Custom Search By Google

Custom Search

วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2552

พระธรรมประจำวัน รู้จัก (2)‏

คำว่า "รู้จัก" เป็นเรื่องที่สำคัญเรื่องหนึ่งในศาสนศาสตร์พันธสัญญาเดิม ซึ่งเมื่อศึกษาแล้ว จะทำให้เราได้คิดว่า เรารู้จักพระเจ้าอย่างแท้จริงหรือไม่

คำว่า "รู้จัก" ในภาษาฮีบรู คือ คำว่า "ญาดา" ซึ่งคำคำนี้มีความหมายหลายอย่าง อาจแปลว่า รับรู้ รู้ เข้าใจ ซึ่งก็ตรงกับคำว่า "know" คำเหล่านี้พบได้ในคนทั่วไปเช่นกัน แต่ในพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิมใช้ในที่อื่นอีก ที่น่าสนใจ

"ฝ่ายชายนั้นสมสู่อยู่กับเอวาภรรยาของตน นางก็ตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชื่อคาอิน นางจึงกล่าวว่า 'พระเจ้าทรงโปรดให้ฉันได้ผู้ชายคนหนึ่ง' " (ปฐมกาล 4:1)

คำว่า "ญาดา" ในที่นี้ คือ คำว่า "สมสู่" ดังนั้น การรู้หรือการรับรู้ ยังไม่เป็นถือว่าเป็นการรู้จักอย่างแท้จริง แต่จะต้องมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งเหมือนสามีภรรยาด้วย

เวลาคนที่แต่งงานกันแล้ว ความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยา จะเป็นอย่างไรบ้าง? เป็นการรู้จักเพียงผิวเผินหรือไม่?

สามีภรรยาบางคู่ แต่งงานกันมาแล้วหลายปี แล้วบอกว่าเพิ่งจะรู้จักคู่ของตนเอง

การรู้จัก จะต้องรู้อย่างแท้จริง และไม่ใช่เพียงแค่รู้เท่านั้น แต่จะต้องยอมรับได้ด้วย แม้ว่าสิ่งที่บุคคลที่เรารู้จักนั้นจะไม่ใช่สิ่งที่เราพอใจ

เราอยากยอมรู้จักพระเจ้าทุกด้านจริง ๆ หรือไม่? หรือเราอยากเพียงรู้จักเพียงด้านที่เราอยากให้พระองค์ทรงเป็น?

"มีกษัตริย์องค์ใหม่ขึ้นครองราชสมบัติในประเทศอียิปต์ พระองค์มิได้ทรงรู้จักกับโยเซฟ" (อพยพ 1:8)

เวลาผ่านไปสี่ร้อยไป ชนชาติอิสราเอลมีลูกหลานเยอะมากทั่วอียิปต์ แต่ฟาโรห์จะไม่รู้จักพระเจ้าได้หรือไม่?

เรารู้จักหมอบัดเลห์ แม้ว่าเราจะไม่รู้จักท่านเป็นการส่วนตัว แล้วอย่างฟาโรห์จะไม่รู้จักโยเซฟได้หรือ? แน่นอน ฟาโรห์รู้จักโยเซฟอย่างแน่นอน เพียงแต่เขาไม่ยอมให้โยเซฟมีอิทธิพลเหนือชีวิตของเขา

ดังนั้น การรู้จักที่แท้จริง จะต้องยอมให้บุคคลที่เรารู้จักนั้น มีอิทธิพลในการดำเนินชีวิตของเราด้วย นี่คือความหมายของคำว่า "รู้จัก"

และไม่เพียงแต่ยอมรับเท่านั้น แต่เราจำเป็นต้องมีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้ง และยอมให้บุคคลผู้นั้นมีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิต

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ชีวิตของเราได้รู้จักพระเจ้าแล้วหรือยัง? ถ้าเรารู้จักพระเยซูคริสต์แล้ว เราจะเติบโตขึ้น และรู้จักพระองค์มากขึ้นได้อย่างไร?

พระเจ้าทรงรู้จักมนุษย์ทุกคน ทรงรู้จักเราแต่ละคนดีมาก ถึงขนาดเส้นผมของเราพระองค์ก็ทรงนับไว้แล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เราจะต้องกลัวอะไรอีกเล่า สิ่งที่เรากลัวคงจะมีอย่างเดียว คือ กลัวว่าเราจะไม่รู้จักพระองค์

พระองค์ทรงอยู่ในนิรันดร์กาล พระองค์ทรงอยากรู้จักมนุษย์ และไม่เพียงแค่นั้น พระองค์ทรงอยากให้เรารู้จักพระองค์ด้วย

พระเจ้าไม่ชอบแยกตัว เพราะพระองค์เป็นความรัก และถ้าพระองค์ทรงเป็นความรัก แล้วไม่มีสิ่งใดให้รัก แล้วพระองค์จะทรงเป็นความรักได้อย่างไร ดังนั้น พระองค์ทรงสร้างตัวแทนของพระองค์ขึ้นมา เป็นผลงานชิ้นโบแดง คือ "มนุษย์"

พระเจ้าเป็นผู้ที่เริ่มต้นความสัมพันธ์ก่อนเสมอ พระองค์ทรงถ่อมใจ พร้อมที่จะสร้างมนุษย์ และอยู่กับมนุษย์ด้วย พระองค์ทรงพยายามที่จะเปิดเผยพระองค์เองก่อนที่เราอยากจะรู้จักพระองค์เสีย อีก เมื่อมนุษย์อยากรู้จักพระเจ้า พระองค์ก็มิได้ทรงปฏิเสธ ดังเช่นโมเสส ท่านอยากรู้จักพระองค์ อยากเห็นพระเจ้า พระองค์ก็ทรงยินดีอย่างมาก แต่เนื่องจากความจำกัดของมนุษย์ ถ้ามนุษย์ได้รู้จักพระเจ้าจริง ๆ แล้ว มนุษย์จะต้องตาย พระเจ้าจึงทรงปกป้องโมเสส คือ ทรงอนุญาตให้ท่านได้เห็นพระสิริของพระองค์



คศ. เจนจิรา คีรีรัตน์นิติกุล

BIT Delivery (ศาสนศาสตร์พันธสัญญาเดิม) เรื่อง รู้จัก

คณะเพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 05/07/2009

พระธรรมประจำวัน รู้จัก (1)‏

เราแต่ละคนเป็นคริสเตียน ย่อมที่จะรู้จักพระเจ้า แต่ระดับของการรู้จักพระเจ้าแตกต่างกันไป

การรู้จักพระเจ้าที่สุดขั้วนั้น ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 2 ฝั่ง ได้แก่ พวกที่รู้จักพระเจ้าน้อยเกินไป และพวกที่รู้จักพระเจ้ามากเกินไป

1. พวกที่รู้จักน้อยเกินไป
"เพราะว่าเมื่อข้าพเจ้าเดินทางมาสังเกตดูสิ่งที่ท่านนมัสการนั้น ข้าพเจ้าได้พบแท่นแท่นหนึ่ง มีคำจารึกไว้ว่า 'แด่พระเจ้าที่ไม่รู้จัก' เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าจึงมาประกาศ และแสดงให้ท่านทั้งหลายทราบ ถึงพระเจ้าที่ท่านไม่รู้จักแต่ยังนมัสการอยู่" (กิจการ 17:23)

พระธรรมตอนนี้ ได้กล่าวถึงตอนที่อาจารย์เปาโลพูดกับชาวเอเธนส์ ชาวเอเธนส์รู้สึกว่าพวกเขาไม่สามารถที่จะรู้จักพระเจ้าได้ เขาจึงเอาแต่นมัสการ นมัสการ แล้วก็จากไป

ถ้าเราเชื่อว่ามีพระเจ้า แล้วเราไม่มีความสัมพันธ์กับพระเจ้า เราก็คงจะไม่แตกต่างกับคนที่ไม่รู้จักพระองค์ เช่นกัน ถ้ารู้จักพระเจ้าแล้ว ไม่ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าแล้ว จะมีประโยชน์อะไรเล่า

2. ผู้ที่ (คิดว่าตนเอง) รู้จักมากเกินไป
"16 เหตุฉะนั้นอย่าให้ผู้ใดพิพากษาปรักปรำท่านในเรื่องการกิน การดื่ม ในเรื่องเทศกาล วันต้นเดือน หรือวันสะบาโต
18 อย่าให้ผู้ใดตัดสิทธิ์ของท่าน ด้วยเขาทำทีถ่อมตัวลง กราบไหว้ทูตสวรรค์ ใฝ่ฝันอยู่ในนิมิต ผยองขึ้นเปล่าๆตามความคิดของเนื้อหนัง
23 จริงอยู่สิ่งเหล่านี้ดูท่าทีมีปัญญา คือการเต็มใจนมัสการ การถ่อมตัวลงและการทรมานกาย แต่ไม่มีประโยชน์อะไรในการต่อสู้กับความต้องการของเนื้อหนัง" (โคโลสี 2:16,18,23)

สิ่งต่าง ๆ ที่คนในกลุ่มนี้ทำ จะดูดีมาก แต่คนกลุ่มนี้กลับคิดภาคภูมิใจในตัวเอง เขารู้สึกว่าเขารู้จักพระเจ้ามากกว่าคนอื่น ซึ่งเขารู้สึกเช่นนี้จากการที่เขาได้กระทำตามพระบัญญัติอย่างเคร่งครัด คนกลุ่มนี้จะรู้สึกภูมิใจว่าตัวเองมีความรู้ความเข้าใจอย่างล้ำลึก สามารถทำตามกฎเกณฑ์อย่างเคร่งครัดได้อย่างดี แต่คนเหล่านี้ได้เอาชีวิตของตนติดกับกฎเกณฑ์ หรือการปฏิบัติต่าง ๆ และวัดความชอบธรรมของตัวเองอยู่เหนือคนอื่น สุดท้ายแล้ว คนกลุ่มนี้จะไม่ต่างจากพวกฟาริสี

เราอยู่กลุ่มใดในสองกลุ่มนี้หรือไม่? ขอที่เราจะไม่เป็นเหมือนคนสองกลุ่มนี้







คศ. เจนจิรา คีรีรัตน์นิติกุล

BIT Delivery (ศาสนศาสตร์พันธสัญญาเดิม) เรื่อง รู้จัก

คณะเพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 05/07/2009

วันเสาร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2552

Salt Of The Earth: 1. ใช้วาจาของเราเป็นเกลือ‏

1. ใช้วาจาของเราเป็นเกลือ
"จงให้วาจาของท่านประกอบด้วยเมตตาคุณเสมอ ปรุงด้วยเกลือให้มีรส เพื่อท่านจะได้รู้จักตอบให้จุใจแก่ทุกคน" (โคโลสี 4:6)

ให้วาจาเราจะเป็นเหมือนเกลือ ให้คำพูดของเราเป็นดังเกลือ หมายถึง ถ้อยคำของเราที่จะพูด จะต้องเป็นถ้อยคำที่มีรสชาด

ชีวิตคริสเตียนเป็นชีวิตที่มีรสชาติ ชื่นชมยินดี เปรมปรีดิ์ในพระเจ้าเสมอ ไม่ใช่ดำรงชีวิตอยู่ไปวัน ๆ เราจะต้องหาโอหาสที่จะให้ชีวิตของเรามีรสชาติ แตกต่าง ไม่จืดชืด แม้สถานการณ์รอบข้างของเราจะนำให้เราจืดชืด ดึงความเค็มของเราออกไป ทำให้เราเป็นไปตามสถานการณ์ ตามสิ่งที่เราได้พบเจอ

ขอที่คำพูดของเราจะเติมชีวิตที่กำลังตกต่ำ ให้ได้รับการหนุนใจ ได้รับการชูกำลังขึ้น ใช้วาจาเป็นเกลือ

