรา แต่นี้คือหัวใจของการประกาศข่าวประเสริฐ ประกาศหนทางแห่งความรอดแห่งไม้กางเขน

ถ้าพี่น้องอยากทราบว่า โรคอะไรที่พระเจ้าอยากที่จะรักษามากที่สุด ขอที่เราอย่าฟังจากปากของมนุษย์ แต่ให้ศึกษาจากพระคัมภีร์ ขอที่เราจดจำไว้ตลอดชีวิต นั่นคือ "โรคแห่งการทรยศพระคำของพระเจ้า" นี่เป็นสิ่งที่พระเจ้าอยากรักษาที่สุด

"บรรดาบุตรที่กลับสัตย์เอ๋ย จงกลับมาเถิด เราจะรักษาความกลับสัตย์ของเจ้าให้หาย ดูเถิด ข้าพระองค์ทั้งหลายมาหาพระองค์แล้ว เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเยโฮวาห์พระเจ้า ของข้าพระองค์" (เยเรมีย์ 3:22)



Head: กลับสู่ความจริงของพระคัมภีร์

Heart: สารภาพ เลียนแบบชีวิตพระเยซูคริสต์ วางใจพระองค์ ยกพระองค์เป็นกษัตรย์

Hand: ออกไปประกาศข่าวประเสริฐ

Hymn: มีคนสรรเสริญพระเจ้า

ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องให้มีลักษณะ 5 ประการนี้ทุกคน แล้วการฟื้นฟูที่แท้จริงจะเกิดขึ้น สิ่งที่ท่านลงทุนกับพระเจ้าจะไม่ไร้ผลอย่างแน่นอน



อ.นิกร สิทธิจริยาภรณ์

สรุปคำเทศนาโบสถ์จีน คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 12/07/2009

เรื่อง ความหมายที่แท้จริงของการฟื้นฟู

ความหมายที่แท้จริงของการฟื้นฟู (3): ลักษณะของการฟื้นฟูประการ 2-3‏

2. คนของพระองค์สารภาพบาป และทิ้งความผิดบาปอย่างสิ้นเชิง
การกลับใจใหม่จากบาปดั้งเดิม กระทำเพียงครั้งเดียวในชีวิต แต่การกลับใจจากบาปที่ทำทุก ๆ วัน จะต้องทำไปตลอดชีวิต

กลับใจใหม่ ภาษาจีน "ห้วยโก้ย" ซึ่งแปลตามตัวว่า "การรู้สึกสำนึกผิด" และ "การเปลี่ยนแปลง" เช่นกัน คริสเตียนจะฟื้นฟูได้ จะต้องกลับใจใหม่ และทิ้งความผิดบาป เปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิง คริสเตียนจะมีชีวิตที่ไวต่อบาป



3. คนของพระองค์มีชีวิตที่เลียนแบบพระเจ้า
เมื่อคริสเตียนแต่ละคนเลียนแบบพระเจ้า จะเกิดการฟื้นฟูอย่างแน่นอน

เมื่อพระเจ้าเลือกสรรเรา พระองค์จะสร้างเราให้เหมือนกับองค์พระเยซูคริสต์ พระองค์มีเป้าหมาย มีแบบแผน มีวัตถุดิบที่ใช้ มีการทดสอบ และมีการใช้งานจริง เพื่อจะสร้างคริสเตียนให้มีแบบอย่างตามพระเจ้า

ถ้าคริสเตียนทุกคนในคริสตจักรเรามีชีวิตที่เลียนแบบพระเจ้า จะไม่เกิดการฟื้นฟูได้อย่างไร! ถ้าเลียนแบบพระเยซูคริสต์ ก็จะไม่มีการทะเลาะกัน จะให้อภัยกัน ถ่อมใจซึ่งกันและกัน และการฟื้นฟูจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

แล้วเราจะเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ได้อย่างไร? เรามีเป้าหมายคือ "เหมือนพระเยซู" แต่วันนี้เราอาจจะยังไม่เป็นแบบที่พระองค์อยากให้เราเป็น แต่เป้าหมายในชีวิตของเราจะต้องชัดเจน วันนี้จะต้องดีกว่าเมื่อวาน เราจะต้องดำเนินชีวิตอย่างมีเป้าหมาย

มีพี่น้องคริสเตียนโดนถามว่า ทำไมคริสเตียนคนนั้นถึงยังทำอย่างนั้นอย่างนี้ ขอให้เราดูตึกที่กำลังสร้าง ก็จะมีป้ายว่า "ขออภัยในความไม่สะดวก กำลังก่อสร้างอยู่" ชีวิตคริสเตียนก็เช่นกัน คือ จะถูกสร้างใหม่ทุกวัน ๆ

ดร. บิลลี่ เกรแฮม ซึ่งยังคงมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน ท่านมีภรรยาชื่อ อ.รูธ ซึ่งจากโลกนี้ไปแล้ว อ.รูธ ไม่มีแววของความเป็นคนจีนเลย แต่ชีวิตของท่านเขียนภาษาจีนได้สวยมากทีเดียว ท่านประทับใจคำว่า "อี้" เพราะว่า ครั้งหนึ่งได้ฟังอาจารย์คนจีนเทศนา อาจารย์ท่านนั้นได้กล่าวว่า "คริสเตียนจะเป็นคนชอบธรรมได้ จะต้องมีคำว่าแกะอยู่บนตัวฉัน" เพราะภาษาจีน คำว่า "ชอบธรรม" มาจาก 2 คำผสมกัน คือ "แกะ" และคำว่า "ฉัน" และเมื่อแกะอยู่บนตัวฉัน ฉันจึงจะสะอาดได้

ฉันสกปรก เหมือนกับเสื้อผ้าสกปรก ไม่สามารถซักตัวเองให้สะอาดได้ จะต้องมีน้ำสะอาดมาชำระ ใช้ผงซักฟอกซักให้สะอาด

เสื้อผ้าสกปรก ใช้บรีซ แต่ชีวิตของเราที่สกปรก จะต้องใช้ บลัด (blood) นั่นคือพระโลหิตของพระเยซูคริสต์

อ.รูธ ได้เขียนคำว่า "อี้" และขอให้วางคำนี้ ไว้บนป้ายที่หลุมศพ และมีประโยคหนึ่งข้างใต้ว่า "สิ้นสุดการก่อสร้าง ขอบคุณสำหรับความอดทนของคุณ" (End of construction, thank you for your patience) ซึ่งบางคนในที่นี้อาจจะบอกว่า "ทางเสร็จมาแล้วครึ่งหนึ่งนะ แต่ยังไม่เสร็จ อดทนรออีกนิดหนึ่งนะครับ"

อ.รูธ ได้ประโยคนี้ มาจากครั้งหนึ่งที่ท่านขับรถผ่านป้ายที่เขียนเช่นนี้ ท่านจึงนำมาคิดถึงชีวิตท่าน ว่าหลาย ๆ ครั้งคนรอบข้างของท่านต้องอดทนท่าน เพราะชีวิตของท่านยังสร้างไม่เสร็จ

ชีวิตคริสเตียนที่ได้รับการฟื้นฟู คือ การที่มีชีวิตตามแบบของพระเจ้า ถูกสร้างใหม่ขึ้นทุก ๆ วัน




อ.นิกร สิทธิจริยาภรณ์

สรุปคำเทศนาโบสถ์จีน คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 12/07/2009

เรื่อง ความหมายที่แท้จริงของการฟื้นฟู

ความหมายที่แท้จริงของการฟื้นฟู (2): ลักษณะของการฟื้นฟูประการ 1‏

สิ่งที่พระองค์อยากให้เราเป็น มีอยู่ 5 ประการ ได้แก่



ประการที่ 1. คนของพระองค์กลับไปสู่ความจริงแห่งพระวจนะ
"แต่ส่วนท่านที่รักทั้งหลายนั้น จงสร้างตัวของท่านขึ้นบนหลักคำสอนอันบริสุทธิ์ของท่านที่เชื่อกันอยู่ และจงอธิษฐานในพระวิญญาณบริสุทธิ์" (ยูดา 20)

คริสเตียนจะฟื้นฟูได้ คริสเตียนจะต้องยึดถือหลักความจริงแห่งพระวจนะ

ถ้าคุณเชื่อสิ่งที่ถูก เชื่อถูกคน คุณจะไม่ผิดหวัง แต่ตรงข้าม ถ้าคุณเชื่อสิ่งที่ผิด สุดท้ายก็จะได้มาเพียงความว่างเปล่า จะเหนื่อยเปล่า

ขอที่เราจะคิดสักนิด ถ้าพระเจ้าไม่ดูแล เราสร้างบ้านเราก็จะเหนื่อยเปล่า สิ่งที่เราเชื่อ บุคคลที่เราเชื่อ ถ้าเป็นสิ่งที่ถูก แล้วเราทุ่มเทเพื่อสิ่งนั้น เราจะไม่สูญเปล่าอย่างแน่นอน

ขอยกตัวอย่าง ดังเช่น หญิงคนหนึ่ง รักชายคนหนึ่งมาก ทุ่มเทเพื่อเขาอย่างมากมาย ถ้าชายคนนั้นเป็นคนที่น่าเชื่อถือ การทุ่มเทของหญิงคนนี้ก็ไม่สูญเปล่า แต่ถ้าชายคนนั้นไม่น่าเชื่อถือ การทุ่มเทของหญิงคนนี้ก็คงจะไร้ค่า

ขอพี่น้องพิจารณาให้ดีว่า เรากำลังเชื่อในสิ่งใดอยู่? สิ่งที่เราเชื่อเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วหรือยัง?

แถว ๆ สีคิ้ว เมื่อนั่งรถทัวร์ผ่าน จะเป็นประติมากรรมมูลค่ากว่าร้อยล้านบาท คนที่สร้างเป็นดาราหนังที่ทุ่มเงินสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา แต่พระคัมภีร์ได้บอกชัดเจน ว่าเขาทุ่มในสิ่งที่ผิดแล้ว เขาก็จะได้เพียงความว่างเปล่า สิ่งที่เขาทุ่มไปก็จะเสียเปล่า

มีหนังสือเล่มหนึ่ง เมื่อได้อ่านแล้วรู้สึกตื่นเต้นมาก หนังสือนี้พูดถึงการฟื้นฟูในยุคสุดท้ายที่ผิดเพี้ยน หนังสือเล่มนี้ได้กล่าวว่า ลัทธิตกขอบ ลัทธิผิดเพี้ยนจะเข้ามาในคริสตจักรอย่างมากมาย ซึ่งปัจจุบัน ลัทธิเทียมเท็จและเพี้ยน ๆ เหล่านี้ ได้มาในรูปแบบ "เชือดนิ่ม ๆ" มาแบบสงบ ๆ มาเหมือนกับสึนามี ที่เริ่มด้วยการที่น้ำทะเลลดลระดับลงอย่างสงบ ๆ คนที่เห็นก็ตื่นเต้น แต่ในที่สุดก็หายนะมาอย่างรวดเร็ว ลัทธิเหล่านี้ก็เช่นกัน ที่จะให้เราค่อย ๆ เดินเข้าไปหามัน ทำให้เรารับสิ่งต่าง ๆ เข้ามาโดยไม่รู้ตัว มาอย่างกลมกลืน ดูไม่รู้ว่าเป็นสิ่งที่ผิด ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก

ถ้าอยากให้เกิดการฟื้นฟูอย่างแท้จริง ต้องกลับเข้าสู่ความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า เพื่อที่เขาจะรักพระเจ้า และเข้าใจพระวจนะของพระองค์มากขึ้น

รู้สึกเป็นห่วงอนุชนรุ่นหลังอย่างมาก ได้มีโอกาสไปค่ายอนุชนหลายที่ และได้พบว่าอนุชนหลายคนเข้าใจว่า การฟื้นฟู คือ การร้องเพลง บางทีจัดฟื้นฟูทั้งวัน ร้องเพลงทั้งวัน ซึ่งเป็นเหมือนกับทูลกับพระเจ้าให้พระเจ้าอยู่เฉย ๆ จะร้องเพลงให้ฟัง แต่ละคนร้องเพลงเก่งมาก เสียงเพราะมาก แต่ไม่รู้พระคัมภีร์เลย เมื่อเป็นเช่นนี้จะเกิดการฟื้นฟูที่แท้จริงได้อย่างไร เพราะการฟื้นฟูที่แท้จริง ต้องกลับสู่ความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า

คริสตจักรอนุรักษ์นิยมหลายแห่ง อยากให้เกิดการฟื้นฟู แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นที่พระคัมภีร์ใดดี จึงได้เริ่มรับวัฒนธรรมเข้ามา ใช้ดนตรีเป็นหลักในการฟื้นฟู นี่เป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วง

อยากให้ลองคิดดูนะครับว่า คริสตจักรของเรา มีความเชื่อแบบ Faith in Faith หรือ Faith in Bible? เราเชื่อในความเชื่อ เชื่อในการอัศจรรย์ เชื่อในความเชื่อของบุคคลหรือไม่? ถ้าหากเราเชื่อในสิ่งที่บุคคลคนหนึ่งเห็น เชื่อในนิมิตที่บุคคลได้เห็น ก็จะไม่เกิดการฟื้นฟูอย่างแน่นอน แต่การฟื้นฟูที่แท้จริง จะต้องนำเราไปสู่ความเชื่อในพระวจนะ เราจะต้องสนใจว่าพระคัมภีร์สอนอะไร กล่าวว่าอย่างไร




อ.นิกร สิทธิจริยาภรณ์

สรุปคำเทศนาโบสถ์จีน คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 12/07/2009

เรื่อง ความหมายที่แท้จริงของการฟื้นฟู

ความหมายที่แท้จริงของการฟื้นฟู (1): Introduction‏

เมื่อคุณขึ้นสวรรค์ คุณจะทูลอะไรต่อพระเยซู? บางคนอาจจะพูดว่า "พระองค์เจ้าข้า ทำไมเลือกข้าพระองค์ ทำไมจึงรักพระองค์" แต่สำหรับผม ผมจะพูดอีกประโยคหนึ่ง คือ "พระเยซูเจ้าข้า พระองค์เหนื่อยรึเปล่าครับ ลูก ๆ ของพระองค์น่ารักทั้งนั้น"

พี่น้องเพิ่งได้ผ่านการฟื้นฟูมา แต่ก่อนที่จะเข้าเนื้อหา จะขอพูดถึงเรื่องหนึ่ง นั่นคือ ข่าวการเสียชีวิตของไมเคิล แจ็คสัน เมื่อได้ยินข่าวก็รู้สึกตกใจ เพราะเพิ่งฟังเพลงของเขาได้ไม่นาน สถานีโทรทัศน์บางแห่งถึงกับงดการถ่ายทอดรายการปกติ เปลี่ยนเป็นรายการเกี่ยวกับไมเคิลแทน หนังสือพิมพ์ทุกหน้าก็จะต้องมีข่าวการเสียชีวิตของเขาอยู่หน้าหนึ่ง เป็นข่าวใหญ่ที่สุดของหนังสือพิมพ์ นี่เป็นข่าวในโลกนี้ แต่ข่าวบนสวรรค์ หรือ Heaven News จะไม่เหมือนกับข่าวของโลกนี้

การเสียชีวิตของไมเคิลแจ็คสัน ทำให้ผมคิดถึงเรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องเล่า ไม่ใช่เรื่องจริง เพื่อหนุนใจคริสเตียน

ผู้รับใช้พระเจ้า 2 คน สามีภรรยา เป็นมิชชันนารีของอังกฤษไปยังทวีปแอฟริกา รับใช้อย่างสัตย์ซื่อหลายสิบปี วันหนึ่งนายกของอังกฤษไปเยี่ยมที่แอฟริกา นั่งเรือไป เมื่อขณะที่กำลังจะกลับอังกฤษ มิชชันนารีและภรรยาก็ขอกลับด้วย เพราะอายุมากแล้ว เมื่อเรือวิ่งมาถึงอังกฤษ ประชาชนอังกฤษถือป้ายต้อนรับนายกรัฐมนตรีอย่างเอิกเกริก แต่เมื่อสามีภรรยาคู่นี้เดินออกจากเรือ ไม่มีใครสนใจเลย ไม่มีใครต้อนรับ สามีจึงบ่นกับภรรยา น้อยใจ ไม่มีใครต้อนรับเลย ภรรยาท่านจึงตอบว่า "ที่รัก ไม่ต้องอิจฉาเขาหรอก เขากลับบ้านของเขาแล้ว ประชาชนจึงต้อนรับเขา แต่เรายังไม่กลับบ้าน"

พี่น้องครับ สำหรับโลกนี้ ข่าวของ ไมเคิล แจ็คสัน ดังมาก การเสียชีวิตของคริสเตียนคนหนึ่งคงจะไม่ดังเช่นนี้ อาจจะมีข่าวเพียงเล็กน้อย เพราะโลกนี้ไม่เห็นความสำคัญของการจากไปของคริสเตียน แต่พระคัมภีร์ไม่ได้กล่าวเช่นนั้น

"มรณกรรมแห่งธรรมิกชนของพระองค์ สำคัญในสายพระเนตรพระเจ้า" (สดุดี 116:15)

การเสียชีวิตของคริสเตียน สำคัญในสายพระเนตรของพระเจ้า ดังนั้นพี่น้องไม่ต้องอิจฉาข่าวการเสียชีวิตของไมเคิล แจ็คสัน เพราะนี้เป็นข่าวในโลกนี้ แต่ข่าวบนสวรรค์ คือ "เตรียมต้อนรับคริสเตียนกลับบ้าน" และจะมีทูตสวรรค์ต้อนรับเรากลับสู่บ้านบนสวรรค์

เราเป็นคนของพระเจ้า ขอพระเจ้าหนุนใจท่านด้วยพระคัมภีร์ข้อนี้ ใครอยากเป็นคนแรกก็ได้นะครับ



การฟื้นฟูคืออะไร? การฟื้นฟูไม่มีทางที่มนุษย์คนหนึ่งคนใดจะทำให้เกิดขึ้นได้

อาทิตย์ที่แล้วที่มีงานฟื้นฟู ก็ไม่ใช่การฟื้นฟู แค่มีป้ายบอกว่าฟื้นฟู แต่การฟื้นฟูจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่มีสิ่งที่จะกล่าวหลังจากนี้เกิดขึ้น

"7 ท่านทั้งหลายจงระลึกถึงหัวหน้าของท่าน ผู้ซึ่งได้ประกาศพระวจนะของพระเจ้าแก่ท่าน และจงพิจารณาดูผลปลายทางที่เกิดแก่เขา แล้วจงตามอย่างความเชื่อของเขา
8 พระเยซูคริสต์ยังทรงเหมือนเดิมในเวลาวานนี้ และเวลาวันนี้ และต่อๆไปเป็นนิจกาล
9 อย่าหลงไปตามคำสอนต่างๆที่แปลกๆ เพราะว่าเป็นการดีอยู่แล้วที่จะให้กำลังใจเข้มแข็งขึ้นด้วยพระคุณ ไม่ใช่ด้วยอาหารการกิน ซึ่งไม่เคยเป็นประโยชน์แก่คนที่หลงติดอยู่เลย" (ฮีบรู 13:7-9)

คริสตจักรสะพานเหลืองมาถึงจุดนี้ได้ เพราะคนสมัยก่อนวางรากไว้ดี เพราะถ้ารากไม่ดี แตกไปนานแล้ว พระธรรมฮีบรูจึงให้เราระลึกถึงคนสมัยก่อนที่ได้วางรากเอาไว้ดี ของดีแล้วอย่าเปลี่ยน หรืออาจเปลี่ยนให้ดีขึ้นก็ได้ แต่ถ้าเปลี่ยนจากสิ่งที่ดีเป็นสิ่งที่เลวนั้นน่ากลัว

เช่นเพลงชีวิตคริสเตียนหลายเพลงดีมาก อย่าไปเปลี่ยนมาก เพราะเพลงทุกเพลงในบทเพลงชีวิตคริสเตียนเขียนมาจากชีวิต เช่น "สรรเสริญ สรรเสริญ สรรเสริญ" ซึ่งมีเนื้อหาดีมาก ต้องสรรเสริญ 3 ครั้ง หมายถึง สรรเสริญพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือเพลง "ชาวโลกทั้งหลายชื่นใจยินดี" ซึ่งไล่จากโน๊ตตัวโดสูง เป็นโน๊ตตัวโดต่ำ แสดงถึงว่ามนุษย์จะไม่สามารถเข้าหาพระเจ้าได้ แต่พระเจ้าจำเป็นต้องเสด็จลงมาในโลกนี้ เพื่อเปิดหนทางแก่เรา

พระเยซูคริสต์ไม่เคยเปลี่ยนแปลง แต่เราต้องระมัดระวังในการตีความ เพราะการที่พระองค์เหมือนเดิมวานนี้ วันนี้ และต่อ ๆ ไปเป็นนิตย์ หมายความว่า พระองค์ทรงดูแลคนในอดีตอย่างไร ก็จะทรงดูแลชีวิตเราด้วยเช่นกัน

