Custom Search By Google

Custom Search

วันศุกร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2552

เศรษฐกิจพอเพียง

คำเทศนา
เศรษฐกิจพอเพียง
สภษ. ๓๐.๑-๙
คำนำ
พระธรรมสุภาษิตมี ๓๑ บท ถ้าอ่านวันละ ๑ บทจะครบ ๑ เดือนพอดี มีคำสอนต่างๆที่เป็นประโยชน์สำหรับการดำเนินชีวิตคริสเตียน ๒๘ เรื่อง เช่น สติปัญญา ความชอบธรรม ความยำเกรงพระเจ้า ความรู้ ศีลธรรมความบริสุทธิ์ ความขยันขันแข็ง การรู้จักบังคับตน การไว้ในใจในพระเจ้า การถวายทรัพย์(สิบลดหนึ่ง) การใช้ทรัพย์สินอันมั่งคั่งในทางที่ถูกที่ควร ความเห็นอกเห็นใจคนยากจน การใช้คำพูดหรือวาจา ความเมตตาต่อศัตรู การคบเพื่อน การหลีกเลี่ยงจากหญิงชั่ว การสรรเสริญหญิงที่ดี การฝึกสอนบุตรหลาน ความอุตสาหะ ความซื่อสัตย์ การหลีกหนีจากความ(บาป)เกียจคร้าน ความยุติธรรม การสังคมสงเคราะห์ การชื่นชมยินดี จิตสำนึกผิดชอบ ฯลฯ

Henry H. Halley กล่าวว่า “ไม่ทราบอากูร์เป็นใคร อาจจะเป็นเพื่อนของกษัตริย์ซาโลมอน”การยอมรับ (ข้อ ๑-๔)

(๑) การยอมรับตนเอง (ข้อ ๑-๓) อากูร์กล่าวว่า “แท้จริงข้าก็เขลาเกินกว่าที่จะเป็นคน ข้าไม่มีความรอบรู้อย่างมนุษย์ ข้าไม่เคยเรียนรู้ปัญญา ทั้งไม่มีความรู้ขององค์ผู้บริสุทธิ์” เขารับว่าโง่เขลา และไม่มีความรู้ (ดูฟุตโน้ตจะเห็นคำว่า “อ่อนเปลี้ย, หมดกำลัง” ในฉบับ NIV แปลว่า “อ่อนล้า” มีคนสี่ประเภท คือ ๑. คนที่ไม่รู้ และคิดว่าตนเองไม่รู้ จงสอนเขา ๒. คนที่รู้แต่คิดว่าตนเองไม่รู้ เขากำลังหลับอยู่ จงปลุกเขาให้ตื่น ๓. คนที่ไม่รู้ แต่คิดว่าตนเองรู้ เขาเป็นคนโง่ จงหลีกหนีเสียจากเขา ๔. คนที่รู้และคิดว่าตนเองรู้ เขาเป็นคนฉลาดจงฟังเขา – คำถาม : พวกเราอยู่ในประเภทไหน? สภาพของคนปัจจุบัน “อ่อนล้า อ่อนเปลี้ย หมดกำลัง ไม่มีเรี่ยวแรง” ภาษาเหนือ “เซี้ยงใจ๋” (หมายถึงหมดใจกำลังใจหรือถอดใจ) กับปัญหาของเศรษฐกิจ ปัญหาการเมือง และปัญหาสังคม ถือคติ “ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป, ระบบมือใครยาวสาวได้สาวเอา, หรือ ทีเอ็งข้าไม่ว่า ทีข้าเองอย่าโวย, เราอยู่ในสังคมที่เต็มไปด้วยความผิดบาป

(๒) แสวงหาพระเจ้า / ยอมรับพระองค์ (ข้อ ๔) อากูร์ถาม ๔ ประการว่า “ใครอยู่ในสวรรค์, ใครเสด็จลงมายังแผ่นดินโลก, ใครกำกับเหนือธรรมชาติ(กำกระแส-ลม), ใครเป็นผู้สร้างโลก? คำตอบเหล่านี้มีอยู่ในพระคัมภีร์แล้วมธ. ๘.๒๓-๒๗ พระเยซูทรงห้ามลมพายุเหนือทะเลสาบกาลิลีกจ. ๑๗.๒๔-๒๕ เปโลประกาศที่กรุงเอเธนส์ว่า “พระเจ้าทรงเป็นผู้สร้างโลกกับสิ่งทั้งปวงที่มีอยู่นั้น”พระคัมภีร์ (ข้อ ๕-๖)

(๑) พระวจนะของพระเจ้า “พระวจนะของพระเจ้าทุกคำเห็นจริงแล้ว” (ข้อ ๕) ฉบับอมตธรรมฯว่า “พระดำริทุกคำของพระเจ้าไม่มีข้อผิดพลาด” นักปราชญ์ชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งประกาศว่า “สักวันหนึ่งพระคัมภีร์จะหายไปจากโลก” แต่ในที่สุดตัวเขาเองก็หาย(ตาย)ไปจากโลก๒ ทธ. ๓.๑๖กล่าวว่า “พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า (God-breathed) ดลใจหมายถึง ลมหายใจ ของพระเจ้า และยังกล่าวถึงคุณประโยชน์ ๕ ประการ คือ ๑. การสั่งสอน(useful for teaching) ๒. ว่ากล่าวตักเตือน(rebuking) ๓. แก้ไขข้อบกพร่อง(correcting) และ ๔. ฝึกฝนในความชอบธรรม(training) จุดประสงค์ “เตรียมคนของพระเจ้าเพื่อการดี” (equipped for every good work) นี่เป็นเหตุผลว่า ทำไมคริสตจักรของเรา(แบ๊บติสต์เชียงใหม่) จึงเปิดโรงเรียนอบรมพระคัมภีร์อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี

ข้อคิด : กลุ่มผู้ก่อการร้ายได้ทุ่มเทชีวิต เงินทองทั้งหมด เพื่อฝึกอบรมคนอย่างหนักด้วยจุดประ สงค์เดียวคือ “ก่อการร้ายและทำลาย” แล้วทำไมพวกเราคริสเตียนจึงไม่ทุ่มเทเพื่อก่อการดี?

(๒) อย่าเพิ่มเติมพระวจนะ “อย่าเพิ่มเติมอะไรเข้ากับพระวจนะของพระเจ้า” (ข้อ ๖) บางคนเห็นว่าพระคัมภีร์ยังไม่พอ ต้องเพิ่มคำสอนของศาสนา,หลักศีลธรรม, ปรัชญา, จิตวิทยาเข้าไปด้วย ในทางตรงกันข้าม “อย่าตัดทอนพระวจนะของพระเจ้า” ๑ ปต. ๑.๒๐-๒๑ “ผู้หนึ่งผู้ใดจะตีความหมายอย่าพระคัมภีร์เอาเองไม่ได้ เพราะไม่ได้มาจากความคิดจิตใจของมนุษย์ แต่มนุษย์ได้กล่าวคำซึ่งมาจากพระเจ้า ตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ดลใจ” วว. ๑.๓ บอกว่า “ขอความสุขจงมีแก่ผู้อ่านที่ฟังพระวจนะของพระเจ้า” ความพอเพียง (ข้อ ๗-๘)
สองสิ่งที่อากูร์ขอก่อนตาย นี่คือที่มาของทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง พออยู่พอกิน ไม่มากไปและไม่น้อยไป

(๑) ขอห่างไกลการโกหกพกลม “ขอให้การมุสาและความเท็จห่างไกลจากข้าพระองค์” (ข้อ ๘) พวกเรามนุษย์ติดนิสัยหลอกลวงมาจากอาดัมเอวา และอาดัมเอวาติดนิสัยการโกหกมาจากมารซาตาน พระเยซูตรัสกับชาวยิวว่า พ่อของท่านคือมาร “มารเป็นบิดาแห่งการมุสา” (ยน. ๘.๔๔)

(๒) ขอความพอดี “ขออย่าประทานความยากจน หรือความมั่งคั่งให้แก่ข้าพระองค์ และขอทรงเลี้ยงข้าพระองค์ด้วยอาหารที่พอดีแก่ข้าพระองค์” (ข้อ ๘) พร้อมกับบอกเหตุผลของการอธิษฐานว่า “ถ้าอิ่มจะลืมตัวและปฏิเสธพระเจ้า ถ้ายากจนก็จะขโมยและทำให้พระเจ้าเสียชื่อเสียง” คุณคงเคยอ่านเรื่องราวของมหาเศรษฐีระดับเช่น บิล เกต และวอร์เรน บัฟเฟต ที่มีความสุขกับการบริจาค ให้เงินแก่คนยากจนและเพื่อการศึกษา ตรงข้ามมหาเศรษฐีบางคนของไทยที่ได้เท่าไหร่ก็ไม่รู้จักพอ แต่หาที่ซุกหัวนอนไม่ได้ มีคนบอกว่า คนไทยเราชอบพูด แต่ไม่ชอบปฏิบัติตาม พลเอกสนธิบอกว่าประเทศไทยล้าหลังเพราะ “ขี้เกียจ ขี้โกง ขี้โอ่ และขี้อิจฉา” นั่นอาจจะเป็นความจริงสำหรับคนยุคปัจจุบัน คริสเตียนต้องเป็นคนที่ไม่ต้องการเงินสำหรับตนเอง แต่ต้องการเงินเพื่อจะขยายอาณาจักรของพระเจ้าและก่อตั้งคริสตจักรใหม่

สรุป- จงอ่านพระคัมภีร์ แล้วเชื่อฟังและปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า- ให้เราดำเนินชีวิตด้วยความพอเพียง และมีความสุข ดังที่ ฮร. ๑๓.๑๕ บอกว่า “ท่านจงอย่าเป็นคนเห็นแก่เงิน จงพอใจในสิ่งที่มีอยู่ เพราะพระองค์ตรัสว่า เราจะไม่ละทิ้งท่านเลย” - อ่าน ๑ ทธ. ๖.๕-๑๐ และ ๒ ทธ. ๔.๖-๘ ขอพระเจ้เสิมกำลังพี่น้องทุกท่านครับจาก Thaisermons

วันอาทิตย์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2552

พระพรของการติดสนิทอยู่กับพระเจ้า

พระพรของการติดสนิทอยู่กับพระเจ้า
http://www.redfamily.co.cc/index.php?option=com_content&task=view&id=17&Itemid=30

เผยพระวจนะ: พระธรรม เฉลยธรรมบัญญัติ 11:18-25, ยอห์น 15:4
หัวข้อ : “พระพรของการติดสนิทอยู่กับพระเจ้า" อาทิตย์ที่ 13 มีนาคม 2005