หลายครั้ง ชีวิตของหลายคนอยู่ในความกลัว สิ่งเหล่านี้จะทำลายทัศนคติที่ดี ไม่ว่าเราไปที่ใด เราจะได้ยินแต่สิ่งที่แย่ ๆ อยู่เสมอ พูดถึงเหตุการณ์ที่แย่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นภัยพิบัติที่กำลังเกิดขึ้น ได้แก่ โรคระบาด ภัยธรรมชาติ สงคราม (ความขัดแย้งต่าง ๆ) และการกันดารอาหาร (เศรษฐกิจตกต่ำ) แท้จริงแล้วสิ่งเหล่านี้ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่ เพราะโลกของเรากำลังอยู่ในส่วนปลายยุค สิ่งเหล่านี้กำลังโจมตีชีวิตของเราให้เราคิดในทางที่ลบ แต่สำหรับคริสเตียน เราไม่ควรรับสิ่งเหล่านี้มากจนทำให้ความเชื่อสั่นคลอน ขอที่เราจะยึดความเชื่อ จะไม่กลัวต่อสถานการณ์ใด ๆ เพราะพระเจ้าจะนำเรา พระเจ้าจะทรงดูแลชีวิตเรา เราจะไม่หวั่นไหว

คำพูดของมนุษย์มีอิทธิพลทั้งทางด้านบวก (อวยพร) และทางด้านลบ (คำสาปแช่ง)

คำอธิษฐานของเรา เรากำลังพยายามที่จะเปลี่ยนสิ่งที่ลบให้เป็นบวก อาทิเช่น อธิษฐานให้คนหายจากโรคภัยไข้เจ็บ อธิษฐานอวยพรให้ลูก ๆ เชื่อฟัง เจริญก้าวหน้า ขอที่เราจะใช้คำพูดในการเสริมสร้าง ไม่ใช่ทำลาย

เมื่อชาวยิวเห็นคนที่ตาบอด ได้สงสัยไปก่อน ว่าเกิดจากความบาปของเขา หรือจากความผิดของพ่อแม่ของเขา แต่เมื่อพระเยซูคริสต์ได้ยิน พระองค์ตรัสตอบว่า

"พระเยซูตรัสตอบว่า 'มิใช่ว่าชายคนนี้หรือบิดามารดาของเขาได้ทำบาป แต่เขาเกิดมาตาบอด เพื่อให้พระราชกิจของพระเจ้าปรากฏในตัวเขา' " (ยอห์น 9:3)

นี่แหละ คำตรัสของพระเยซู พระองค์ทรงตรัสอวยพรเขา ว่าไม่ว่าเขาจะเป็นเช่นไร แต่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา กำลังจะทำให้พระราชกิจของพระเจ้าสำเร็จ พระองค์มิได้ทรงมองที่อดีต แต่ทรงอวยพรเพื่ออนาคตของเขา

พระเยซูคริสต์ทรงมีวาจาที่เป็นเกลือ ที่จะหนุนใจ ชูใจ อวยพร เช่นกัน ขอที่เราจะใช้วาจาในการหนุนใจ กล่าวพระวจนะของพระเจ้า ให้อนาคต ให้ความหวังกับเขา เพื่อที่เขาจะไม่คิดในสิ่งที่ตกต่ำ

พระเจ้าสร้างเรา และพระเจ้ามีแผนการในชีวิตของเราทุก ๆ คน

เมื่อครั้งที่มีคนนำเอาหญิงล่วงประเวณีมาให้พระเยซูคริสต์ตัดสินลงโทษ คนทั้งหลายต่างกล่าวโทษหญิงนี้ แต่พระองค์กลับมิได้ตรัสสิ่งใดเลยถึงความผิดของหญิงนี้ แต่กลับตรัสว่าพระองค์ทรงอภัย และตรัสสั่งหญิงนั่นมิให้ทำบาปอีก

ศัตรูของเรา คือมารซาตาน ไม่ใช่คน ขอที่เราจะไม่เข้าใจผิด ดังนั้น การที่เราด่าว่าใคร สาปแช่งใคร ย่อมไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง เพราะพระเจ้าทรงเรียกเราที่จะอวยพร เพื่อเราเองจะได้รับพระพร

"9 อย่าทำการร้ายตอบแทนการร้าย อย่าด่าตอบการด่า แต่ตรงกันข้ามจงอวยพรแก่เขา ด้วยว่าพระองค์ได้ทรงเรียกให้ท่านกระทำเช่นนั้น เพื่อท่านจะได้รับพระพร
10 เพราะว่าผู้ที่จะรักชีวิต และปรารถนาที่จะเห็นวันดี ก็ให้ผู้นั้นยั้งลิ้นของตนไม่พูดสิ่งชั่ว และห้ามปากไม่ให้พูดเป็นอุบายล่อลวง (1เปโตร 3:9)

ถ้าเราอยากให้ทุกวันเป็นวันดี ขอที่เราพูดเป็นคำอวยพร พูดเสริมสร้างผู้อื่น เพราะเราจะได้รับเช่นนั้นเหมือนกัน

"ผู้ที่กระทำบาปก็มาจากมาร เพราะว่ามารได้กระทำบาปตั้งแต่เริ่มแรก พระบุตรของพระเจ้าได้เสด็จมาปรากฏก็เพราะเหตุนี้ คือเพื่อทรงทำลายกิจการของมาร" (1ยอห์น 3:8)

มารมีแผนการ มีกิจการเยอะแยะมากมาย และหลายครั้งเราก็ตกอยู่ในแผนของมัน แต่พระเยซูคริสต์ทรงได้เสด็จมาเพื่อทำลายแผนการของมารซาตาน มันจึงไม่มีอำนาจที่จะวางแผนเหนือชีวิตของเรา

พระคัมภีร์จะเป็นจริงในชีวิตของเราได้ ผ่านทางความเชื่อ พระเยซูคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเราแล้ว แต่ผู้ที่จะได้รับความรอดคือผู้ที่เชื่อในพระองค์เท่านั้น พระคัมภีร์มีพระสัญญามากมาย ถ้าเราเพียงแค่อ่าน แค่ท่อง แต่ไม่เชื่อ สิ่งเหล่านั้นก็จะไม่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา เพราะวิญญาณจิตของเราจะติดต่อกับพระวจนะของพระเจ้าได้ ก็ผ่านทางความเชื่อ

"เพราะว่าในข่าวประเสริฐนั้น ความชอบธรรมของพระเจ้าก็ได้สำแดงออก โดยเริ่มต้นก็ความเชื่อ สุดท้ายก็ความเชื่อ ตามที่พระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ" (โรม 1:17)

ความเชื่อในที่นี้ ไม่ใช่เพียงแค่เชื่อว่ามีพระเจ้า แต่จะต้องเชื่อในถ้อยคำของพระองค์ด้วย ถ้าเรารับรู้แต่เราไม่เชื่อ ผลก็ไม่เกิดในชีวิตของเรา

มารซาตานก็เชื่อว่ามีพระเจ้า และมันก็รู้จักพระองค์ดี แต่ว่ามันไม่กระทำตามสิ่งที่พระองค์ตรัส

ทุกคนมีความเชื่อได้ แม้แต่คนที่ไม่รู้จักพระเจ้า เขาก็มีความเชื่อ

ถ้าอาหารที่เรารับประทานเข้าไป เป็นประโยชน์ เมื่อเรารับประทาน เราก็จะได้รับประโยชน์ เช่นเดียวกัน พระวจนะของพระเจ้าเป็นอาหารแห่งชีวิต เมื่อรับเข้าไป นั่นคือ เชื่อในถ้อยคำเหล่านั้น จิตวิญญาณก็จะเติบโต และได้รับชีวิต

"9 เราทั้งหลายสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระบิดาด้วยลิ้นนั้น และด้วยลิ้นนั้นเราก็แช่งด่ามนุษย์ ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงสร้างไว้ตามพระฉายาของพระองค์
10 คำสรรเสริญและคำแช่งด่าก็ออกมาจากปากอันเดียวกัน ดูก่อนพี่น้องของข้าพเจ้า ไม่ควรให้เป็นเช่นนั้น
11 บ่อน้ำพุจะมีน้ำจืดและน้ำกร่อยพุ่งออกมาจากช่องเดียวกันได้หรือ (ยากอบ 3:9-11)





ผป. วิวัฒน์ วุฒิกุลเจริญวงศ์

คำแบ่งปันคณะเพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 16/08/2009

เรื่อง Salt of The Earth

วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2552

แบ่งปันคำเทศนา จากการเทศนาฟื้นฟูเรื่อง “มินา”‏

แบ่งปันคำเทศนา จากการเทศนาฟื้นฟูเรื่อง “มินา”

ผู้แบ่งปันพระพร : ศจ.สมศักดิ์ ชูสงฆ์

สถานที่เกิดพระพร : คริสตจักรไมตรีจิต หลังสวน

วันที่เกิดพระพร : 5 กันยายน 2552

พระคำอ้างอิง: ลูกา 19:11-27 คำอุปมาเรื่องเงินสิบมินา

การเทศนา ณ ไมตรีจิต หลังสวน ซอย 5 จัดขึ้นอย่างเรียบง่ายแต่ทรงฤทธิ์ โดยเราเริ่มต้นด้วยอาหารฝ่ายร่างกาย อิ่มหนำกับกระเพาะปลาแสนอร่อยของสมาชิกท่านหนึ่ง ผู้ชิมคนหนึ่งถึงกับเปรยว่า “กระเพาะปลาของจริงหรือเปล่าเนี่ย ทำไมกินแล้วรู้สึกเหมือนกันหูฉลามจัง” นั่นคือว่า รับประกันความอร่อยของจริง

เมื่อถึงช่วงของการรับอาหารฝ่ายวิญญาณ เราก็ได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์จากพระคำของพระเจ้ามากขึ้น ผ่านทางครูสมศักดิ์ ซึ่งท่านได้บอกเราว่า “มินา” ในที่นี้ หมายถึง “ความเชื่อ” โดยบริบทนี้เป็นการเล็งถึงองค์พระเยซูที่ทรงให้ทุนกับเรา และเราทั้งหลายนั้นเป็นทาส ซึ่งจะต้องมีความสัตย์ซื่อในการลงทุนอย่างเต็มกำลังเพื่อแผ่นดินของพระเจ้า ทั้งนี้ ผลของการลงทุนจะไม่มีคำว่าขาดทุน มีแต่กำไรและกำไร มีแต่บำเหน็จและบำเหน็จ ซึ่งบำเหน็จสูงสุดก็คือชีวิตนิรันดร์ในสวรรคสถาน และพระเกียรติเป็นของพระเจ้า

การเสด็จมาในโลกครั้งแรกขององค์พระเยซูนั้น ทรงเสด็จมาให้ทุน ให้ทุนด้วยฤทธิ์แห่งกางเขน เพื่อคนบาปอย่างเรา และพระองค์จะเสด็จมาอีก เพียงแต่ว่าครั้งนี้ พระองค์จะมารับทุนและกำไร ซึ่งได้ทรงให้กับพวกเราไว้ตั้งแต่ครั้งแรก

ดังนั้น เราต้องลงทุนในฐานะนักธุรกิจของพระเจ้า ลงทุนโดยพึ่งพาพระองค์ และพึงระลึกไว้เสมอว่า

1) เรามีพระเยซูคริสต์เป็นนายทุน

2) เราต้องกล้าลงทุน

3) เราต้องสัตย์ซื่อในการลงทุน รักษาทุน และสร้างกำไร

คนที่ยอมลงทุน จะมีแต่ได้กับได้ ส่วนคนที่ไม่ยอมลงทุน จะมีแต่เสียกับเสีย หากเราในฐานะผู้เชื่อมิได้ลงทุน มิได้ใช้ความเชื่อ แต่กลับนำทุนหรือความเชื่อไปเก็บไว้เฉยๆ เมื่อพระเยซูเสด็จมา พระองค์ก็จะตรัสว่า "จงเอาเงินมินาหนึ่งนั้นไปจากเขาให้แก่คนที่มีสิบมินา"

ด้วยว่าเรารู้จักองค์พระเจ้าที่เราเชื่อแล้ว จึงขอที่เราจะใช้ความเชื่อ ไว้วางใจในการทรงนำของพระเจ้า เพียรพยายามในการลุกขึ้นฉายแสง นำวิญญาณจิตมากมายมาสู่แผ่นดินของพระเจ้า