การฟื้นฟู คืออะไร? เมื่อพูดถึงคำว่า "ฟื้นฟู" ก็จะต้องคิดถึงภาษาไทย 2 คำ ได้แก่ "ร้อนรน" และ"ร้อนแรง" และเป้าหมายของการฟื้นฟู คือ เพื่อให้คริสเตียนร้อนรน ไม่ใช่ร้อนแรง

พระเจ้าทรงสร้างให้มนุษย์มีอุณหภูมิกาย 37 องศาเซลเซียส ทำไมตัวเราจึงอุ่น เพราะตัวเรามีไฟ มีการเผาผลาญตลอดเวลา เช่นกัน เป้าหมายของการฟื้นฟู คือให้คริสเตียนมีอุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส เป็นปกติ ดังที่ควรจะเป็น นั่นคือ พระองค์อยากให้คริสเตียนเป็นตามปกติตามที่พระองค์ทรงประสงค์ให้คริสเตียนเป็น และถ้าทุกคนกลับมาเป็นปกติดังที่พระองค์อยากให้เป็น นั่นแหละ การฟื้นฟูจะเกิดขึ้น แต่ถ้าการฟื้นฟูไม่ใช่มาจากพระเจ้า สิ่งนั้นจะทำให้ร้อนแรง คืออุณหภูมิเกินกว่าปกติ





อ.นิกร สิทธิจริยาภรณ์

สรุปคำเทศนาโบสถ์จีน คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 12/07/2009

เรื่อง ความหมายที่แท้จริงของการฟื้นฟู

How To Be Like Jesus (5)‏

ความอ่อนโยนของพระเยซูคริสต์ต่อคนทั้งหลาย (2)

เรามักจะคิดว่าเมื่อคนคนหนึ่งมาเชื่อในพระเจ้าแล้วจะได้รับการเปลี่ยนแปลงทันทีทั้งหมดจากความบาปของเขา เมื่อเขาได้รับการสร้างใหม่ก็ไม่น่าจะต้องดิ้นรนกับบาปเก่า ๆ ที่มีอยู่ ซึ่งก็เป็นจริงในบางกรณี คือมีผู้ที่เชื่อแล้วได้รับการเปลี่ยนแปลงทันที แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นในทุก ๆ กรณี บางคนใช้เวลาเป็นเดือน บางคนใช้เวลาหลายปีในการเอาชนะบาปเก่า ๆ ในชีวิตของตัวเอง หลายครั้ง

ดังเช่นคนที่ติดยาเสพติด เมื่อพยายามที่จะเลิกก็ดูเหมือนยาก ถ้าเขาล้มเลิก ยอมแพ้ เขาก็จะไม่สามารถที่จะเลิกได้สำเร็จ

มีผู้หนึ่งที่ติดยาเสพติด ติดเหล้าทั้งสามีและภรรยา ชีวิตครอบครัวเกือบจะล่มสลาย เขาทั้งสองหมดหวัง เมื่อมีผู้หนึ่งชวนคู่นี้ไปโบสถ์ เขาก็ได้ลองไปดู ครั้งแรกที่ไปโบสถ์ ทั้งคู่ก็ได้รับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วย

ผู้ที่เป็นภรรยา เมื่อรับเชื่อ เขาสามารถเลิกยาเลิกเหล้าได้ทันที แต่สามีของเขาไม่สามารถที่จะทำได้ทั้งหมดในช่วงแรก ใช้เวลาประมาณ 9 เดือน ก่อนที่จะเลิกได้ ระหว่างนั้นเขาล้มเหลวหลายครั้ง แต่ภรรยาก็คอยให้กำลังใจ และคริสตจักรก็พยายามช่วยเหลืออย่างมาก ทุกครั้งที่เขาล้มลง เขาทั้งหลายก็ช่วยให้เขาลุกขึ้นมาได้อีกครั้งหนึ่ง คนเหล่านั้นได้สำแดงความรักในการเข้าไปช่วยเขา จนเขาสามารถยืนได้ด้วยตัวเอง

เพราะว่าเรามักจะคิดว่าคริสเตียนคงจะไม่เสพติดอะไรหรอก จึงไม่ค่อยพูดถึง ดังนั้นคริสเตียนคนไหนที่เสพติดอะไรบางอย่างก็พยายามที่จะซ่อนเอาไว้ และไม่กล้าบอกใคร

ทราบหรือไม่ ว่าสิ่งเสพติดสำคัญอันดับหนึ่งในกลุ่มคริสเตียน คือ สิ่งลามกที่พบได้ในอินเตอร์เนต

ผลสำรวจพบว่า แม้ศิษยาภิบาลเอง มีถึง 50% ที่เข้าถึงสื่อลามกเหล่านี้ เนื่องจากสิ่งเหล่านี้สามารถดูคนเดียวส่วนตัวได้ จึงไม่ค่อยมีโอกาสที่จะโดนจับได้ เลยกลายเป็นปัญหาที่ใหญ่มากทั่วโลก

เราจะทำอย่างไร ถ้าเพื่อนที่นั่งข้าง ๆ ติดสื่อลามกเหล่านี้ เราจะบอกว่า ก็สมแล้วนี่หน่า ไม่ควรที่จะทำตั้งแต่แรกอยู่แล้ว หรือตกใจมาก เลยไม่กล้าพูดคุยกับเขาอีกเลย

ถ้าจะเหมือนพระเยซูคริสต์ เราจำเป็นต้องสำแดงความรักกับคนเหล่านั้น จะต้องช่วยเหลือเขาในสิ่งที่เขาต้องการ เราจำเป็นต้องช่วยจนที่เขาได้รับอิสรภาพจากสิ่งเหล่านี้ได้ จำเป็นจะต้องอาศัยความพยายามเพราะเขาอาจจะล้มเหลวหลายครั้ง

ในกรณีนี้ต่างจากในกรณีแรกที่เราจะต้องสร้างขอบเขต เพราะในกรณีแรกนั้น คนเหล่านั้นไม่ยอมเปลี่ยนแปลง แต่ในกรณีนี้ คนคนนั้นพยายามอย่างยิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง

พระเยซูคริสต์ไม่เคยที่จะเพิกเฉยกับความบาปของยอห์นและยากอบ แต่ทรงพยายามช่วยเขาทั้งสองจนกระทั่งทั้งสองได้รับการเปลี่ยนแปลง เราจำเป็นต้องช่วยเหลือพี่น้องที่กำลังดิ้นร้นให้พ้นจากบาปที่มีอยู่เช่นกัน

บทเรียนตรงนี้ คือ ในฐานะที่เป็นผู้เชื่อ เราจำเป็นต้องช่วยเหลือคนเหล่านั้นที่กำลังดิ้นรนที่จะหลุดพ้นจากความบาป

มีใครที่หวังว่าจะไม่ทิ้งเขาหรือหมดหวังในตัวเขาเมื่อเขาล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า หรือมีใครที่เราพยายามที่จะเดินไปกับเขาตลอด แม้จะเป็นหนทางที่ยาวไกล จนเขาสามารถทำได้สำเร็จได้หรือไม่ ?

พระเยซูคริสต์ทรงมีคำพูดที่สำแดงความรักให้กับผู้คน พระองค์มักจะพูดความจริงในความรัก พระองค์มักจะกล่าวความจริง และหนุนใจให้เรายึดความจริงนั้น

มารธาเศร้าโศกกับการเสียชีวิตของลาซารัส พระเยซูคริสต์ก็ได้บอกความจริงถึงการที่ลาซารัสจะฟื้นขึ้นมา

เมื่อพระองค์ทรงฟื้นพระชนม์ พระองค์ได้ไปหาโธมัส พระองค์จึงทรงให้เขาสัมผัสพระองค์ เพื่อที่เขาจะเชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตายแล้ว

พระคำของพระเจ้าเป็นกำลังใจอย่างมากสำหรับชีวิตของเรา พระองค์ตรัสกับเรา เมื่อเราได้ยินพระองค์ ก็จะเป็นกำลังให้เรายึดพระองค์ไว้ พระองค์สำแดงความรักโดยการสนองความต้องการเมื่อเราต้องการกำลังใจ เราจำเป็นจะต้องทำเช่นเดียวกันกับผู้อื่นด้วย

คนที่เราติดต่อด้วย ทุกคนต้องการกำลังใจ บางครั้งเขาต้องการความจริง บางทีเราก็จำเป็นที่จะต้องไม่เห็นด้วยกับเขา และเขาเองก็ต้องการความจริงเกี่ยวกับว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นผู้ใดและพระองค์ทรงสามารถช่วยเขาได้อย่างไร สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เขาก้าวเดินต่อไปในทุก ๆ สถานการณณ์

เราเองจำเป็นต้องได้รับการเปลี่ยนแปลงให้เหมือนพระเยซูคริสต์มากขึ้นในเรื่องคำพูดของเรา บางครั้งเรามักจะพูดความจริง แต่แทนที่จะสร้างสรรค์ กลับกลายเป็นการทำลายความรู้สึก ความจริงควรจะเป็นการเยียวยามากกว่าใช้เป็นอาวุธ

บางทีเราไม่กล้าพูดความจริง เพราะกลัวว่าผู้ที่เราไปพูดด้วยจะไม่พอใจ แต่พระเยซูคริสต์ตรัสความจริงเสมอ เพราะนี่เป็นหนทางเดียวที่จะเป็นการให้กำลังใจ และการที่เราพูดความจริงด้วยความรัก จะเป็นการสร้างคนอื่นขึ้นมา

มีอะไรที่เราจะต้องได้รับการเปลี่ยนแปลงในเรื่องคำพูดหรือไม่ ? หรือเราจำเป็นต้องเลิกกลัวแล้วเริ่มที่จะพูดความจริงแก่ผู้อื่น ? หรืออาจต้องเรียนรู้ในการพูดความจริงโดยการเพิ่มความอ่อนโยนเข้าไปด้วย ?

เราจะต้องมีเวลาที่จะใช้กับพระเยซู เพื่อที่จะเรียนรู้จากพระองค์ แล้วเราจะสามารถพูดได้อย่างเหมาะสม

เราจะเป็นเหมือนพระองค์ได้อย่างไร? ไม่ใช่การพยายาม แต่เป็นการยอมรับการเปลี่ยนแปลง

ขอที่เราจะใช้เวลากับพระองค์ เข้าใกล้ชิดกับพระองค์ เติบโตทางวิญญาณ เพื่อที่เราจะสามารถก้าวร้าวต่อบาป และอ่อนโยนกับผู้คนได้ ขอสิ่งเหล่านี้ที่จะเกิดขึ้นในชิวตของเรา



อ. Melinda Burnette

คำแบ่งปันคณะเพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง เมื่อวันที่ 09/08/2009

เรื่อง How To Be Like Jesus

แปลโดย มน.นิลุบล วงศ์วรเศรษฐ์

How To Be Like Jesus (4)‏

ความอ่อนโยนของพระเยซูคริสต์ต่อคนทั้งหลาย (1)

พระองค์ทรงแข็งกร้าวกับความบาป แต่ทรงอ่อนโยนกับคน พระองค์ทรงรักผู้คนและปฏิบัติต่อคนเหล่านั้นอย่างผู้ที่มีเกียรติและศักดิ์ศรี

สิ่งหนึ่งที่พระองค์ทรงสำแดง คือ การให้อภัย

"1 แต่พระเยซูเสด็จไปยังภูเขามะกอกเทศ
2 ในตอนเช้าตรู่พระองค์เสด็จเข้าในบริเวณพระวิหารอีก คนทั้งหลายพากันมาหาพระองค์ พระองค์ก็ประทับนั่งและเริ่มสั่งสอนเขา
3 พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี ได้พาผู้หญิงคนหนึ่งมา หญิงผู้นี้ถูกจับฐานล่วงประเวณี และเขาให้หญิงผู้นี้ยืนอยู่หน้าฝูงชน
4 เขาทูลพระองค์ว่า 'พระอาจารย์เจ้าข้า หญิงคนนี้ถูกจับเมื่อกำลังล่วงประเวณีอยู่
5 ในธรรมบัญญัตินั้นโมเสสสั่งให้เราเอาหินขว้างคนเช่นนี้ให้ตาย ส่วนท่านจะว่าอย่างไรในเรื่องนี้'
6 เขาพูดอย่างนี้ เพื่อทดลองพระองค์หวังจะหาเหตุฟ้องพระองค์ แต่พระเยซูทรงน้อมพระกายลงเอานิ้วพระหัตถ์เขียนที่ดิน
7 และเมื่อพวกเขายังทูลถามอยู่เรื่อยๆ พระองค์ก็ทรงลุกขึ้นตรัสตอบเขาว่า 'ผู้ใดในพวกท่านที่ไม่มีผิด ก็ให้ผู้นั้นเอาหินขว้างเขาก่อน'
8 แล้วพระองค์ก็ทรงน้อมพระกายลงเอานิ้วพระหัตถ์เขียนที่ดินอีก
9 แต่เมื่อเขาทั้งหลายได้ยินดังนั้น เขาทั้งหลายจึงออกไปทีละคนๆ เริ่มจากคนเฒ่าคนแก่ เหลือแต่พระเยซูตามลำพัง กับหญิงคนนั้นที่อยู่ต่อพระพักตร์พระองค์
10 พระเยซูทรงเงยพระพักตร์ขึ้นตรัสกับนางว่า 'หญิงเอ๋ย พวกเขาไปไหนหมด ไม่มีใครเอาโทษเจ้าหรือ'
11 นางนั้นทูลว่า 'พระองค์เจ้าข้า ไม่มีผู้ใดเลย' และพระเยซูตรัสว่า 'เราก็ไม่เอาโทษเจ้าเหมือนกัน จงไปเถิดและอย่าทำผิดอีก' "(ยอห์น 8:1-11)

หญิงผู้หนึ่งได้ถูกจับ เพื่อที่จะลงโทษ และผู้นำได้เชิญพระเยซูคริสต์มาเพื่อที่จะพิพากษาลงโทษหญิงนั้น แต่พระองค์ทรงให้โอกาสที่เขาจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ พระองค์ทรงให้โอกาสกับหญิงคนนั้นที่แม้ว่าเขาจะทำผิด แต่เขาก็ได้รับความอับอายแล้ว

การที่เปโตรได้ปฏิเสธพระองค์ก่อนที่จะทรงถูกตรึงที่กางเขน ส่วนตัวเปโตรรู้สึกสิ้นหวัง คงจะทำสิ่งใดไม่ได้ และเขาคงคิดว่าคนอย่างเขาคงจะหมดหวังที่จะรับใช้พระเจ้าอีกต่อไป คงจะไม่มีสิ่งใดที่จะเยียวยาความผิดที่เขาทำ เขารู้สึกว่าเขาได้ทำผิด และรู้สึกเสียใจ แต่พระเยซูทรงสำแดงความรักต่อเปโตรเมื่อทรงมาหาเขา และพระองค์ทรงนำให้เปโตรกลับเป็นผู้นำเหน่าสาวกอีกครั้งหนึ่ง

เราได้รับการอภัยบาปจากพระองค์ผ่านทางไม้กางเขน แม้ว่าเราสมควรได้รับโทษนั้น แต่ก็ทรงยกโทษบาปผิดของเรา และนำเราให้กลับมีความสัมพันธ์กับพระองค์ นี่เป็นหนทางที่พระองค์สำแดงความรักแก่ผู้อื่น

เมื่อผู้ใดที่ทำผิดต่อเรา และรู้สึกสำนึกผิด สิ่งที่เราควรจะตอบสนอง คือ การให้อภัย การที่พระองค์ทรงให้อภัยเรา เราจึงควรรับการอภัย และให้อภัยผู้อื่นด้วย

เนื่องด้วยเราเป็นคนบาป เราจึงมักจะมีศูนย์กลางคือตัวเอง และมักจะรู้สึกว่าผู้ที่ทำเราเจ็บปวด ควรจะได้รับการตอบสนองก่อนที่จะยกโทษ แต่เมื่อเราทำผิดกับผู้อื่น คนอื่นควรจะยกโทษให้เราเพราะเราไม่ได้ตั้งใจ

เมื่อใดก็ตามที่เราเข้าหาพระองค์ด้วยใจที่สำนึกผิด พระองค์ก็ทรงให้อภัยเรา การที่จะเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ และเราก็จำเป็นต้องปฏิบัติต่อผู้อื่นเช่นเดียวกัน แต่ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเลิกจำกัดขอบเขตความสัมพันธ์ แต่ความสัมพันธ์จะได้รับการรื้อฟื้น และพร้อมที่จะก้าวเดินต่อไป

การให้อภัยผู้อื่นนี่เอง เป็นการสะท้อนถึงหัวใจของพระเยซูคริสต์

มีผู้ใดที่เรารู้สึกว่าเราให้อภัยไม่ได้หรือไม่? หรือว่าเราพยายามทำให้เขารู้สึกแย่โดยการที่ไม่ยอมพูดกับเขา หรือวิพากษ์วิจารณ์ให้ผู้อื่นฟัง? ให้เราระลึกว่า นี่ไม่ใช่วิธีที่พระเยซูคริสต์ทรงปฏิบัติ เราจะเลือกทำเพื่อพระองค์ ก็โดยการให้อภัยผู้อื่น

พระเยซูคริสต์ทรงสำแดงความรักแก่คนเหล่านั้นที่ติดอยู่กับความบาป คนเหล่านี้มีความผิดพลาดในชีวิต ถ้าเราจะนึกถึง ก็คือ ยากอบและยอห์น เขาทั้งสองได้ฉายาว่าลูกแห่งฟ้าร้อง เพราะความใจร้อนของเขาทั้งสอง

"51 ครั้นจวนเวลาที่พระองค์จะทรงถูกรับขึ้นไป พระองค์ทรงตั้งพระทัยแน่วไปยังกรุงเยรูซาเล็ม
52 และพระองค์ทรงใช้ทูตล่วงหน้าไปก่อน เขาก็เข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่งของชาวสะมาเรีย เพื่อจะเตรียมไว้ให้พระองค์
53 ชาวบ้านนั้นไม่รับรองพระองค์เพราะพระองค์กำลังเสด็จไปยังกรุงเยรูซาเล็ม
54 เมื่อสาวกของพระองค์ คือยากอบและยอห์นได้เห็นดังนั้น เขาทูลพระองค์ว่า 'พระองค์เจ้าข้า พระองค์พอพระทัยจะให้ข้าพระองค์ขอไฟลงมาจากสวรรค์เผาผลาญเขาเสียหรือ'
55 แต่พระองค์ทรงเหลียวมาห้ามปรามเขา" (ลูกา 9:51-55)

เมื่อพระเยซูทรงไม่ได้รับการต้อนรับ เขาทั้งสองก็ขอให้พระองค์ส่งไฟมาเผาหมู่บ้านนี้ ซึ่งดูแล้วก็ไม่ได้สำแดงความรักเท่าไรนัก และก็มีเหตุการณ์ที่เขาทั้งสองขอพระเยซูคริสต์ที่จะได้รับเกียรติสูง ซึ่งทำให้เห็นว่าเขาทั้งสองไม่เข้าใจถึงการรับใช้ผู้อื่นด้วยใจถ่อม

แต่พระเยซูก็มิได้ทรงหมดหวังกับเขาทั้งสอง พระองค์ทรงดำเนินชีวิตอยู่กับเขา ช่วยเขา ค่อย ๆ เปลี่ยนเขา จนชีวิตของเขาทั้งสองได้รับการเปลี่ยนแปลง ในท้ายที่สุด ยอห์นก็ได้รับการเรียกว่า สาวกแห่งความรัก พระเยซูคริสต์ได้เปลี่ยนชีวิตของเขา แต่ก็ต้องใช้เวลาทั้งชีวิต



อ. Melinda Burnette

คำแบ่งปันคณะเพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง เมื่อวันที่ 09/08/2009

เรื่อง How To Be Like Jesus

แปลโดย มน.นิลุบล วงศ์วรเศรษฐ์

How To Be Like Jesus (3)‏

การแข็งกร้าวกับความบาปของพระเยซูคริสต์ (con’t)

3. ความบาปของสังคม

พระเยซูคริสต์ทรงบริสุทธิ์ และทรงยุติธรรม พระองค์เผชิญหน้ากับความบาปและความอยุติธรรมเช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้

ดังเหตุการณ์ที่พระเยซูคริสต์ทรงขับไล่คนที่ค้าขายในวิหาร คนเหล่านั้นทำให้คนจนไม่สามารถเข้ามานมัสการพระเจ้าได้ พระเยซูคริสต์ทรงพยายามที่จะไม่ให้เกิดการเหยียดชาวต่างชาติหรือรังเกียจกลุ่มคนบางกลุ่ม โดยการที่ทรงมีความสัมพันธ์กับคนต่างชาติ คนพิการ โสเภณี คนที่สังคมไม่ยอมรับ และพระองค์ตรัสตรง ๆ กับคนเหล่านั้นที่วางตัวเป็นผู้ตัดสินผู้อื่น ดังนั้น การที่จะเป็นเหมือนพระองค์ ก็คือ การที่เราจะแข็งกร้าวกับความบาป กำจัดความอยุติธรรมในสังคมด้วย

เราไม่ใช่เป็นคริสเตียน แล้วจำกัดชีวิตแค่มาโบสถ์ ศึกษาพระคัมภีร์ มีชีวิตที่สุขสบายเท่านั้น แต่เราได้รับการเรียกเพื่อให้เผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ไม่ยุติธรรมในสังคม

สังคมโลก ไม่ใช่สังคมที่มีความยุติธรรม ผู้คนในโลกนี้มีหลายคนที่ถูกเอาเปรียบ ริดรอนสิทธิ์ และถูกเหยียดหยาม ผู้เชื่อก็ได้รับการเรียกมาเพื่อที่จะเป็นปากเสียงให้กับคนเหล่านี้

ถ้าเรามองสถานการณ์รอบตัว เราจะเห็นเหตุการณ์เหล่านี้มากขึ้น เราพบว่าผู้ลี้ภัยอพยพได้ถูกริดรอนสิทธิ์ มีผู้หญิงและเด็กถูกขายไปเพื่อที่ครอบครัวของเขาจะได้เงิน เราได้เห็นเด็ก ๆ ในชุมชนแออัดไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือ เราได้เห็นชาวนาชาวประมงที่ทำมาหากินไม่ได้ หรือไม่พอกิน เพราะมีผู้อื่นคอยเอาเปรียบ เราได้เห็นแรงงานได้รับค่าจ้างต่ำ เพื่อที่เจ้าของจะได้กำไรมากขึ้น

ความบาปเหล่านี้ พระเยซูทรงแข็งกร้าวด้วย และพระองค์ทรงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

บทเรียนจากตรงนี้ ก็คือ ความอยุติธรรมเป็นความบาปที่ผู้เชื่อจำเป็นต้องจำกัดออกไป

แล้วเราจะทำอย่างไรกับสังคมที่เราอยู่ เพื่อให้ความยุติธรรมเกิดขึ้น?

การเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ได้ เราจะต้องมีจิตใจที่จะเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้ เหมือนที่พระองค์ทรงรู้สึก หมายถึงเราจะต้องแข็งกร้าวกับความบาปที่เกิดขึ้นในสังคม เราจำเป็นต้องทำให้เกิดสิ่งที่ถูกต้องสำหรับผู้ที่ไม่มีสิทธิ์ ไม่มีปากเสียง ไม่มีอำนาจที่จะทำด้วยตัวเอง

เรายินดีหรือไม่ที่จะสนับสนุนการศึกษาของผู้ยากจน หรือการที่เข้าไปสอนหญิงที่ตั้งใจที่จะเลิกเป็นโสเภณี โดยการเข้าไปช่วยสอนการทำงานให้ หรือการช่วยให้คนมีงานที่ดีขึ้น ถ้าเราอยากเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ สิ่งเหล่านี้ก็เป็นสิ่งทีเราจำเป็นต้องทำ



อ. Melinda Burnette

คำแบ่งปันคณะเพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง เมื่อวันที่ 09/08/2009

เรื่อง How To Be Like Jesus

แปลโดย มน.นิลุบล วงศ์วรเศรษฐ์

How To Be Like Jesus (2)‏

การแข็งกร้าวกับความบาปของพระเยซูคริสต์ (con’t)

2. ความบาปของคนรอบข้าง

สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับคนรอบข้างที่ใกล้ชิดกับเรา เราจำเป็นต้องกล้าที่จะเผชิญหน้า และบางครั้งจะต้องวางขอบเขตสำหรับความสัมพันธ์

"31 ตั้งแต่เวลานั้นมา พระองค์กล่าวสอนสาวกว่า บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์ทรมานหลายประการ พวกผู้ใหญ่ พวกมหาปุโรหิต และพวกธรรมาจารย์จะไม่ยอมรับพระองค์ ในที่สุดพระองค์จะต้องถึงถูกประหารชีวิต แต่ในวันที่สามพระองค์จะทรงเป็นขึ้นมาใหม่
32 คำเหล่านี้พระองค์ตรัสโดยเปิดเผย ฝ่ายเปโตรเอามือจับพระองค์แล้วก็ทูลท้วง
33 พระองค์จึงทรงหันพระพักตร์ดูเหล่าสาวกแล้วติเปโตรว่า 'อ้ายซาตาน จงไปให้พ้น เพราะเจ้าคิดอย่างคน มิได้คิดอย่างพระเจ้า' " (มัทธิว 8:31-33)

พระเยซูทรงรักเปโตร และพระองค์ก็ไม่สามารถเพิกเฉยต่อความบาปในชีวิตของเปโตรได้ พระองค์ตรัสกับเปโตรในเรื่องนี้อย่างเผชิญหน้า เกี่ยวกับความบาปของท่าน ซึ่งการที่พระเยซูทรงกระทำเช่นนั้น เป็นสิ่งที่ดีสำหรับชีวิตของเปโตร และดีสำหรับสาวกคนอื่น ๆ ด้วย

การที่จะแข็งกร้าวกับความบาป ไม่ได้หมายความว่าจะตำหนิวิจารณ์ตลอดเวลา แต่หมายความว่า เราไม่สามารถเพิกเฉยหรือมองข้ามความบาปของคนรอบข้างของเรา เพราะความบาปของเขาก็มีผลต่อชีวิตเราและคนรอบข้างเช่นกัน

การที่จะได้รับการเปลี่ยนใหม่ให้เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ เราจำเป็นต้องทำตามอย่างพระองค์ด้วย ถ้าคนที่เรารักได้ทำความผิดบาป ก็เป็นหน้าที่ของเราที่เราจะต้องเผชิญหน้าอย่างตรงไปตรงมา และคาดหวังด้วยว่าเขาจะทำเช่นเดียวกัน

อาจจะเป็นสิ่งที่ไม่สบายใจเท่าไรนัก เพราะผู้ที่เราเผชิญหน้าอาจจะไม่พอใจ โกรธ หรือทำให้ความสัมพันธ์แย่ลง แต่ในฐานะที่เป็นผู้เชื่อ เราไม่สามารถเลือกได้ว่าส่วนใดที่เราอยากเชื่อฟัง และส่วนใดที่เราเลือกที่จะไม่ทำ แต่เราจะต้องบริสุทธิ์เพราะพระองค์ทรงบริสุทธิ์ เราจะต้องทำเช่นเดียวกับที่พระเยซูคริสต์ทรงปฏิบัติกับเปโตร

ต้นปีนี้ มีสุภาพสตรีสองท่านได้มาคุยกับข้าพเจ้าโดยตรงเกี่ยวกับความบาปของข้าพเจ้า เขาได้กล่าวว่าการกระทำบางอย่างของข้าพเจ้าที่ทำให้เขารู้สึกสะดุด แรก ๆ ข้าพเจ้ารับไม่ได้ หลังจากนั้นก็เริ่มเปลี่ยนเป็นโกรธ แต่เมื่อพระเจ้าตรัสในจิตใจของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็พบว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นความจริง ก็เลยเปลี่ยนจากความโกรธเป็นความเศร้า รู้สึกเสียใจว่าได้ทำสิ่งที่ไม่ดีต่อเขา และพระเจ้าทรงนำให้ข้าพเจ้าได้ไปขอโทษเขา และได้เปลี่ยนแปลงชีวิต ทำให้รู้สึกสบายใจขึ้น เพราะพระเจ้าได้รับเกียรติจากสิ่งที่เกิดขึ้น และข้าพเจ้าได้เติบโตในความรู้สึก และข้าพเจ้าก็เข้าใจว่าสุภาพสตรีทั้งคนทั้งสองนั้น ได้มีความรักต่อข้าพเจ้า จึงกล้าที่จะกล่าวกับข้าพเจ้าโดยตรง

แต่ตรงกันข้าม ถ้าหากว่าคนที่เราเผชิญหน้าด้วยปฏิเสธที่จะเปลี่ยนแปลง เราก็จำเป็นจะต้องวางขอบเขตของเราด้วย โดยจำกัดขอบเขตความสัมพันธ์ระหว่างเรากับเขา ทั้งอาจจะต้องเลิกติดต่อกับเขาโดยเด็ดขาด หรือจำกัดความสัมพันธ์นั้น

พระเยซูทรงทราบว่ายูดาสวางแผนทรยศ และพระองค์ทรงให้โอกาสยูดาสในการกลับใจใหม่ แต่เมื่อเขาไม่กลับใจไม่ พระองค์ก็ผลักไสเขาออกไป

"แต่ข้าพเจ้าเขียนบอกท่านว่า ถ้าผู้ใดได้ชื่อว่าเป็นพี่น้องแล้ว แต่ยังล่วงประเวณี เป็นคนโลภ เป็นคนถือรูปเคารพ เป็นคนปากร้าย เป็นคนขี้เมา หรือเป็นคนฉ้อโกง อย่าคบคนอย่างนั้น แม้จะกินด้วยกันก็อย่าเลย" (1โครินธ์ 5:11)

การสานความสัมพันธ์กับคนที่เมื่อทำผิดแล้วไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง มักจะนำความเสียหายมาสู่เราและคนรอบข้าง การที่จะแข็งกร้าวกับความบาปเราจำเป็นต้องจำกัดขอบเขตความสัมพันธ์ เพื่อที่จะปกป้องตัวเราและคนรอบข้าง ที่จะปิดกั้นผลของความบาปของเขา ไม่ให้มาถึงเราและคนใกล้ชิด การจำกัดความสัมพันธ์นี้ เราอาจจำเป็นต้องจำกัดการติดต่อให้อยู่เฉพาะในที่สาธารณะ หรือกลุ่มคนที่มีความเชื่อ

ถ้ามีใครที่ชอบกระแนะกระแหน ชอบวิจารณ์เราเสมอ หรือมักจะขอให้เราทำนู่นทำนี่ให้อยู่เรื่อย และทำให้เรารู้สึกผิดเมื่อเราไม่สามารถตอบสนอง เมื่อเราปฏิเสธเขา อาจดูเหมือนการไม่มีความรัก ไม่ให้อภัย แต่คนที่ไม่ยอมเปลี่ยนนั้น จะยอมรับการเปลี่ยนแปลงเมื่อผลของความบาปนำผลเสียอย่างร้ายแรง จนกระทั้งต้องเลือกระหว่างความบาปและความสัมพันธ์ และจุดมุ่งหมายที่เราจำกัดความสัมพันธ์กับเขา ก็เพื่อที่จะให้เขาเลิกทำบาป ไม่ใช่ให้เขาเลิกความสัมพันธ์

เราไม่สามารถช่วยให้ใครรอดได้ แต่พระเจ้าทรงเรียกให้รักคนเหล่านั้น และการจะรักได้ก็จำเป็นต้องทำสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคนนั้น ไม่ใช่สิ่งที่ง่ายที่สุดสำหรับเรา

ถ้าเพื่อนของเรามีพฤติกรรมบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง เราจะยอมที่จะมีความสัมพันธ์กับเขาต่อไปหรือไม่? หรือเราจะขอพระเจ้าที่จะให้มีคำพูดที่ถูกต้อง และรู้ว่าจะมีระดับความสัมพันธ์มากเพียงใดเพื่อช่วยให้เขาเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม?



อ. Melinda Burnette

คำแบ่งปันคณะเพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง เมื่อวันที่ 09/08/2009

เรื่อง How To Be Like Jesus

แปลโดย มน.นิลุบล วงศ์วรเศรษฐ์

How To Be Like Jesus (1)‏

เราเป็นคริสเตียน เราอยากที่จะเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ แต่เราไม่สามารถที่จะพยายามเลียนแบบพฤติกรรมของพระองค์ แล้วหวังว่าจะทำได้ดี แต่เราจำเป็นต้องได้รับการเปลี่ยนแปลงจากภายในออกมาสู่ภายนอก

เราจะเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ได้ เมื่อเราเกลียดชังความบาป และรักคนทั้งหลาย

วันนี้ เราจะได้เรียนรู้ร่วมกันว่า พระเยซูทรงแข็งกร้าวกับความบาปอย่างไร ? และทรงอ่อนโยนกับคนทั้งหลายอย่างไร ?



การแข็งกร้าวกับความบาปของพระเยซูคริสต์

พระองค์ทรงแข็งกร้าวกับความบาป 3 ด้าน ซึ่งเราจะต้องเปลี่ยนแปลงในสามสิ่งนี้ เพื่อที่ทัศนคติเราจะเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์

1. ความบาปของตัวเราเอง

ความบาปด้านนี้ เกี่ยวข้องกับตัวของเรา ชีวิตส่วนตัวของเรา เกี่ยวข้องกับความบริสุทธิ์ส่วนตัว

"เจ้าต้องบริสุทธิ์สำหรับเรา เพราะเราคือพระเจ้าบริสุทธิ์ และได้แยกเจ้าออกจากชนชาติทั้งหลายเพื่อเจ้าจะเป็นของเรา" (เลวีนิติ 20:26)

"แต่การเอ่ยถึงการล่วงประเวณี การลามกต่างๆ และการละโมบ อย่าให้มีขึ้นในพวกท่านเลย จะได้สมกับที่ท่านเป็นธรรมิกชน" (เอเฟซัส 5:3)

"ผู้ทรงช่วยเราให้รอด และทรงให้เรามาเป็นผู้รับใช้ของพระองค์ ไม่ใช่เพราะเห็นแก่การดีที่เราได้กระทำ แต่เพราะเห็นแก่พระประสงค์ของพระองค์เอง และพระคุณซึ่งทรงประทานแก่เรา ในพระเยซูคริสต์ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์มานั้น" (2ทิโมธี 1:9)

พระเยซูคริสต์มิได้ทรงทำบาปเลย ชีวิตพระองค์บริสุทธิ์ เราเป็นคนบาป เราไม่สามารถที่จะสมบูรณ์แบบได้ในโลกนี้ แต่พระเจ้าทรงเปลี่ยนแปลงเราอยู่ตลอดเวลาให้เราเป็นคนที่บริสุทธิ์

ความบริสุทธิ์เป็นสิ่งที่พระเจ้าให้ความสำคัญอย่างสูง เราจึงไม่สามารถเพิกเฉยต่อสิ่งเหล่านี้ได้

ถ้าเราซื่อสัตย์กับตัวเอง เราจะมองความบริสุทธิ์เป็นเหมือนการสอบ คือ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้คะแนนสูงสุด แต่ได้คะแนนสูงกว่าคนอื่นก็พอใจแล้ว ได้ดีกว่าคนอื่นคงจะเพียงพอแล้ว แต่นี่ไม่ใช่มาตรฐานของพระเจ้าที่จะทรงยอมรับได้

การที่จะแข็งกร้าวต่อความบาป หมายความว่า เราจะต้องเกลียดชังความบาป ไม่ใช่เพียงแค่ละเลยเพิกเฉย หรือยอมรับ หรือทำเหมือนกับว่าไม่ใช่สิ่งสำคัญ แต่เราจะต้องเกลียดชังความบาป

การเกลียดชังความบาป ไม่ได้เป็นเฉพาะเมื่อได้รับผลร้ายของการทำบาปเท่านั้น หรือไม่ใช่เพียงแค่เมื่อเราทำผิดแล้วมีคนจับได้รู้สึกอับอายเท่านั้น แต่พระเจ้าทรงเห็นความบาปทุกอย่างของเรา และพระองค์ทรงเกลียดชังความบาปนั้น และสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ ก็คือ จะทรงกำจัดบาปเหล่านั้นให้ไปไกลจากชีวิตของเรา

ความบาปได้ทำลายชีวิตของเราแม้ว่าจะไม่มีใครเลยที่เห็นสิ่งที่เราทำ นี่เป็นเหตุที่พระเจ้าทรงเกลียดชังความบาป เพราะว่าความบาปทำให้เราเจ็บปวด ทำลายชีวิตของเรา และทำให้เราออกห่างจากพระเจ้า ทำให้เราไม่สามารถมีสัมพันธ์ที่ดีกับพระเจ้าได้

บทเรียนที่ได้จากตรงนี้ คือ การที่เราเกรงกลัวกับความบาป หมายถึงเรากำลังเติบโตขึ้นในความบริสุทธิ์

การที่จะเกลียดชังความบาป เราจะต้องเผชิญหน้ากับมัน และรู้ว่ามันน่าเกลียดน่าชังเพียงไร

สิ่งที่อยากท้าทาย คือ ให้เราจะทูลขอพระเจ้า ให้ทรงสำแดงแก่เราทุกวัน ว่ามีสิ่งใดบ้างที่เป็นบาปผิดในชีวิตของเรา แล้วพระองค์จะทรงตอบคำถามเหล่านั้น คำตอบที่เราได้รับอาจทำให้รู้สึกเราแย่ไปได้สักพักหนึ่ง แต่หลังจากนั้น เราจะเริ่มมีทัศคติแบบพระองค์ และแข็งกร้าวกับความบาป



อ. Melinda Burnette

คำแบ่งปันคณะเพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง เมื่อวันที่ 09/08/2009

เรื่อง How To Be Like Jesus

แปลโดย มน.นิลุบล วงศ์วรเศรษฐ์

วันเสาร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ความรักจากชายแปลกหน้า

ศิษยาภิบาลเรียนบทเรียนหนึ่งด้วยความรักจากชายแปลกหน้าผู้มาเยือนคริสตจักร

วันหนึ่งศิษยาภิบาลเดินทางผ่านคริสตจักรของเขาเองในตอนเที่ยง
จึงคิดจะแวะดูสักนิดว่าจะมีใครมาอธิษฐานในคริสตจักรไหม
ทันได้นั้นเอง ประตูหลังก็เปิดออก พร้อมกับชายคนหนึ่งเดินเข้ามาตามทางเดิน
ศิษยาภิบาลหน้านิ่วถมึงทึงด้วยความไม่พอใจ ชายคนนี้ไม่ได้โกนหนวดเครา
เสื้อเชิ้ตออกจะเก่าซอมซ่อ เสื้อนอกก็ขาดวิ่นและหลุดลุ่ย
เขาคุกเข่าลง และก้มศีรษะ จากนั้นก็ลุกขึ้นและเดินจากไป

หลายวันต่อมา
ตอนเที่ยงหมอนี่ก็โผล่มาที่คริสตจักรอีกเป็นประจำ
ในแต่ละครั้งเขาจะมาคุกเข่าอยู่สักครู่หนึ่ง
มีกล่องอาหารกลางวันบนหน้าตัก แน่นอน!
ศิษยาภิบาลตั้งข้อระแวงว่า หมอนี่คงเป็นพวกหัวขโมยแน่ๆ!!!
เขาตัดสินใจเข้าไปคุยกับชายผู้นี้ “คุณมาทำอะไรที่นี่หรือ?”