ผู้หญิงคนหนึ่งเสียชีวิตเนื่องจากแผลในกระเพาะอาหาร หมอประจำตัวรู้สึกมึนงงกับการตายของเธอ เขาได้ให้เธอเคี้ยวยาเม็ดลดกรดในกระเพาะอาหาร ซึ่งน่าจะลดกรดที่เกิดจากตัวยาอื่นที่เขาให้เธอ เพื่อรักษาโรคไขข้ออักเสบได้ เธอยืนยันว่า เธอรับประทานยาลดกรดตามที่หมอสั่งไม่เคยขาด แต่เธอกลับเสียชีวิตด้วยโรคแผลในกระเพาะอาหารซึ่งเกิดจากยาแก้โรคไขข้ออักเสบ เหตุใด ยาลดกรดจึงไม่สามารถทำให้กรดจากยาลดไขข้ออักเสบเป็นกลางได้
เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพพบความจริงว่า ผู้หญิงคนี้ไม่ได้เคี้ยวยาเม็ดลดกรดในกระเพาะอาหาร เธอกลืนมันลงไปเธอเสียชีวิตเพราะไม่ได้ทำตามคำกำชับของหมออย่างครบถ้วน การดำเนินชีวิตในทางของพระเจ้า เราได้ทำตามน้ำพระทัย พระบัญชาของพระองค์อย่างครบถ้วนหรือไม่ เมื่อเราได้ลงมือทำตามพระบัญชานั้นแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราเป็นอย่างไรบ้าง
ในสวนเอเดนความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ได้ดำเนินไปด้วยความราบรื่น การนมัสการไม่ใช่ไปร่วมงาน แต่เป็นท่าทีที่ต่อเนื่อง อาดัมและเอวาสามารถสื่อสารกับพระเจ้าตลอดเวลาพระธรรมเฉลยธรรมบัญญัติตอนที่เราอ่านด้วยกันนี้เป็นการสรุปถึงลักษณะชีวิตประชากร ของพระเจ้าในการดำเนินไปกับพระเจ้าของเขา เชื่อฟังพระองค์ และพระองค์ก็ทรงสัญญาว่าจะให้พรแก่พวกเขา อิสราเอลถูกเลือกจากประชาชาติทั้งโลกเพื่อจะเป็นพรไปสู่ผู้อื่น ถ้าเขารักพระเจ้า รักษาพระดำรัสสั่ง กฏเกณฑ์ กฏหมายและพระบัญญัติทั้งสิ้น เขาจะเป็นประชาชาติที่เข้มแข็ง สามารถเข้าไปยึดครองคานาอันแผ่นดินแห่งคำสัญญาเป็นกรรมสิทธิ์และครอบครองเพื่อจะมีชีวิตยืนนาน พระเจ้าจะทรงดูแลตั้งแต่ต้นปีจนถึงสิ้นสุดปี พระองค์จะทรง อวยพรให้ฝนตกตามฤดูกาล พืชผลจะบริบูรณ์ จำนวนประชากรจะเพิ่มทั้งคนและฝูงสัตว์
การติดสนิทอยู่กับพระเจ้า หมายถึง การดำเนินอยู่ในทางทั้งสิ้นของพระเจ้าตลอดเวลาให้พระวจนะของพระเจ้าอยู่ในชีวิตจิตใจ ในการกระทำของเรา เป็นการกระทำของเรา
โมเสสได้สั่งคนอิสราเอลว่า จงจดจำถ้อยคำ...ไว้ในจิตใจ จงเอาถ้อยคำพันไว้ที่มือ จารึกไว้ที่หว่างคิ้ว จงสอนถ้อยคำแก่บุตรหลาน จงพูดถึงถ้อยคำทุกโอกาส เขียนคำเหล่านี้ไว้ที่เสาประตู คำที่พระคัมภีร์ใช้บ่อยครั้งที่มีความหมายถึง การติดสนิทกับพระเจ้า เช่น การปรนนิบัติ, ติดพัน, รักพระเจ้า, รักษากฎเกณฑ์, ระมัดระวังที่จะกระทำตามไม่หันซ้ายหันขวาในบทที่ 10 ข้อ 20 กล่าวว่า
“ท่านทั้งหลายจงยำเกรงพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน จงปรนนิบัติพระองค์และติดพันอยู่กับพระองค์ จงปฏิญาณด้วยออกพระนามของพระองค์”
บทที่ 30:19-20 “ข้าพเจ้าขออัญเชิญสวรรค์และโลกให้เป็นพยาน
ต่อท่านในวันนี้ว่า ข้าพเจ้าตั้งชีวิตและความตาย พระพรและคำสาปแช่งไว้ต่อหน้าท่าน เพราะฉะนั้นท่านจงเลือกเอาข้างชีวิต เพื่อท่านและลูกหลานของท่านจะได้มีชีวิตอยู่ด้วยมีความรักต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์ และติดพันอยู่กับพระองค์ กระทำเช่นนั้นจะได้ชีวิตและความยืนนาน ”
โยชูวา 1:8 “อย่าให้หนังสือธรรมบัญญัตินี้ห่างเหินไปจากปากของเจ้า แต่เจ้าจงตรึกตรองตามนั้นทั้งกลางวันและกลางคืน เพื่อเจ้าจะได้ระวังที่จะกระทำตามข้อความที่เขียนไว้นั้นทุกประการ แล้วเจ้าจะมีความจำเริญ และเจ้าจะสำเร็จผลเป็นอย่างดี” แม้เราไม่สามารถอ่านพระคัมภีร์หรืออธิษฐานได้ตลอดทั้งวัน แต่เราสามารถคิดถึงพระวจนได้ตลอดเวลา ระลึกถึงข้อที่อ่านครุ่นคิดในสมองของเรา

ในพันธสัญญาใหม่พระธรรมยอห์น 15:4 พระเยซูตรัสว่า
“จงเข้าสนิทอยู่ในเรา และเราเข้าสนิทอยู่ในท่าน แขนงจะออกผลเองไม่ได้ นอกจากจะติดอยู่กับเถาฉันใด ท่านทั้งหลายก็จะเกิดผลไม่ได้ นอกจากจะเข้าสนิทอยู่ในเราฉันนั้น”
นั่นคือเราอยู่ในพระเยซูคริสต์และพระองค์ทรงอยู่ในเรา หมายความว่า เราได้เปิดใจยอมรับพระองค์เป็นพระเจ้า พระผู้ช่วยให้รอดของเรา ละทิ้งความบาปและยอมมอบชีวิตให้เป็นของพระองค์ พร้อมทั้งประพฤติตามถ้อยคำที่พระองค์สั่งไว้ เราสามารถเริ่มต้นด้วยการเฝ้าเดี่ยว อธิษฐานและอ่านพระคัมภีร์ในตอนเช้าหลังตื่นนอน พระธรรมสดุดี 119:147 “ข้าพระองค์ตื่นขึ้นก่อนอรุณ ทูลขอความช่วยเหลือ ข้าพระองค์หวังอยู่ในพระวจนะของพระองค์” และพระเยซูคริสต์ได้ตื่นแต่เช้ามืด เสด็จไปที่เปลี่ยวอธิษฐานเพียงลำพังของพระองค์ เราทั้งหลายบางคนอาจใช้หนังสือห้องชั้นบน บางคนใช้มานาประจำวัน หรือจะอ่านคู่มือพระคัมภีร์ จบหนึ่งรอบภายในหนึ่งปีที่คริสตจักรแจก
ดังนั้นการติดสนิทอยู่กับพระเจ้า จึงเป็นเงื่อนไขแห่งพระพรสำหรับมนุษย์ทุกคน ที่จะมีชีวิตยืนยาวบนแผ่นดินโลก พระพรของพระเจ้าจะมาถึงชีวิตส่วนตัวและครอบครัวของเรา การมีอายุยืนยาวหมายถึงการมีสุขภาพที่ดีด้วย โรคต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นแก่คนอิสราเอลในอียิปต์จะไม่ตามมารบกวนเมื่อเขาอยู่ในคานาอัน พืชพันธุ์ธัญญาหารจะเกิดดอกออกผล ฝนจะตกตามฤดูกาลเพื่อทำให้อาชีพของเขาอยู่ได้

พี่น้องที่รักท่านเชื่อหรือไม่ว่า เมื่อเรามีชีวิตที่ติดสนิทกับพระเจ้า พระองค์จะทำให้ชีวิตส่วนตัว ครอบครัวและการงานของเราดีขึ้น! อาเมนไหมครับ! เราจะมีชัยเหนือการทดลองในชีวิตประจำวัน พระสัญญาของพระเจ้ากล่าวว่า “พระพรเหล่านี้จะตามมาทันที ถ้าท่านทั้งหลาย ฟังพระสุรเสียงของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ท่านทั้งหลายจะรับพระพรในเมือง ท่านทั้งหลายจะรับพระพรในทุ่งนา พงศ์พันธุ์ของตัวท่านเอง ผลแห่งพื้นดินของท่านและพันธุ์แห่งสัตว์ของท่านจะรับพระพร คือฝูงวัวของท่านที่เพิ่มขึ้น ฝูงแกะของท่านที่เพิ่มลูกขึ้นกระจาดของท่าน และรางนวดแป้งของท่านจะรับพระพร ท่านจะรับพระพรเมื่อท่านเข้ามา และท่านจะรับพระพรเมื่อท่านออกไป” (เฉลยธรรมบัญญัติ 28:2-6)
พระเยซูสัญญาว่า “ถ้าท่านทั้งหลายเข้าสนิทอยู่ในเรา และถ้อยคำของเราฝังอยู่ในท่านแล้ว ท่านจะขอสิ่งใด ซึ่งท่านปรารถนาก็จะได้สิ่งนั้น” (ยอห์น 15:7)

นอกจากพระพรของพระเจ้าจะหลั่งไหลสู่ตัวท่าน ครอบครัวของท่าน การงานของท่าน พระพรเหล่านี้พระเจ้าจะทรงเทมาสู่คริสตจักรของพระองค์ให้เป็นคริสตจักรที่เกิดผลมากด้วยเราสังเกตคำที่พระคัมภีร์ใช้นี้เป็นพหูพจน์ “ฝ่าเท้าของท่านทั้งหลายจะเหยียบลงที่ใด ที่นั่นจะเป็นของท่าน อาณาเขตของท่านจะ เริ่มจากถิ่นทุรกันดารไปจนถึงเลบานอน และจากแม่น้ำ คือแม่น้ำยูเฟรติสไปจนถึงทะเลตะวันตกจะไม่มีผู้ใดสามารถต่อต้านท่านได้ พระเยโฮวาห์ พระเจ้าของท่าน จะทรงกระทำให้ท่านทั้งหลาย เป็นที่เกรงขามและตกใจกลัวของแผ่นดินที่ท่านทั้งหลายจะเหยียบย่ำไป ตามที่พระองค์ทรงสัญญาไว้กับท่าน” (เฉลยธรรมบัญญัติ 11:24-25) มิใช่คนเดียว มิใช่ครอบครัวเดียว แต่ทั้งคริสตจักร พระเจ้าทรงขับไล่ศัตรู ตัวขนาบ ตัวทำลาย ประชาชาติที่มีอำนาจมากกว่าอิสราเอลให้พ้นจากพวกเขาได้ พระองค์จะกระทำให้คริสตจักรของพระองค์ขยายออกไป ผู้คนจะเข้ามาสู่คริสตจักรแล้วพบกับความอบอุ่น พบสันติ พบอาหารที่อุดมสมบรูณ์ คริสตจักรจะไม่ใช่ดินแดนที่แห้งแล้งอีกต่อไป เมื่อคริสตจักรจะทำพันธกิจใดๆ พันธกิจดังกล่าวก็ประสบผลสำเร็จ