4 ช. ในการใช้ความเชื่อ

1) พระเยซูเชิญคุณให้มีส่วนร่วมในพันธกิจของพระองค์

2) พระเยซูใช้คุณให้ทำพันธกิจของพระองค์

3) พระเยซูช่วยคุณ ทรงให้ฤทธานุภาพทั้งสิ้นแก่คุณ

4) พระเยซูชมคุณ เมื่อคุณทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ จะทรงตรัสว่า “ดีแล้ว เจ้าเป็นทาสที่ดี”

Salt Of The Earth: Introduction‏

วัยเพื่อคุณ หรือวัยทำงาน เป็นวัยที่มีศักยภาพ ขอท้าทายที่เราจะ "ทะเยอทะยาน" ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เพื่อที่เราจะไม่เหมือนเดิม เพราะผู้ที่จะเหมือนเดิมได้มีผู้เดียว คือ "พระเจ้า" ส่วนเราซึ่งเป็นมนุษย์จำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ขอที่เราจะเป็นเหมือนโยเซฟ ผู้ซึ่งตกต่ำสุด ถูกขายยเป็นทาส แต่ได้กลับกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ เป็นรองเพียงแค่ฟาโรห์ เราจะก้าวสูงขึ้นไป สูงขึ้นทางเดียว ไม่ต่ำลง จะต้องเป็นหัว ไม่เป็นหาง ถึงแม้ว่านี้เรายังเป็นหาง แต่สักวันหนึ่งเราจะต้องเป็นหัว พระเจ้าทรงอยู่กับเรา เราทำได้อย่างแน่นอน เราจะต้องมีอิทธิพลต่อคนมากมาย

"ถ้าท่านเชื่อฟังพระบัญญัติของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ซึ่งข้าพเจ้าบัญชาท่านในวันนี้ และระวังที่จะกระทำตาม พระเจ้าจะทรงกระทำให้ท่านเป็นหัวไม่ใช่เป็นหาง กระทำให้สูงขึ้นทางเดียวมิใช่ให้ต่ำลง" (เฉลยธรรมบัญญัติ 28:13)

"ท่านทั้งหลายเป็นเกลือแห่งโลก ถ้าเกลือนั้นหมดรสเค็มไปแล้ว จะทำให้กลับเค็มอีกอย่างไรได้ แต่นั้นไปก็ไม่เป็นประโยชน์อะไร มีแต่จะทิ้งเสียสำหรับคนเหยียบย่ำ" (มัทธิว 5:13)

คำว่า "เกลือ" เป็นคำที่มีความหมายมาก ไม่ทราบว่าพี่น้องเคยได้ยินคำว่า "พันธสัญญาเกลือ" หรือไม่?

หลายคนมักจะอ้างพระคำของพระเจ้า บอกว่าจะต้องทำสิ่งนั้น ทำสิ่งนี้ เน้นพระวจนะคำของพระเจ้า แต่แท้จริงแล้วเขาไม่ทราบพระวจนะของพระเจ้าทั้งหมด ไม่รับเอาสิ่งที่พระคัมภีร์สอน ทั้ง ๆ ที่พระคำภีร์ก็เล่มเดียวกัน ดังเช่น ฟาริสี ที่ตั้งใจจับผิดพระเยซูคริสต์ ดูว่าพระเยซูคริสต์จะทรงรักษาคนง่อยในวันสะบาโตหรือไม่ พวกเรารู้ว่าวันสะบาโตจะต้องทำอย่างนั้น อย่างนี้ และห้ามทำอะไรบ้าง แต่เขากลับปฏิเสธส่วนของพระวจนะ ที่ให้เราเมตตา ให้เราช่วยเหลือมนุษย์ รักเพื่อนมนุษย์

"ไม่ควรหรือที่ท่านทั้งหลายจะรู้ว่า พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลพระราชทาน ตำแหน่งพระราชาเหนืออิสราเอลเป็นนิตย์แก่ดาวิด และบุตรหลานของพระองค์โดยพันธสัญญาเกลือ" (2พงศาวดาร 13:5)

"บรรดาเครื่องบูชาบริสุทธิ์ที่คนอิสราเอลมอบถวายแด่ พระเจ้า เราให้แก่เจ้าและแก่บุตรชายหญิงซึ่งอยู่กับเจ้า เป็นส่วนแบ่งถาวร เป็นพันธสัญญาเกลือเป็นนิตย์แด่พระเจ้าสำหรับเจ้า และเผ่าพันธุ์ของเจ้าด้วย" (กันดารวิถี 18:19)

พันธสัญญาเกลือ เป็นพันธสัญญาที่พระเจ้าทรงกระทำกับชาวอิสราเอลที่ทำหน้าที่เป็นปุโรหิต สมัยนั้น อิสราเอลต้องถวายเครื่องบูชาให้กับปุโรหิต และปุโรหิตได้รับอนุญาตให้นำเครื่องบูชาเหล่านั้นไปรับประทานได้ แต่ปุโรหิตจะไม่ได้รับทศางค์จากอิสราเอล เพราะคนที่จะได้รับทศางค์จะเป็นพวกเลวี

อิสราเอลจะถวายเครื่องบูชา โดยใช้เกลือเป็นเครื่องชำระ ดังนั้น เกลือจึงเป็นความหมายว่า "ชำระ" นั่นคือ ชำระเครื่องบูชา ชำระชีวิตของเราให้บริสุทธิ์ ให้สะอาด

"ท่านจงนำมาถวายพระเจ้า และ ปุโรหิตจะเอาเกลือพรมลงบนนั้น และถวายเป็นเครื่องเผาบูชาแด่พระเจ้า" (เอเศเคียล 43:24)

"เจ้าจงปรุงบรรดาธัญญบูชาด้วยใส่เกลือ เจ้าอย่าให้เกลือแห่งพันธสัญญากับพระเจ้าของเจ้า ขาดเสียจากธัญญบูชาของเจ้า เจ้าจงถวายเกลือพร้อมกับบรรดาเครื่องบูชาของเจ้า" (เลวีนิติ 2:13)

เราทั้งหลายเป็นเกลือแห่งโลก ภาษาอังกฤษ จะใช้คำว่า "salt" ซึ่งมีความหมาย อาจแปลว่า เค็ม หรือ เกลือ ก็ได้ ดังนั้น ถ้าหมดรสเค็ม ย่อมไม่ใช่เกลือ ไม่มีประโยชน์

คริสเตียนจะต้องมีชีวิตที่บริสุทธิ์ เพราะเกลืออยู่ที่ใด เกลือย่อมจะมีอิทธิพลที่จะทำให้ที่เหล่านั้นบริสุทธิ์ นอกจากนั้น เกลือยังใช้ในการถนอมอาหาร ที่จะไม่ให้เน่า ไม่ให้เสีย เนื่องจากความเค็มของเกลือ ย่อมแปลว่า คริสเตียนจะต้องมีอิทธิพลต่อคนรอบข้าง





ผป. วิวัฒน์ วุฒิกุลเจริญวงศ์

คำแบ่งปันคณะเพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 16/08/2009

เรื่อง Salt of The Earth
4. คนของพระองค์ยกพระเยซูคริสต์เป็นกษัตริย์เหนือกษัตริย์ เป็นจอมเจ้านายอย่างแท้จริง
พระเยซูคริสต์ทรงเป็น King of kings, Lord of lords เราจำเป็นต้องยำเกรงพระองค์เพราะพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์เหนือกษัตรย์ และเราจะต้องวางใจในพระองค์ เพราะพระองค์ทรงเป็นจอมเจ้านายของเรา

ถ้าคริสเตียนทุกคน ได้ยกพระเยซูคริสต์เป็นกษัตริย์และเป็นจอมเจ้านายในชีวิตของเขา จะเกิดอะไรขึ้น?

คริสเตียนหลายคนชอบถามว่า ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น บ่นตลอด ผมจะเรียกคริสเตียนกลุ่มนี้ว่า "คริสเตียนสายตาสั้น" เมื่อสายตาสั้น มองไม่เห็นว่าอดีต พระเจ้าทรงนำเขามาได้อย่างไร ลืมพระคุณของพระเจ้าที่มีมาตลอดชีวิตของเขา และมองไม่เห็นศักดิ์ศรีในอนาคตที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้ เห็นแต่ปัญหาที่เขากำลังประสบอยู่ นี่คือไม่วางใจในพระเจ้าอย่างแท้จริง

ถ้าคริสเตียนทุกคนสายตาสั้น การฟื้นฟูก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้

"เขาไม่กลัวข่าวร้าย จิตใจของเขายึดแน่น วางใจในพระเจ้า" (สดุดี 112:7)

คริสเตียนที่ได้รับการฟื้นฟู จะไม่กลัวข่าวร้าย แต่เขาจะวางใจในพระเจ้า



5. คนของพระองค์ประกาศข่าวประเสริฐ
อาจารย์ท่านหนึ่ง เป็นประทานทวีปจีน ท่านกล่าวประโยคหนึ่งว่า "ยุคสุดท้ายเราจะต้องประกาศข่าวประเสริฐ คริสเตียนจะต้องนิ่งและวิเคราะห์ ว่ามีอะไรที่คนไม่เชื่อมี แล้วเราก็มี เราพูดถึงการอัศจรรรย์ คนที่ไม่เชื่อก็ไม่มี เราบอกว่าพระเจ้าอวยพร คนที่ไม่เชื่อก็มี พระเจ้าทรงรักษาโรค คนไม่เชื่อก็มี ในยุคสุดท้ายจะต้องวิเคราะห์ให้ดี ว่าอะไรที่เรามีแล้วคนไม่เชื่อไม่มี นั้นคือ ไม้กางเขนแห่งความรอดของพระเยซูคริสต์ นี่คือสิ่งที่เราจะต้องประกาศ"

"ฉะนั้นความเชื่อเกิดขึ้นได้ก็เพราะการได้ยิน และการได้ยินเกิดขึ้นได้ก็เพราะการประกาศพระคริสต์" (โรม 10:17)

ความเชื่อเกิดขึ้นได้จากการได้ยินข่าวประเสริฐ การได้ยินพระวจนะของพระเจ้า ไม่ใช่การได้เห็นอะไร แต่จากการได้ยินพระวจนะของพระเจ้า ถ้าเราอยากเห็นการฟื้นฟู เราจำเป็นต้องประกาศข่าวประเสริฐ

ข่าวประเสริฐนี้ ชาวโลกอาจไม่ยอมรับ ข่าวประเสริฐแห่งกางเขนนี้ เป็นการที่เราถูกตรึงจากโลก และโลกจะถูกตัดขาดจากเรา แต่นี้คือหัวใจของการประกาศข่าวประเสริฐ ประกาศหนทางแห่งความรอดแห่งไม้กางเขน

ถ้าพี่น้องอยากทราบว่า โรคอะไรที่พระเจ้าอยากที่จะรักษามากที่สุด ขอที่เราอย่าฟังจากปากของมนุษย์ แต่ให้ศึกษาจากพระคัมภีร์ ขอที่เราจดจำไว้ตลอดชีวิต นั่นคือ "โรคแห่งการทรยศพระคำของพระเจ้า" นี่เป็นสิ่งที่พระเจ้าอยากรักษาที่สุด

"บรรดาบุตรที่กลับสัตย์เอ๋ย จงกลับมาเถิด เราจะรักษาความกลับสัตย์ของเจ้าให้หาย ดูเถิด ข้าพระองค์ทั้งหลายมาหาพระองค์แล้ว เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเยโฮวาห์พระเจ้า ของข้าพระองค์" (เยเรมีย์ 3:22)