ชายแก่จึงเล่าให้ฟังว่า
เขาทำงานที่โรงงานซึ่งตั้งอยู่บนถนนสายนี้
มีเวลาพักเที่ยงครึ่งชั่วโมง และเวลาเที่ยงเป็นเวลาอธิษฐาน
เพื่อเขาจะได้รับเรี่ยวแรงและฤทธิ์เดช

“ ผมอยู่ได้เพียงชั่วครู่เพราะโรงงานอยู่ไกลมาก
เมื่อผมคุกเข่าลงและพูดกับองค์พระผู้เป็นเจ้า
ผมจะบอกอย่างนี้ว่า
“องค์พระผู้เป็นเจ้า ผมเข้ามาอีกครั้ง
เพื่อจะบอกพระองค์ ว่าผมมีความสุขมากแค่ไหนตั้งแต่วันที่เราได้รู้จักกัน
และพระองค์ทรงยกโทษบาปของผม
ผมอธิษฐานไม่ค่อยเก่งนัก
แต่ผมคิดถึงพระองค์ทุกวัน
พระเยซู… ผม-จิม มารายงานตัววันนี้ ”


ศิษยาภิบาลรู้สึกกระอักกระอวนกับความเขลาของตน
จึงบอกจิมไปว่า เขาสามารถมาที่นี่และอธิษฐานได้ทุกเวลา ครั้นได้เวลาจากกัน
จิมส่งยิ้มให้และกล่าว “ขอบคุณ” พร้อมกับเร่งรีบไปที่ประตู

ศิษยาภิบาลคุกเข่าตรงแท่นข้างหน้า
อย่างที่เขาไม่เคยทำมาก่อน
หัวใจที่เย็นชาของเขาหลอมละลายและอบอุ่นขึ้นด้วย ความรัก
…เขาได้พบพระเยซูที่นั่น
ในขณะที่น้ำตาไหลพรากอยู่นั้น
ภายในหัวใจของเขาได้อธิษฐานตามอย่างเฒ่าจิมที่ว่า

"องค์พระผู้เป็นเจ้า
ผมเข้ามาอีกครั้ง
เพื่อจะบอกพระองค์ว่า
ผมมีความสุขแค่ไหนตั้งแต่วันที่เราได้รู้จักกัน
และพระองค์ทรงยกโทษบาปของผม
ผมอธิษฐานไม่ค่อยเก่งนัก
แต่ผมคิดถึงพระองค์ทุกวัน พระเยซู…
นี่ผมเอง มารายงานตัววันนี้"

บ่ายวันหนึ่ง
ศิษยาภิบาลเริ่มสังเกตว่าจิมไม่ได้มาเหมือนเคย
และเวลาผ่านไปอีกหลายวัน
โดยที่จิมไม่ได้ปรากฏตัว เขาเริ่มรู้สึกวิตก
ที่โรงงาน ศิษยาภิบาลมาถามหาชายชราชื่อ จิม
และได้ความว่า เขาป่วย
คนที่โรงงานต่างก็เป็นห่วงกับอาการของจิม
แต่เขากลับทำให้ทุกคนรู้สึกประหลาดใจ
ช่วงสัปดาห์ที่จิมอยู่ด้วยนั้น
นำการเปลี่ยนแปลงมาอย่างถ้วนทั่ว
รอยยิ้มของเขากับความปิติยินดีที่เป็นเหมือนโรคระบาด
ผู้คนที่เปลี่ยนแปลงไปคือรางวัลใหญ่ของเขา
หัวหน้าพยาบาลไม่อาจเข้าใจได้ว่า
เหตุใดจิมจึงดีใจอยู่เสมอ
ทั้งที่ไม่มีดอกไม้เยี่ยมไข้ โทรศัพท์ หรือบัตรอวยพร ไม่มีใครสักคนมาเยี่ยม

ศิษยาภิบาลยืนอยู่ข้างเตียงเขา
ฟังเสียงรำพันของพยาบาลผู้เป็นห่วง
โอ้…จิม ไม่มีเพื่อนมาแสดงความห่วงใย
ไม่มีใครที่เขาจะพึ่งพิงได้ แต่น่าแปลกใจ
เฒ่าจิมอธิบายขึ้นด้วยรอยยิ้มละไมของชัยชนะ

" คุณพยาบาลไม่เข้าใจ เธอไม่รู้หรอกว่า
ในครู่ใหญ่ๆ ของทุกเที่ยงวัน พระองค์อยู่ที่นี่ เพื่อนรักของผม
คุณเห็นไหมว่าพระองค์กำลังนั่งอยู่ ทรงกุมมือผมไว้
โน้มเข้ามาใกล้และบอกว่า

“เราเข้ามาอีกครั้ง…จิม …
เพื่อบอกเจ้าว่าเรามีความสุขมากแค่ไหนตั้งแต่วันที่เราได้รู้จักกัน
และเรายกโทษบาปของเจ้า
เรารักที่จะฟังเจ้าอธิษฐานเสมอ
และเราคิดถึงเจ้าทุกวัน
จิม…เราคือเยซู มารายงานตัวในวันนี้” "


ผมได้อ่านเรื่องนี้จากอีเมลที่เพื่อนคนหนึ่งส่งมาให้และเกิดอาการอย่างเดียวกับศิษยาภิบาลผู้นี้
ผมร้องไห้และอธิษฐานกับพระเยซูด้วย
คำอธิษฐานของลุงจิม
ชีวิตและการับใช้ของผมมันช่างยิ่งใหญ่และซับซ้อนจนผมลืมไปว่า
“ผมมีความสุขมากแค่ไหน ตั้งแต่วันที่ผมกับพระเยซูได้รู้จักกัน”

มิตรภาพของพระองค์เป็นสิ่งเดียวในชีวิตที่ให้ความสุขแท้กับผม
และจะติดตามผมไป
ไม่ว่าผมจะทุกข์ยาก เจ็บป่วย หรือล้มเหลว
ตั้งแต่เริ่มเป็นคริสเตียนนั้น
ผมได้ผ่านความเจ็บปวดใหญ่น้อยมานับไม่ถ้วน
มีบางครั้งก็สาหัสจนผมแทบไม่เชื่อว่าจะผ่านมาได้
แต่มิตรภาพของพระองค์ทำให้ไม่มีความทุกข์แท้สำหรับผม
ความทุกข์ทั้งหมดล้วนไม่จีรัง
เมื่อมันถูกนำมาปะทะกับความสุขของการได้รู้จักพระเยซู


"องค์พระผู้เป็นเจ้า
ผมเข้ามาหาพระองค์อีกครั้ง
เพื่อจะบอกพระองค์ว่า
ผมมีความสุขมากแค่ไหน
ตั้งแต่วันที่เรารู้จักกัน
และพระองค์ยกโทษบาปของผม
ผมอธิษฐานไม่ค่อยเก่งนัก
แต่ผมคิดถึงพระองค์ทุกวัน
พระเยซู…นี่ผมเอง มารายงานตัววันนี้"

วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

พระปัญญาของพระเจ้า (2)‏

มี 3 ประการที่อยากฝากเอาไว้ เพื่อเป็นการตอบสนองต่อพระปัญญาของพระเจ้า ได้แก่

1. ให้เราเริ่มต้นด้วยการยำเกรงพระเจ้า
"ความยำเกรงพระเจ้า เป็นบ่อเกิดของ ความรู้ คนโง่ย่อมดูหมิ่นปัญญาและคำสั่งสอน" (สุภาษิต 1:7)

การที่เราจะตอบสนองพระปัญญาของพระเจ้า จะต้องเริ่มต้นโดยการกลัวพระเจ้า เพื่อที่เราจะให้พระองค์นำหน้าเรา เพื่อเราจะยอมรับรู้พระองค์ในทุกทางของเรา

2. ให้เราเติบโตกับพระคำของพระเจ้า
เมื่อเรายำเกรงพระเจ้า เราจำเป็นต้องเติบโตกับพระคำของพระเจ้า

"97 แหม ข้าพระองค์รักพระธรรมของพระองค์จริงๆ เป็นคำภาวนาของข้าพระองค์วันยังค่ำ
98 พระบัญญัติของพระองค์กระทำให้ ข้าพระองค์ฉลาดกว่าศัตรูของข้าพระองค์ เพราะพระบัญญัตินั้นอยู่กับข้าพระองค์เสมอ
99 ข้าพระองค์มีความเข้าใจมากกว่าบรรดา ครูของข้าพระองค์ เพราะบรรดาพระโอวาทของพระองค์เป็น คำภาวนาของข้าพระองค์
100 ข้าพระองค์เข้าใจมากกว่าคนสูงอายุ เพราะข้าพระองค์รักษาข้อบังคับของพระองค์" (สดุดี 119:97-100)

"15 และตั้งแต่เด็กมาแล้ว ที่ท่านได้รู้พระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งสามารถสอนท่านให้ถึงความรอดได้โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์
16 พระคัมภีร์ ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และ(หรือ ทุกตอนที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้า ก็) เป็นประโยชน์ในการสอน การตักเตือนว่ากล่าว การปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี และการอบรมในทางธรรม
17 เพื่อคนของพระเจ้าจะพรักพร้อมที่จะกระทำการดีทุกอย่าง" (2ทิโมธี 3:15-17)

ให้เราพร้อมที่จะเชื่อฟังพระเจ้า ไม่ใช่เพียงแค่รู้อย่างเดียว อย่าให้เราอ่านพระคัมภีร์ เฝ้าเดี่ยว เป็นเพียงกิจวัตร แต่ขอที่เราจะอ่านแล้ว รับรู้แล้ว กระทำตามด้วย เพื่อจะเป็นเหมือนคนสร้างบ้านบนศิลา มีรากฐานที่มั่นคง

3. ถ้ารู้สึกว่าขาดสิ่งใด ให้เราทูลขอพระเจ้าด้วยความเชื่อ
ถ้าผู้ใดรู้สึกว่าขาดปัญญา ให้เราขอต่อพระเจ้า และให้เราวางใจในพระเจ้า พระเจ้าจะทรงประทานสติปัญญาให้แก่เรา และเมื่อเราขอแล้ว อย่าสงสัย ให้เราเชื่อ

"5 ถ้าผู้ใดในพวกท่านขาดสติปัญญา ก็ให้ผู้นั้นทูลขอจากพระเจ้า ผู้ทรงโปรดประทานให้แก่คนทั้งปวงด้วยพระกรุณาและมิได้ทรงตำหนิ แล้วผู้นั้นก็จะได้รับสิ่งที่ทูลขอ
6 แต่จงให้ผู้นั้นทูลขอด้วยความเชื่อ อย่าสงสัยเลย เพราะว่าผู้ที่สงสัยเป็นเหมือนคลื่นในทะเลซึ่งถูกลมพัดซัดไปมา
7 ผู้นั้นจงอย่าคิดว่าจะได้รับสิ่งใดจากพระเจ้าเลย
8 เขาเป็นคนสองใจไม่มั่นคงในบรรดาทางที่ตนประพฤตินั้น" (ยากอบ 1:5-8)

ท่าทีของการเชื่อฟัง คือ ตั้งใจแต่แรกว่า ไม่ว่าพระเจ้าจะให้เราไปในทางใด เราจะไปในทางนั้นตามที่พระองค์ทรงนำ



ให้เรา rest and trust วางใจพระเจ้าอย่างสุดใจ เพราะว่าเราอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าที่แสนดี พระเจ้าผู้ทรงเป็นความรัก ผู้ที่ทรงทราบทุกสิ่ง ทรงมีฤทธานุภาพที่จะนำไปถึงผลที่จะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของเราอย่างแน่นอน และจะเป็นสิ่งที่มีคุณค่า มีความหมายสูงสุดในชีวิตของเรา

อยากให้มีโอกาสที่จะคิดถึงเรื่องราวในชีวิตของเรา ว่ามีเรื่องใดที่เรารู้สึกว่าไม่เข้าใจในแผนการของพระเจ้า ว่าทำไมพระองค์จึงให้เกิดสิ่งนี้ ขอที่เราจะนำสิ่งที่เราเรียนรู้ ว่าพระเจ้าเรายิ่งใหญ่ ทรงล้ำลึก พระปัญญาของพระองค์ก็เกินความเช้าใจ ให้เราเชื่อวางใจพระองค์ ว่าพระองค์จะทรงดูแลนำพาชีวิตของเราอย่างแน่นอน

อยากฝากพระธรรมตอนนี้ ให้เราใคร่ครวญ

"โอ พระปัญญาและความรอบรู้ของพระเจ้านั้น ล้ำลึกเท่าใด ข้อตัดสินของพระองค์นั้นเหลือที่จะหยั่งรู้ได้ และทางของพระองค์ก็เหลือที่จะสืบเสาะได้" (โรม 11:33)



Reference: http://www.livingontheedge.org/lotecommunity/media/audio/july09audio6.php



กุลกันยา วงศ์สันติชน

คำแบ่งปันเซลล์เพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 10/07/2009

เรื่อง พระปัญญาของพระเจ้า

วันเสาร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

พระปัญญาของพระเจ้า (1)‏

ก่อนอื่น อยากให้อยู่ในท่าสบาย ๆ แล้วคิดถึงในอดีต ว่ามีสิ่งใดหรือไม่ที่เราคิดว่าเป็นเรื่องยากในชีวิต เป็นเรื่องที่เรามีความรู้สึกว่า ทำไมพระเจ้าที่ทรงบอกว่าทรงมีแผนการที่ดีในชีวิตของเรา จึงอนุญาตให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น? ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งกับเพื่อน โรคภัยไข้เจ็บต่าง ทั้ง ๆ ที่เราเชื่อฟังพระเจ้าแล้ว ทำไมสิ่งเหล่านี้จึงเกิดขึ้น? หลายครั้ง ชีวิตของเราเจอกับเรื่องราวเหล่านี้

พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ในชีวิตเรา สิ่งที่พระองค์จัดเตรียมนั้นไม่ใช่เพียงแค่ปัจจุบัน แต่เป็นนิจนิรันดร์

ภาษาอังกฤษ dictionary ฉบับ Webster ได้แปลคำว่า "Wisdom" ว่า "to know" หรือ "to see"

ดังเช่นเมื่อมีรุ่นน้องปรึกษารุ่นพี่ รุ่นพี่ก็สามารถให้คำแนะนำได้ เพราะเขามองภาพออก เขารู้ และเขามองเห็นแล้วว่า น่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นต่อไป เนื่องจากเขามีประสบการณ์มาก่อน

มีผู้ที่ให้คำจำกัดความถึงพระปัญญาของพระเจ้าว่า "Wisdom of God is attribute of God whereby He produces the best possible results by the best possible means"

"พระเกียรติและพระสิริจงมีแด่พระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระเจริญอยู่นิรันดร์ ผู้ทรงเป็นองค์อมตะ ซึ่งมิได้ปรากฏพระองค์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าแต่องค์เดียวสืบๆไปเป็นนิตย์ อาเมน" (1ทิโมธี 1:17)

พระองค์เป็นพระเจ้าที่ทรงอยู่นิรันดร์ ทรงอยู่ตั้งแต่เริ่มแรก ทรงอมตะ สิ่งเหล่านี้ทำให้เรามีความเข้าใจมากขึ้นได้อย่างไร?

อยากจะขอเล่าเรื่องราวของบุคคลหนึ่ง เขาเป็นนักฟุตบอล ได้ทำงานเป็นโค๊ชสอนเด็ก แล้วพระเจ้าทรงเรียกให้เขาเรียนพระคริสต์ธรรม เขาก็เชื่อฟัง เขาตัดสินใจที่จะถวายตัวรับใช้พระเจ้าเต็มตัว โดยภรรยาจะเป็นผู้เลี้ยงลูก ซึ่งเขามีลูกเล็ก 3 คน

แต่ละวัน เขาก็จะเตรียมตัวตอนเช้าเรียบร้อย เรียน ทำงาน กลับมาก็เล่นกับลูก เมื่อดึก ๆ จึงทำการบ้าน แล้วจึงนอน เขาทำหน้าที่อย่างเต็มที่ งานรับใช้ของเขาเติบโตขึ้น แต่งานเขาก็หนักมากขึ้น จนถึงจุด ๆ หนึ่งเขาก็รู้สึกว่าอยากที่จะเลิก ไม่อยากเรียนต่อ

วันหนึ่ง ขณะเขานั่งในห้องเรียน เขาเหม่อลอย ไม่ได้จดจ่อกับสิ่งที่เรียน แล้วจู่ ๆ ก็มีมือที่แตะที่ไหล่ของเขา เขาจึงรู้สึกตัวว่าในห้องนั้นไม่มีใครอยู่แล้ว เหลือเขาอยู่คนเดียว เพราะคนอื่นออกไปหมดแล้ว เขาจึงได้บอกกับอาจารย์ที่แตะไหล่เขาว่าเขาอยากเลิกเรียน อาจารย์จึงบอกให้เขากลับบ้าน พักผ่อน รับประทานอาหารให้อิ่ม นอนให้พอ

เขารู้สึกว่าเขาได้รับใช้พระเจ้าเต็มที่ แต่ตอนนี้ เขาไม่มีเงินที่จะจ่ายค่าใช้จ่ายต่าง ๆ มีปัญหารอบตัวอย่างมากมาย ทำไมสิ่งเหล่านี้จึงเกิดขึ้น? พระองค์บอกว่าทรงมีแผนการที่ดีเลิศให้แก่ชีวิตของเราไม่ใช่หรือ? คำที่ professor พูดเสมอ ว่า "Wisdom of God is attribute of God whereby He produces the best possible results by the best possible means" ทั้ง ๆ ที่เขาไม่เคยจด แต่สิ่งนี้ก็เข้ามาในความคิดของเขา

มีชีวิตของอีกคนหนึ่ง เขามีหน้าที่สับรางรถไฟ เขาดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข บ้านของเขาในชานเมือง และเขาทำงานที่เนินเขา เมื่อเวลากลางวัน ลูกของเขาจะวิ่งเอาอาหารมาให้ทุกวัน

วันหนึ่ง ขณะที่ลูกของเขากำลังจะเอาอาหารมาให้เช่นปกติ ขาของลูกเขาเกิดติดกับรางรถไฟ รถไฟกำลังวิ่งมาเร็วมาก เขามีทางเลือกสองทาง คือ จะสับรางเพื่อให้รถไฟไม่มาวิ่งทับลูกของเขา แต่ชีวิตของคนในรถไฟจะอันตราย หรือไม่ก็สับรางเพื่อให้รถไฟวิ่งมาทับลูกของเขา แล้วคนในรถไฟหลายร้อยคนจะรอด

สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ต้องคิดต้องตัดสินใจอย่างมาก จะรู้ได้อย่างไรว่าลูกของเขาอาจจะเติบใหญ่เป็นผู้รับใช้ที่ยิ่งใหญ่ก็เป็นได้ หรือคนในรถไฟขบวนนั้นอาจจะมีผู้ที่กำลังคิดยาต้านไวรัสเอดส์ได้ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่โลกได้อย่างมาก สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่มนุษย์เราไม่สามารถรู้ได้ แต่พระเจ้าทรงทราบทุกสิ่ง ทรงมีแผนการที่เกินความเข้าใจ

คำว่าพระปัญญาของพระเจ้า เป็นความคมชัด เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงเห็นตั้งแต่เริ่มต้นจนสุดปลาย พระองค์ทรงมีแผนการที่เกินความเข้าใจของเรา เพื่อประโยชน์ในนิรันดร์กาลของเรา

สิ่งหนึ่งที่เราสามารถทราบถึงพระปัญญาของพระเจ้าได้ คือ สิ่งทรงสร้าง เมื่อเรามองในธรรมชาติ เราจะเห็นถึงอัศจรรย์และความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

"1 ฟ้าสวรรค์ประกาศพระสิริของพระเจ้า และภาคพื้นฟ้าสำแดงพระหัตถกิจของพระองค์
2 วันส่งถ้อยคำให้แก่วัน และคืนแจ้งความรู้ให้แก่คืน
3 วาจาไม่มี ถ้อยคำก็ไม่มี และไม่มีใครได้ยินเสียงฟ้า
4 ถึงกระนั้นเสียงฟ้าก็ออกไปทั่วแผ่นดินโลก และถ้อยคำก็แพร่ไปถึงสุดปลายพิภพ พระองค์ทรงตั้งเต็นท์ไว้ให้ดวงอาทิตย์ ณ ที่นั้น
5 ซึ่งออกมาอย่างเจ้าบ่าวออกมาจากห้องโถงของเขา และวิ่งไปตามวิถีด้วยความชื่นบานอย่างชายฉกรรจ์
6 ดวงอาทิตย์ขึ้นมาจากสุดปลายฟ้าสวรรค์ข้างหนึ่ง และโคจรไปถึงที่สุดปลายอีกข้างหนึ่ง ไม่มีสิ่งใดสามารถซ่อนให้พ้นจากความร้อนของมันได้
7 กฎหมายของพระเจ้ารอบคอบ และฟื้นฟูจิตวิญญาณ กฎเกณฑ์ของพระเจ้านั้นแน่นอน
กระทำให้คนรู้น้อยมีปัญญา" (สดุดี 19:1-7)

สิ่งทรงสร้าง เป็นสิ่งที่ซับซ้อน ยิ่งใหญ่ แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของพระผู้สร้าง ถ้าผู้ใดเรียนสายวิทยาศาสตร์ก็จะยิ่งเห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น ได้เห็นความสลับซับซ้อนของเซลล์ผ่านทางกล้องจุลทรรศน์ ได้มองเห็นความยิ่งใหญ่ของจักรวาล

"ข้าแต่พระเจ้า พระราชกิจของพระองค์มากมายจริง ๆ พระองค์ทรงสร้างการงานนั้นทั้งสิ้นด้วยพระปัญญา แผ่นดินโลกมีสิ่งที่ทรงสร้างเต็มหมด" (สดุดี 104:24)

"10 พระเจ้าทรงให้การปรึกษาของชาติต่างๆเปล่าประโยชน์ พระองค์ทรงให้แผนงานของชนชาติทั้งหลายไร้ผล
11 คำปรึกษาของพระเจ้าตั้งมั่นคงเป็นนิตย์ พระดำริในพระทัยของพระองค์อยู่ทุกชั่วชาติพันธุ์" (สดุดี 33:10-11)

ในเหตุต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นล้วนอยู่ในแผนการของพระองค์

ในพันธสัญญาเดิม มีเหตุการณ์ต่าง ๆ มากมาย มีปัจจัยที่เกิดจากการเชื่อฟังหรือการดื้อดึงของมนุษย์ พระเจ้าทรงมีประประสงค์ในแต่ละเหตุการณ์ ทรงครอบครองทุกสิ่ง มีสิทธิอำนาจเด็ดขาด และพระปัญญาที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่เราสามารถเห็นได้ชัดเจน คือ การทรงไถ่ของพระเยซูคริสต์