เมื่อโยชูวาได้รับมอบหน้าที่ให้นำคนอิสราเอลต่อจากโมเสสแล้ว งานชิ้นแรกคือการบุกยึดเมืองเยริโค พระเจ้าสั่ง โยชูวา ให้ทหารอิสราเอลเดินรอบเมืองเยริโค วันละรอบเป็นเวลา 6 วัน โดยให้ปุโรหิตเป่าแตร ส่วนประชาชนต้องหุบปาก ไม่ให้พูดแม้แต่นิดเดียว และในวันที่ 7 พวกเขาจะต้องเดิน 7 รอบ เมื่อปุโรหิตเป่าแตร ประชาชนจะโห่งร้องด้วยเสียงดังและเมื่อเขาทำดังนั้นกำแพงก็พังลงราบ อิสราเอลก็บุกยึดเมืองเยริโคไว้ได้ ถ้าหากเราจะติดพัน ติดสนิทอยู่กับพระเจ้า เชื่อฟังพระองค์ไม่เลี่ยงจากพระวจนะไปทางซ้ายหรือขวาและพระองค์ก็ทรงกระทำให้ภาระกิจนั้นสำเร็จเร็จอย่างดี พระธรรม โยชูวา 1:7 กล่าว่า “เพียงแต่จงเข้มแข็งและกล้าหาญยิ่งเถิด ระวังที่จะกระทำตามธรรมบัญญัติทั้งหมด ซึ่งโมเสสผู้รับใช้ของเราได้บัญชาเจ้าไว้นั้น อย่าหลีกเลี่ยงจากธรรมบัญญัตินั้นไปทางขวามือหรือทางซ้าย เพื่อว่าเจ้าจะไปในถิ่นฐานใดเจ้าจะได้รับความสำเร็จอย่างดี”

วันนี้เรารียนรู้ด้วยกันอย่างน้อย 3 สิ่งคือ
1. การติดสนิทกับพระเจ้า หมายถึง การดำเนินชีวิตอยู่ในทางทั้งสิ้นของพระเจ้า อยู่ใน พระวจนะของพระองค์ พระวจนะอยู่ในชีวิตการกระทำ สนธนากับพระองค์ เชื่อฟัง เริ่มต้นจากการเฝ้าเดี่ยว
2. พระพรของพระเจ้าจะหลั่งไหลสู่ชีวิตของตัวผู้นั้นเอง ครอบครัว ผมแห่งการงานจะประสบความสำเร็จ มีอายุยืนนาน รวมทั้งการมีสวัสดิภาพในชีวิต
3. พระพรของพระเจ้าจะหลั่งไหลสู่คริสตจักรและชุมชน พันธกิจต่างๆ ของคริสตจักรจะขยายออกไปเกิดผลดีในทุกทาง

ชีวิตของผู้ปกครองโง้วย่ง ผู้มาจากเด็กยากจน แม้กระทั่งข้าวที่จะประทังชีวิตยังต้องไปกวาดข้าวสารตามพื้นท่าเรือ เอามาล้างแล้วหุงกิน เมื่อมากลับใจเชื่อพระเจ้า ได้เพียง 3 สัปดาห์ท่านมีความกระตือรือล้นที่จะรู้จักพระเจ้ามากขึ้นท่านได้มีโอกาสเข้าไปเรียนในชั้นรวีฯ ตอนเช้าวันอาทิตย์ โดยมีผู้ร่วมชั้น 7 คน และมีครูที่อายุไม่ต่างจากท่านเท่าไร่นัก คอยอธิบายพระคัมภีร์ให้ฟัง แต่ด้วยมาเป็นคริสเตียนก่อนครูจึงมีจิตวิญญาณที่โตกว่า ภายหลังครูถูกทางการเรียกย้ายตัวกลับไปจีนแผ่นดินใหญ่ ทำให้ขาดครูสอน พี่น้องท่านหนึ่งได้กล่าวว่า ให้เราเลือกคนหนึ่งท่ามกลางเราขึ้นมาสอนแทน แต่แต่ละคนก็โยนไปโยนกันมา บอกว่าตัวเองเพิ่งเชื่อไม่นาน ปีหนึ่ง สองปี สามปีบ้าง ยังอ่านพระคัมภีร์ไม่จบเลย จนมาถึงท่านโง้วย่ง ที่พึ่งรับเชื่อเพียง 3 อาทิตย์เท่านั้นและท่านยังอ่านมัทธิวไม่จบเล่มด้วยซ้ำ แต่ท่านรับปากที่จะสอนทันที ที่ท่านรับปากเพราะไม่อยากให้ชั้นเรียนต้องหยุดไป ในครั้งแรกท่านได้แบ่งปันความเข้าใจจากสิ่งที่ท่านได้เฝ้าเดี่ยวตอนเช้า

เมื่อท่านกลับบ้านท่านได้เล่าให้ภรรยาฟังและบอกให้เธอช่วยคิดว่า จะแบ่งปันอะไรต่อไปดี ภรรยาตอบท่านว่า “ต้องมีการรับก่อน” จึงจะแบ่งปันออกไปได้ ท่านถามว่า “แล้วจะรับได้อย่างไร” เธอตอบว่า “ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป คุณต้องวิ่งแข่งกับดวงอาทิตย์” โดยมีความหมายว่า “เมื่อดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นมาเหนือขอบฟ้ามานาก็จะละลายหายไป เมื่อมานาละลายหมด คุณก็จะกลับมาด้วยมือเปล่า ถ้าคุณอยากเก็บมานาได้ ก็จะต้องออกไปเก็บก่อนที่ดวงอาทิตย์จะโผล่ขึ้นมาเหนือขอบฟ้า” ในวันรุ่งขึ้นเมื่อดวงอาทิตย์ยังไม่โผล่ขึ้นมา ท่านก็ได้ลุกมาเฝ้าเดี่ยวตั้งแต่วันนั้นทำมาจนถึงปัจจุบัน

รากฐานของชีวิตฝ่ายวิญญาณจะขึ้นอยู่กับการเฝ้าเดี่ยวตอนเช้า ถ้าเฝ้าเดี่ยวตอนเช้าจะทำให้รากฐาน ฝ่ายวิญญาณของเราก็จะดีด้วย หากเฝ้าเดี่ยวตอนเช้าอย่างสม่ำเสมอสภาพจิตวิญญาณของเราก็ปรกติสุข
ผู้ปกครองโง้วย่งกับ “คณะอนุชน” เริ่มสร้าง “คริสตจักรท้องถิ่น” ขึ้นในปี 1946 และได้ขยายตัวออกไปเรื่อยๆ ปัจจุบันมีคริสตจักรในเครือทั้งหมดยี่สิบหกแห่ง รวมสมาชิกประมาณ หนึ่งหมื่นคน สมาชิกที่ย้ายไปอยู่ต่างประเทศจะเนื่องด้วยเพราะการเรียนหรือการงาน ก็ล้วนกลายเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของคริสตจักรเหล่านั้นทั้งสิ้น
ผู้ปกครองโง้วย่งมีนิมิตและภาระใจสำหรับพันธกิจโลกมาตลอด มีภาระใจจะไปเป็นมิชชันนารีที่ประเทศอินโดนีเซีย ท่านก่อตั้ง “คณะมิชชันนารีของชาวจีน” ขึ้นมาในปี 1968 เคยส่งคณะมิชชันนารี 25คนออกไปประกาศขาวประเสริฐในทวีปยุโรป อินโดนีเซีย ไทย เกาะกวม ฮ่องกง ฯลฯ ปัจจุบันมีมิชชันนารี 30 คนปฏิบัติภารกิจเพื่อพระเจ้าอยู่ในประเทศไทย อินโดนีเซีย และกัมพูชา
ท่านเห็นถึงความสำคัญของโรงเรียนพระคริสตธรรม จึงก่อตั้ง “สถาบันพระคริสตธรรมจีน” ขึ้นในปี 1970 ปัจจุบันนี้ยังเป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ชื่นชอบของคริสตจักรจีนทั่วไป และในปี 1981 ท่านก็ก่อตั้ง “ศูนย์อบรมคริสเตียน” ขึ้น เพื่อเป็นโรงเรียนอบรมผู้รับใช้พระเจ้าอีกแห่งหนึ่งซึ่งจะเน้นทางด้านชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณ กับความรู้ทางด้านพระคัมภีร์

ปัจจุบันนี้ผู้ปกครองโง้วย่งยังเป็นกรรมการคนหนึ่งของ “ศูนย์บำบัดผู้ติดยาเสพติด” ซึ่งศูนย์นี้มีสาขาทั้งหมด 10 แห่งอยู่ในประเทศไทย พม่า ไต้หวัน ฮ่องกง และอีกหลายประเทศ
ขอพระเจ้าช่วยเราให้เป็นคนนั้น ที่มีชีวิตที่ติดสนิทอยู่ในพระองค์ เพื่อพระพรจะมีเต็มในชีวิตของเราและคริสตจักรของเรา...อาเมน

วันเสาร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2552

พูดความจริงด้วยความรัก (Speak the Truth in Love)

พูดความจริงด้วยความรัก บทเรียน : พูดความจริงด้วยความรัก (Speak the Truth in Love)

http://www.hidisciple.com/category/disciple-time/
โดย ฉี-นุชนารถ

ความหมายของการพูดความจริงด้วยความรักคืออะไร?
=> การพูดคือ?
=> ความจริงคือ?
=> ความรักคือ?


เมื่อทั้งสามสิ่งนี้ทำงานร่วมกันจะเกิดผลอย่างไร?