Head: กลับสู่ความจริงของพระคัมภีร์

Heart: สารภาพ เลียนแบบชีวิตพระเยซูคริสต์ วางใจพระองค์ ยกพระองค์เป็นกษัตรย์

Hand: ออกไปประกาศข่าวประเสริฐ

Hymn: มีคนสรรเสริญพระเจ้า

ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องให้มีลักษณะ 5 ประการนี้ทุกคน แล้วการฟื้นฟูที่แท้จริงจะเกิดขึ้น สิ่งที่ท่านลงทุนกับพระเจ้าจะไม่ไร้ผลอย่างแน่นอน



อ.นิกร สิทธิจริยาภรณ์

สรุปคำเทศนาโบสถ์จีน คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 12/07/2009

เรื่อง ความหมายที่แท้จริงของการฟื้นฟู

ความหมายที่แท้จริงของการฟื้นฟู (3): ลักษณะของการฟื้นฟูประการ 2-3‏

2. คนของพระองค์สารภาพบาป และทิ้งความผิดบาปอย่างสิ้นเชิง
การกลับใจใหม่จากบาปดั้งเดิม กระทำเพียงครั้งเดียวในชีวิต แต่การกลับใจจากบาปที่ทำทุก ๆ วัน จะต้องทำไปตลอดชีวิต

กลับใจใหม่ ภาษาจีน "ห้วยโก้ย" ซึ่งแปลตามตัวว่า "การรู้สึกสำนึกผิด" และ "การเปลี่ยนแปลง" เช่นกัน คริสเตียนจะฟื้นฟูได้ จะต้องกลับใจใหม่ และทิ้งความผิดบาป เปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิง คริสเตียนจะมีชีวิตที่ไวต่อบาป



3. คนของพระองค์มีชีวิตที่เลียนแบบพระเจ้า
เมื่อคริสเตียนแต่ละคนเลียนแบบพระเจ้า จะเกิดการฟื้นฟูอย่างแน่นอน

เมื่อพระเจ้าเลือกสรรเรา พระองค์จะสร้างเราให้เหมือนกับองค์พระเยซูคริสต์ พระองค์มีเป้าหมาย มีแบบแผน มีวัตถุดิบที่ใช้ มีการทดสอบ และมีการใช้งานจริง เพื่อจะสร้างคริสเตียนให้มีแบบอย่างตามพระเจ้า

ถ้าคริสเตียนทุกคนในคริสตจักรเรามีชีวิตที่เลียนแบบพระเจ้า จะไม่เกิดการฟื้นฟูได้อย่างไร! ถ้าเลียนแบบพระเยซูคริสต์ ก็จะไม่มีการทะเลาะกัน จะให้อภัยกัน ถ่อมใจซึ่งกันและกัน และการฟื้นฟูจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

แล้วเราจะเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ได้อย่างไร? เรามีเป้าหมายคือ "เหมือนพระเยซู" แต่วันนี้เราอาจจะยังไม่เป็นแบบที่พระองค์อยากให้เราเป็น แต่เป้าหมายในชีวิตของเราจะต้องชัดเจน วันนี้จะต้องดีกว่าเมื่อวาน เราจะต้องดำเนินชีวิตอย่างมีเป้าหมาย

มีพี่น้องคริสเตียนโดนถามว่า ทำไมคริสเตียนคนนั้นถึงยังทำอย่างนั้นอย่างนี้ ขอให้เราดูตึกที่กำลังสร้าง ก็จะมีป้ายว่า "ขออภัยในความไม่สะดวก กำลังก่อสร้างอยู่" ชีวิตคริสเตียนก็เช่นกัน คือ จะถูกสร้างใหม่ทุกวัน ๆ

ดร. บิลลี่ เกรแฮม ซึ่งยังคงมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน ท่านมีภรรยาชื่อ อ.รูธ ซึ่งจากโลกนี้ไปแล้ว อ.รูธ ไม่มีแววของความเป็นคนจีนเลย แต่ชีวิตของท่านเขียนภาษาจีนได้สวยมากทีเดียว ท่านประทับใจคำว่า "อี้" เพราะว่า ครั้งหนึ่งได้ฟังอาจารย์คนจีนเทศนา อาจารย์ท่านนั้นได้กล่าวว่า "คริสเตียนจะเป็นคนชอบธรรมได้ จะต้องมีคำว่าแกะอยู่บนตัวฉัน" เพราะภาษาจีน คำว่า "ชอบธรรม" มาจาก 2 คำผสมกัน คือ "แกะ" และคำว่า "ฉัน" และเมื่อแกะอยู่บนตัวฉัน ฉันจึงจะสะอาดได้

ฉันสกปรก เหมือนกับเสื้อผ้าสกปรก ไม่สามารถซักตัวเองให้สะอาดได้ จะต้องมีน้ำสะอาดมาชำระ ใช้ผงซักฟอกซักให้สะอาด

เสื้อผ้าสกปรก ใช้บรีซ แต่ชีวิตของเราที่สกปรก จะต้องใช้ บลัด (blood) นั่นคือพระโลหิตของพระเยซูคริสต์

อ.รูธ ได้เขียนคำว่า "อี้" และขอให้วางคำนี้ ไว้บนป้ายที่หลุมศพ และมีประโยคหนึ่งข้างใต้ว่า "สิ้นสุดการก่อสร้าง ขอบคุณสำหรับความอดทนของคุณ" (End of construction, thank you for your patience) ซึ่งบางคนในที่นี้อาจจะบอกว่า "ทางเสร็จมาแล้วครึ่งหนึ่งนะ แต่ยังไม่เสร็จ อดทนรออีกนิดหนึ่งนะครับ"

อ.รูธ ได้ประโยคนี้ มาจากครั้งหนึ่งที่ท่านขับรถผ่านป้ายที่เขียนเช่นนี้ ท่านจึงนำมาคิดถึงชีวิตท่าน ว่าหลาย ๆ ครั้งคนรอบข้างของท่านต้องอดทนท่าน เพราะชีวิตของท่านยังสร้างไม่เสร็จ

ชีวิตคริสเตียนที่ได้รับการฟื้นฟู คือ การที่มีชีวิตตามแบบของพระเจ้า ถูกสร้างใหม่ขึ้นทุก ๆ วัน




อ.นิกร สิทธิจริยาภรณ์

สรุปคำเทศนาโบสถ์จีน คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 12/07/2009

เรื่อง ความหมายที่แท้จริงของการฟื้นฟู

ความหมายที่แท้จริงของการฟื้นฟู (2): ลักษณะของการฟื้นฟูประการ 1‏

สิ่งที่พระองค์อยากให้เราเป็น มีอยู่ 5 ประการ ได้แก่



ประการที่ 1. คนของพระองค์กลับไปสู่ความจริงแห่งพระวจนะ
"แต่ส่วนท่านที่รักทั้งหลายนั้น จงสร้างตัวของท่านขึ้นบนหลักคำสอนอันบริสุทธิ์ของท่านที่เชื่อกันอยู่ และจงอธิษฐานในพระวิญญาณบริสุทธิ์" (ยูดา 20)

คริสเตียนจะฟื้นฟูได้ คริสเตียนจะต้องยึดถือหลักความจริงแห่งพระวจนะ

ถ้าคุณเชื่อสิ่งที่ถูก เชื่อถูกคน คุณจะไม่ผิดหวัง แต่ตรงข้าม ถ้าคุณเชื่อสิ่งที่ผิด สุดท้ายก็จะได้มาเพียงความว่างเปล่า จะเหนื่อยเปล่า

ขอที่เราจะคิดสักนิด ถ้าพระเจ้าไม่ดูแล เราสร้างบ้านเราก็จะเหนื่อยเปล่า สิ่งที่เราเชื่อ บุคคลที่เราเชื่อ ถ้าเป็นสิ่งที่ถูก แล้วเราทุ่มเทเพื่อสิ่งนั้น เราจะไม่สูญเปล่าอย่างแน่นอน

ขอยกตัวอย่าง ดังเช่น หญิงคนหนึ่ง รักชายคนหนึ่งมาก ทุ่มเทเพื่อเขาอย่างมากมาย ถ้าชายคนนั้นเป็นคนที่น่าเชื่อถือ การทุ่มเทของหญิงคนนี้ก็ไม่สูญเปล่า แต่ถ้าชายคนนั้นไม่น่าเชื่อถือ การทุ่มเทของหญิงคนนี้ก็คงจะไร้ค่า

ขอพี่น้องพิจารณาให้ดีว่า เรากำลังเชื่อในสิ่งใดอยู่? สิ่งที่เราเชื่อเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วหรือยัง?

แถว ๆ สีคิ้ว เมื่อนั่งรถทัวร์ผ่าน จะเป็นประติมากรรมมูลค่ากว่าร้อยล้านบาท คนที่สร้างเป็นดาราหนังที่ทุ่มเงินสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา แต่พระคัมภีร์ได้บอกชัดเจน ว่าเขาทุ่มในสิ่งที่ผิดแล้ว เขาก็จะได้เพียงความว่างเปล่า สิ่งที่เขาทุ่มไปก็จะเสียเปล่า

มีหนังสือเล่มหนึ่ง เมื่อได้อ่านแล้วรู้สึกตื่นเต้นมาก หนังสือนี้พูดถึงการฟื้นฟูในยุคสุดท้ายที่ผิดเพี้ยน หนังสือเล่มนี้ได้กล่าวว่า ลัทธิตกขอบ ลัทธิผิดเพี้ยนจะเข้ามาในคริสตจักรอย่างมากมาย ซึ่งปัจจุบัน ลัทธิเทียมเท็จและเพี้ยน ๆ เหล่านี้ ได้มาในรูปแบบ "เชือดนิ่ม ๆ" มาแบบสงบ ๆ มาเหมือนกับสึนามี ที่เริ่มด้วยการที่น้ำทะเลลดลระดับลงอย่างสงบ ๆ คนที่เห็นก็ตื่นเต้น แต่ในที่สุดก็หายนะมาอย่างรวดเร็ว ลัทธิเหล่านี้ก็เช่นกัน ที่จะให้เราค่อย ๆ เดินเข้าไปหามัน ทำให้เรารับสิ่งต่าง ๆ เข้ามาโดยไม่รู้ตัว มาอย่างกลมกลืน ดูไม่รู้ว่าเป็นสิ่งที่ผิด ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก

ถ้าอยากให้เกิดการฟื้นฟูอย่างแท้จริง ต้องกลับเข้าสู่ความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า เพื่อที่เขาจะรักพระเจ้า และเข้าใจพระวจนะของพระองค์มากขึ้น

รู้สึกเป็นห่วงอนุชนรุ่นหลังอย่างมาก ได้มีโอกาสไปค่ายอนุชนหลายที่ และได้พบว่าอนุชนหลายคนเข้าใจว่า การฟื้นฟู คือ การร้องเพลง บางทีจัดฟื้นฟูทั้งวัน ร้องเพลงทั้งวัน ซึ่งเป็นเหมือนกับทูลกับพระเจ้าให้พระเจ้าอยู่เฉย ๆ จะร้องเพลงให้ฟัง แต่ละคนร้องเพลงเก่งมาก เสียงเพราะมาก แต่ไม่รู้พระคัมภีร์เลย เมื่อเป็นเช่นนี้จะเกิดการฟื้นฟูที่แท้จริงได้อย่างไร เพราะการฟื้นฟูที่แท้จริง ต้องกลับสู่ความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า

คริสตจักรอนุรักษ์นิยมหลายแห่ง อยากให้เกิดการฟื้นฟู แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นที่พระคัมภีร์ใดดี จึงได้เริ่มรับวัฒนธรรมเข้ามา ใช้ดนตรีเป็นหลักในการฟื้นฟู นี่เป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วง

อยากให้ลองคิดดูนะครับว่า คริสตจักรของเรา มีความเชื่อแบบ Faith in Faith หรือ Faith in Bible? เราเชื่อในความเชื่อ เชื่อในการอัศจรรย์ เชื่อในความเชื่อของบุคคลหรือไม่? ถ้าหากเราเชื่อในสิ่งที่บุคคลคนหนึ่งเห็น เชื่อในนิมิตที่บุคคลได้เห็น ก็จะไม่เกิดการฟื้นฟูอย่างแน่นอน แต่การฟื้นฟูที่แท้จริง จะต้องนำเราไปสู่ความเชื่อในพระวจนะ เราจะต้องสนใจว่าพระคัมภีร์สอนอะไร กล่าวว่าอย่างไร