แผนการของพระเจ้านั้น มิได้เพื่อประโยชน์ของเราแค่ในปัจจุบัน แต่ไปจนถึงอนาคต จนถึงนิรันดร์กาลด้วย พระองค์จึงทรงส่งพระเยซูคริสต์มา เพื่อสิ้นพระชนม์แทนเรา เป็นแผนการที่เกินความเข้าใจของมนุษย์ เป็นเรื่องที่มนุษย์อาจคิดว่าโง่เขลา แต่นี่เป็นพระปัญญาของพระเจ้า เพื่อปลดปล่อยเราจากการเป็นทาสของความบาป

"โดยพระองค์ ท่านจึงอยู่ในพระเยซูคริสต์ เพราะพระเจ้าทรงตั้งพระองค์ให้เป็นปัญญาและความชอบธรรมของเรา และเป็นผู้ทรงชำระเราให้บริสุทธิ์ และทรงเป็นผู้ไถ่เราไว้ให้พ้นบาป" (1โครินธ์ 1:30)

เรามีความเข้าใจว่า การที่เรารอด ก็รอดโดยพระคุณ เพราะความเชื่อ เป็นพระคุณของพระเจ้า ไม่มีผู้ใดที่สมควรจะได้รับความรอด แต่นี่เป็นแผนการของพระเจ้าที่ทรงต้องการให้ผู้ที่รับฟังข่าวประเสริฐแล้วกลับใจ ได้รับความรอด

"15 เหตุฉะนั้นท่านจงระมัดระวังในการดำเนินชีวิตให้ดี อย่าให้เหมือนคนไร้ปัญญา แต่ให้เหมือนคนมีปัญญา

16 จงฉวยโอกาส เพราะว่าทุกวันนี้เป็นกาลที่ชั่ว
17 เหตุฉะนั้นอย่าเป็นคนโง่เขลา แต่จงเข้าใจน้ำพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่าเป็นอย่างไร" (เอเฟซัส
5:15-17)


เราจะต้องดำเนินชีวิตอย่างระมัดระวัง และมีปัญญา




Reference: http://www.livingontheedge.org/lotecommunity/media/audio/july09audio6.php



กุลกันยา วงศ์สันติชน

คำแบ่งปันเซลล์เพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 10/07/2009

เรื่อง พระปัญญาของพระเจ้า

วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ฤทธิ์เดชแห่งพระวจนะ (4): พระวจนะเป็นพระสัญญาของพระเจ้า‏

4. พระวจนะเป็นพระสัญญาของพระเจ้า

"เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ตราบใดที่ฟ้าและดินดำรงอยู่ แม้อักษรหนึ่งหรือขีดๆหนึ่งก็จะไม่สูญไปจากธรรมบัญญัติ จนกว่าสิ่งที่จะต้องเกิด ได้เกิดขึ้นแล้ว" (มัทธิว 5:18)

นี่เป็นคำสัญญาที่พระเยซูคริสต์ตรัสแก่เหล่าสาวก ว่าสิ่งที่เขียนในพระคัมภีร์ จะเกิดขึ้นจริงตามนั้นทุกประการ

"บรรดาพระสัญญาของพระเจ้าก็จริงโดยพระเยซู เพราะเหตุนี้เราจึงพูดว่าอาเมน โดยพระองค์เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า" (2โครินธ์ 1:20)

แม้ว่าพระสัญญาจะเป็นจริง แต่สิ่งเหล่านั้นไม่ได้เกิดขึ้นอย่างอัตโนมัติ

พระเจ้าทรงประทานพระสัญญาแก่อิสราเอลว่าเขาจะได้รับแผ่นดินแห่งพันธสัญญา แต่จะพบว่ากว่าเขาจะได้ดินแดนนั้น อิสราเอลผ่านประสบการณ์การเชื่อฟังและการไม่เชื่อฟังอย่างมากมาย

พระเจ้าทรงประทานชีวิตนิรันดร์ให้แก่เรา จะทรงประทานสิ่งสารพัดให้แก่เราบนโลกนี้ จะทรงประทานสติปัญญา สันติสุข ทรงจัดเตรียมให้แก่เราอย่างบริบูรณ์ แต่สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าหากว่าเรามิได้มีความเชื่อที่แสดงออกมาเป็นการกระทำ

อับราฮัมเชื่อมั่นในพระสัญญาของพระเจ้า รอคอยด้วยความเชื่อและวางใจในพระเจ้าตลอด เชื่อว่าพระสัญญาของพระเจ้าเป็นจริงเสมอ เพราะทุกสิ่งที่เป็นพระสัญญาของพระเจ้า



ขอที่เราเรียนรู้ที่จะรอคอยพระเจ้า พระองค์ทรงมีเวลาที่เหมาะสม

ขอที่เราจะมีความเชื่อแบบอับราฮัม ตัดสินใจว่าจะเชื่อในพระสัญญาของพระเจ้า ยืนหยัดและยึดมั่นในพระสัญญาของพระเจ้า

อยากขอส่งท้ายด้วยคำนำจากหนังสือพระคัมภีร์ฉบับเดียน

"พระคริสต์ธรรมคัมภีร์ มีเรื่องพระประสงค์ของพระเจ้า สภาวะของมนุษย์ ทางแห่งความรอด เคราะห์กรรมของคนบาป และความผาสุกของผู้ที่เชื่อถือ หลักธรรมก็บริสุทธิ์ผุดผ่อง คำสอนก็ผูกพันกับประวัติศาสตร์ ก็เป็นความจริง ข้อตกลงไม่มีเปลี่ยนแปลง จงอ่านพระคริสตธรรมคัมภีร์จะได้เป็นคนฉลาด จงเชื่อถือเพื่อจะได้ความรอด จงประพฤติตามเพื่อจะได้เป็นคนบริสุทธิ์ผุดผ่อง มีแสงสว่างที่จะนำท่าน มีอาหารเพื่อค้ำชูท่าน และมีคำเล้าโลมเพื่อให้ท่านชื่นใจ

พระคริสต์ธรรมคัมภีร์เป็นแผนที่ของผู้เดินทาง เป็นไม้เท้าของผู้แสวงบุญ เป็นเข็มทิศของผู้นำร่องทาง เป็นดาบของทหาร เป็นแผนผังของคริสเตียน ในหนังสือนี้ เมืองบรมสุขกลับสู่สภาพเดิม เมืองสวรรค์เปิดกว้าง และปิดประตูนรก

พระคริสต์เป็นหัวใจสำคัญของหนังสือเล่มนี้ ท้องเรื่องก็เป็นของดีแก่เรา สุดท้ายนำไปสู่พระสิริของพระเจ้า

ควรจดจำไว้ให้เต็มสมอง ให้ครองจิตครองใจ ให้นำเท้า จงอ่านช้า ๆ อ่านบ่อย ๆ อ่านด้วยใจอธิษฐาน พระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นขุมทรัพย์ เป็นแดนสุขารมณ์ เป็นย่านน้ำแห่งความพอใจ ประทานให้ในชีวิตของเรา จะกางออกอีกในวันพิพากษาลงโทษ และจะให้คนจดจำไว้เป็นนิตย์ มีเรื่องความรับผิดชอบอันสูงส่ง จะให้รางวัลแก่ผู้ที่ขยันทำงาน คนใดดูหมิ่นเรื่องราวเหล่านี้จะถูกปรับโทษ"



ศจ. ทิวาพร ราชรักษ์

สรุปคำเทศนาโบสถ์ไทย คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 12/07/2009

เรื่อง ฤทธิ์เดชแห่งพระวจนะ

วันพุธที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ฤทธิ์เดชแห่งพระวจนะ (3): พระวจนะเป็นอาหารแห่งชีวิต‏

3. พระวจนะเป็นอาหารแห่งชีวิต

"ฝ่ายพระองค์ตรัสตอบว่า 'มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า 'มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียว หามิได้ แต่บำรุงด้วยพระวจนะทุกคำ ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า' ' " (มัทธิว 4:4)

สำหรับคนทั่วไป เพียงแค่ประสบความสำเร็จในชีวิตนั้นก็พอแล้ว แต่พระคัมภีร์ได้บอกแก่เราว่า สิ่งเหล่านั้นไม่สามารถทำให้จิตวิญญาณของเราอิ่มได้ แต่เราจำเป็นต้องบำรุงชีวิตด้วยพระวจนะของพระเจ้า

ทุกอย่างที่บันทึกในพระคัมภีร์ ตั้งแต่ต้นจนจบ ถ้าเราอ่าน จิตวิญญาณของเราจะเติบโตขึ้น และถ้อยคำเหล่านั้นจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราให้เหมือนพระเจ้ามากยิ่งขึ้น ทำให้เรารู้จักพระเจ้ามากยิ่งขึ้น

ชายคนหนึ่ง มาปรึกษาอาจารย์ว่า ทำอย่างไรดี เพราะเขาอ่านพระวจนะคำมากมาย แต่จำไม่ได้สักที อาจารย์จึงแนะนำให้ชายคนนั้นนำตะกร้าใบหนึ่งไปตักน้ำ

ชายคนนั้นจึงนำตะกร้าไปจุ่มลงในโอ่ง และยกขึ้นมา น้ำก็ไหลออกมาหมด

เขาจึงไปบอกอาจารย์ว่าทำไม่ได้ อาจารย์ก็บอกว่าให้ทำต่อไปเรื่อย ๆ

เขาทำต่อไป จนรู้สึกเหนื่อย อาจารย์จึงถามเขาว่า เขาได้สิ่งใดจากการทำเช่นนี้บ้าง เขาจึงตอบว่าไม่ได้อะไรเลย

แต่อาจารย์ก็ได้บอกกับเขาว่า "แม้ว่าจะไม่ได้น้ำ แต่สิ่งที่ได้ คือ ตะกร้าสะอาดขึ้น"

พระวจนะของพระเจ้าชำระจิตใจของเราให้สะอาดและบริสุทธิ์ ชีวิตเราจะได้รับการเปลี่ยนแปลงโดยที่เราไม่รู้ตัว แต่คนรอบข้างจะสังเกตได้

การอ่านพระวจนะคำของพระเจ้า เปรียบเหมือนการรับประทานอาหาร จำเป็นต้องกินทุก ๆ วัน ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ ถ้าเราปราศจากพระวจนะของพระเจ้า เราจะรู้สึกหิวกระหาย จนตายในที่สุด เป็นการตายฝ่ายวิญญาณ

พระคัมภีร์ประกอบด้วยสารอาหารที่ครบทุกอย่าง มีคุณค่าและประโยชน์ฝ่ายวิญญาณ

บางครั้งเราอาจรู้สึกว่าเบื่อ ไม่อยากอ่านพระคัมภีร์ แต่เมื่อนั้น แสดงว่าจิตวิญญาณของเราต้องการการดูแลรักษา

วันนี้เรารับประทานอาหารฝ่ายวิญญาณเพียงพอแล้วหรือยัง?



ศจ. ทิวาพร ราชรักษ์

สรุปคำเทศนาโบสถ์ไทย คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 12/07/2009

เรื่อง ฤทธิ์เดชแห่งพระวจนะ

ฤทธิ์เดชแห่งพระวจนะ (2): พระวจนะเป็นโคม‏

2. พระวจนะเป็นโคม

"พระวจนะของพระองค์เป็นโคมสำหรับเท้าของข้าพระองค์ และเป็นความสว่างแก่มรรคาของข้าพระองค์" (สดุดี 119:105)

ถ้อยคำของพระเจ้าเป็นโคม ซึ่งมีไว้เพื่อส่องสว่างในทางที่มืด ช่วยเหลือเราในขณะที่เดิน เพราะถ้าเดินในทางมืด เราจะไม่รู้ว่าเราจะสะดุดสิ่งใดบ้าง เราจะคิดสิ่งใดไม่ออก พระวจนะของพระเจ้าเป็นโคมส่องทางให้แก่เรา แม้ว่าเราจะมืดแปดด้าน แต่พระเจ้าทรงประทานด้านที่เก้าให้แก่เราได้

พระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น ที่สามารถชี้นำทางให้เราเดินในทางที่ควรทำ ขอที่เราเปิดพระคำของพระเจ้า พระองค์จะทรงประทานทางออกให้แก่เราอย่างแน่นอน

ยิ่งเราอยู่ใกล้พระวจนะของพระเจ้า เราจะยิ่งฉลาด แต่ไม่ใช่ฉลาดในทางโลก ในทางที่ผิด แต่เป็นความฉลาดในทางของพระเจ้า

"23 ถ้าพระเจ้าทรงนำย่างเท้าของมนุษย์คนใด และคนนั้นพอใจในมรรคาของพระองค์
24 แม้เขาล้ม เขาจะไม่ถูกเหวี่ยงลงเหยียดยาว เพราะว่าพระหัตถ์พระเจ้าพยุงเขาไว้" (สดุดี 37:23-24)

พระเจ้าจะทรงรักษาเราไว้ให้อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์อยู่เสมอ แม้ว่าเราจะล้มลง ก็จะทรงช่วยเรา พระองค์ทรงดูแลเราในทุก ๆ เรื่อง พระหัตถ์ของพระองค์จะพยุงเราไว้เสมอ

"ความสุขเป็นของบุคคล ผู้ไม่ดำเนินตามคำแนะนำของคนอธรรม หรือยืนอยู่ในทางของคนบาป หรือนั่งอยู่ในที่นั่งของคนที่ชอบเยาะเย้ย" (สดุดี 1:1)



ศจ. ทิวาพร ราชรักษ์

สรุปคำเทศนาโบสถ์ไทย คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 12/07/2009

เรื่อง ฤทธิ์เดชแห่งพระวจนะ

วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ฤทธิ์เดชแห่งพระวจนะ (1): พระวจนะเป็นดาบ‏

"เพราะว่า พระวจนะของพระเจ้านั้นไม่ตายและทรงพลานุภาพอยู่เสมอ คมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆ แทงทะลุกระทั่งจิตและวิญญาณ ตลอดข้อกระดูกและไขในกระดูก และสามารถวินิจฉัยความคิดและความมุ่งหมายในใจด้วย" (ฮีบรู 4:12)

พระวจนะที่เต็มไปด้วยฤทธิ์เดช เราสามารถค้นหาคำตอบได้ทุกเรื่อง หลายครั้งเราไม่พบคำตอบ ก็เพราะว่าเราไม่ได้เปิดพระคัมภีร์ พระคัมภีร์มีทางออก เพราะเป็นพระวจนะของพระเจ้า ถูกต้องอย่างแม่นยำ เพราะล้วนออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิต เปลี่ยนแปลงสังคม เปลี่ยนแปลงประเทศ และเปลี่ยนแปลงโลกได้ พระวจนะคำของพระเจ้าไม่ตาย แต่เต็มไปด้วยฤทธิ์อำนาจ



1. พระวจนะเป็นดาบ
1.1 พระวจนะเป็นดาบที่ทิ่มแทงจิตวิญญาณของเรา
"เพราะว่า พระวจนะของพระเจ้านั้นไม่ตายและทรงพลานุภาพอยู่เสมอ คมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆ แทงทะลุกระทั่งจิตและวิญญาณ ตลอดข้อกระดูกและไขในกระดูก และสามารถวินิจฉัยความคิดและความมุ่งหมายในใจด้วย" (ฮีบรู 4:12)

เวลาเราคิดจะทำอะไรสักสิ่งหนึ่ง จะมี 2 ส่วนของความคิดที่ต่อสู้กันอยู่ คือ ฝ่ายเนื้อหนัง และฝ่ายวิญญาณ พระวจนะของพระเจ้าจะเปิดโปงว่าเรามีแรงจูงใจฝ่ายใดมากกว่ากัน

พระวจนะของพระเจ้าไชชอน ทิ่มแทงทะลุจิตและวิญญาณของเรา ไปสู่ส่วนลึกของร่างกาย และไม่เพียงเท่านั้น พระวจนะสามารถวินิจฉัยความคิดและความมุ่งหมายในใจด้วย

ในขณะที่เราทั้งหลายนั่งอยู่ที่นี่ ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าในใจแต่ละคนเป็นเช่นไรบ้าง แต่พระเจ้าทรงทอดพระเนตรที่จิตใจ ทรงทราบจิตใจของเราว่าเรามีท่าทีเช่นไรในการมานมัสการ

พระคัมภีร์ตอนหนึ่ง สามารถที่จะสอนเราเป็นการส่วนตัวได้ แม้ว่าผู้เทศนาอาจไม่ทราบว่าแต่ละคนที่ฟังเป็นเช่นไร แต่บางคนที่ฟังรู้สึกโดนใจ ในขณะที่บางคนอาจรู้สึกว่ากำลังถูกตำหนิ

พระคัมภีร์มิได้มีไว้ใช้ในการด่าทอกัน แต่พระคัมภีร์สามารถใช้ในการสอนเปลี่ยนแปลงชีวิตของเรา

พระวจนะของพระเจ้า ถ้ายิ่งอ่าน ก็จะยิ่งทราบว่าสิ่งที่เราทำอยู่นั้น เป็นเช่นไร เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าหรือไม่

มีชาวจีนคนหนึ่ง ได้เลือกหญิงไทยผู้หนึ่ง และแต่งงานกับเขา หญิงคนนี้ดีทุกอย่าง ยกเว้นปากของเธอที่ชอบด่าชอบนินทาว่าร้าย ต่อมาทั้งครอบครัวกลับใจเป็นคริสเตียน เมื่อเป็นคริสเตียนใหม่ ๆ ก็ดูเหมือนจะดีทุกอย่าง ยกเว้นที่ปากของภรรยาของเขา ซึ่งแก้ไม่หาย ทุกครั้งที่อารมณ์ไม่ดี ภรรยาจะพูดหยาบคาย

วันหนึ่ง ภรรยาคนนี้อารมณ์เสีย จึงตะโกนด่าสามี เขาตั้งใจจะด่าเป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง แต่เขาก็คิดได้ว่า พระคัมภีร์สอนไม่ให้ทำเช่นนั้น แต่ให้ภรรยาเชื่อฟังสามี เขาจึงไม่พูดเช่นนั้น แต่พูดดีกับสามีได้

"ฝ่ายภรรยา จงยอมฟังสามีของตน เหมือนยอมฟังองค์พระผู้เป็นเจ้า" (เอเฟซัส 5:22)

"อย่าประพฤติตามอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบน้ำพระทัยของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัย และอะไรดียอดเยี่ยม" (โรม 12:2)

เราไม่สามารถเปลี่ยนชีวิตจิตใจของเราได้ แต่พระเจ้าทรงเปลี่ยนได้

ไม่เพียงแต่ได้รับการสอนถึงความผิดของเราเท่านั้น แต่ทุกสิ่งที่เรากระทำจะต้องถูกเปิดเผยด้วย เพราะพระเจ้าทรงทราบทุกสิ่ง เราไม่สามารถซ่อนความผิดของเราไว้จากพระองค์ได้เลย

"ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดซ่อนไว้พ้นพระเนตรพระองค์ แต่ตรงข้ามทุกสิ่งปรากฏแจ้งต่อพระองค์ผู้ซึ่งเราต้องสัมพันธ์ด้วย" (ฮีบรู 4:13)

1.2 ดาบที่คอยต่อสู้กับมารซาตาน
ซาตานรู้จุดอ่อนของคริสเตียน ว่ามักจะพ่ายแพ้การทดลอง เพราะคริสเตียนส่วนใหญ่ไม่รู้พระคัมภีร์ ไม่รู้เนื้อหาของพระวจนะของพระเจ้า

คริสเตียนจำเป็นต้องอ่านพระคำ และท่องจดจำ ตรึกตรองสิ่งต่าง ๆ จากเรื่องราวในพระคัมภีร์

คริสเตียนบางคนไม่ชอบอ่านพระคัมภีร์ แม้ว่าจะมีพระคัมภีร์หลาย versions มีหลายเล่ม หลายรูปแบบ แต่ก็ไม่อ่าน เวลาเจอปัญหา หรือเมื่อเพื่อนมีปัญหาก็คิดไม่ออกว่าจะใช้พระคัมภีร์ตอนใดในการหนุนใจ

บางท่าน ใช้ดาบสั้น ใช้อาวุธเล็ก ๆ คือ มักจะต่อสู้ด้วยวิธีของตนเองในการต่อสู้มารซาตาน แต่ไม่ได้ใช้พระแสงแห่งพระวิญญาณ คือพระวจนะของพระเจ้า ถ้าเราไม่อ่านพระคัมภีร์ เราจะพ่ายแพ้ต่อมารซาตานแน่นอน