- ปากของเราทำอะไรได้บ้าง…อย่าลืมว่า “สิ่งที่ออกจากปากก็ออกจากใจ”
และผู้ที่สามารถควบคุมการพูดของตนได้ ก็เป็นผู้ที่ได้ “ทำดีรอบคอบแล้ว”

สุภาษิต 13:2-3
คนจะกินของดีจากผลปากของตน แต่จิตใจของคนละเมิดจะกินความทารุณ
บุคคลที่ระแวดระวังปากของเขาจะสงวนชีวิตของเขา แต่บุคคลที่เปิดริมฝีปากกว้างก็จะมาถึงความพินาศ

สุภาษิต 14:3
ในปากของคนโง่มีไม้เรียวแห่งความโอหัง แต่ริมฝีปากของปราชญ์จะสงวนเขาไว้

สุภาษิต 16:23
ใจของปราชญ์กระทำให้ปากของเขาสุขุม และเพิ่มการเรียนรู้แก่ริมฝีปากของเขา

สุภาษิต 16:27-28
คนอธรรมขุดค้นความชั่ว และในริมฝีปากของเขาเหมือนอย่างไฟลวก
คนตลบตะแลงแพร่การวิวาท และผู้กระซิบก็แยกเพื่อนสนิทออกจากกัน

สุภาษิต 18:6-8
ริมฝีปากของคนโง่นำการวิวาทมา และปากของเขาก็เชื้อเชิญการโบย
ปากของคนโง่เป็นสิ่งทำลายตัวเขาเอง และริมฝีปากของเขาก็เป็นบ่วงดักจิตใจตนเอง
ถ้อยคำของผู้กระซิบนินทาก็เหมือนบาดแผล มันลงไปยังส่วนข้างในของร่างกาย

ยากอบ 3:2-9
เพราะเราทุกคนทำผิดพลาดกันไปหลายๆอย่าง ถ้าผู้ใดมิได้ทำผิดทางวาจา ผู้นั้นก็เป็นคนดีรอบคอบแล้ว และสามารถบังคับทั้งตัวไว้ได้ด้วย
ดูเถิด เราเอาเหล็กบังเหียนใส่ปากม้าเพื่อให้มันเชื่อฟังเรา เราก็บังคับมันให้ไปไหนๆได้ทั้งตัว
จงดูเรือด้วยเช่นกัน ถึงแม้ว่าเป็นเรือใหญ่ และถูกลมแรงพัดแล่นไป เรือก็ยังหันไปมาด้วยหางเสือเล็กๆตามใจนายท้ายที่จะให้ไปทางไหน
เช่นนั้นแหละลิ้นก็เป็นอวัยวะเล็กๆด้วย และพูดโอ้อวดอ้างการใหญ่ จงดูเถิด ไฟนิดเดียวอาจเผาไหม้มากเท่าใด
และลิ้นนั้นก็เป็นไฟ เป็นโลกแห่งการชั่วช้าซึ่งตั้งอยู่ในบรรดาอวัยวะของเรา เป็นเหตุให้ทั้งกายเป็นมลทินไป ทำให้วิถีแห่งธรรมชาติเผาไหม้ และมันเองก็ติดไฟจากนรก
เพราะสัตว์เดียรัจฉานทุกชนิด ทั้งนก งู และสัตว์ในทะเลก็เลี้ยงให้เชื่องได้ และมนุษย์ก็ได้เลี้ยงให้เชื่องแล้ว
แต่ลิ้นนั้นไม่มีมนุษย์คนใดสามารถทำให้เชื่องได้ ลิ้นเป็นสิ่งชั่วซึ่งยับยั้งไม่ได้ และเต็มไปด้วยพิษร้ายถึงตาย
เราทั้งหลายสรรเสริญพระเจ้าคือพระบิดาด้วยลิ้นนั้น และด้วยลิ้นนั้นเราก็แช่งด่ามนุษย์ ซึ่งถูกสร้างขึ้นตามพระฉายาของพระเจ้า

- ทัศนคติของพระเยซูเรื่องการพูด

มัทธิว 5:37
จริงก็จงว่าจริง ไม่ก็ว่าไม่ พูดแต่เพียงนี้ก็พอ คำพูดเกินนี้ไปมาจากความชั่ว

ยากอบ 3:13-18
ในพวกท่าน ผู้ใดมีสติปัญญาและประกอบด้วยความรู้ ก็ให้ผู้นั้นแสดงการประพฤติของตนด้วยกริยาอันดี มีใจอ่อนสุภาพประกอบด้วยปัญญา
แต่ถ้าท่านทั้งหลายมีใจอิจฉาอันขมขื่นและอาการแก่งแย่งกันในใจของท่าน อย่าอวดเลยและอย่าพูดมุสาต่อความจริง
ปัญญาเช่นนี้ไม่ได้มาจากเบื้องบน แต่เป็นปัญญาอย่างโลก และเป็นเดียรัจฉานตัณหา และเป็นเช่นปิศาจ
เพราะว่าที่ใดมีความอิจฉาและการแก่งแย่งกัน ที่นั่นก็วุ่นวายและมีการกระทำชั่วช้าเลวทรามทุกอย่าง
แต่ปัญญาจากเบื้องบนนั้นบริสุทธิ์เป็นประการแรก แล้วจึงเป็นความสงบสุข สุภาพและว่าง่าย เปี่ยมด้วยความเมตตาและผลอันดี ไม่มีความลำเอียง ไม่หน้าซื่อใจคด
และผลแห่งความชอบธรรมก็หว่านลงในสันติสุขของคนเหล่านั้นที่ก่อให้เกิดสันติสุข

สุภาษิต 30:32
ถ้าเจ้าเป็นคนโง่ยกย่องตนเอง หรือคิดแผนการชั่วร้าย จงเอามือปิดปากของเจ้าเสียเถิด

สุภาษิต 31:26
เธออ้าปากกล่าวด้วยสติปัญญา และกฎเกณฑ์แห่งความกรุณาก็อยู่ที่ลิ้นของเธอ

- ทำไมเราต้องพูดความจริงด้วยความรัก และ ท่าทีในการพูด

1.) เพื่อเราจะไม่เป็นเด็กอีก
เอเฟซัส 4:14-15
เพื่อเราจะไม่เป็นเด็กอีกต่อไปถูกซัดไปซัดมาและหันไปเหมาด้วยลมปากแห่งคำสั่งสอนทุกอย่าง และด้วยเล่ห์กลของมนุษย์ตามอุบายฉลาดอันเป็นการล่อลวง
แต่ให้เราพูดความจริงด้วยใจรักเพื่อจะจำเริญขึ้นทุกอย่างสู่พระองค์ผู้เป็นศีรษะคือพระคริสต์

2.) เพื่อประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น
เอเฟซัส 4:25-32
เหตุฉะนั้นท่านจงเลิกพูดมุสาเสีย และ `จงต่างคนต่างพูดความจริงกับเพื่อนบ้าน’ เพราะว่าเราต่างก็เป็นอวัยวะของกันและกัน
`โกรธก็โกรธเถิด แต่อย่าทำบาป’ อย่าให้ถึงตะวันตกท่านยังโกรธอยู่
และอย่าให้โอกาสแก่พญามาร
คนที่เคยขโมยก็อย่าขโมยอีก แต่จงใช้มือทำงานที่ดีๆกว่า เพื่อจะได้มีอะไรๆแจกให้แก่คนที่ขัดสน
อย่าให้คำหยาบคายออกมาจากปากท่านเลย แต่จงกล่าวคำที่ดี และเป็นประโยชน์ให้เกิดความจำเริญเพื่อจะได้เป็นคุณแก่คนที่ได้ยินได้ฟัง
และอย่าทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเสียพระทัย เพราะโดยพระวิญญาณนั้นท่านได้ถูกประทับตราหมายท่านไว้จนถึงวันที่ทรงไถ่ให้รอด
จงให้ใจขมขื่น และใจขัดเคือง และใจโกรธ และการทะเลาะเถียงกัน และการพูดเสียดสี กับการคิดปองร้ายทุกอย่าง อยู่ห่างไกลจากท่านเถิด
และท่านจงเมตตาต่อกัน มีใจเอ็นดูต่อกัน และอภัยโทษให้กันเหมือนดังที่พระเจ้าได้ทรงโปรดอภัยโทษให้ท่าน เพราะเห็นแก่พระคริสต์

3.) พูดด้วยความรัก ไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย รุนแรง
เอเฟซัส 5:4-9
ทั้งอย่าพูดหยาบคาย พูดเล่นไม่เป็นเรื่อง และพูดตลกหยาบโลนเกเร ซึ่งเป็นการไม่สมควร แต่ให้ขอบพระคุณดีกว่า
เพราะท่านรู้แน่ว่า คนล่วงประเวณี คนโสโครก คนโลภ ที่เป็นคนไหว้รูปเคารพ จะได้อาณาจักรของพระคริสต์และของพระเจ้าเป็นมรดกก็หามิได้
อย่าให้ผู้ใดล่อลวงท่านด้วยคำที่ไม่มีสาระ เพราะการกระทำเหล่านั้นเอง พระเจ้าจึงทรงลงพระอาชญาแก่บุตรแห่งการไม่เชื่อฟัง
เหตุฉะนั้นท่านอย่าคบหาสมาคมกับคนเหล่านั้นเลย
เพราะว่าเมื่อก่อนท่านเป็นความมืด แต่บัดนี้ท่านเป็นความสว่างแล้วในองค์พระผู้เป็นเจ้า จงดำเนินชีวิตอย่างลูกของความสว่าง
(ด้วยว่าผลของพระวิญญาณคือ ความดีทุกอย่างและความชอบธรรมทั้งมวลและความจริงทั้งสิ้น)

4.) ฟังด้วยความรัก เมื่อผู้พูด พูดกับเราด้วยรัก และให้เกียรติเรา เราก็ควรฟังด้วยความรัก และให้เกียรติเช่นกัน
เอเฟซัส 5:21
จงยอมฟังกันและกันด้วยความเกรงกลัวพระเจ้า

- ต้องพูดจากใจบริสุทธิ์ และความรัก

1เปโตร 1:22-23
ที่ท่านทั้งหลายได้ชำระจิตใจของท่านให้บริสุทธิ์แล้ว ด้วยการเชื่อฟังความจริงโดยพระวิญญาณ จนมีใจรักพวกพี่น้องอย่างจริงใจ ท่านทั้งหลายจงรักกันให้มากด้วยน้ำใสใจจริง
ด้วยว่าท่านทั้งหลายได้บังเกิดใหม่ ไม่ใช่จากพืชที่จะเปื่อยเน่าเสีย แต่จากพืชอันไม่รู้เปื่อยเน่า คือด้วยพระวจนะของพระเจ้าอันทรงชีวิตและดำรงอยู่เป็นนิตย์

1ยอห์น 4:7-8
ท่านที่รักทั้งหลาย ขอให้เรารักซึ่งกันและกัน เพราะว่าความรักมาจากพระเจ้า และทุกคนที่รักก็บังเกิดจากพระเจ้า และรู้จักพระเจ้า
ผู้ที่ไม่รักก็ไม่รู้จักพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นความรัก

1ยอห์น 4:16
เราทั้งหลายจึงรู้และเชื่อในความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อเรา พระเจ้าทรงเป็นความรัก และผู้ใดที่อยู่ในความรักก็อยู่ในพระเจ้า และพระเจ้าก็ทรงสถิตอยู่ในผู้นั้น