อ.นิกร สิทธิจริยาภรณ์

สรุปคำเทศนาโบสถ์จีน คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 12/07/2009

เรื่อง ความหมายที่แท้จริงของการฟื้นฟู

ความหมายที่แท้จริงของการฟื้นฟู (1): Introduction‏

เมื่อคุณขึ้นสวรรค์ คุณจะทูลอะไรต่อพระเยซู? บางคนอาจจะพูดว่า "พระองค์เจ้าข้า ทำไมเลือกข้าพระองค์ ทำไมจึงรักพระองค์" แต่สำหรับผม ผมจะพูดอีกประโยคหนึ่ง คือ "พระเยซูเจ้าข้า พระองค์เหนื่อยรึเปล่าครับ ลูก ๆ ของพระองค์น่ารักทั้งนั้น"

พี่น้องเพิ่งได้ผ่านการฟื้นฟูมา แต่ก่อนที่จะเข้าเนื้อหา จะขอพูดถึงเรื่องหนึ่ง นั่นคือ ข่าวการเสียชีวิตของไมเคิล แจ็คสัน เมื่อได้ยินข่าวก็รู้สึกตกใจ เพราะเพิ่งฟังเพลงของเขาได้ไม่นาน สถานีโทรทัศน์บางแห่งถึงกับงดการถ่ายทอดรายการปกติ เปลี่ยนเป็นรายการเกี่ยวกับไมเคิลแทน หนังสือพิมพ์ทุกหน้าก็จะต้องมีข่าวการเสียชีวิตของเขาอยู่หน้าหนึ่ง เป็นข่าวใหญ่ที่สุดของหนังสือพิมพ์ นี่เป็นข่าวในโลกนี้ แต่ข่าวบนสวรรค์ หรือ Heaven News จะไม่เหมือนกับข่าวของโลกนี้

การเสียชีวิตของไมเคิลแจ็คสัน ทำให้ผมคิดถึงเรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องเล่า ไม่ใช่เรื่องจริง เพื่อหนุนใจคริสเตียน

ผู้รับใช้พระเจ้า 2 คน สามีภรรยา เป็นมิชชันนารีของอังกฤษไปยังทวีปแอฟริกา รับใช้อย่างสัตย์ซื่อหลายสิบปี วันหนึ่งนายกของอังกฤษไปเยี่ยมที่แอฟริกา นั่งเรือไป เมื่อขณะที่กำลังจะกลับอังกฤษ มิชชันนารีและภรรยาก็ขอกลับด้วย เพราะอายุมากแล้ว เมื่อเรือวิ่งมาถึงอังกฤษ ประชาชนอังกฤษถือป้ายต้อนรับนายกรัฐมนตรีอย่างเอิกเกริก แต่เมื่อสามีภรรยาคู่นี้เดินออกจากเรือ ไม่มีใครสนใจเลย ไม่มีใครต้อนรับ สามีจึงบ่นกับภรรยา น้อยใจ ไม่มีใครต้อนรับเลย ภรรยาท่านจึงตอบว่า "ที่รัก ไม่ต้องอิจฉาเขาหรอก เขากลับบ้านของเขาแล้ว ประชาชนจึงต้อนรับเขา แต่เรายังไม่กลับบ้าน"

พี่น้องครับ สำหรับโลกนี้ ข่าวของ ไมเคิล แจ็คสัน ดังมาก การเสียชีวิตของคริสเตียนคนหนึ่งคงจะไม่ดังเช่นนี้ อาจจะมีข่าวเพียงเล็กน้อย เพราะโลกนี้ไม่เห็นความสำคัญของการจากไปของคริสเตียน แต่พระคัมภีร์ไม่ได้กล่าวเช่นนั้น

"มรณกรรมแห่งธรรมิกชนของพระองค์ สำคัญในสายพระเนตรพระเจ้า" (สดุดี 116:15)

การเสียชีวิตของคริสเตียน สำคัญในสายพระเนตรของพระเจ้า ดังนั้นพี่น้องไม่ต้องอิจฉาข่าวการเสียชีวิตของไมเคิล แจ็คสัน เพราะนี้เป็นข่าวในโลกนี้ แต่ข่าวบนสวรรค์ คือ "เตรียมต้อนรับคริสเตียนกลับบ้าน" และจะมีทูตสวรรค์ต้อนรับเรากลับสู่บ้านบนสวรรค์

เราเป็นคนของพระเจ้า ขอพระเจ้าหนุนใจท่านด้วยพระคัมภีร์ข้อนี้ ใครอยากเป็นคนแรกก็ได้นะครับ



การฟื้นฟูคืออะไร? การฟื้นฟูไม่มีทางที่มนุษย์คนหนึ่งคนใดจะทำให้เกิดขึ้นได้

อาทิตย์ที่แล้วที่มีงานฟื้นฟู ก็ไม่ใช่การฟื้นฟู แค่มีป้ายบอกว่าฟื้นฟู แต่การฟื้นฟูจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่มีสิ่งที่จะกล่าวหลังจากนี้เกิดขึ้น

"7 ท่านทั้งหลายจงระลึกถึงหัวหน้าของท่าน ผู้ซึ่งได้ประกาศพระวจนะของพระเจ้าแก่ท่าน และจงพิจารณาดูผลปลายทางที่เกิดแก่เขา แล้วจงตามอย่างความเชื่อของเขา
8 พระเยซูคริสต์ยังทรงเหมือนเดิมในเวลาวานนี้ และเวลาวันนี้ และต่อๆไปเป็นนิจกาล
9 อย่าหลงไปตามคำสอนต่างๆที่แปลกๆ เพราะว่าเป็นการดีอยู่แล้วที่จะให้กำลังใจเข้มแข็งขึ้นด้วยพระคุณ ไม่ใช่ด้วยอาหารการกิน ซึ่งไม่เคยเป็นประโยชน์แก่คนที่หลงติดอยู่เลย" (ฮีบรู 13:7-9)

คริสตจักรสะพานเหลืองมาถึงจุดนี้ได้ เพราะคนสมัยก่อนวางรากไว้ดี เพราะถ้ารากไม่ดี แตกไปนานแล้ว พระธรรมฮีบรูจึงให้เราระลึกถึงคนสมัยก่อนที่ได้วางรากเอาไว้ดี ของดีแล้วอย่าเปลี่ยน หรืออาจเปลี่ยนให้ดีขึ้นก็ได้ แต่ถ้าเปลี่ยนจากสิ่งที่ดีเป็นสิ่งที่เลวนั้นน่ากลัว

เช่นเพลงชีวิตคริสเตียนหลายเพลงดีมาก อย่าไปเปลี่ยนมาก เพราะเพลงทุกเพลงในบทเพลงชีวิตคริสเตียนเขียนมาจากชีวิต เช่น "สรรเสริญ สรรเสริญ สรรเสริญ" ซึ่งมีเนื้อหาดีมาก ต้องสรรเสริญ 3 ครั้ง หมายถึง สรรเสริญพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือเพลง "ชาวโลกทั้งหลายชื่นใจยินดี" ซึ่งไล่จากโน๊ตตัวโดสูง เป็นโน๊ตตัวโดต่ำ แสดงถึงว่ามนุษย์จะไม่สามารถเข้าหาพระเจ้าได้ แต่พระเจ้าจำเป็นต้องเสด็จลงมาในโลกนี้ เพื่อเปิดหนทางแก่เรา

พระเยซูคริสต์ไม่เคยเปลี่ยนแปลง แต่เราต้องระมัดระวังในการตีความ เพราะการที่พระองค์เหมือนเดิมวานนี้ วันนี้ และต่อ ๆ ไปเป็นนิตย์ หมายความว่า พระองค์ทรงดูแลคนในอดีตอย่างไร ก็จะทรงดูแลชีวิตเราด้วยเช่นกัน

การฟื้นฟู คืออะไร? เมื่อพูดถึงคำว่า "ฟื้นฟู" ก็จะต้องคิดถึงภาษาไทย 2 คำ ได้แก่ "ร้อนรน" และ"ร้อนแรง" และเป้าหมายของการฟื้นฟู คือ เพื่อให้คริสเตียนร้อนรน ไม่ใช่ร้อนแรง

พระเจ้าทรงสร้างให้มนุษย์มีอุณหภูมิกาย 37 องศาเซลเซียส ทำไมตัวเราจึงอุ่น เพราะตัวเรามีไฟ มีการเผาผลาญตลอดเวลา เช่นกัน เป้าหมายของการฟื้นฟู คือให้คริสเตียนมีอุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส เป็นปกติ ดังที่ควรจะเป็น นั่นคือ พระองค์อยากให้คริสเตียนเป็นตามปกติตามที่พระองค์ทรงประสงค์ให้คริสเตียนเป็น และถ้าทุกคนกลับมาเป็นปกติดังที่พระองค์อยากให้เป็น นั่นแหละ การฟื้นฟูจะเกิดขึ้น แต่ถ้าการฟื้นฟูไม่ใช่มาจากพระเจ้า สิ่งนั้นจะทำให้ร้อนแรง คืออุณหภูมิเกินกว่าปกติ





อ.นิกร สิทธิจริยาภรณ์

สรุปคำเทศนาโบสถ์จีน คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 12/07/2009

เรื่อง ความหมายที่แท้จริงของการฟื้นฟู

How To Be Like Jesus (5)‏

ความอ่อนโยนของพระเยซูคริสต์ต่อคนทั้งหลาย (2)

เรามักจะคิดว่าเมื่อคนคนหนึ่งมาเชื่อในพระเจ้าแล้วจะได้รับการเปลี่ยนแปลงทันทีทั้งหมดจากความบาปของเขา เมื่อเขาได้รับการสร้างใหม่ก็ไม่น่าจะต้องดิ้นรนกับบาปเก่า ๆ ที่มีอยู่ ซึ่งก็เป็นจริงในบางกรณี คือมีผู้ที่เชื่อแล้วได้รับการเปลี่ยนแปลงทันที แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นในทุก ๆ กรณี บางคนใช้เวลาเป็นเดือน บางคนใช้เวลาหลายปีในการเอาชนะบาปเก่า ๆ ในชีวิตของตัวเอง หลายครั้ง

ดังเช่นคนที่ติดยาเสพติด เมื่อพยายามที่จะเลิกก็ดูเหมือนยาก ถ้าเขาล้มเลิก ยอมแพ้ เขาก็จะไม่สามารถที่จะเลิกได้สำเร็จ

มีผู้หนึ่งที่ติดยาเสพติด ติดเหล้าทั้งสามีและภรรยา ชีวิตครอบครัวเกือบจะล่มสลาย เขาทั้งสองหมดหวัง เมื่อมีผู้หนึ่งชวนคู่นี้ไปโบสถ์ เขาก็ได้ลองไปดู ครั้งแรกที่ไปโบสถ์ ทั้งคู่ก็ได้รับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วย

ผู้ที่เป็นภรรยา เมื่อรับเชื่อ เขาสามารถเลิกยาเลิกเหล้าได้ทันที แต่สามีของเขาไม่สามารถที่จะทำได้ทั้งหมดในช่วงแรก ใช้เวลาประมาณ 9 เดือน ก่อนที่จะเลิกได้ ระหว่างนั้นเขาล้มเหลวหลายครั้ง แต่ภรรยาก็คอยให้กำลังใจ และคริสตจักรก็พยายามช่วยเหลืออย่างมาก ทุกครั้งที่เขาล้มลง เขาทั้งหลายก็ช่วยให้เขาลุกขึ้นมาได้อีกครั้งหนึ่ง คนเหล่านั้นได้สำแดงความรักในการเข้าไปช่วยเขา จนเขาสามารถยืนได้ด้วยตัวเอง

เพราะว่าเรามักจะคิดว่าคริสเตียนคงจะไม่เสพติดอะไรหรอก จึงไม่ค่อยพูดถึง ดังนั้นคริสเตียนคนไหนที่เสพติดอะไรบางอย่างก็พยายามที่จะซ่อนเอาไว้ และไม่กล้าบอกใคร