พระเยซูคริสต์ทรงใช้พระวจนะคำของพระเจ้าในการต่อสู้กับมารซาตาน

"1 ครั้งนั้น พระวิญญาณทรงนำพระเยซูเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร เพื่อมารจะได้มาผจญ
2 และพระองค์ทรงอดพระกระยาหารสี่สิบวันสี่สิบคืน ภายหลังพระองค์ก็ทรงอยากพระกระยาหาร
3 ส่วนผู้ผจญมาหาพระองค์ทูลว่า 'ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงสั่งก้อนหินเหล่านี้ให้กลายเป็นพระกระยาหาร'
4 ฝ่ายพระองค์ตรัสตอบว่า 'มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า 'มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียว หามิได้ แต่บำรุงด้วยพระวจนะทุกคำ ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า' '
5 แล้วมารก็นำพระองค์ไปยังนครบริสุทธิ์ และให้พระองค์ประทับที่ยอดหลังคาพระวิหาร
6 แล้วทูลพระองค์ว่า 'ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงโจนลงไปเถิด เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า พระเจ้าจะรับสั่งให้เหล่าทูตสวรรค์ ของพระองค์รักษาท่าน และเหล่าทูตสวรรค์จะเอามือประคองชูท่านไว้ มิให้เท้าของท่านกระทบหิน'
7 พระเยซูจึงตรัสตอบว่า 'พระคัมภีร์มีเขียนไว้อีกว่า อย่าทดลองพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของท่าน'
8 อีกครั้งหนึ่งมารได้นำพระองค์ขึ้นไปบนภูเขาอันสูงยิ่งนัก และได้แสดงบรรดาราชอาณาจักรในโลก ทั้งความรุ่งเรืองของราชอาณาจักรเหล่านั้นให้พระองค์ทอดพระเนตร
9 แล้วได้ทูลพระองค์ว่า 'ถ้าท่านจะกราบลงนมัสการเรา เราจะให้สิ่งทั้งปวงเหล่านี้แก่ท่าน'
10 พระเยซูจึงตรัสตอบว่า 'อ้ายซาตาน จงไปเสียให้พ้น เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า จงกราบนมัสการพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของท่าน และปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว'
11 แล้วมารจึงละพระองค์ไป และมีเหล่าทูตสวรรค์มาปรนนิบัติพระองค์" (มัทธิว 4:1-11)

หลายครั้งเราไม่พึ่งพาพระวจนะคำของพระเจ้า จึงพ่ายแพ้มารซาตาน พ่ายแพ้การทดลอง จึงขอที่เราจะเริ่มกลับมาทบทวนว่าชีวิตส่วนใหญ่ของเราที่ล้มเหลวเพราะอะไร หลายครั้งความล้มเหลวของเราเป็นสัญญาณที่พระเจ้าทรงใช้เตือนเรา ให้เราลุกขึ้นต่อสู้กับปัญหา ต่อสู้กับการทดลอง เราทุกคนจะต้องเริ่มที่จะฝึกฝนใช้ดาบประจำตัว นำมาใช้ปฏิบัติจริงเสมอ

ศจ. ทิวาพร ราชรักษ์

สรุปคำเทศนาโบสถ์ไทย คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 12/07/2009

เรื่อง ฤทธิ์เดชแห่งพระวจนะ

วันพุธที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

การติดตามพระเจ้าตลอดชีวิต

การติดตามพระเจ้าตลอดชีวิต
S_K 220609

• การติดตามพระเจ้ามีแรงกดดัน แรงเสียดทาน
• มีหลายคนย่อหย่อน ท้อถอย หันหลังกลับ สูญเสียความเชื่อ
• เราจะสามารถติดตามพระเจ้าได้ในตลอดชีวิตของเราได้อย่างไร
• อะไรจะเป็นหลักยึดให้เราได้บ้าง เพื่อเราจะสามารถติดตามพระเจ้าได้ตลอดชีวิตของเรา
1. สัตย์ซื่อต่อความจริง
• ความจริงเรื่องทางแห่งความรอด ที่มีทางเดียวในพระเยซูคริสต์
• ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น อย่าหลงลืม อย่าเลอะเลือน
• พระเยซูทรงเป็นพระเจ้า ทรงเป็นเจ้าของชีวิต ทางอื่นไม่มี
ยน14:6 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา
กจ4:12 ในผู้อื่นความรอดไม่มีเลย ด้วยว่านามอื่นซึ่งให้เราทั้งหลายรอดได้ ไม่ทรงโปรดให้มีในท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า”
คส3:15 และจงให้สันติสุขของพระคริสต์ครองจิตใจของท่าน พระเจ้าทรงเรียกท่านไว้ให้เป็นกายเดียวด้วย เพื่อสันติสุขนั้น และท่านจงมีใจกตัญญู
• เราจะติดตามพระเจ้าได้ตลอดชีวิต ต้องยึดความจริงเรื่องนี้ไว้
• ยึดด้วยใจรัก มิใช่ด้วยการฝืนใจบังคับ
อฟ4:15 แต่ให้เรายึดความจริงด้วยใจรัก เพื่อจะจำเริญขึ้นทุกอย่างสู่พระองค์ผู้เป็นศีรษะ คือพระคริสต์
• การติดตามพระเจ้าตลอดชีวิต ต้องเดินในความชอบธรรม และต้องต่อสู้กับความบาป
• ความลำบากทำให้บางคนขมขื่นใจ
• แม้อาจเกิดขึ้นได้ก็รีบกลับใจใหม่ อย่าเพิกเฉยละเลยไปจนทรยศต่อความจริง
ยก3:14 แต่ถ้าท่านรู้สึกขมขื่นเพราะมีใจริษยาและมักใหญ่ใฝ่สูง ก็อย่าโอ้อวดและอย่าทรยศ ต่อความจริง
• รักษาความจริงในใจไว้ให้ได้ อย่าให้จิตสำนึกชอบเสียไป มิเช่นนั้นชีวิตแห่งความเชื่อจะอับปางลงได้
1ทธ1:19 จงยึดความเชื่อไว้ และมีจิตสำนึกว่าตนชอบ ซึ่งข้อนี้บางคนได้ละทิ้งเสีย ความเชื่อของเขาจึงอับปางลง
2. เห็นแก่แผ่นดินสวรรค์มากกว่าแผ่นดินโลก

• ดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ
• หากยากจนไปอีก 60 ปี แต่ได้บำเหน็จบนสวรรค์เอาไหม
• คนที่เลือกเดินทางนี้ต้องมีใจรักแผ่นดินสวรรค์จริงๆ
• มีคริสเตียนสองประเภทที่ดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ

2.1 คนที่เป็นคริสเตียนอย่างไม่ตั้งใจ

• ไม่มีทางเลือกอื่น ทางนี้ดีที่สุด ไม่มีทางไหนไปแล้ว จึงเลือกเดินทางนี้ด้วยความจำใจ ด้วยความรู้สึกดีชั่วคราว
• อาจเดินทางนี้ไม่ได้นาน เพราะไม่ได้เห็นคุณค่าจริง
• ชีวิตก็ไม่เกิดผล ไม่ได้รับใช้จริงจัง รอดได้เหมือนดังรอดจากไฟ

มก4:5-7 5 บ้างก็ตกที่ซึ่งมีพื้นหินมีเนื้อดินแต่น้อย จึงงอกขึ้นโดยเร็ว เพราะดินไม่ลึก
6 แต่เมื่อแดดจัด แดดก็แผดเผา เพราะรากไม่มี จึงเหี่ยวไป
7 บ้างก็ตกกลางต้นหนาม ต้นหนามก็งอกขึ้นปกคลุมเสีย จึงไม่เกิดผล

1 คร 3:14-15 14 ถ้าการงานของผู้ใดที่ก่อขึ้นทนอยู่ได้ ผู้นั้นก็จะได้ค่าตอบแทน
15 ถ้าการงานของผู้ใดถูกเผาไหม้ไป ผู้นั้นก็จะขาดค่าตอบแทน แต่ตัวเขาเองจะรอด แต่เหมือนดังรอดจากไฟ

2.2 คนที่เป็นคริสเตียนเพราะตั้งใจ

• คนที่เลือกทางนี้เพราะใจรัก ปรารถนาเดินในทางนี้
• เห็นคุณค่าความชอบธรรมแท้อย่างที่พระเจ้าสำแดงแก่เรา

1ทธ6:5-6 5 และการด่าทอกันระหว่างผู้ที่มีใจทรามและไร้ความสัตย์จริง ที่คิดว่าทางของพระเจ้านั้นเป็นทางได้ประโยชน์
6 จริงอยู่ เราได้รับประโยชน์มากมายจากทางของพระเจ้า พร้อมทั้งความสุขใจ
ฟป3:8 ที่จริงข้าพเจ้าถือว่าสิ่งสารพัดไร้ประโยชน์ เพราะเห็นแก่ความประเสริฐแห่งความรู้ถึงพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า เพราะเหตุพระองค์ ข้าพเจ้าจึงได้ยอมสละสิ่งสารพัด และถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเหมือนหยากเยื่อเพื่อข้าพเจ้าจะได้พระคริสต์
• เพราะเห็นคุณค่าการเป็นคริสเตียน เห็นคุณค่าการเป็นคนแห่งแผ่นดินสวรรค์
• บ้านถาวรของเขาอยู่ในสวรรค์
• บ้านเมืองแท้จึงอยู่ในสวรรค์ คาดหวังแผ่นดินสวรรค์ ไม่ได้คิดแต่เพียงในโลกนี้
ฟป3:20 แต่บ้านเมืองของเรานั้นอยู่ที่สวรรค์ เรารอคอยผู้ช่วยให้รอด ซึ่งจะเสด็จมาจากสวรรค์คือพระเยซูคริสตเจ้า
1ปต1:4 และเพื่อให้ได้รับมรดก ซึ่งไม่รู้เปื่อยเน่า ปราศจากมลทิน และไม่ร่วงโรยซึ่งได้เตรียมไว้ในสวรรค์เพื่อท่านทั้งหลาย
• ไม่มีใครยึดโลกเอาไว้กับตัวเองได้
• เมื่อเราตาย เราเอาไปไม่ได้สักอย่างเดียว
1ทธ6:7 เพราะว่าเราไม่ได้เอาอะไรเข้ามาในโลกฉันใด เราก็เอาอะไรออกไปจากโลกไม่ได้ฉันนั้น
• เราลงทุนอะไรไว้บนสวรรค์บ้าง
• ชีวิตนี้สั้นนัก
สดด39:4-7 4 ข้าแต่พระเจ้า ขอให้ข้าพระองค์ทราบถึงบั้นปลาย ของข้าพระองค์ และวันเวลาของข้าพระองค์ จะนานสักเท่าใด ขอให้ข้าพระองค์ทราบว่า ชีวิตข้าพระองค์ไม่เที่ยงอย่างไร
5 ดูเถิด พระองค์ทรงกระทำให้วันเวลาของข้าพระองค์ ยาวสองสามฝ่ามือเท่านั้น ชั่วชีวิตของข้าพระองค์ ไม่เท่าไรเลย เฉพาะพระพักตร์พระองค์ มนุษย์ทุกคนดำรงอยู่อย่างลมหายใจแน่ทีเดียว
6 มนุษย์ไปๆมาๆอย่างเงาแน่ทีเดียว เขาทั้งหลายยุ่งอยู่เปล่าๆแน่ทีเดียว มนุษย์โกยกองไว้ และไม่ทราบว่าใครจะเก็บไป”
7 “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า บัดนี้ข้าพระองค์จะรอคอยอะไร ความหวังของข้าพระองค์อยู่ในพระองค์
3. มีความผูกพันธ์กับพระเจ้า

• มีพระเจ้าจึงเป็นสุข
• ไม่ใช่อิงประสบการณ์คนอื่น
• หากดำเนินชีวิตในความเชื่อจะมีประสบการณ์กับพระเจ้า จะมีสัมพันธภาพอันดีกับพระองคื
• ความสัมพันธ์กับพระเจ้าเป็นสิ่งสำคัญมากที่สุดในการติดตามพระเจ้าตลอดชีวิต
2ทธ1:12 เพราะเหตุนั้นเองข้าพเจ้าจึงได้ทนทุกข์ลำบากเช่นนี้ ถึงกระนั้นข้าพเจ้าก็ไม่ละอาย เพราะว่าข้าพเจ้ารู้จักพระองค์ที่ข้าพเจ้าได้เชื่อ และข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า พระองค์ทรงสามารถรักษาซึ่งข้าพเจ้าได้มอบไว้กับพระองค์ จนถึงวันพิพากษาได้
2ทธ4:17 แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประทับอยู่ใกล้ข้าพเจ้า และได้ทรงประทานกำลังให้ข้าพเจ้า ประกาศพระวจนะได้อย่างเต็มที่ เพื่อให้คนต่างชาติทั้งปวงได้ยิน ดังนั้นข้าพเจ้าจึงรอดพ้นจากปากสิงห์
ฟป5:4-7 4 จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกเวลา ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่า จงชื่นชมยินดีเถิด
5 จงให้จิตใจที่อ่อนสุภาพของท่านประจักษ์แก่คนทั้งปวง องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ใกล้แล้ว
6 อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆเลย แต่จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน กับการขอบพระคุณ
7 แล้วสันติสุขแห่งพระเจ้าซึ่งเกินความเข้าใจ จะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์

• หากไม่ได้มีความสัมพันธ์กับพระเจ้า ในวันสุดท้าย อาจต้องเจอกับคำว่าเราไม่รู้จักเจ้า

ลก13:25-29 25 เมื่อเจ้าบ้านลุกขึ้นปิดประตูแล้ว และท่านทั้งหลายยืนอยู่ภายนอกเคาะที่ประตูว่า 'นายเจ้าข้า ขอเปิดให้ข้าพเจ้าเถิด' และเจ้าบ้านนั้นจะตอบท่านทั้งหลายว่า 'เราไม่รู้จักเจ้าว่ามาจากไหน'
26 ขณะนั้นท่านทั้งหลายจะว่า 'ข้าพเจ้าได้กินได้ดื่มกับท่าน และท่านได้สั่งสอนที่ถนนของพวกข้าพเจ้า'
27 เจ้าบ้านนั้นจะว่า 'เราไม่รู้จักเจ้าว่ามาจากไหน เจ้าผู้กระทำความชั่ว จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา'
28 เมื่อท่านทั้งหลายจะเห็นอับราฮัม อิสอัค ยาโคบ และบรรดาผู้เผยพระวจนะในแผ่นดินของพระเจ้า แต่ตัวท่านเองถูกขับไล่ไสส่งออกไปภายนอก ที่นั่นจะมีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
29 จะมีคนมาจากทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศเหนือ ทิศใต้ จะมาร่วมสำรับในแผ่นดินของพระเจ้า

ศึกษาพระธรรม 1ยอห์น บทที่ 2 (2)‏ พระบัญญัติใหม่

พระบัญญัติใหม่

--------------------------------------------------------------------------------

"7 ดูก่อน ท่านที่รัก ข้าพเจ้าไม่ได้เขียนบัญญัติใหม่ ถึงท่านทั้งหลายเลย แต่เป็นพระบัญญัติเก่าซึ่งท่านทั้งหลายได้มีอยู่ตั้งแต่เริ่มแรก พระบัญญัติเก่านั้นคือคำซึ่งท่านทั้งหลายได้ยินมาแล้ว
8 อีกนัยหนึ่ง ก็กล่าวได้ว่า ข้าพเจ้าเขียนบัญญัติใหม่ถึงท่านทั้งหลาย ที่ว่าใหม่ทั้งฝ่ายพระองค์ และฝ่ายท่านทั้งหลาย ก็เพราะว่าความมืดนั้นกำลังจะล่วงไป และความสว่างแท้ก็ส่องอยู่แล้ว
9 ผู้ใดที่กล่าวว่า ตนอยู่ในความสว่าง และยังเกลียดชังพี่น้องของตน ผู้นั้นก็ยังอยู่ในความมืด
10 ผู้ที่รักพี่น้องของตน ก็อยู่ในความสว่าง และในความสว่างนั้น ไม่มีอะไรที่จะทำให้สะดุด
11 แต่ผู้ที่เกลียดชังพี่น้องของตน ก็อยู่ในความมืด และเดินในความมืด และไม่รู้ว่าตนกำลังไปไหน เพราะว่าความมืดทำให้ตาของเขาบอดไปเสียแล้ว
12 ลูกทั้งหลายเอ๋ย ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะว่าได้ทรงยกบาปของท่านแล้ว ด้วยเห็นแก่พระนามของพระองค์
13 ท่านทั้งหลายที่เป็นบิดา ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะท่านทั้งหลายได้คุ้นกับพระองค์ ผู้ทรงดำรงอยู่ตั้งแต่ปฐมกาล ท่านทั้งหลายที่เป็นคนหนุ่มๆ ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะท่านทั้งหลายได้ชนะมารร้ายนั้น ท่านทั้งหลายผู้เป็นลูก ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะว่าท่านทั้งหลายได้คุ้นกับพระบิดา
14 ท่านทั้งหลายที่เป็นบิดา ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะท่านทั้งหลายได้คุ้นกับพระองค์ ผู้ทรงดำรงอยู่ตั้งแต่ปฐมกาล ท่านทั้งหลายที่เป็นคนหนุ่มๆ ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะท่านทั้งหลายมีกำลังมาก และพระวจนะของพระเจ้าดำรงอยู่ในท่านทั้งหลาย และท่านชนะมารร้ายนั้นแล้ว
15 อย่ารักโลก หรือสิ่งของในโลก ถ้าผู้ใดรักโลก ความรักต่อพระบิดาไม่ได้อยู่ในผู้นั้น
16 เพราะว่า สารพัดซึ่งมีอยู่ในโลก คือ ตัณหาของเนื้อหนัง และตัณหาของตา และความทะนงในลาภยศไม่ได้เกิดมาจากพระบิดา แต่เกิดมาจากโลก
17 และโลกกับสิ่งที่ยั่วยวนของโลกกำลังล่วงไป แต่ผู้ที่ประพฤติตามพระทัยของพระเจ้าจะดำรงอยู่เป็นนิตย์" (1ยอห์น 2:7-17)


--------------------------------------------------------------------------------

บัญญัติทั้งเก่าและใหม่ ก็เป็นบัญญัติเดียวกัน แต่สิ่งที่ใหม่ก็คือ ความมืดกำลังจะล่วงไป และความสว่างแท้ได้ปรากฎแล้ว สิ่งที่ยังไม่สมบูรณ์ ก็ได้ประจักษ์แล้ว ได้เปลี่ยนเป็นความสมบูรณ์แล้ว โดยชีวิตขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า ผู้ซึ่งมิได้ทรงมีบาปเลย สิ่งซึ่งเนื้อหนังเอาชนะไม่ได้ บัดนี้เราจึงสามารถเอาชนะได้แล้ว ในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า

"3 เพราะว่า สิ่งซึ่งธรรมบัญญัติทำไม่ได้ เพราะเนื้อหนังทำให้อ่อนกำลังไปนั้น พระเจ้าได้ทรงกระทำแล้ว โดยพระองค์ทรงใช้พระบุตรของพระองค์มา ในสภาพเสมือนเนื้อหนังที่บาป และเพื่อไถ่บาป {หรือ เป็นเครื่องบูชาไถ่คนจากบาป} พระบุตรในเนื้อหนังจึงได้ทรงปรับโทษบาป
4 เพื่อสิ่งที่ธรรมบัญญัติสั่งไว้ จะได้สำเร็จในตัวเราทั้งหลาย ผู้ไม่ดำเนินตามฝ่ายเนื้อหนัง แต่ตามฝ่ายพระวิญญาณ (โรม 8:3-4)

ถ้าหากเราอยู่ในพระวิญญาณ เราจะมีกำลังที่จะเอาชนะเนื้อหนังได้ หรือกล่าวอย่างชัดเจนเลย ก็คือ ถ้าเราอยู่ในพระวิญญาณแล้ว เราจะแพ้เนื้อหนังไม่ได้

"ถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าทรงสถิตอยู่ในท่านทั้งหลายจริงๆ แล้ว ท่านก็มิได้อยู่ใต้เนื้อหนัง แต่อยู่ใต้พระวิญญาณ ผู้ใดไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์ ผู้นั้นก็ไม่เป็นของพระองค์" (โรม 8:9)

"ด้วยว่า ซึ่งปักใจอยู่กับเนื้อหนัง ก็คือความตาย และซึ่งปักใจอยู่กับพระวิญญาณ ก็คือชีวิต และสันติสุข" (โรม 8:6)

โรมบทที่ 8 ได้อธิบายถึงลักษณะของชีวิตฝ่ายวิญญาณได้อย่างชัดเจนมากทีเดียว เราจำเป็นต้องศึกษาและจดจำให้ดี เพื่อที่เราจะเข้าใจได้ว่าลักษณะของผู้ที่อยู่ฝ่ายวิญญาณเป็นอย่างไร เพื่อที่เราจะมั่นใจได้ว่ามีพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นมัดจำ จนถึงวันสุดท้ายที่จะได้รอดพ้นจากการพิพากษา