Speak the Truth in Love

Daily Scripture : Proverbs 13:2-3, Proverbs 14:3, Proverbs 16:23, Proverbs 16:27-28,Proverbs 18:6-8, James 3:2-9, Matthew 5:37, James 3:13-18, Proverbs 30:32, Proverbs 31:26,Ephesians 4:14-15, Ephesians 4:25-32, Ephesians 5:4-9, Ephesians 5:21, 1Peter 1:22-23,1John 4:7-8, 1John 4:16

disciple God gossip love mouth speak training truth Words

ชีวิตใหม่ ในพระเจ้า

ใจใหม่

http://203.146.26.63/~subpong/modules.php?name=News&file=article&sid=35&mode=thread&order=0&thold=0
Anonymous บันทึก: A new heart
พระธรรมเอเสเคียล 36 : 26 “ เราจะให้ใจใหม่แก่เจ้าและเราจะบรรจุวิญญาณใหม่ไว้ในเจ้า เราจะนำใจหิน ออกไปเสียจากเนื้อของเจ้า และให้ใจเนื้อแก่เจ้า ” เอเสเคียลผู้เผยพระวจนะของพระเจ้าได้ประกาศแก่ชนชาติอิสราเอลผู้ซึ่งหลงผิดและหันหลังให้กับพระเจ้า แม้ว่าพระองค์ได้ทรงนำเขาออกมาจากการเป็นทาสเป็นเชลยของชนชาติต่างๆ แต่เขาหาสำนึกในพระคุณของพระเจ้าไม่ กลับแช่งด่า ดูถูก ดูหมิ่นพระองค์ อีกทั้งหันไปนับถือรูปเคารพต่างๆทำให้พระเจ้าทรงเสียพระทัย และสัมพันธภาพที่ดีระหว่างเขากับพระเจ้าต้องขาดสะบั้นลงไปพระธรรมเอเสเคียล 36 : 26 จึงเป็นข้อเสนอใหม่ เป็นพันธสัญญาใหม่ (new covenant) ที่พระเจ้าทรงหยิบยื่นให้แก่ชนชาติอิสราเอล เป็นการคืนดีกันกับพระองค์โดยพระเจ้าจะทรงชำระล้างจิตใจของเขาให้สะอาด เอาหินออกจากใจของเขาแล้วใส่ใจเนื้อเข้าไปแทนที่ เป็นใจใหม่ที่ยอมเชื่อฟังและทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า

พระธรรมเอเสเคียล 36 : 25-27 “ เราจะเอาน้ำสะอาดพรมเจ้า และเจ้าจะสะอาดพ้นจากมลทินทั้งหลาย ของเจ้า และเราจะชำระเจ้าจากรูปเคารพทั้งหลายของเจ้า เราจะให้ใจใหม่ แก่เจ้าและเราจะบรรจุจิตวิญญาณใหม่ไว้ในเจ้า เราจะนำใจหินออกไปเสีย จากเนื้อของเจ้า และให้ใจเนื้อแก่เจ้า และเราจะใส่วิญญาณของเราภายใน เจ้าและกระทำให้เจ้าดำเนินตามกฎเกณฑ์ของเรา และให้รักษากฎหมาย ของเราและกระทำตาม ”

เอาใจหิน (heart of stone) ที่มีแต่ความหยาบกระด้าง หยิ่งจองหอง โหดเหี้ยม ดื้อดึง ไร้ความรู้สึกออกไป แล้วใส่ใจเนื้อ (heart of flesh) ที่มีความสุภาพอ่อนโยน ถ่อมตัว มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น มีความเมตตา มีความรู้สึก มีเลือดเนื้อเข้ามาแทนที่ เขาจึงได้รับการสร้างใหม่ บังเกิดใหม่โดยฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณของพระเจ้า เป็นใจที่พร้อมทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า นี่คือ “ ใจใหม่ ” (new heart) ที่พระเจ้ามอบให้ เป็น “ ใจเนื้อ ”

คนที่มีใจเนื้อจึงมีลักษณะสำคัญ 3 ประการดังนี้

ประการแรก : คนที่มีชีวิตใหม่ (New ways to live) เมื่อได้รับการชำระให้สะอาด ได้รับการบังเกิดใหม่ และได้รับการสร้างใหม่ เขาจึงเป็นคนใหม่ที่มีการดำเนินชีวิตใหม่ ละทิ้งการดำเนินชีวิตแบบเดิมที่อยู่ในความบาปผิด จากการพนัน ยาเสพติด การพูดมุสา การเสเพล การทรยศคดโกง การกระทำที่อยู่ตรงข้ามกับน้ำพระทัยพระเจ้า ต้องสารภาพผิดขอการชำระ ขอการยกโทษจากพระเจ้าแล้วมีชีวิตใหม่ เป็นชีวิตที่พร้อมเชื่อและทำตามพระวจนะของพระเจ้า เป็นคนใหม่ มีจิตใจใหม่ มีชีวิตใหม่

พระธรรมมัทธิว 9 : 17 “ เขาไม่เอาน้ำองุ่นหมักใหม่มาใส่ถุงหนังเก่า ถ้าทำอย่างนั้นถุงหนังจะขาด น้ำองุ่น จะรั่ว ทั้งถุงหนังก็จะเสียไปด้วย แต่เขาย่อมเอาน้ำองุ่นหมักใหม่ใส่ในถุงหนังใหม่ แล้วทั้งสองอย่างก็อยู่ดีด้วยกันได้ ”

ในสมัยพระคริสตธรรมคัมภีร์นั้นยังไม่มีขวดน้ำ คนในสมัยนั้นจึงใช้ถุงหนังซึ่งทำมาจากหนังแพะหรือแกะใส่น้ำ เหล้าองุ่นที่หมักใหม่มักจะขยายตัวและดันถุงหนังจนพอง ถ้าเป็นถุงหนังเก่าก็อาจฉีกขาดได้แต่ถุงหนังใหม่จะสามารถขยายตัวได้ ดังนั้นเหล้าองุ่นหมักใหม่จึงต้องใส่ในถุงหนังใหม่ ถุงหนังเก่าเปลี่ยบดังชีวิตเก่าที่นับวันจะผุพัง เปื่อยยุ่ย จึงต้องเปลี่ยนเป็นถุงหนังใหม่ที่มีชีวิตใหม่ ในพระเยซูคริสตเจ้า
องค์พระเยซูคริสตเจ้าไม่ได้เสด็จมาในโลกนี้เพื่อทำลายระบบเก่าๆ แต่พระองค์มาเพื่อหยิบยื่นข้อเสนอใหม่แก่เราทุกคน นั่นคือ การยกโทษอภัยในความผิดบาปที่เราได้กระทำ ให้เราหันกลับไปคืนดี สร้างสัมพันธภาพใหม่กับพระองค์ เป็นครอบครัวเดียวกันกับพระองค์ เหล้าองุ่นหมักใหม่ย่อมต้องอยู่ในถุงหนังใหม่ เช่นเดียวกับคนที่บังเกิดใหม่ก็ย่อมมีชีวิตใหม่ในพระเจ้า

ประการที่สอง : คนที่มีสายตาใหม่ (New ways to look at people) เมื่อพระผู้เป็นเจ้านำใจหินที่แข็งหยาบกระด้างออกจากร่างกายของเราและใส่ใจเนื้อที่มีความรู้สึกเมตตา สงสาร อ่อนโยนเข้าไปแทนที่ เราจึงเป็นผู้ที่ถูกสร้างใหม่ มีมุมมองความคิด ทัศนคติต่อผู้อื่นเปลี่ยนไปจากสายตาที่เคยดูถูกดูหมิ่นผู้อื่น ถือว่า
นเองดี เวลานี้เป็นคนใหม่ที่มีพระฉายาของพระเจ้าอยู่ในตัว เราจึงเป็นคนที่ให้อภัยผู้อื่นได้และให้เกียรติผู้อื่นได้

พระธรรมโรม 12: 10 “ จงรักกันฉันพี่น้อง ส่วนการที่ให้เกียรติแก่กันและกันนั้น จงถือว่าผู้อื่นดีกว่าตน ”

เราเป็นพระฉายาของพระเจ้า พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาตามแบบของพระองค์ เมื่อเราได้รับการสร้างใหม่ เป็นคนใหม่มีชีวิตจิตใจ มีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจผู้อื่น เราจึงเป็นคนที่มีสายตาใหม่ เป็นสายตาของ องค์พระเยซูคริสตเจ้าที่มองผู้อื่นอย่างให้เกียรติและเห็นความสำคัญของผู้อื่นเสมอ (Put others first)

ประการที่สาม : คนที่มีใจใหม่ (New ways to serve) ใจเป็นศูนย์รวมของทุกอย่างในชีวิต คนที่มี “ ใจใหม่ ” จึงเป็นคนที่มีความคิดใหม่ มีทัศนคติใหม่ มีการกระทำใหม่ เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี จาก “ คนใจหิน ” ที่แข็งกระด้าง เห็นแก่ตัว ถือดี เมื่อได้รับการเปลี่ยนแปลงเป็น “ คนใจเนื้อ ” ที่มีความสุภาพอ่อนโยน มีความรักของพระเจ้าและมีจิตวิญญาณของพระเจ้า เราจึงเป็นคนใหม่ที่มีน้ำใจของผู้ที่แสวงหาการรับใช้ผู้อื่น ยอมเป็นทาสสมัคร ไม่เห็นแก่ตัวแต่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม มี “ จิตสาธารณะ ” (public mind) ที่มุ่งทำงานรับใช้เพื่อความพึงพอใจของผู้ที่มารับบริการ

พระธรรมมัทธิว 20 : 28 “ บุตรมนุษย์มิได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ แต่ท่านมาเพื่อจะปรนนิบัติเขา และประทาน ชีวิตของท่านให้เป็นค่าไถ่คนเป็นอันมาก ”
นี่คือตัวอย่างของคนที่มี “ ใจเนื้อ ” เป็นคนที่มีชีวิตใหม่ คนที่มีสายตาใหม่ และคนที่มีใจใหม่ที่แสวงหาการรับใช้ผู้อื่น
วันนี้นับเป็นโอกาสดีที่นักเรียนทุกคนจะเปิดใจของเรา ให้องค์พระผู้เป็นเจ้าได้นำใจหินออกจากชีวิต และประทานใจใหม่ ( A new heart ) แทนที่ ให้เป็นคนที่มี การดำเนินชีวิตใหม่ ( New ways to live ) เป็นคนที่ มีสายตาใหม่ ( New ways to look at people ) และเป็นคนที่ มีใจใหม่ มีใจในการรับใช้ผู้อื่น ( New ways to serve )

พระธรรม 2 โครินธ์ 5 : 17 “ เหตุฉะนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สารพัดเก่าๆ ก็ล่วงไป นี่แน่ะ กลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น ”

พระนามของพระเจ้า

พระนามของพระเจ้า Apr 10, '08 5:41 AM
for everyone



"ผู้ที่รู้จักพระนามของพระองค์ ก็วางใจในพระองค์

เพราะว่า พระองค์มิได้ทรงทอดทิ้ง ผู้ที่เสาะแสวงหาพระองค์"

สดุดี 9 ข้อ 10



1. เอโลฮิม พระผู้สร้าง

2. เอล ชัดดาย พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

3. อาโดนาย พระเจ้า จอมเจ้านาย

4. เอล เอลยอน พระเจ้าผู้สูงสุด

5. เอล โอลาม พระเจ้านิรันดร์

6. ควนนา พระเจ้า "ผู้ทรงนามว่าหวงแหน"

7. เยโฮวาห์ นิสสี พระเจ้าทรงเป็นธงชัย

8. เยโฮวาห์ ราอาห์ พระเจ้าทรงเป็นผู้เลี้ยง

9. เยโฮวาห์ ยิเรห์ พระเจ้าผู้ทรงจัดเตรียม

10. เยโฮวาห์ ราฟาห์ พระเจ้าผู้ทรงรักษา

11. เยโฮวาห์ ชาโลม พระเจ้าแห่งสันติสุข

12. เยโฮวาห์ ชามาห์ พระเจ้าทรงสถิต ณ ที่นั่น

13. เยโฮวาห์ ซาบาโอด พระเจ้าจอมโยธา

14. เยโฮวาห์ ธิสคานู พระเจ้าผู้เป็นความชอบธรรมของเรา

15. เยโฮวาห์ มาคาเดช พระเจ้าผู้ทรงชำระท่าน

16. เอล รอย พระเจ้าผู้ทรงเห็น

พระนามของพระเจ้า
Anonymous บันทึก:



ในพระคัมภึร์เดิม เมื่อผู้รับใช้ของพระเจ้า เช่น ผู้เผยพระวจนะ กษัตริย์ ตลอดจนถึง ชนชาติอิสราเอล ตัองการจะยกย่องพระเจ้า พวกเขาได้เรียกพระนามของพระเจ้าต่างๆกันขึ้นอยู่กับสถานการณ์เพื่อถวายเกียรติ์แด่พระเจ้า


พระนามต่างๆมีดังนี้
Elohim คือพระเจ้าในลักษณะของพหูพจน์ แสดงถึงอำนาจและความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า (ปฐมกาล 1:1 กันดารวิถี 23:19 สดุดี 19:1)
Yaweh คือพระผู้เป็นเจ้า (Lord) พระบิดา (ปฐมกาล 2:4 อพยพ 6:2-3)
El Elyon คือพระเจ้าผู้อยู่ในที่สูงสุด แสดงถึงเป็นพระเจ้าเหนือพระทั้งปวง (ปฐมกาล 14:17-20 กันดารวิถี 24:16 สดุดี 7:17 อิสยาห์ 14:13-14)
El Roi คือพระเจ้าผู้ทรงมองดูแล แสดงถีงพระเจ้าทรงมองเห็น ทุกสื่งทุกอย่าง (ปฐมกาล 16:13)
El Shaddai คือพระเจ้าผู้ทรงอำนาจ (ปฐมกาล 17:1 ปฐมกาล91:1)
Yahweh Yireh คือพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงมอบทุกสิ่ง (ปฐมกาล 22:14)
Yahweh Nissi คือพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเป็นร่มธง (อพยพ 17:15)
Adonai คือพระผู้เป็นเจ้า (เฉลยธรรมบัญญัติ 6:4)
Yahweh Elohe Yisrael คือพระผู้เป็นเจ้าของชนชาติอิสราเอล (ผู้วินิจฉัย 5:3 สดุดี 59:5 อิสยาห์ 17:6 เศฟันยาห์ 2:9)
Yahweh Shalom คือพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงประทานสันติสุข (ผู้วินิจฉัย 6:24)
Qedosh Yisrael คือพระเจ้าองค์บริสุทธิ์ของอิสราเอล (อิสยาห์ 1:4)
Yaweh Sabaoth คือพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงปกปักษ์รักษา (1 ซามูเอล 1:3 อิสยาห์ 6:1-3)
El Olam คือพระเจ้าผู้ทรงอยู่ชั่วนิรันทร์ (อิสยาห์ 40:28-31)
Yahweh Tsidkenu คือพระผู้เป็นเจ้าแห่งความชอบธรรม (เยเรมีย์ 23:6, 33:16)
Yahweh Shammah คือพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงประทับอยู่กับเรา (เอเสเคียล 48:35)
Attiq Yomin คือพระเจ้าผู้ทรงอยู่ตั้งแต่โบราณกาล (Ancient of Days) (ดาเนียล 7:9,13)

อย่างไรก็ตาม ชนชาติอิสราเอลเรียกพระเจ้าของเขาว่า พระเยโฮวาห์ เพราะพวกเขาเกรงกลัวพระเจ้า แทนที่จะกล่าวพระนามของพระเจ้าว่า พระยาเวห์ พวกเขากลับเรียกพระเจ้าว่า พระเยโฮวาห์

สำหรับในพระคัมภีร์ใหม่ และในปัจจุบันนี้ เราเรียกพระเจ้าว่า พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ และพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าทั้งสามองค์เป็นพระภาคเดียวกัน คือพระเจ้าอีโลฮิม (Elohim) หรือตรีเอกานุภาคนั่นเอง

พระนามของพระเจ้า
Jehovah El Elohim (Joshua 22:22)
- The LORD GOD of GODS

Jehovah (Exodus 6:2,3)
- The LORD

Adonai Jehovah (Genesis 15:2)
- Lord GOD

Jehovah Adon Kol Ha-arets (Joshua 3:11)
- The LORD, the Lord of All the Earth

Jehovah Bore (Isaiah 40:28)
- The LORD Creator

Jehovah Chereb (Deuteronomy 33:29)
- The LORD... the Sword

Jehovah Eli (Psalms 18:2)
- The LORD My GOD

Jehovah Elyon (Genesis 14:18-20)
- The LORD Most High

Jehovah Gibbor Milchamah (Psalms 24:8)
- The LORD Mighty In Battle

Jehovah Maginnenu (Psalms 89:18)
- The LORD Our Defense

Jehovah Goelekh (Isaiah 49:26&60:16)
- The LORD Thy Redeemer

Jehovah Hashopet (Judges 11:27)
- The LORD the Judge
Jehovah Hoshiah (Psalms 20:9)
- O LORD Save
Jehovah Immeka (Judges 6:12)
- The LORD Is with You
Jehovah Izuz Wegibbor (Psalms 24:8)
- The LORD Strong and Mighty
Jehovah-jireth (Genesis 22:14)
- The LORD Shall Provide
Jehovah Kabodhi (Psalms 3:3)
- The LORD My GOD
Jehovah Kanna Shemo (Exodus 34:14)
- The LORD Whose Name Is Jealous
Jehovah Keren-Yishi (Psalms 18:2)
- The LORD the Horn of My Salvation
Jehovah Machsi (Psalms 91:9)
The LORD My Refuge
Jehovah Magen (Deuteronomy 33:29)
- The LORD the Shield
Jehovah Makkeh (Ezekiel 7:9)
- The LORD that Smiteth
Jehovah Mauzzam (Psalms 37:39)
- The LORD Their Strength
Jehovah Mauzzi (Jeremiah 16:19)
- The LORD My Fortress
Ha-Melech Jehovah (Psalms 98:6)
- The LORD the King
Jehovah Melech Olam (Psalms 10:16)
- The LORD King Forever
Jehovah Mephalti (Psalms 18:2)
- The LORD My Deliverer
Jehovah Mekaddishkem (Exodus 31:13)
- The LORD that Sanctifies You
Jehovah Metsudhathi (Psalms 18:2)
- The LORD My High Tower
Jehovah Moshiekh (Isaiah 49:26&60:16)
- The LORD Your Savior
Jehovah Nissi (Exodus 17:15)
- The LORD My Banner
Jehovah Ori (Psalms 27:1)
- The LORD My Light
Jehovah Uzzi (Psalms 28:7)
- The LORD My Strength
Jehovah Rophe (Exodus 15:26)
- The LORD (our) Healer
Jehovah Roi (Psalms 23:1)
- The LORD My Shepherd
Jehovah Sabaoth (Tsebaoth) (I Samuel 1:3)
- The LORD of Hosts
Jehovah Sali (Psalms 18:2)
- The LORD My Rock
Jehovah Shalom (Judges 6:24)
- The LORD (our) Peace
Jehovah Shammah (Ezekiel 48:35)
The LORD Is There
Jehovah Tsidkenu (Jeremiah 23:6)
- The LORD Our Righteousness
Jehovah Tsuri (Psalms 19:14)
- O LORD My Strength

วันพฤหัสบดีที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2552

คานาอัน Canaan


HTML ของ http://www.romyenchurch.org/sermon/20-01-2008.doc
วันที่เทศนา 20 มกราคม 2008

หัวข้อเทศนา ครอบครองแผ่นดินแห่งพระสัญญา – ปลายทางกำหนดต้นทาง

ข้อพระคัมภีร์ ปฐมกาล 50: 24; อพยพ 3: 7 - 8; 16 – 17


“โยเซฟบอกพวกพี่น้องว่า “เรากำลังจะตาย แต่พระเจ้าจะเสด็จมาช่วยพวกท่านอย่างแน่นอน พระองค์จะพาพวกท่านออกจากดินแดนนี้ไปยังดินแดนซึ่งทรงสัญญาโดยปฏิญาณไว้กับอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ” (ปฐมกาล 50: 24)

“And Joseph said to his brothers, "I am about to die; but God will visit you, and bring you up out of this land to the land which he swore to Abraham, to Isaac, and to Jacob."”

(Genesis 50: 24)


“องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เราได้เห็นความทุกข์เข็ญของประชากรของเราในอียิปต์แล้ว เราได้ยินเสียงร่ำร้องเนื่องจากนายงานอำมหิตของพวกเขา และเราห่วงใยในความทุกข์ทรมานของพวกเขา ดังนั้นเราจึงลงมาเพื่อช่วยพวกเขาให้พ้นจากเงื้อมมือชาวอียิปต์ และนำพวกเขาออกไปยังดินแดนกว้างใหญ่ อุดมไปด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง ซึ่งเป็นที่อาศัยของชาวคานาอัน ชาวฮิตไทต์ ชาวอาโมไรต์ ชาวเปริสซี ชาวฮีไวต์ และชาวเยบุส” (อพยพ 3: 7 – 8)

“Then the LORD said, "I have seen the affliction of my people who are in Egypt, and have heard their cry because of their taskmasters; I know their sufferings, and I have come down to deliver them out of the hand of the Egyptians, and to bring them up out of that land to a good and broad land, a land flowing with milk and honey, to the place of the Canaanites, the Hittites, the Amorites, the Per'izzites, the Hivites, and the Jeb'usites.” (Exodus 3: 7 – 8)


“จงเรียกบรรดาผู้อาวุโสของอิสราเอลมาประชุมและบอกพวกเขาว่า “พระยาห์เวห์ พระเจ้าของบรรพบุรุษของท่าน พระเจ้าของอับราฮัม อิสอัค และยาโคบมาปรากฏแก่ข้าพเจ้าและตรัสดังนี้ว่า เราได้เฝ้าดูพวกเจ้าและได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเจ้าในอียิปต์แล้ว และเราได้สัญญาว่าจะนำพวกเจ้าออกมาจากความทุกข์เข็ญในอียิปต์ไปยังดินแดนของชาวคานาอัน ชาวฮิตไทต์ ชาวอาโมไรต์ ชาวเปริสซี ชาวฮีไวต์ และชาวเยบุส ดินแดนอันอุดมด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง” (อพยพ 3: 16 – 17)

“Go and gather the elders of Israel together, and say to them, `The LORD, the God of your fathers, the God of Abraham, of Isaac, and of Jacob, has appeared to me, saying, "I have observed you and what has been done to you in Egypt; and I promise that I will bring you up out of the affliction of Egypt, to the land of the Canaanites, the Hittites, the Amorites, the Per'izzites, the Hivites, and the Jeb'usites, a land flowing with milk and honey."'