ทราบหรือไม่ ว่าสิ่งเสพติดสำคัญอันดับหนึ่งในกลุ่มคริสเตียน คือ สิ่งลามกที่พบได้ในอินเตอร์เนต

ผลสำรวจพบว่า แม้ศิษยาภิบาลเอง มีถึง 50% ที่เข้าถึงสื่อลามกเหล่านี้ เนื่องจากสิ่งเหล่านี้สามารถดูคนเดียวส่วนตัวได้ จึงไม่ค่อยมีโอกาสที่จะโดนจับได้ เลยกลายเป็นปัญหาที่ใหญ่มากทั่วโลก

เราจะทำอย่างไร ถ้าเพื่อนที่นั่งข้าง ๆ ติดสื่อลามกเหล่านี้ เราจะบอกว่า ก็สมแล้วนี่หน่า ไม่ควรที่จะทำตั้งแต่แรกอยู่แล้ว หรือตกใจมาก เลยไม่กล้าพูดคุยกับเขาอีกเลย

ถ้าจะเหมือนพระเยซูคริสต์ เราจำเป็นต้องสำแดงความรักกับคนเหล่านั้น จะต้องช่วยเหลือเขาในสิ่งที่เขาต้องการ เราจำเป็นต้องช่วยจนที่เขาได้รับอิสรภาพจากสิ่งเหล่านี้ได้ จำเป็นจะต้องอาศัยความพยายามเพราะเขาอาจจะล้มเหลวหลายครั้ง

ในกรณีนี้ต่างจากในกรณีแรกที่เราจะต้องสร้างขอบเขต เพราะในกรณีแรกนั้น คนเหล่านั้นไม่ยอมเปลี่ยนแปลง แต่ในกรณีนี้ คนคนนั้นพยายามอย่างยิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง

พระเยซูคริสต์ไม่เคยที่จะเพิกเฉยกับความบาปของยอห์นและยากอบ แต่ทรงพยายามช่วยเขาทั้งสองจนกระทั่งทั้งสองได้รับการเปลี่ยนแปลง เราจำเป็นต้องช่วยเหลือพี่น้องที่กำลังดิ้นร้นให้พ้นจากบาปที่มีอยู่เช่นกัน

บทเรียนตรงนี้ คือ ในฐานะที่เป็นผู้เชื่อ เราจำเป็นต้องช่วยเหลือคนเหล่านั้นที่กำลังดิ้นรนที่จะหลุดพ้นจากความบาป

มีใครที่หวังว่าจะไม่ทิ้งเขาหรือหมดหวังในตัวเขาเมื่อเขาล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า หรือมีใครที่เราพยายามที่จะเดินไปกับเขาตลอด แม้จะเป็นหนทางที่ยาวไกล จนเขาสามารถทำได้สำเร็จได้หรือไม่ ?

พระเยซูคริสต์ทรงมีคำพูดที่สำแดงความรักให้กับผู้คน พระองค์มักจะพูดความจริงในความรัก พระองค์มักจะกล่าวความจริง และหนุนใจให้เรายึดความจริงนั้น

มารธาเศร้าโศกกับการเสียชีวิตของลาซารัส พระเยซูคริสต์ก็ได้บอกความจริงถึงการที่ลาซารัสจะฟื้นขึ้นมา

เมื่อพระองค์ทรงฟื้นพระชนม์ พระองค์ได้ไปหาโธมัส พระองค์จึงทรงให้เขาสัมผัสพระองค์ เพื่อที่เขาจะเชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตายแล้ว

พระคำของพระเจ้าเป็นกำลังใจอย่างมากสำหรับชีวิตของเรา พระองค์ตรัสกับเรา เมื่อเราได้ยินพระองค์ ก็จะเป็นกำลังให้เรายึดพระองค์ไว้ พระองค์สำแดงความรักโดยการสนองความต้องการเมื่อเราต้องการกำลังใจ เราจำเป็นจะต้องทำเช่นเดียวกันกับผู้อื่นด้วย

คนที่เราติดต่อด้วย ทุกคนต้องการกำลังใจ บางครั้งเขาต้องการความจริง บางทีเราก็จำเป็นที่จะต้องไม่เห็นด้วยกับเขา และเขาเองก็ต้องการความจริงเกี่ยวกับว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นผู้ใดและพระองค์ทรงสามารถช่วยเขาได้อย่างไร สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เขาก้าวเดินต่อไปในทุก ๆ สถานการณณ์

เราเองจำเป็นต้องได้รับการเปลี่ยนแปลงให้เหมือนพระเยซูคริสต์มากขึ้นในเรื่องคำพูดของเรา บางครั้งเรามักจะพูดความจริง แต่แทนที่จะสร้างสรรค์ กลับกลายเป็นการทำลายความรู้สึก ความจริงควรจะเป็นการเยียวยามากกว่าใช้เป็นอาวุธ

บางทีเราไม่กล้าพูดความจริง เพราะกลัวว่าผู้ที่เราไปพูดด้วยจะไม่พอใจ แต่พระเยซูคริสต์ตรัสความจริงเสมอ เพราะนี่เป็นหนทางเดียวที่จะเป็นการให้กำลังใจ และการที่เราพูดความจริงด้วยความรัก จะเป็นการสร้างคนอื่นขึ้นมา

มีอะไรที่เราจะต้องได้รับการเปลี่ยนแปลงในเรื่องคำพูดหรือไม่ ? หรือเราจำเป็นต้องเลิกกลัวแล้วเริ่มที่จะพูดความจริงแก่ผู้อื่น ? หรืออาจต้องเรียนรู้ในการพูดความจริงโดยการเพิ่มความอ่อนโยนเข้าไปด้วย ?

เราจะต้องมีเวลาที่จะใช้กับพระเยซู เพื่อที่จะเรียนรู้จากพระองค์ แล้วเราจะสามารถพูดได้อย่างเหมาะสม

เราจะเป็นเหมือนพระองค์ได้อย่างไร? ไม่ใช่การพยายาม แต่เป็นการยอมรับการเปลี่ยนแปลง

ขอที่เราจะใช้เวลากับพระองค์ เข้าใกล้ชิดกับพระองค์ เติบโตทางวิญญาณ เพื่อที่เราจะสามารถก้าวร้าวต่อบาป และอ่อนโยนกับผู้คนได้ ขอสิ่งเหล่านี้ที่จะเกิดขึ้นในชิวตของเรา



อ. Melinda Burnette

คำแบ่งปันคณะเพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง เมื่อวันที่ 09/08/2009

เรื่อง How To Be Like Jesus

แปลโดย มน.นิลุบล วงศ์วรเศรษฐ์

How To Be Like Jesus (4)‏

ความอ่อนโยนของพระเยซูคริสต์ต่อคนทั้งหลาย (1)

พระองค์ทรงแข็งกร้าวกับความบาป แต่ทรงอ่อนโยนกับคน พระองค์ทรงรักผู้คนและปฏิบัติต่อคนเหล่านั้นอย่างผู้ที่มีเกียรติและศักดิ์ศรี

สิ่งหนึ่งที่พระองค์ทรงสำแดง คือ การให้อภัย

"1 แต่พระเยซูเสด็จไปยังภูเขามะกอกเทศ
2 ในตอนเช้าตรู่พระองค์เสด็จเข้าในบริเวณพระวิหารอีก คนทั้งหลายพากันมาหาพระองค์ พระองค์ก็ประทับนั่งและเริ่มสั่งสอนเขา
3 พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี ได้พาผู้หญิงคนหนึ่งมา หญิงผู้นี้ถูกจับฐานล่วงประเวณี และเขาให้หญิงผู้นี้ยืนอยู่หน้าฝูงชน
4 เขาทูลพระองค์ว่า 'พระอาจารย์เจ้าข้า หญิงคนนี้ถูกจับเมื่อกำลังล่วงประเวณีอยู่
5 ในธรรมบัญญัตินั้นโมเสสสั่งให้เราเอาหินขว้างคนเช่นนี้ให้ตาย ส่วนท่านจะว่าอย่างไรในเรื่องนี้'
6 เขาพูดอย่างนี้ เพื่อทดลองพระองค์หวังจะหาเหตุฟ้องพระองค์ แต่พระเยซูทรงน้อมพระกายลงเอานิ้วพระหัตถ์เขียนที่ดิน
7 และเมื่อพวกเขายังทูลถามอยู่เรื่อยๆ พระองค์ก็ทรงลุกขึ้นตรัสตอบเขาว่า 'ผู้ใดในพวกท่านที่ไม่มีผิด ก็ให้ผู้นั้นเอาหินขว้างเขาก่อน'
8 แล้วพระองค์ก็ทรงน้อมพระกายลงเอานิ้วพระหัตถ์เขียนที่ดินอีก
9 แต่เมื่อเขาทั้งหลายได้ยินดังนั้น เขาทั้งหลายจึงออกไปทีละคนๆ เริ่มจากคนเฒ่าคนแก่ เหลือแต่พระเยซูตามลำพัง กับหญิงคนนั้นที่อยู่ต่อพระพักตร์พระองค์
10 พระเยซูทรงเงยพระพักตร์ขึ้นตรัสกับนางว่า 'หญิงเอ๋ย พวกเขาไปไหนหมด ไม่มีใครเอาโทษเจ้าหรือ'
11 นางนั้นทูลว่า 'พระองค์เจ้าข้า ไม่มีผู้ใดเลย' และพระเยซูตรัสว่า 'เราก็ไม่เอาโทษเจ้าเหมือนกัน จงไปเถิดและอย่าทำผิดอีก' "(ยอห์น 8:1-11)

หญิงผู้หนึ่งได้ถูกจับ เพื่อที่จะลงโทษ และผู้นำได้เชิญพระเยซูคริสต์มาเพื่อที่จะพิพากษาลงโทษหญิงนั้น แต่พระองค์ทรงให้โอกาสที่เขาจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ พระองค์ทรงให้โอกาสกับหญิงคนนั้นที่แม้ว่าเขาจะทำผิด แต่เขาก็ได้รับความอับอายแล้ว

การที่เปโตรได้ปฏิเสธพระองค์ก่อนที่จะทรงถูกตรึงที่กางเขน ส่วนตัวเปโตรรู้สึกสิ้นหวัง คงจะทำสิ่งใดไม่ได้ และเขาคงคิดว่าคนอย่างเขาคงจะหมดหวังที่จะรับใช้พระเจ้าอีกต่อไป คงจะไม่มีสิ่งใดที่จะเยียวยาความผิดที่เขาทำ เขารู้สึกว่าเขาได้ทำผิด และรู้สึกเสียใจ แต่พระเยซูทรงสำแดงความรักต่อเปโตรเมื่อทรงมาหาเขา และพระองค์ทรงนำให้เปโตรกลับเป็นผู้นำเหน่าสาวกอีกครั้งหนึ่ง

เราได้รับการอภัยบาปจากพระองค์ผ่านทางไม้กางเขน แม้ว่าเราสมควรได้รับโทษนั้น แต่ก็ทรงยกโทษบาปผิดของเรา และนำเราให้กลับมีความสัมพันธ์กับพระองค์ นี่เป็นหนทางที่พระองค์สำแดงความรักแก่ผู้อื่น

เมื่อผู้ใดที่ทำผิดต่อเรา และรู้สึกสำนึกผิด สิ่งที่เราควรจะตอบสนอง คือ การให้อภัย การที่พระองค์ทรงให้อภัยเรา เราจึงควรรับการอภัย และให้อภัยผู้อื่นด้วย

เนื่องด้วยเราเป็นคนบาป เราจึงมักจะมีศูนย์กลางคือตัวเอง และมักจะรู้สึกว่าผู้ที่ทำเราเจ็บปวด ควรจะได้รับการตอบสนองก่อนที่จะยกโทษ แต่เมื่อเราทำผิดกับผู้อื่น คนอื่นควรจะยกโทษให้เราเพราะเราไม่ได้ตั้งใจ