"13 ในพระองค์นั้น ท่านทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน เมื่อท่านได้ฟังสัจวาทะ คือ ข่าวประเสริฐเรื่องความรอดของท่าน และได้วางใจในพระองค์ ได้รับการผนึกตราไว้ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์แห่งพระสัญญา
14 เป็นมัดจำของการรับมรดกของเรา จนกว่าเราจะได้รับกรรมสิทธิ์ เป็นที่ถวายสรรเสริญ แด่พระสิริของพระองค์" (เอเฟซัส 1:13-14)

เราจำเป็นต้องต่อสู้ เพื่อที่เราจะหลุดจากเนื้อหนังนี้ เพื่อที่เราจะประหารโลกียวิสัยในตัวเราเสีย โดยการตรึงตัวเก่าของเราไว้กับพระองค์ และมีชีวิตใหม่ในพระองค์

"เหตุฉะนั้น จงประหารโลกียวิสัยในตัวท่านเสีย มีการล่วงประเวณี การโสโครก ราคะตัณหา ความปรารถนาชั่ว และความโลภ ซึ่งเป็นการนับถือรูปเคารพ" (โคโลสี 3:5)

ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว ข้าพเจ้าเองไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตซึ่งข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้ ข้าพเจ้าดำเนินอยู่ โดยศรัทธาในพระบุตรของพระเจ้า ผู้ได้ทรงรักข้าพเจ้า และได้ทรงสละพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า (กาลาเทีย 2:20)

เราทุกคนเป็นพี่น้องกัน โดยมีพระเยซูคริสต์เป็นบุตรหัวปี ดังนั้นพี่น้องจึงมิได้หมายถึงพี่น้องทางสายเลือดเท่านั้น แต่เราจำเป็นต้องรักกันและกันทั้งหมด เพราะผู้ที่อยู่ในพระคริสต์จะต้องรักกันและกัน และชีวิตในพระเจ้าจะเกลียดชังผู้ใดไม่ได้เลย เกลียดได้อย่างเดียว คือ ความบาป เราจะมีทั้งพระวิญญาณและเนื้อหนังไม่ได้

พระเยซูคริสต์ทรงสอนให้เรารักแม้กระทั้งศัตรู ดังนั้น เราจึงไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงในการรักพี่น้องได้

ท่านยอห์นได้เปรียบเทียบกับผู้ที่เกลียดชังพี่น้องว่า เป็นผู้ที่อยู่ในความมืด เดินในทางมืด และมองไม่เห็นทาง ดังนั้น ถ้าหากว่าเราจะติดตามผู้ใด เราจะยึดใครเป็นแบบอย่าง ให้เราสังเกตดูให้ดีว่าผู้ที่เราจะติดตามนั้นเป็นเช่นไร เขาเดินในความสว่างหรือไม่? ในชีวิตของเขาเต็มไปด้วยความรักหรือไม่? สังเกตลักษณะของชีวิตของเขาให้ดี เพื่อที่เราจะไม่ติดตามคนที่เป็นดั่งคนตาบอด แต่ถ้าผู้ที่เราจะติดตามนั้นเป็นบุคคลในฝ่ายวิญญาณ เดินในความสว่างแล้ว ให้เราติดตามเขาไปเถิด เอาชีวิตเขาเป็นแบบอย่าง แล้วเราจะก้าวสู่แผ่นดินสวรรค์ด้วยความมั่นใจ





อ.ประดิษฐ์ พรกีรติกุล

คำแบ่งปันกลุ่มเซลล์เพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 26/06/2009

เรื่อง ศึกษาพระธรรม 1ยอห์น

วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ศึกษาพระธรรม 1ยอห์น บทที่ 2 (1)‏

พระคริสต์ผู้ทูลขอเพื่อเรา

--------------------------------------------------------------------------------

"1 ลูกของข้าพเจ้าเอ๋ย ข้าพเจ้าเขียนข้อความเหล่านี้ ถึงท่านทั้งหลาย เพื่อท่านจะได้ไม่ทำบาป และถ้าผู้ใดทำบาป เราก็มีพระองค์ผู้ทูลขอพระบิดาเพื่อเรา คือ พระเยซูคริสต์ผู้ทรงเที่ยงธรรมนั้น
2 และพระองค์ทรงเป็นผู้ลบล้างพระอาชญาที่ตกกับเราทั้งหลาย เพราะบาปของเรา และไม่ใช่แต่บาปของเราพวกเดียว แต่ของมนุษย์ทั้งปวงในโลกด้วย
3 เรามั่นใจได้ว่า เราคุ้นกับพระองค์โดยข้อนี้ คือ ถ้าเราประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์
4 คนใดที่กล่าวว่า 'ข้าพเจ้าคุ้นกับพระองค์' แต่มิได้ประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ คนนั้นเป็นคนพูดมุสา และความจริงไม่ได้อยู่ในคนนั้นเลย
5 แต่ผู้ใดที่ประพฤติตามพระวจนะของพระองค์ ความรักของพระเจ้าก็ถึงความบริบูรณ์ในคนนั้นแล้วอย่างแน่แท้ ด้วยอาการอย่างนี้แหละเราทั้งหลายจึงรู้ว่า เราอยู่ในพระองค์
6 ผู้ใดกล่าวว่า ตนอยู่ในพระองค์ ผู้นั้นก็ควรดำเนินตามทางที่พระองค์ทรงดำเนินนั้น" (1ยอห์น 2:1-6)


--------------------------------------------------------------------------------

ถ้าเราอ่านพระธรรมตอนนี้ จะเข้าใจได้ว่า ท่านยอห์นแนะนำไม่ให้เราทำบาป และเราก็เข้าใจแล้วว่าบาปเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ แต่หากเราทำบาป พระเยซูคริสต์ก็ทรงทูลขอเพื่อเราอยู่ นี่คือเป็นการตีความหมายตามลำดับข้อความ เป็นการโยงเข้าอย่างดีกับ 1ยอห์น 1:9 อย่างดี คือ เมื่อเราทำบาป เราก็สารภาพ และพระเจ้าก็จะทรงยกโทษให้แก่เรา

แต่การตีความหมายของพระธรรมตอนนี้ จำเป็นต้องทำความเข้าใจอย่างดี

สิ่งที่ท่านยอห์นพูดถึงตอนนี้ ท่านยอห์นได้กล่าวต่อว่า ถ้าหากว่าเราได้คุ้นกับพระองค์ คือได้รู้จักกับพระองค์อย่างแท้จริงแล้ว จะต้องยืนยันด้วยการอยู่ในธรรมบัญญัติของพระองค์ คนที่คุ้นกับพระเจ้าจะไม่ทำบาป จะรักษาบัญญัติอย่างดี นี่จึงเป็นการทำให้เราทราบว่าอาจารย์ยอห์นไม่ได้เปิดช่องให้เราทำบาปได้ เพื่อที่จะสารภาพภายหลัง เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นเราจะขัดแย้งกับตัวของเราเอง และถ้าเรายังคงทำบาปเช่นนั้น ก็แสดงว่าเราไม่รู้จักพระเจ้า

พระเยซูคริสต์ทรงเป็นความจริง ถ้าหากเรามุสา พระคริสต์ก็ทรงอยู่ในเราไม่ได้

"ท่านทั้งหลายมาจากพ่อของท่านคือมาร และท่านใคร่จะทำตามความปรารถนาของพ่อท่าน มันเป็นผู้ฆ่าคนตั้งแต่ปฐมกาล และมิได้ตั้งอยู่ในสัจจะ เพราะมันไม่มีสัจจะ เมื่อมันพูดเท็จ มันก็พูดตามสันดานของมันเอง เพราะมันเป็นผู้มุสา และเป็นพ่อของการมุสา" (ยอห์น 8:44)

แต่ตรงกันข้าม ถ้าหากเราประพฤติตามพระวจนะของพระองค์ ความรักของพระเจ้าก็ถึงเรา ความบริบูรณ์ของพระเจ้าก็อยู่ในเรา

ถ้าเราอยู่ในพระองค์ พระองค์ก็ทรงอยู่ในเรา พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ทรงอยู่ในเรา เราจึงจำเป็นต้องแสดงออกอย่างถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นใคร มีของพระทานมากมายเพียงใด แต่ถ้าไม่มีลักษณะเช่นนี้ คือไม่เชื่อฟังบัญญัติของพระองค์ และยังคงแสดงลักษณะทางฝ่ายเนื้อหนัง เช่น การพูดคำหยาบคาย การที่มีลักษณะเป็นคนช่างฉุนเฉียว ทะเลาะวิวาท เป็นต้น ก็แสดงว่าเขายังไม่รู้จักพระเจ้าอย่างแท้จริง นี่เป็นสิ่งที่น่ากลัว เพราะว่าคนเช่นนี้ เขาคิดว่าได้อยู่ในพระองค์แล้ว แต่แท้จริงแล้วมิได้เป็นอย่างที่เขาคิดเลย

"อย่าให้คำหยาบคายออกมาจากปากท่านเลย แต่จงกล่าวคำที่ดี และเป็นประโยชน์ให้เหมาะสมกับความต้องการ เพื่อจะได้เป็นคุณแก่คนที่ได้ยินได้ฟัง" (เอเฟซัส 4:29)

"เพราะว่า ความต้องการของเนื้อหนังต่อสู้พระวิญญาณ และพระวิญญาณก็ต่อสู้เนื้อหนัง เพราะทั้งสองเป็นศัตรูกัน ดังนั้นสิ่งที่ท่านทั้งหลายปรารถนาทำ จึงกระทำไม่ได้" (กาลาเทีย 5:17)

"9 เราทั้งหลายสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า และพระบิดาด้วยลิ้นนั้น และด้วยลิ้นนั้นเราก็แช่งด่ามนุษย์ ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงสร้างไว้ตามพระฉายาของพระองค์
10 คำสรรเสริญ และคำแช่งด่าก็ออกมาจากปากอันเดียวกัน ดูก่อนพี่น้องของข้าพเจ้า ไม่ควรให้เป็นเช่นนั้น
11 บ่อน้ำพุจะมีน้ำจืด และน้ำกร่อยพุ่งออกมาจากช่องเดียวกันได้หรือ
12 พี่น้องทั้งหลายต้นมะเดื่อ จะออกผลเป็นมะกอกเทศได้หรือ หรือเถาองุ่นจะออกผลเป็นมะเดื่อได้หรือ บ่อน้ำพุเค็มก็ทำให้เกิดน้ำจืดอีกไม่ได้เลย (ยากอบ 3:9-12)

เป็นไปไม่ได้ ที่เมื่อพระวิญญาณอยู่ในเรา แล้วเราจะแช่งด่าผู้อื่น จะทำสิ่งที่ลามก พูดจาไม่สุภาพ และด้วยลักษณะเหล่านี้เราจะสามารถสังเกตได้ว่าผู้ใดอยู่ในพระเจ้า หรือไม่ได้อยู่ในพระเจ้า และเมื่อผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ เขาก็จะมีลักษณะเหมือนพระองค์ คือ อ่อนโยนและสุภาพ

สิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่เพื่อที่เราจะไปมองผู้อื่น แต่จะเป็นสิ่งที่เราควรจะนำมาใคร่ครวญกับชีวิตของเรา เรากำลังประนีประนอมกับบาปโดยคิดว่าสามารถอธิษฐานสารภาพได้หรือไม่?

"เมื่อเราได้รับความรู้เรื่องความจริงแล้ว แต่เรายังขืนทำผิดอีก เครื่องบูชาลบบาปนั้น ก็จะไม่มีเหลืออยู่เลย" (ฮีบรู 10:26)

พระคริสต์ไม่เคยทำบาปเลย ในพระองค์ไม่มีบาปเลย และผู้ที่อยู่ในพระองค์ ก็ต้องดำเนินตามทางที่พระองค์ทรงเดินนั้น

การที่อยู่ในพระองค์ ไม่ใช่เรื่องที่ง่าย ๆ เพราะเราจำเป็นจะต้องรับกางเขนของตนแบกไว้ แล้วเดินตามพระองค์ไป ดังที่พระองค์ทรงรับกางเขนของพระองค์ไว้ เดินไปสู่กางเขน เพื่อที่ช่วยเราให้พ้นบาป เราจำเป็นต้องสู้เต็มกำลัง เพื่อที่คำว่า "บริสุทธิ์ ปราศจากตำหนิ" จะเกิดขึ้นในชีวิตของเรา

"ในพระเยซูคริสต์นั้น พระองค์ได้ทรงเลือกเราไว้ ตั้งแต่ก่อนที่จะทรงเริ่มสร้างโลก เพื่อเราจะบริสุทธิ์ และปราศจากตำหนิในสายพระเนตรของพระองค์" (เอเฟซัส 1:4)

ท่านยอห์นได้เน้นย้ำให้เราเกรงกลัวต่อบาป ที่เราจะไม่ทำบาป เพราะว่าสิ่งเหล่านั้นทำให้เราออกจากทางของพระองค์ และจะนำเราไปสู่พระอาชญาของพระองค์ สำหรับพระเจ้าแล้ว ถ้าหากเราทำผิดบัญญัติเพียงข้อเดียวก็เท่ากับผิดทั้งหมด แม้ในสายตามนุษย์จะไม่เป็นเช่นนั้นก็ตาม

"เพราะว่า ผู้ใดรักษาธรรมบัญญัติได้ทั้งหมด แต่ผิดอยู่ข้อเดียว ผู้นั้นก็เป็นผู้ผิดธรรมบัญญัติทั้งหมด" (ยากอบ 2:10)

ถ้าเราผ่านก้าวนี้ด้วยความเข้าใจ ชีวิตของเราก็จะก้าวไปสู่ความบริบูรณ์ในพระองค์


อ.ประดิษฐ์ พรกีรติกุล
คำแบ่งปันกลุ่มเซลล์เพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 26/06/2009

เรื่อง ศึกษาพระธรรม 1ยอห์น

วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ศึกษาพระธรรม 1ยอห์น บทที่ 1 (2)‏

พระเจ้าทรงเป็นความสว่าง

--------------------------------------------------------------------------------

"5 นี่เป็นข้อความที่เราได้ยินจากพระองค์ และบอกแก่ท่านทั้งหลาย คือว่า พระเจ้าทรงเป็นความสว่าง และความมืดในพระองค์ไม่มีเลย
6 ถ้าเราจะว่า เราร่วมสามัคคีธรรมกับพระองค์ และยังดำเนินอยู่ในความมืด เราก็พูดมุสา และไม่ได้ดำเนินชีวิตตามความจริง
7 แต่ถ้าเราดำเนินอยู่ในความสว่าง เหมือนอย่างพระองค์ทรงสถิตในความสว่าง เราก็ร่วมสามัคคีธรรมซึ่งกันและกัน และพระโลหิตของพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ ก็ชำระเราทั้งหลายให้ปราศจากบาปทั้งสิ้น
8 ถ้าเราทั้งหลายจะว่า เราไม่มีบาป เราก็ลวงตนเอง และสัจจะไม่ได้อยู่ในเราเลย
9 ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงสัตย์ซื่อ และเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น
10 ถ้าเรากล่าวว่า เราไม่ได้ทำบาป ก็เท่ากับเราทำให้พระองค์เป็นผู้ตรัสมุสา และพระดำรัสของพระองค์ก็มิได้อยู่ในเราทั้งหลายเลย" (1ยอห์น 1:5-10)


--------------------------------------------------------------------------------

ในพระเจ้าเป็นความสว่างที่ไม่มีความมืดเลย ความมืดจะเข้ามาเกี่ยวข้องกับพระองค์ไม่ได้เลย นี่เป็นความจริงที่เราจะต้องยึดเอาไว้ เพื่อเราจะเข้าใจในสิ่งต่อไปนี้

ถ้าเราบอกว่าเรามีความสัมพันธ์กับพระองค์ แต่ยังดำเนินอยู่ในความมืด นั่นคือยังทำบาป ท่านยอห์นบอกว่า เรากำลังจะมุสา เพราะเป็นไปไม่ได้ ในความสว่างไม่มีความมืด ถ้าหากเราอยู่ในพระเจ้าและพระเจ้าอยู่ในเรา สิ่งที่จะเกิดขึ้น คือ ต้องไม่มีความมืด และถ้าหากว่าเราทำบาป ก็จะเกิดกำแพงขวางกั้นระหว่างเรากับพระเจ้า

ถ้าเราอยู่ในความสว่างอย่างแท้จริง นั่นคือการมีสามัคคีธรรมร่วมกับพระคริสต์ ชีวิตเราจะต้องไม่มีบาป ในเวลานั้น ฤทธิ์เดชแห่งพระโลหิตพระองค์ในการไถ่บาป จะสมบูรณ์ ชีวิตเราจะได้รับการชำระพระโลหิตของพระองค์ก็ชำระเราให้ปราศจากบาปทั้งสิ้น

พระองค์ทรงประทานพระสัญญา ว่าเมื่อเราสารภาพบาปของเรา พระสัญญาของพระเจ้าจะปรากฎในชีวิตของเรา คือ ชำระชีวิตของเราให้ปราศจากบาปทั้งสิ้น และเรากับพระเจ้าก็สามารถมีสามัคคีธรรมร่วมกัน การเกิดสามัคคีธรรมจะเกิดในเวลานั้น แต่ถ้าเรายังทำบาปอยู่ ความสามัคคีธรรมนั้นจะไม่เกิด

แต่ต่อมา ท่านยอห์นก็บอกว่า เราทุกคนทำบาป และถ้าเราบอกว่าเราไม่บาป เราก็โกหก

สิ่งเหล่านี้ฟังดูแล้วเหมือนจะขัดแย้งกัน!

สภาพที่เกิดขึ้นนั้น เป็นเวลาช่วงใด? เป็นเวลาก่อนที่เรารู้จักพระเจ้า หรือเมื่อเวลาที่เรารู้จักพระเจ้าแล้ว?