(Exodus 3: 16 – 17)


สาระสำคัญตลอดปีนี้เราจะศึกษาเกี่ยวกับแผนการของพระเจ้าในการดำเนินชีวิตปัจจุบันให้สอดคล้องกับจุดหมายปลายทางที่พระเจ้าได้ทรงดำริไว้

พระคริสตธรรมคัมภีร์ได้บันทึกจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งในพระธรรมปฐมกาลซึ่งเป็นพระธรรมเล่มแรก และได้บันทึกเหตุการณ์ในอนาคตเกี่ยวกับทุกสิ่งเช่นกันในพระธรรมเล่มสุดท้ายชื่อพระธรรมวิวรณ์ เหตุการณ์ระหว่างปฐมกาลถึงพระธรรมวิวรณ์ เราพบว่ามีเหตุการณ์มากมาย บ้างก็ได้บันทึกไว้อยู่ในประวัติศาสตร์ บ้างก็ไม่ได้บันทึก พระคริสตธรรมคัมภีร์นอกจากจะเป็นหนังสือเหนือหนังสือทั้งปวงที่ได้บันทึกเหตุการณ์สำคัญมากมายในทางประวัติศาสตร์ เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ในพระคัมภีร์จะไม่เป็นเพียงบันทึกเหตุการณ์อดีต แต่เราพบว่าเหตุการณ์ต่างๆ อยู่ภายใต้การควบคุมของพระเจ้าที่จะนำไปสู่จุดหมายปลายทางที่พระเจ้าได้ทรงกำหนดไว้ตามพระดำริของพระองค์ก่อนวางรากสร้างโลก

คริสเตียนควรตระหนักว่าพระเจ้าผู้ทรงสร้างมนุษย์ พระองค์ก็ได้กำหนดวัตถุประสงค์และพระองค์จะดำเนินการของพระองค์ซึ่งเราอาจไม่รู้ตัว ให้บรรลุเป้าหมายของพระองค์ ในส่วนของมนุษย์ทุกคนมีอิสรภาพว่าจะเลือกวิถีชีวิตแบบไหน จะปฏิเสธ จะเฉยๆ หรือมอบตัวและใจให้ไหลไปตามกระแสแห่งน้ำพระทัย

ตัวอย่างดีที่สุดที่เราจะเรียนเรื่องนี้คือวิถีชีวิตของชนชาติอิสราเอล ซึ่งเป็นเงาสะท้อนให้เราคริสเตียนได้นำมาเป็นกรณีศึกษา


I. ประชากรแห่งอนาคต

“องค์พระผู้เป็นเจ้าได้เคยตรัสกับอับรามว่า “จงละบ้านเมืองของเจ้า วงศ์ตระกูลของเจ้า และครอบครัวบิดาของเจ้าเพื่อไปยังดินแดนที่เราจะสำแดงแก่เจ้า เราจะทำให้เจ้าเป็นชนชาติใหญ่ และเราจะอวยพรเจ้า เราจะทำให้ชื่อเสียงของเจ้าเลื่องลือและเจ้าจะเป็นพร เราจะอวยพรบรรดาผู้ที่อวยพรเจ้า และเราจะสาปแช่งบรรดาผู้ที่แช่งเจ้า ทุกชนชาติทั่วโลกจะได้รับพรผ่านทางเจ้า” (ปฐมกาล 12: 1 – 3)

“Now the LORD said to Abram, "Go from your country and your kindred and your father's house to the land that I will show you. And I will make of you a great nation, and I will bless you, and make your name great, so that you will be a blessing. I will bless those who bless you, and him who curses you I will curse; and by you all the families of the earth shall bless themselves."” (Genesis 12: 1 – 3)


“เมื่อโลทแยกทางไปแล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับอับรามว่า จงเงยหน้าขึ้นมองดูรอบๆ มองไปทางทิศเหนือและทิศใต้ ทิศตะวันออกและทิศตะวันตก เราจะมอบดินแดนทั้งหมดที่เจ้ามองเห็นให้แก่เข้าและเชื้อสายของเจ้าตลอดไป” (ปฐมกาล 13: 14 – 15)

“The LORD said to Abram, after Lot had separated from him, "Lift up your eyes, and look from the place where you are, northward and southward and eastward and westward; for all the land which you see I will give to you and to your descendants for ever.”

(Genesis 13: 14 – 15)


พระเจ้าทรงเลือกอับราฮัมให้เป็นต้นตระกูล พลไพร่ที่พระเจ้าทรงแยกไว้เป็นประชากรของพระองค์ โดยตระกูลนี้จะกลายเป็นชาติใหญ่และจะเป็นชนชาติที่จะนำเอาการปกครองของพระเจ้ากลับมาสู่โลกอย่างถาวร ฉะนั้นประวัติศาสตร์ของชนชาตินี้สะท้อนให้เห็นคริสตจักรซึ่งเป็นประชากรของพระเจ้าในยุคของพันธสัญญาใหม่ พระเจ้าได้ทรงเลือกพระเยซูคริสต์ให้เป็นต้นตระกูลแห่งประชากรยุคพันธสัญญาใหม่ที่จะนำเอาการปกครองของพระเจ้าดำเนินไป พระเจ้าทรงเรียกอับราฮัมและพงศ์พันธุ์พร้อมทั้งสำแดงแผนการอนาคตฉันใด คริสตจักรก็เป็นประชากรที่พระเจ้าเตรียมไว้สำหรับอนาคตฉันนั้น สำหรับชนชาติอิสราเอลฝ่ายเนื้อหนัง แผ่นดินคานาอันคืออนาคตที่พระเจ้าจัดเตรียม แต่คริสตจักรเรามีอาณาจักรใหม่ ท้องฟ้าใหม่อันเป็นมรดกที่ไม่มีวันเสื่อมสลายหรือเลือนหายเตรียมไว้ในสวรรค์เพื่อเราทั้งหลาย พวกเราเป็นประชากรที่ถูกเตรียมไว้ให้เข้าไปสู่อนาคตอันสง่าราศี ซึ่งจะเกิดขึ้นในวันที่พระเยซูคริสต์เสด็จกลับมา เราจะได้อยู่กับพระองค์ ครอบครองกับพระองค์ตลอดชั่วนิรันดร


II. ดำเนินชีวิตปัจจุบันสู่อนาคต

“แต่พวกท่านเป็นประชากรที่พระเจ้าได้ทรงเลือกสรร เป็นปุโรหิตหลวง เป็นชนชาติบริสุทธิ์ เป็นพลเมืองของพระเจ้า เพื่อท่านจะได้ประกาศพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ผู้ทรงเรียกท่านออกจากความมืดเข้าสู่ความสว่างอันล้ำเลิศของพระองค์ ครั้งหนึ่งพวกท่านไม่ได้เป็นประชากรของพระเจ้า แต่บัดนี้ท่านเป็นประชากรของพระองค์ ครั้งหนึ่งพวกท่านไม่ได้รับพระเมตตา แต่บัดนี้ท่านได้รับพระเมตตาแล้ว เพื่อนที่รักผู้อยู่ในฐานะคนต่างด้าวและคนแปลกหน้าในโลกนี้ ข้าพเจ้าขอวิงวอนท่านให้ละทิ้งตัณหาชั่วซึ่งต่อสู้กับวิญญาณจิตของท่าน จงดำเนินชีวิตให้ดีเมื่ออยู่ในหมู่ผู้ไม่นับถือพระเจ้า เพื่อแม้เขากล่าวหาว่าท่านทำผิด เขาก็จะเห็นการดีของท่านและถวายเกียรติแด่พระเจ้าในวันที่พระองค์เสด็จมาหาเรา” (1 เปโตร 2: 9 – 12)

“But you are a chosen race, a royal priesthood, a holy nation, God's own people, that you may declare the wonderful deeds of him who called you out of darkness into his marvellous light. Once you were no people but now you are God's people; once you had not received mercy but now you have received mercy. Beloved, I beseech you as aliens and exiles to abstain from the passions of the flesh that wage war against your soul. Maintain good conduct among the Gentiles, so that in case they speak against you as wrongdoers, they may see your good deeds and glorify God on the day of visitation. (I Peter 2: 9 – 12)


คริสเตียนขณะที่ยังดำรงชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เราต้องตระหนักว่าเราเป็นประชากรของพระเจ้าเบื้องบน การกำหนดวัตถุประสงค์และวิถีชีวิตของเราจะไม่ไหลไปตามวิถีเดิม เราเป็นเพียงแขกแปลกหน้า เราต้องทราบว่าชีวิตในโลกเป็นเพียงทางผ่าน เช่นเดียวกับชนชาติอิสราเอลต้องผ่านถิ่นทุรกันดารก่อนเข้าแผ่นดินแห่งพระสัญญา (คานาอัน) ตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่ในโลกจะมีอุปสรรคขวางกั้น มีทางหลายแพร่งที่จะพาเราให้หลง คริสเตียนต้องติดตามดูแลตัวเอง เตือนตนเองว่า เส้นทางปัจจุบันคือเส้นทางสู่อนาคตที่พระเจ้ากำหนดไว้ จงให้จุดหมายปลายทางแห่งอนาคตคือตัวกำหนดพฤติกรรมปัจจุบันของเรา


III. ให้แผ่นดินสวรรค์มาตั้งอยู่วันนี้

“ฉะนั้นท่านควรจะอธิษฐานดังนี้ว่า ข้าแต่พระบิดาของข้าพระองค์ทั้งหลายผู้สถิตในสวรรค์ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เทิดทูนสักการะ ขอให้อาณาจักรของพระองค์ได้รับการสถาปนาไว้ ขอให้พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จในโลกเช่นเดียวกับในสวรรค์ ขอโปรดประทานอาหารประจำวันแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายในวันนี้ ขอยกหนี้ให้ข้าพระองค์ทั้งหลายเหมือนที่ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ยกหนี้ให้ผู้ที่เป็นหนี้ข้าพระองค์ทั้งหลายเช่นกัน และขออย่าให้ข้าพระองค์ทั้งหลายล้มลงเมื่อถูกทดลอง แต่ขอช่วยข้าพระองค์ทั้งหลายให้พ้นจากมารร้าย” (มัทธิว 6: 9 – 13)

“Pray then like this: Our Father who art in heaven, Hallowed be thy name. Thy kingdom come. Thy will be done, On earth as it is in heaven. Give us this day our daily bread; And forgive us our debts, As we also have forgiven our debtors; And lead us not into temptation, But deliver us from evil.” (Matthew 6: 9 – 13)


“แต่จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน และพระองค์จะประทานสิ่งทั้งปวงเหล่านี้แก่ท่านด้วย” (มัทธิว 6: 33)

“But seek first his kingdom and his righteousness, and all these things shall be yours as well.” (Matthew 6: 33)