เมื่อใดก็ตามที่เราเข้าหาพระองค์ด้วยใจที่สำนึกผิด พระองค์ก็ทรงให้อภัยเรา การที่จะเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ และเราก็จำเป็นต้องปฏิบัติต่อผู้อื่นเช่นเดียวกัน แต่ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเลิกจำกัดขอบเขตความสัมพันธ์ แต่ความสัมพันธ์จะได้รับการรื้อฟื้น และพร้อมที่จะก้าวเดินต่อไป

การให้อภัยผู้อื่นนี่เอง เป็นการสะท้อนถึงหัวใจของพระเยซูคริสต์

มีผู้ใดที่เรารู้สึกว่าเราให้อภัยไม่ได้หรือไม่? หรือว่าเราพยายามทำให้เขารู้สึกแย่โดยการที่ไม่ยอมพูดกับเขา หรือวิพากษ์วิจารณ์ให้ผู้อื่นฟัง? ให้เราระลึกว่า นี่ไม่ใช่วิธีที่พระเยซูคริสต์ทรงปฏิบัติ เราจะเลือกทำเพื่อพระองค์ ก็โดยการให้อภัยผู้อื่น

พระเยซูคริสต์ทรงสำแดงความรักแก่คนเหล่านั้นที่ติดอยู่กับความบาป คนเหล่านี้มีความผิดพลาดในชีวิต ถ้าเราจะนึกถึง ก็คือ ยากอบและยอห์น เขาทั้งสองได้ฉายาว่าลูกแห่งฟ้าร้อง เพราะความใจร้อนของเขาทั้งสอง

"51 ครั้นจวนเวลาที่พระองค์จะทรงถูกรับขึ้นไป พระองค์ทรงตั้งพระทัยแน่วไปยังกรุงเยรูซาเล็ม
52 และพระองค์ทรงใช้ทูตล่วงหน้าไปก่อน เขาก็เข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่งของชาวสะมาเรีย เพื่อจะเตรียมไว้ให้พระองค์
53 ชาวบ้านนั้นไม่รับรองพระองค์เพราะพระองค์กำลังเสด็จไปยังกรุงเยรูซาเล็ม
54 เมื่อสาวกของพระองค์ คือยากอบและยอห์นได้เห็นดังนั้น เขาทูลพระองค์ว่า 'พระองค์เจ้าข้า พระองค์พอพระทัยจะให้ข้าพระองค์ขอไฟลงมาจากสวรรค์เผาผลาญเขาเสียหรือ'
55 แต่พระองค์ทรงเหลียวมาห้ามปรามเขา" (ลูกา 9:51-55)

เมื่อพระเยซูทรงไม่ได้รับการต้อนรับ เขาทั้งสองก็ขอให้พระองค์ส่งไฟมาเผาหมู่บ้านนี้ ซึ่งดูแล้วก็ไม่ได้สำแดงความรักเท่าไรนัก และก็มีเหตุการณ์ที่เขาทั้งสองขอพระเยซูคริสต์ที่จะได้รับเกียรติสูง ซึ่งทำให้เห็นว่าเขาทั้งสองไม่เข้าใจถึงการรับใช้ผู้อื่นด้วยใจถ่อม

แต่พระเยซูก็มิได้ทรงหมดหวังกับเขาทั้งสอง พระองค์ทรงดำเนินชีวิตอยู่กับเขา ช่วยเขา ค่อย ๆ เปลี่ยนเขา จนชีวิตของเขาทั้งสองได้รับการเปลี่ยนแปลง ในท้ายที่สุด ยอห์นก็ได้รับการเรียกว่า สาวกแห่งความรัก พระเยซูคริสต์ได้เปลี่ยนชีวิตของเขา แต่ก็ต้องใช้เวลาทั้งชีวิต



อ. Melinda Burnette

คำแบ่งปันคณะเพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง เมื่อวันที่ 09/08/2009

เรื่อง How To Be Like Jesus

แปลโดย มน.นิลุบล วงศ์วรเศรษฐ์

How To Be Like Jesus (3)‏

การแข็งกร้าวกับความบาปของพระเยซูคริสต์ (con’t)

3. ความบาปของสังคม

พระเยซูคริสต์ทรงบริสุทธิ์ และทรงยุติธรรม พระองค์เผชิญหน้ากับความบาปและความอยุติธรรมเช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้

ดังเหตุการณ์ที่พระเยซูคริสต์ทรงขับไล่คนที่ค้าขายในวิหาร คนเหล่านั้นทำให้คนจนไม่สามารถเข้ามานมัสการพระเจ้าได้ พระเยซูคริสต์ทรงพยายามที่จะไม่ให้เกิดการเหยียดชาวต่างชาติหรือรังเกียจกลุ่มคนบางกลุ่ม โดยการที่ทรงมีความสัมพันธ์กับคนต่างชาติ คนพิการ โสเภณี คนที่สังคมไม่ยอมรับ และพระองค์ตรัสตรง ๆ กับคนเหล่านั้นที่วางตัวเป็นผู้ตัดสินผู้อื่น ดังนั้น การที่จะเป็นเหมือนพระองค์ ก็คือ การที่เราจะแข็งกร้าวกับความบาป กำจัดความอยุติธรรมในสังคมด้วย

เราไม่ใช่เป็นคริสเตียน แล้วจำกัดชีวิตแค่มาโบสถ์ ศึกษาพระคัมภีร์ มีชีวิตที่สุขสบายเท่านั้น แต่เราได้รับการเรียกเพื่อให้เผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ไม่ยุติธรรมในสังคม

สังคมโลก ไม่ใช่สังคมที่มีความยุติธรรม ผู้คนในโลกนี้มีหลายคนที่ถูกเอาเปรียบ ริดรอนสิทธิ์ และถูกเหยียดหยาม ผู้เชื่อก็ได้รับการเรียกมาเพื่อที่จะเป็นปากเสียงให้กับคนเหล่านี้

ถ้าเรามองสถานการณ์รอบตัว เราจะเห็นเหตุการณ์เหล่านี้มากขึ้น เราพบว่าผู้ลี้ภัยอพยพได้ถูกริดรอนสิทธิ์ มีผู้หญิงและเด็กถูกขายไปเพื่อที่ครอบครัวของเขาจะได้เงิน เราได้เห็นเด็ก ๆ ในชุมชนแออัดไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือ เราได้เห็นชาวนาชาวประมงที่ทำมาหากินไม่ได้ หรือไม่พอกิน เพราะมีผู้อื่นคอยเอาเปรียบ เราได้เห็นแรงงานได้รับค่าจ้างต่ำ เพื่อที่เจ้าของจะได้กำไรมากขึ้น

ความบาปเหล่านี้ พระเยซูทรงแข็งกร้าวด้วย และพระองค์ทรงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

บทเรียนจากตรงนี้ ก็คือ ความอยุติธรรมเป็นความบาปที่ผู้เชื่อจำเป็นต้องจำกัดออกไป

แล้วเราจะทำอย่างไรกับสังคมที่เราอยู่ เพื่อให้ความยุติธรรมเกิดขึ้น?

การเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ได้ เราจะต้องมีจิตใจที่จะเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้ เหมือนที่พระองค์ทรงรู้สึก หมายถึงเราจะต้องแข็งกร้าวกับความบาปที่เกิดขึ้นในสังคม เราจำเป็นต้องทำให้เกิดสิ่งที่ถูกต้องสำหรับผู้ที่ไม่มีสิทธิ์ ไม่มีปากเสียง ไม่มีอำนาจที่จะทำด้วยตัวเอง

เรายินดีหรือไม่ที่จะสนับสนุนการศึกษาของผู้ยากจน หรือการที่เข้าไปสอนหญิงที่ตั้งใจที่จะเลิกเป็นโสเภณี โดยการเข้าไปช่วยสอนการทำงานให้ หรือการช่วยให้คนมีงานที่ดีขึ้น ถ้าเราอยากเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ สิ่งเหล่านี้ก็เป็นสิ่งทีเราจำเป็นต้องทำ



อ. Melinda Burnette

คำแบ่งปันคณะเพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง เมื่อวันที่ 09/08/2009

เรื่อง How To Be Like Jesus

แปลโดย มน.นิลุบล วงศ์วรเศรษฐ์

How To Be Like Jesus (2)‏

การแข็งกร้าวกับความบาปของพระเยซูคริสต์ (con’t)

2. ความบาปของคนรอบข้าง

สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับคนรอบข้างที่ใกล้ชิดกับเรา เราจำเป็นต้องกล้าที่จะเผชิญหน้า และบางครั้งจะต้องวางขอบเขตสำหรับความสัมพันธ์

"31 ตั้งแต่เวลานั้นมา พระองค์กล่าวสอนสาวกว่า บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์ทรมานหลายประการ พวกผู้ใหญ่ พวกมหาปุโรหิต และพวกธรรมาจารย์จะไม่ยอมรับพระองค์ ในที่สุดพระองค์จะต้องถึงถูกประหารชีวิต แต่ในวันที่สามพระองค์จะทรงเป็นขึ้นมาใหม่
32 คำเหล่านี้พระองค์ตรัสโดยเปิดเผย ฝ่ายเปโตรเอามือจับพระองค์แล้วก็ทูลท้วง
33 พระองค์จึงทรงหันพระพักตร์ดูเหล่าสาวกแล้วติเปโตรว่า 'อ้ายซาตาน จงไปให้พ้น เพราะเจ้าคิดอย่างคน มิได้คิดอย่างพระเจ้า' " (มัทธิว 8:31-33)

พระเยซูทรงรักเปโตร และพระองค์ก็ไม่สามารถเพิกเฉยต่อความบาปในชีวิตของเปโตรได้ พระองค์ตรัสกับเปโตรในเรื่องนี้อย่างเผชิญหน้า เกี่ยวกับความบาปของท่าน ซึ่งการที่พระเยซูทรงกระทำเช่นนั้น เป็นสิ่งที่ดีสำหรับชีวิตของเปโตร และดีสำหรับสาวกคนอื่น ๆ ด้วย

การที่จะแข็งกร้าวกับความบาป ไม่ได้หมายความว่าจะตำหนิวิจารณ์ตลอดเวลา แต่หมายความว่า เราไม่สามารถเพิกเฉยหรือมองข้ามความบาปของคนรอบข้างของเรา เพราะความบาปของเขาก็มีผลต่อชีวิตเราและคนรอบข้างเช่นกัน

การที่จะได้รับการเปลี่ยนใหม่ให้เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ เราจำเป็นต้องทำตามอย่างพระองค์ด้วย ถ้าคนที่เรารักได้ทำความผิดบาป ก็เป็นหน้าที่ของเราที่เราจะต้องเผชิญหน้าอย่างตรงไปตรงมา และคาดหวังด้วยว่าเขาจะทำเช่นเดียวกัน

อาจจะเป็นสิ่งที่ไม่สบายใจเท่าไรนัก เพราะผู้ที่เราเผชิญหน้าอาจจะไม่พอใจ โกรธ หรือทำให้ความสัมพันธ์แย่ลง แต่ในฐานะที่เป็นผู้เชื่อ เราไม่สามารถเลือกได้ว่าส่วนใดที่เราอยากเชื่อฟัง และส่วนใดที่เราเลือกที่จะไม่ทำ แต่เราจะต้องบริสุทธิ์เพราะพระองค์ทรงบริสุทธิ์ เราจะต้องทำเช่นเดียวกับที่พระเยซูคริสต์ทรงปฏิบัติกับเปโตร