ก่อนที่เราจะมาถึงพระคริสต์ ถ้าเราบอกว่าเราไม่มีบาป ก็แสดงว่าเขากำลังบอกว่าพระคัมภีร์ผิด และเขาก็ไม่ต้องการพึ่งพระเยซูคริสต์ คนเหล่านี้เป็นคนที่ไม่มีความจริงอยู่ในชีวิต เพราะเขาปฏิเสธพระเจ้าอยู่เล้ว เขาจึงไม่สารภาพต่อพระเจ้าแน่นอน

ถ้าหากว่าเรารู้จักกับพระเจ้าแล้ว เราจะกล้าบอกหรือไม่ว่าเราไม่มีบาป? เราก็คงจะไม่บอกเช่นนั้น เพราะเรารู้อยู่แล้วว่ามนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป และเราก็รู้ว่าถ้าเราสารภาพ พระองค์ก็จะยกบาปของเรา และเราจะมีสามัคคีธรรมร่วมกับพระองค์ได้ แต่ถ้าเราทำบาปอีก สามัคคีธรรมนั้นก็จะเกิดปัญหาขึ้นมา เพราะพระองค์ไม่สามารถมีสามัคคีธรรมกับความบาปคือความมืดได้

ดังนั้น ถ้าหากเราทำบาป แล้วเราบอกว่าเรามีสามัคคีธรรมกับพระองค์ นี่จึงเป็นสิ่งที่ขัดแย้ง เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นศัตรูกับความบาป

"7 อย่างไรก็ตาม เราจะบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลาย คือ การที่เราจากไปนั้นก็เพื่อประโยชน์ของท่าน เพราะถ้าเราไม่ไป องค์พระผู้ช่วยก็จะไม่เสด็จมาหาท่าน แต่ถ้าเราไปแล้ว เราก็จะใช้พระองค์มาหาท่าน
8 เมื่อพระองค์นั้นเสด็จมาแล้ว พระองค์จะทรงกระทำให้โลกรู้แจ้งในเรื่องความผิด ความชอบธรรม และการพิพากษา
9 ในเรื่องความผิดนั้น คือ เพราะเขาไม่วางใจในเรา
10 ในเรื่องความชอบธรรมนั้น คือเพราะเราไปหาพระบิดา และท่านทั้งหลายจะไม่เห็นเราอีก
11 ในเรื่องการพิพากษานั้น คือเพราะเจ้าโลกนี้ถูกพิพากษาแล้ว (ยอห์น 16:7-11)

งานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ คือ ที่เราจะเข้าใจในเรื่องความผิด ความชอบธรรม และการพิพากษา พระองค์จะไม่ยอมให้เราทำบาป

อยากขอเน้นย้ำว่า พระคัมภีร์ 1ยอห์น 1:9 นี้ ไม่ใช่เหมือนเครื่องมือที่เราจะใช้ในการทำบาป

"เหตุฉะนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆ ก็ล่วงไป นี่แน่ะ กลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น" (2โครินธ์ 5:17)

แม้ในเวลาที่พระเยซูคริสต์ทรงไม่ถือโทษหญิงล่วงประเวณีที่ถูกนำตัวมาเพื่อรับการลงโทษ พระองค์ก็ได้กำชับต่อนางว่า พระองค์ไม่เอาโทษเขา แต่อย่าทำบาปอีก

"นางนั้นทูลว่า 'พระองค์เจ้าข้า ไม่มีผู้ใดเลย' และพระเยซูตรัสว่า 'เราก็ไม่เอาโทษเจ้าเหมือนกัน จงไปเถิด และอย่าทำผิดอีก' " (ยอห์น 8:11)

เมื่อเราได้รับโอกาสแห่งชีวิตใหม่ ซึ่งเป็นชีวิตที่เราได้รับจากพระเจ้าด้วยความรักของพระองค์ ถ้าหากว่าพระองค์ไม่ให้แก่เราก็ไม่ใช่ความผิดของพระองค์ เพราะว่าสิ่งที่เราควรได้รับ คือโทษเนื่องจากความบาปของเรา แต่โดยพระคุณและความรัก พระเยซูคริสต์จึงทรงยอมตาย ยอมทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส เพื่อเราจะได้มีโอกาสใหม่อีกครั้งหนึ่ง ชีวิตใหม่ของเราจึงควรที่จะต้องถวายเกียรติแด่พระเจ้า ดังนั้นเราจะกลับไปทำบาปอีกไม่ได้ เราต้องเน้นยำเช่นนี้ มิเช่นนั้นคริสเตียนก็จะทำบาปอยู่เรื่อย ๆ โดยคิดว่าทำบาปแล้วจะสารภาพได้ ถ้าเขาคิดเช่นนั้น ก็เป็นความขัดแย้งในตัวเขาเอง และเขาก็จะไม่สามารถมีสามัคคีธรรมกับพระเจ้าได้เลย

ชีวิตเราจะต้องปฏิเสธความบาปทั้งสิ้น และรังเกียจบาปเหมือนกับที่พระองค์ทรงรังเกียจ อย่าเล่นกับสิ่งที่พระองค์รังเกียจ

"26 เมื่อเราได้รับความรู้เรื่องความจริงแล้ว แต่เรายังขืนทำผิดอีก เครื่องบูชาลบบาปนั้น ก็จะไม่มีเหลืออยู่เลย
27 แต่จะมีความหวาดกลัวในการรอคอยการพิพากษาโทษ และไฟอันร้ายแรง ซึ่งจะเผาผลาญบรรดาคนที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้า" (ฮีบรู 10:26)

ถ้าคริสเตียนทำบาป กำแพงจะปรากฎ ขวางกันเขาไว้ ทำให้เขาไม่สามารถมีสามัคคีธรรมกับพระองค์ เขาจะอยู่ด้วยความหวาดกลัว

"7 ท่านที่รักทั้งหลาย ขอให้เรารักซึ่งกันและกัน เพราะว่าความรักมาจากพระเจ้า และทุกคนที่รักก็บังเกิดมาจากพระเจ้า และรู้จักพระเจ้า
8 ผู้ที่ไม่รักก็ไม่รู้จักพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นความรัก (1ยอห์น 4:7-8)

ถ้าผู้ใดที่รู้จักพระองค์ มีสามัคคีธรรมกับพระองค์ เขาก็จะสามารถที่จะรักพี่น้อง แม้ว่าคนคนนั้นจะไม่น่ารัก และถ้าเราไม่รัก ก็แสดงว่าเราก็ไม่รู้จักพระเจ้า แสดงว่าเราปฏิเสธพระเจ้า ความหวาดกลัวในการพิพากษาก็จะอยู่กับชีวิตเรา

การสารภาพที่ทำให้เกิดสามัคคีธรรมอย่างแท้จริง คือ การที่เราสารภาพ แล้วไม่ขืนกลับไปทำอีก คือไม่กลับไปทำบาปที่เกิดจากความเจตนาอีก แต่ถ้าเราตั้งใจแล้ว แล้วเราทำบาปโดยไม่เจตนา พระสัญญาของพระองค์ใน 1ยอห์น 1:9 นี้ก็จะเกิดผลในชีวิตของเขา

เราจำเป็นต้องเปลี่ยนทัศนคติและมุมมองความเข้าใจเกี่ยวกับพระเจ้า ว่าในพระองค์ จะต้องไม่มีความมืด และความบริสุทธิ์ของพระองค์เป็นความบริสุทธิ์ที่แท้จริง

พระเจ้าทรงให้โอกาสแก่เราเสมอ ที่เราจะเริ่มต้นกลับมีความสัมพันธ์ มีความสามัคคีธรรมกับพระองค์ใหม่ได้ และโดยการสามัคคีธรรมที่แท้จริง พระโลหิตของพระเยซูคริสต์จึงจะมีผลชำระเราให้บริสุทธิ์อย่างแท้จริง

พระเจ้าของเราบริสุทธิ์ พระองค์ทรงมีพระประสงค์ให้ชีวิตของเราบริสุทธิ์ ทรงเน้นย้ำเสมอให้เรามีชีวิตที่บริสุทธิ์

สิ่งเหล่านี้ เราจะสามารถใช้ในการตอบคำถามแก่คนที่ยังไม่รู้จักพระเจ้าได้ คือ มักจะมีคนมองว่า คริสเตียนสามารถทำบาปได้ เพราะในที่สุดเขาก็สามารถสารภาพได้ แต่ความเป็นจริงมิได้เป็นเช่นนั้น เพราะเงื่อนไขการชำระ ก็คือ เราจำเป็นจะต้องสารภาพ และตั้งใจที่จะไม่กลับไปทำอีก นี่แหละ การชำระจึงจะเกิดผล ไม่ได้เป็นการชำระอย่างที่เขาเข้าใจ

"เหตุฉะนั้น ท่านจึงไม่ใช่คนต่างด้าวต่างแดนอีกต่อไป แต่ว่าเป็นพลเมืองเดียวกันกับธรรมิกชน และเป็นครอบครัวของพระเจ้า" (เอเฟซัส 2:19)

คำว่า "ธรรมิกชน" นั้น ในฉบับ King James ใช้คำว่า "saints" ซึ่งแปลว่า "วิสุทธิชน" นี่เป็นคำที่ทำให้เราเห็นภาพพจน์อย่างชัดเจน ว่าชีวิตเราจะต้องบริสุทธิ์ ขอที่เราจะเข้าใจ และดำเนินชีวิตใหม่ ที่จะเป็นชีวิตที่เป็นวิสุทธิชน แล้วเราจะไม่ต้องกลัวการพิพากษาอีกต่อไป



อ.ประดิษฐ์ พรกีรติกุล

คำแบ่งปันกลุ่มเซลล์เพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 19/06/2009

เรื่อง ศึกษาพระธรรม 1ยอห์น

ศึกษาพระธรรม 1ยอห์น บทที่ 1 (1)‏

ยอห์นซาบซึ้งในความรักของพระคริสต์มาก หลังจากที่พระองค์ทรงเสด็จสู่สวรรค์แล้ว อาจารย์ยอห์นได้เขียนจากสิ่งที่ท่านได้สัมผัส สิ่งที่ท่านเห็นว่าเป็นสิ่งที่สำคัญ

"ดังนั้น ยังตั้งอยู่สามสิ่ง คือ ความเชื่อ ความหวังใจ และความรัก แต่ความรักใหญ่ที่สุด" (1โครินธ์ 13:13)

ในความรักอันนี้แหละ เป็นสิ่งที่ท่านยอห์นได้เขียนไปถึงบรรดาคริสตจักร ว่าท่านซาบซึ้งในความรักของพระเยซูคริสต์เช่นไร และเพื่อที่บรรดาสาวกจะได้เข้าใจว่าควรจะปฏิบัติเช่นไร

ในพระธรรม 1ยอห์น ได้เน้นถึง "ความรัก" ให้เรารักกันและกัน

ท่านได้เริ่มต้นเหมือนพระธรรมยอห์น คือ ได้กล่าวถึงพระวาทะซึ่งบังเกิดเป็นมนุษย์ นั่นคือ องค์พระเยซูคริสต์



พระวาทะแห่งชีวิต

--------------------------------------------------------------------------------

"1 ซึ่งมีตั้งแต่ปฐมกาล ซึ่งเราได้ยิน ซึ่งเราได้เห็นกับตา ซึ่งเราได้พินิจดู และจับต้องด้วยมือของเรานั้น เกี่ยวกับพระวาทะแห่งชีวิต
2 (และชีวิตนั้นได้ปรากฏ และเราได้เห็น และเป็นพยาน และประกาศชีวิตนิรันดร์นั้นแก่ท่านทั้งหลาย ชีวิตนั้นได้ดำรงอยู่กับพระบิดา และได้ปรากฏแก่เราทั้งหลาย)
3 ซึ่งเราได้เห็น และได้ยินนั้น เราก็ได้ประกาศให้ท่านทั้งหลายรู้ด้วย เพื่อท่านทั้งหลายจะได้ร่วมสามัคคีธรรมกับเรา เราทั้งหลายก็ร่วมสามัคคีกับพระบิดา และกับพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์
4 และเราเขียนข้อความเหล่านี้ เพื่อความปลาบปลื้มยินดีของเรา {สำเนาโบราณบางฉบับว่า ท่าน} จะได้เต็มเปี่ยม (1ยอห์น 1:1-4)


--------------------------------------------------------------------------------

ท่านได้พบกับสิ่งมหัศจรรย์ คือ ความเป็นพระเจ้าที่ซ่อนอยู่ในความเป็นมนุษย์ของพระคริสต์ที่ชัดเจนมาก

เป็นสิ่งที่ยากที่จะยอมรับว่าผู้ที่เขาได้รู้จักนั้นดำรงอยู่ก่อนตั้งแต่สมัยสร้างโลก และการที่จะยอมรับว่าใครเป็นพระเจ้านั้น บุคคลผู้นั้นจะต้องเป็นคนที่สมบูรณ์แบบ แต่อาจารย์ยอห์นก็ได้กล่าวถึงพระเยซูคริสต์เช่นนั้น เพราะขณะที่ท่านติดตามพระเยซูคริสต์ ท่านได้พินิจพิจารณาชีวิตของพระเยซูคริสต์อย่างละเอียดมากได้สัมผัสกับพระเยซูคริสต์อย่างใกล้ชิด ท่านได้พบความสมบูรณ์แบบของพระองค์ และท่านยอมรับว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระวาทะ

ลองคิดถึงว่าถ้าหากว่าเราได้อยู่ในสมัยนั้น เราก็คงจะดูพระองค์อย่างใกล้ชิด แทบจะเรียกว่าจับผิดเลยก็เป็นได้ ซึ่งท่านยอห์นก็คงจะเป็นเช่นนั้น และเมื่อท่านได้ดูชีวิตของพระองค์วันแล้ววันเล่า ในที่สุดท่านก็ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า

"1 วันอาทิตย์เวลาเช้ามืด มารีย์ชาวมักดาลาถึงอุโมงค์ฝังศพ นางเห็นหินออกจากปากอุโมงค์อยู่แล้ว
2 นางจึงวิ่งไปหาซีโมนเปโตร และสาวกอีกคนหนึ่งที่พระเยซูทรงรักนั้น และพูดกับเขาว่า 'เขาเอาองค์พระผู้เป็นเจ้าออกไปจากอุโมงค์แล้ว และพวกเราไม่รู้ว่าเขาเอาพระองค์ไปไว้ที่ไหน'
3 เปโตรจึงออกไปยังอุโมงค์กับสาวกคนนั้น
4 เขาวิ่งไปทั้งสองคน แต่สาวกคนนั้นวิ่งเร็วกว่าเปโตรจึงมาถึงอุโมงค์ก่อน
5 เขาก้มลงมองดูเห็นผ้าป่านวางอยู่ แต่เขาไม่ได้เข้าไปข้างใน
6 ซีโมนเปโตรตามมาถึงภายหลัง แล้วเข้าไปในอุโมงค์เห็นผ้าป่านวางอยู่
7 และผ้าพันพระเศียรของพระองค์ไม่ได้วางอยู่กับผ้าอื่น แต่พับไว้ต่างหาก
8 แล้วสาวกคนนั้นที่มาถึงก่อนก็ตามเข้าไปด้วย เขาได้เห็นและเชื่อ
9 เพราะว่า ขณะนั้นเขายังไม่เข้าใจข้อพระธรรมที่เขียนไว้ว่า พระองค์จะต้องฟื้นขึ้นมาจากความตาย
10 แล้วสาวกทั้งสองก็กลับไปยังบ้านของตน" (ยอห์น 20:1-10)

จากเหตุการณ์นี้ จะเห็นได้ว่า ยอห์นวิ่งเร็วกว่า ไปถึงอุโมงค์ก่อน และเปโตรมาถึงทีหลัง แต่ปรากฎว่าเปโตรรีบเข้าไปข้างใน ในขณะที่ท่านยอห์นพิเคราะห์พิจารณา ท่านได้ใกล้ชิดกับพระเยซูคริสต์มาตลอด ได้สังเกตชีวิตของพระองค์อย่างใกล้ชิด ได้สัมผัสพระองค์ และท่านก็ได้จดจำถ้อยคำของพระองค์ ท่านจึงใคร่ครวญ แม้ท่านยังไม่เข้าใจ แต่ท่านก็เก็บไปคิด เพราะท่านได้เห็นแล้วว่าพระองค์ยิ่งใหญ่มาก ท่านรู้จักพระองค์เป็นอย่างดี นี่เป็นแบบอย่างที่ดีที่เราควรนำเป็นแบบอย่าง เพราะคนที่ยิ่งรู้จักพระองค์มาก ก็จะยิ่งตื่นเต้นกับความยิ่งใหญ่กับพระองค์ แล้วเขาก็จะไม่อยู่เฉย ๆ

คนที่รู้จักพระเจ้า จะพร้อมที่จะทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อพระองค์ ถ้าเขายิ่งรู้จักพระเจ้ามากเท่าไร เขาก็จะยิ่งเห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์ เขาจะไม่ให้สิ่งอื่นสำคัญกว่าพระองค์ พร้อมที่จะสละชีวิตเพื่อพระองค์ แต่ตรงกันข้าม ผู้ใดที่ไม่รู้จักกับพระองค์อย่างถ่องแท้ หรือรู้จักไม่มาก เขาจะไม่กระตือรือร้น และจะไม่สามารถเทิดทูนพระองค์ ถวายชีวิตแด่พระองค์ได้

"แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้" (มัทธิว 6:33)

นี่คือสิ่งที่ทำให้รู้จักกับพระเยซูคริสต์มากขึ้น คือ การที่เราแสวงหาแผ่นดินของพระองค์และความชอบธรรมของพระองค์ สิ่งนี้จะทำให้เรารู้จักพระเจ้ามากขึ้น และจะยิ่งรักพระเจ้ามากขึ้น

"ดังนี้แหละ เราจึงรู้จักความรัก โดยที่พระองค์ได้ทรงยอมสละพระชนม์ของพระองค์ เพื่อเราทั้งหลาย และเราทั้งหลายก็ควรจะสละชีวิตของเราเพื่อพี่น้อง" (1ยอห์น 3:16)

พระองค์ทรงรักเราด้วยชีวิต และพระเจ้าก็บอกให้เรารักพี่น้องเช่นกัน

แล้วเราจะรักพี่น้องอย่างไร? คือ ถึงขนาดที่จะยอมสละชีวิตเพื่อพี่น้องได้ สิ่งนี้จะเกิดได้โดยการที่เรารู้จักพระเยซูคริสต์

ยอห์นจึงได้เริ่มต้นโดยการที่บอกว่า เขาได้สัมผัสกับพระองค์อย่างใกล้ชิด และได้พบแล้วว่าพระองค์คือพระเจ้า สิ่งนี้จึงเป็นสาเหตุเดียวกันกับที่สาวกทุก ๆ คนยอมที่จะสละชีวิตให้กับพระองค์ และยอมทำทุกสิ่งให้กับพี่น้อง

ความยินดีที่ได้รับนั้นอยู่ในพระคริสต์ ความยินดีของเราจะเต็มเปี่ยมเมื่อใจของเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์ นี่จะเป็นสิ่งที่จะนำมาซึ่งสันติสุขแท้ในพระองค์

พระเยซูคริสต์ทรงเสด็จไปสู่เบื้องขวาพระบิดา พระวิญญาณเราก็ไม่สามารถมองเห็นได้ แต่สิ่งที่เราจะมองเห็นได้ คือ พี่น้อง และสิ่งที่เรากระทำต่อพี่น้อง ก็จะเป็นสิ่งที่บ่งชี้ว่าเรารู้จักพระองค์เพียงไร

"13 แต่บัดนี้ ในพระเยซูคริสต์ ท่านทั้งหลายซึ่งเมื่อก่อนอยู่ไกล ได้เข้ามาใกล้โดยพระโลหิตของพระคริสต์
14 เพราะว่า พระองค์ทรงเป็นสันติสุขของเรา เป็นผู้ทรงกระทำให้ทั้งสองฝ่ายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และทรงรื้อกำแพงที่กั้นระหว่างสองฝ่ายลง
15 คือ การเป็นปฏิปักษ์กัน โดยในเนื้อหนังของพระองค์ ได้ทรงให้ธรรมบัญญัติอันประกอบด้วย บทบัญญัติ และกฎหมายต่างๆ นั้นเป็นโมฆะ เพื่อจะกระทำให้ทั้งสองฝ่ายเป็นคนใหม่คนเดียวในพระองค์ เช่นนั้นแหละ จึงทรงกระทำให้เกิดสันติสุข
16 และเพื่อจะทรงกระทำให้ทั้งสองพวกคืนดีกับพระเจ้า เป็นกายเดียวโดยกางเขน ซึ่งเป็นการทำให้การเป็นปฏิปักษ์ต่อกันหมดสิ้นไป
17 และพระองค์ได้เสร็จมาประกาศสันติสุขแก่ท่านที่อยู่ไกล และประกาศสันติสุขแก่คนที่อยู่ใกล้" (เอเฟซัส 2:13-17)

ถ้าเราไปมีเรื่องกับผู้ที่อิทธิพล ผู้ที่มีอำนาจมากกว่าเรา เราก็คงจะเกรงกลัว ซึ่งเป็นเหตุการณ์เช่นเดียวกับเราเมื่อก่อนที่จะรู้จักพระเจ้า เพราะเวลานั้นเราเป็นศัตรูกับพระเจ้า แต่เรากลับไม่รู้ว่าพระองค์น่ากลัวว่าสิ่งที่มีอำนาจที่เรากลัวเสียอีก

"อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย แต่ไม่มีอำนาจที่จะฆ่าจิตวิญญาณ แต่จงกลัวพระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ ที่จะให้ทั้งจิตวิญญาณทั้งกายพินาศในนรกได้" (มัทธิว 10:28)

และพระเยซูคริสต์ทรงมาเพื่อที่เราจะไม่ต้องเป็นปฏิบักษ์กับพระเจ้า เราจึงมีสันติสุขอยู่ได้ และให้เราตระหนักเสมอว่า ถ้าหากเราอยู่ในบาป เราจะเป็นปฏิบักษ์กับพระองค์



อ.ประดิษฐ์ พรกีรติกุล

คำแบ่งปันกลุ่มเซลล์เพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 19/06/2009

เรื่อง ศึกษาพระธรรม 1ยอห์น

My Blog

  • วินัยของน้องหมา (ข้างถนน) - วันที่ 18/8/2011 เช้านี้ขณะที่รถติดไฟแดงอยู่บริเวณสี่แยกสามย่าน ซึ่งเบื้องหน้าเป็นจามจุรีสแควร์นั้น พลันก็เหลือบเห็นน้องหมาตัวหนึ่งเดินข้ามทางม้าลายด้วยอ...
    12 ปีที่ผ่านมา
  • บทความคริสเตียน - บทความคริสเตียน http://www.gracezone.org/index.php/christian-articles บทความทางด้านจิตวิญญาณ หลักข้อเชื่อ พระเจ้า พระคัมภีร์ พระเจ้า พระคัมภีร์ แนวทางในการ...
    15 ปีที่ผ่านมา
  • คริสเตียนกับการรับใช้พระเยซู - คริสเตียนกับการรับใช้พระเยซู วัน พุธ 08 ต.ค. 08@ 17:47:37 ICT หัวข้อ: สรุปคำเทศนาประจำอาทิตย์ ดร.ทะนุ วงค์ธนานุกุล วัน อาทิตย์ ที่ 21 กันยายน 2008 พระธร...
    15 ปีที่ผ่านมา
  • - แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้องจะนมัสการพระบิดา ด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้...
    15 ปีที่ผ่านมา

Christian Blog

บล็อกวาไรตี้

เทคโนโลยี

ดาวน์โหลดโปรแกรมมาใหม่ล่าสุด |

วาไรตี้

ข่าวประจำวัน

สารบัญเว็บไทย

กินลม ชมทะเล ที่มาร์คเฮ้าส์บังกะโล เกาะกูด จ.ตราด

Thailand Map