ต้นปีนี้ มีสุภาพสตรีสองท่านได้มาคุยกับข้าพเจ้าโดยตรงเกี่ยวกับความบาปของข้าพเจ้า เขาได้กล่าวว่าการกระทำบางอย่างของข้าพเจ้าที่ทำให้เขารู้สึกสะดุด แรก ๆ ข้าพเจ้ารับไม่ได้ หลังจากนั้นก็เริ่มเปลี่ยนเป็นโกรธ แต่เมื่อพระเจ้าตรัสในจิตใจของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็พบว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นความจริง ก็เลยเปลี่ยนจากความโกรธเป็นความเศร้า รู้สึกเสียใจว่าได้ทำสิ่งที่ไม่ดีต่อเขา และพระเจ้าทรงนำให้ข้าพเจ้าได้ไปขอโทษเขา และได้เปลี่ยนแปลงชีวิต ทำให้รู้สึกสบายใจขึ้น เพราะพระเจ้าได้รับเกียรติจากสิ่งที่เกิดขึ้น และข้าพเจ้าได้เติบโตในความรู้สึก และข้าพเจ้าก็เข้าใจว่าสุภาพสตรีทั้งคนทั้งสองนั้น ได้มีความรักต่อข้าพเจ้า จึงกล้าที่จะกล่าวกับข้าพเจ้าโดยตรง

แต่ตรงกันข้าม ถ้าหากว่าคนที่เราเผชิญหน้าด้วยปฏิเสธที่จะเปลี่ยนแปลง เราก็จำเป็นจะต้องวางขอบเขตของเราด้วย โดยจำกัดขอบเขตความสัมพันธ์ระหว่างเรากับเขา ทั้งอาจจะต้องเลิกติดต่อกับเขาโดยเด็ดขาด หรือจำกัดความสัมพันธ์นั้น

พระเยซูทรงทราบว่ายูดาสวางแผนทรยศ และพระองค์ทรงให้โอกาสยูดาสในการกลับใจใหม่ แต่เมื่อเขาไม่กลับใจไม่ พระองค์ก็ผลักไสเขาออกไป

"แต่ข้าพเจ้าเขียนบอกท่านว่า ถ้าผู้ใดได้ชื่อว่าเป็นพี่น้องแล้ว แต่ยังล่วงประเวณี เป็นคนโลภ เป็นคนถือรูปเคารพ เป็นคนปากร้าย เป็นคนขี้เมา หรือเป็นคนฉ้อโกง อย่าคบคนอย่างนั้น แม้จะกินด้วยกันก็อย่าเลย" (1โครินธ์ 5:11)

การสานความสัมพันธ์กับคนที่เมื่อทำผิดแล้วไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง มักจะนำความเสียหายมาสู่เราและคนรอบข้าง การที่จะแข็งกร้าวกับความบาปเราจำเป็นต้องจำกัดขอบเขตความสัมพันธ์ เพื่อที่จะปกป้องตัวเราและคนรอบข้าง ที่จะปิดกั้นผลของความบาปของเขา ไม่ให้มาถึงเราและคนใกล้ชิด การจำกัดความสัมพันธ์นี้ เราอาจจำเป็นต้องจำกัดการติดต่อให้อยู่เฉพาะในที่สาธารณะ หรือกลุ่มคนที่มีความเชื่อ

ถ้ามีใครที่ชอบกระแนะกระแหน ชอบวิจารณ์เราเสมอ หรือมักจะขอให้เราทำนู่นทำนี่ให้อยู่เรื่อย และทำให้เรารู้สึกผิดเมื่อเราไม่สามารถตอบสนอง เมื่อเราปฏิเสธเขา อาจดูเหมือนการไม่มีความรัก ไม่ให้อภัย แต่คนที่ไม่ยอมเปลี่ยนนั้น จะยอมรับการเปลี่ยนแปลงเมื่อผลของความบาปนำผลเสียอย่างร้ายแรง จนกระทั้งต้องเลือกระหว่างความบาปและความสัมพันธ์ และจุดมุ่งหมายที่เราจำกัดความสัมพันธ์กับเขา ก็เพื่อที่จะให้เขาเลิกทำบาป ไม่ใช่ให้เขาเลิกความสัมพันธ์

เราไม่สามารถช่วยให้ใครรอดได้ แต่พระเจ้าทรงเรียกให้รักคนเหล่านั้น และการจะรักได้ก็จำเป็นต้องทำสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคนนั้น ไม่ใช่สิ่งที่ง่ายที่สุดสำหรับเรา

ถ้าเพื่อนของเรามีพฤติกรรมบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง เราจะยอมที่จะมีความสัมพันธ์กับเขาต่อไปหรือไม่? หรือเราจะขอพระเจ้าที่จะให้มีคำพูดที่ถูกต้อง และรู้ว่าจะมีระดับความสัมพันธ์มากเพียงใดเพื่อช่วยให้เขาเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม?



อ. Melinda Burnette

คำแบ่งปันคณะเพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง เมื่อวันที่ 09/08/2009

เรื่อง How To Be Like Jesus

แปลโดย มน.นิลุบล วงศ์วรเศรษฐ์

How To Be Like Jesus (1)‏

เราเป็นคริสเตียน เราอยากที่จะเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ แต่เราไม่สามารถที่จะพยายามเลียนแบบพฤติกรรมของพระองค์ แล้วหวังว่าจะทำได้ดี แต่เราจำเป็นต้องได้รับการเปลี่ยนแปลงจากภายในออกมาสู่ภายนอก

เราจะเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ได้ เมื่อเราเกลียดชังความบาป และรักคนทั้งหลาย

วันนี้ เราจะได้เรียนรู้ร่วมกันว่า พระเยซูทรงแข็งกร้าวกับความบาปอย่างไร ? และทรงอ่อนโยนกับคนทั้งหลายอย่างไร ?



การแข็งกร้าวกับความบาปของพระเยซูคริสต์

พระองค์ทรงแข็งกร้าวกับความบาป 3 ด้าน ซึ่งเราจะต้องเปลี่ยนแปลงในสามสิ่งนี้ เพื่อที่ทัศนคติเราจะเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์

1. ความบาปของตัวเราเอง

ความบาปด้านนี้ เกี่ยวข้องกับตัวของเรา ชีวิตส่วนตัวของเรา เกี่ยวข้องกับความบริสุทธิ์ส่วนตัว

"เจ้าต้องบริสุทธิ์สำหรับเรา เพราะเราคือพระเจ้าบริสุทธิ์ และได้แยกเจ้าออกจากชนชาติทั้งหลายเพื่อเจ้าจะเป็นของเรา" (เลวีนิติ 20:26)

"แต่การเอ่ยถึงการล่วงประเวณี การลามกต่างๆ และการละโมบ อย่าให้มีขึ้นในพวกท่านเลย จะได้สมกับที่ท่านเป็นธรรมิกชน" (เอเฟซัส 5:3)

"ผู้ทรงช่วยเราให้รอด และทรงให้เรามาเป็นผู้รับใช้ของพระองค์ ไม่ใช่เพราะเห็นแก่การดีที่เราได้กระทำ แต่เพราะเห็นแก่พระประสงค์ของพระองค์เอง และพระคุณซึ่งทรงประทานแก่เรา ในพระเยซูคริสต์ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์มานั้น" (2ทิโมธี 1:9)

พระเยซูคริสต์มิได้ทรงทำบาปเลย ชีวิตพระองค์บริสุทธิ์ เราเป็นคนบาป เราไม่สามารถที่จะสมบูรณ์แบบได้ในโลกนี้ แต่พระเจ้าทรงเปลี่ยนแปลงเราอยู่ตลอดเวลาให้เราเป็นคนที่บริสุทธิ์

ความบริสุทธิ์เป็นสิ่งที่พระเจ้าให้ความสำคัญอย่างสูง เราจึงไม่สามารถเพิกเฉยต่อสิ่งเหล่านี้ได้

ถ้าเราซื่อสัตย์กับตัวเอง เราจะมองความบริสุทธิ์เป็นเหมือนการสอบ คือ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้คะแนนสูงสุด แต่ได้คะแนนสูงกว่าคนอื่นก็พอใจแล้ว ได้ดีกว่าคนอื่นคงจะเพียงพอแล้ว แต่นี่ไม่ใช่มาตรฐานของพระเจ้าที่จะทรงยอมรับได้

การที่จะแข็งกร้าวต่อความบาป หมายความว่า เราจะต้องเกลียดชังความบาป ไม่ใช่เพียงแค่ละเลยเพิกเฉย หรือยอมรับ หรือทำเหมือนกับว่าไม่ใช่สิ่งสำคัญ แต่เราจะต้องเกลียดชังความบาป

การเกลียดชังความบาป ไม่ได้เป็นเฉพาะเมื่อได้รับผลร้ายของการทำบาปเท่านั้น หรือไม่ใช่เพียงแค่เมื่อเราทำผิดแล้วมีคนจับได้รู้สึกอับอายเท่านั้น แต่พระเจ้าทรงเห็นความบาปทุกอย่างของเรา และพระองค์ทรงเกลียดชังความบาปนั้น และสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ ก็คือ จะทรงกำจัดบาปเหล่านั้นให้ไปไกลจากชีวิตของเรา

ความบาปได้ทำลายชีวิตของเราแม้ว่าจะไม่มีใครเลยที่เห็นสิ่งที่เราทำ นี่เป็นเหตุที่พระเจ้าทรงเกลียดชังความบาป เพราะว่าความบาปทำให้เราเจ็บปวด ทำลายชีวิตของเรา และทำให้เราออกห่างจากพระเจ้า ทำให้เราไม่สามารถมีสัมพันธ์ที่ดีกับพระเจ้าได้

บทเรียนที่ได้จากตรงนี้ คือ การที่เราเกรงกลัวกับความบาป หมายถึงเรากำลังเติบโตขึ้นในความบริสุทธิ์

การที่จะเกลียดชังความบาป เราจะต้องเผชิญหน้ากับมัน และรู้ว่ามันน่าเกลียดน่าชังเพียงไร

สิ่งที่อยากท้าทาย คือ ให้เราจะทูลขอพระเจ้า ให้ทรงสำแดงแก่เราทุกวัน ว่ามีสิ่งใดบ้างที่เป็นบาปผิดในชีวิตของเรา แล้วพระองค์จะทรงตอบคำถามเหล่านั้น คำตอบที่เราได้รับอาจทำให้รู้สึกเราแย่ไปได้สักพักหนึ่ง แต่หลังจากนั้น เราจะเริ่มมีทัศคติแบบพระองค์ และแข็งกร้าวกับความบาป



อ. Melinda Burnette

คำแบ่งปันคณะเพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง เมื่อวันที่ 09/08/2009

เรื่อง How To Be Like Jesus

แปลโดย มน.นิลุบล วงศ์วรเศรษฐ์

My Blog

  • วินัยของน้องหมา (ข้างถนน) - วันที่ 18/8/2011 เช้านี้ขณะที่รถติดไฟแดงอยู่บริเวณสี่แยกสามย่าน ซึ่งเบื้องหน้าเป็นจามจุรีสแควร์นั้น พลันก็เหลือบเห็นน้องหมาตัวหนึ่งเดินข้ามทางม้าลายด้วยอ...
    12 ปีที่ผ่านมา
  • บทความคริสเตียน - บทความคริสเตียน http://www.gracezone.org/index.php/christian-articles บทความทางด้านจิตวิญญาณ หลักข้อเชื่อ พระเจ้า พระคัมภีร์ พระเจ้า พระคัมภีร์ แนวทางในการ...
    15 ปีที่ผ่านมา
  • คริสเตียนกับการรับใช้พระเยซู - คริสเตียนกับการรับใช้พระเยซู วัน พุธ 08 ต.ค. 08@ 17:47:37 ICT หัวข้อ: สรุปคำเทศนาประจำอาทิตย์ ดร.ทะนุ วงค์ธนานุกุล วัน อาทิตย์ ที่ 21 กันยายน 2008 พระธร...
    15 ปีที่ผ่านมา
  • - แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้องจะนมัสการพระบิดา ด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้...
    15 ปีที่ผ่านมา

Christian Blog

บล็อกวาไรตี้

เทคโนโลยี

ดาวน์โหลดโปรแกรมมาใหม่ล่าสุด |

วาไรตี้

ข่าวประจำวัน

สารบัญเว็บไทย

กินลม ชมทะเล ที่มาร์คเฮ้าส์บังกะโล เกาะกูด จ.ตราด

Thailand Map