การเข้าครอบครองพระพรในอาณาจักรแห่งสง่าราศีในอนาคตจะมีสง่าราศีเพียงใดขึ้นอยู่กับการปกครองของพระเจ้าในวันนี้ ถ้าจิตใจของเราในวันนี้น้อมรับการเข้าครอบครอง การนำของพระเจ้าในทุกแง่มุมของชีวิต ให้พระองค์เข้าส่วนในการตัดสินใจในการเลือก ให้ชีวิตแบบพระคริสต์ควบคุมชีวิตแบบโลกีย์ ชีวิตพระคริสต์ควบคุมชีวิตแบบเนื้อหนัง ชีวิตพระคริสต์ควบคุมไม่ดำเนินตามการล่อลวงของมาร เราก็จะเข้าร่วมในการครอบครองกับพระคริสต์ แต่ถ้าเราไม่ยอมให้พระเจ้าครอบครอง ปล่อยให้โลกียวิสัย เนื้อหนัง และมารชักจูงชีวิต เราจะไม่เป็นผู้เหมาะสมที่จะเข้าครอบครองกับพระองค์ ดังนั้นเราต้องเลือกวันนี้ว่าจะให้อาณาจักรของพระองค์ครองใจเราวันนี้เพื่ออนาคตอันสง่าราศีในวันหน้า หรือจะให้ชีวิตดำเนินตามใจวันนี้และสูญเสียมรดกในวันหน้า


สรุป

ชีวิตเราจะไม่ยุติลงเมื่อเราสิ้นลมหายใจ ชีวิตยังคงดำเนินต่อไป โลกไม่ได้ดำเนินไปโดยปราศจากทิศทางและเหตุผล ฉะนั้นคริสเตียนจะต้องตระหนักชัดว่า

เราเป็นชุมชนที่ถูกเลือกไว้สำหรับอนาคตที่พระเจ้าเตรียมไว้แล้ว
ให้เรามองดูจุดหมายปลายทางอนาคต และนำชีวิตปัจจุบันให้ถึงอนาคต
อนาคตอันสง่าราศีเป็นของเราแน่ถ้าวันนี้พระเจ้าครองใจเรา

ยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า


ยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า

http://www.geocities.com/alumniccc/article/2004/armorofGod.html

เมื่อเราได้มารู้จักกับพระคริสต์ เรารู้ว่าเราไม่อาจหลีกหนีสงครามฝ่ายวิญญาณได้ ถ้าหากจะเปรียบสงครามฝ่ายวิญญาณที่เกิดขึ้นกับสงครามฝ่ายโลก ก็คงเหมือนกับสงครามระหว่างอเมริกากับอีรัก อเมริกาเป็นฝ่ายผู้ชนะสงคราม ในขณะที่อีรักนั้นแพ้อย่างราบคาบ และผู้นำซึ่งก็คือซัดดัมถูกควบคุมตัวเพื่อการพิพากษา เช่นเดียวกัน มารซาตานได้พ่ายแพ้องค์พระเยซูคริสต์แล้ว มันไม่มีอาวุธและไม่มีทางใดๆที่จะต่อสู้อีก มันกำลังรอเวลาเพื่อการพิพากษา คงจะเป็นเรื่องแปลกหากคนอิรักพยายามโกหกและบอกกับคนอเมริกาว่าตนเองเป็นฝ่ายชนะสงคราม และคงจะเป็นเรื่องแปลกยิ่งกว่าหากมีคนอเมริกาหลงเชื่อในคำโกหกนั้น แต่สิ่งนี้กลับเกิดขึ้นจริงในสงครามฝ่ายวิญญาณ แม้ว่ามารซาตานจะเป็นฝ่ายแพ้ แต่มันก็ยังพยายามดิ้นรนอย่างเต็มที่ เพื่อที่จะล่อลวงมนุษย์ให้พินาศไปพร้อมกับมัน

ทั้งๆที่เรารู้ว่าผู้เชื่อทุกคนซึ่งเป็นผู้ที่อยู่ฝ่ายพระเจ้าก็อยู่ฝ่ายชนะด้วย แต่หลายครั้งเรากลับไม่มั่นใจในชัยชนะที่เรามี ซาตานไม่มีอาวุธใดๆที่จะต่อกรได้อีกจะเว้นก็แต่เพียง "การโกหก" เท่านั้น หากมองผิวเผิน เราคงคิดว่าก็แค่การโกหก ก็เป็นเพียงแค่คำพูดที่ไม่น่าจะมีอันตรายใดๆได้ แต่ในความเป็นจริงไม่เป็นเช่นนั้น เพราะมารซาตานเป็นพ่อแห่งการมุสา ดังนั้นเราจึงต้องระมัดระวังตนเองในการดำเนินชีวิตเพื่อไม่ให้ตกอยู่ในหลุมหรือกับดักที่มารได้วางไว้ พระเจ้าทรงรู้ดีถึงอันตรายของการโกหกของมารและรู้ว่าเราไม่อาจจะเผชิญกับสงครามนี้ด้วยตัวเปล่าได้ พระองค์จึงได้ทรงประทานยุทธภัณฑ์ที่จำเป็นในการทำสงครามให้กับเรา และหน้าที่ของเราคือการสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดนั้นและเตรียมพร้อมอยู่เสมอ ในพระธรรมเอเฟซัส 6:11-18 ได้บอกเราเกี่ยวกับสงครามฝ่ายวิญญาณและยุทธภัณฑ์ทั้งชุดที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้ให้กับเรา ดังนี้ "จงสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า เพื่อจะต่อต้านยุทธอุบายของพญามารได้ เพราะว่าเราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือด แต่ต่อสู้กับเทพผู้ครอง ศักดิเทพ เทพผู้ครองพิภพในโมหะความมืดแห่งโลกนี้ ต่อสู้กับเหล่าวิญญาณที่ชั่วในสถานฟ้าอากาศ เหตุฉะนั้นจงรับยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าไว้ เพื่อท่านจะได้ต่อต้านในวันอันชั่วร้ายนั้น และเมื่อเสร็จแล้วจะอยู่อย่างมั่นคงได้


เหตุฉะนั้นท่านจงมั่นคง เอาความจริงคาดเอว เอาความชอบธรรมเป็นทับทรวงเครื่องป้องกันอก เอาข่าวประเสริฐแห่งสันติสุข ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความพรั่งพร้อมมาสวมเป็นรองเท้า และพร้อมกับสิ่งทั้งหมดนี้ จงเอาความเชื่อเป็นโล่ ด้วยโล่นั้นท่านจะได้ดับลูกศรเพลิงของพญามารเสีย จงเอาความรอดเป็นหมวกเหล็กป้องกันศีรษะ และจงถือพระแสงของพระวิญญาณ คือพระวจนะของพระเจ้า จงอธิษฐานวิงวอนทุกอย่าง จงขอโดยพระวิญญาณทุกเวลา ทั้งนี้จงระวังตัวด้วยความเพียรทุกอย่าง จงอธิษฐานเพื่อธรรมิกชนทุกคน"
ยุทธภัณฑ์อย่างแรกที่พระเจ้าประทานให้เราคือ "เอาความจริงคาดเอว" ซาตานพยายามจู่โจมความคิดของเรา มันพยายามทำให้เราสงสัยในพระเจ้า เหมือนกับที่มันได้ทำกับอาดัมในสวนเอเดน "จริงหรือที่พระเจ้าตรัสห้ามว่า อย่ากินผลจากต้นไม้ใดๆในสวนนี้" ปฐมกาล 3:1 ทั้งๆที่จริงๆแล้วพระเจ้าตรัสว่า "บรรดาผลไม้ทุกอย่างในสวนนี้ เจ้ากินได้ทั้งหมด เว้นแต่ต้นไม้แห่งความสำนึกในความดีและความชั่ว ผลของต้นไม้นั้นอย่ากิน เพราะในวันใดที่เจ้าขืนกิน เจ้าจะต้องตายแน่" ปฐมกาล 2:16 - 17 ไม่เพียงแค่การสงสัยเท่านั้น มันยังพยายามทำทุกวิถีทางให้เราหันหลังให้พระเจ้า มันใช้การข่มเหงเพื่อให้เราเปลี่ยนใจ ใช้คำสอนผิดๆเพื่อให้เราหลงไป หรือแม้แต่การพยายามให้เราพึ่งตนเองมากขึ้นและเลิกพึ่งพาพระเจ้า ทำให้เราเข้าใจว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพราะความสามารถของเราเองเท่านั้น เหมือนกับมันได้ทำให้กษัตริย์ดาวิดนับจำนวนประชากรอิสราเอลใน 1 พงศาวดาร 21:1-2 "ซาตานได้ยืนขึ้นต่อสู้อิสราเอล และดลพระทัยให้ดาวิดนับจำนวนอิสราเอล ดาวิดจึงตรัสกับโยอาบและผู้บังคับบัญชากองทัพว่า จงไปนับอิสราเอลตั้งแต่เมืองเบเออร์เชบาถึงเมืองดาน แล้วนำรายงานมาให้เรา เพื่อจะได้ทราบจำนวนรวมของเขาทั้งหลาย" เพื่อที่จะต่อสู้กับสงครามดังกล่าว เราจำเป็นต้องใช้เข็มขัดแห่งความจริงในการต่อสู้ การคาดเอวในที่นี้หมายถึงการเตรียมพร้อมอยู่เสมอ การคอยเฝ้าระวังอยู่ เหมือนกับที่พระเยซูได้ตรัสเป็นการเปรียบเทียบไว้ใน ลูกา 12:35 ว่า "ท่านทั้งหลายจงคาดเอวของท่านไว้ และให้ตะเกียงของท่านจุดอยู่" สำหรับความจริงในที่นี้ก็คือความจริงที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานพระวจนะของพระเจ้า ซึ่งจะสามารถช่วยเราในการต่อต้านปัญหาและความคิดที่ซาตานใส่เข้ามาให้เราได้ สิ่งสำคัญที่จะให้เราสามารถดำเนินชีวิตบนความจริงนี้ได้ก็คือการที่เราต้องยอมจำนนชีวิตของเราต่อพระเจ้าและให้พระองค์ได้รับเกียรติผ่านทางชีวิตของเรา

ยุทธภัณฑ์อย่างที่สองที่พระเจ้าประทานให้เราคือ "เอาความชอบธรรมเป็นทับทรวงเครื่องป้องกันอก" เป้าหมายหลักของมารซาตานคือพยายามนำคนให้พินาศไปพร้อมกับมันให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ดังนั้นมันจึงพยายามโจมตีความคิดและอารมณ์ของเรา มันพยายามทำให้เราคิดว่าเราสามารถรอดได้ด้วยความชอบธรรมหรือความสามารถของเราเอง เหมือนกับในลูกา 18:9 - 13 ที่ฟาริสีเห็นว่าตนเองเป็นผู้ชอบธรรมกว่าคนเก็บภาษีเพราะได้ทุ่มเทให้กับการอธิษฐาน ทุ่มเทให้กับการพยายามดำเนินชีวิตตามธรรมบัญญัติ และคิดว่าพระเจ้าจะต้องชื่นชอบเขามากกว่าคนบาปอย่างคนเก็บภาษีอย่างแน่นอน แต่พระเยซูกลับบอกว่าคนที่ไว้ใจตนเองว่าเป็นผู้ชอบธรรม คนที่ยกตัวเองขึ้นนั้นจะต้องถูกเหยียดลง ความพยายามทั้งสิ้นของเราที่ปราศจากพระเจ้าก็ไร้ความหมาย ความชอบธรรมของเราก็เปรียบเหมือนเสื้อผ้าสกปรก เหมือนกับที่ได้กล่าวไว้ในพระธรรมอิสยาห์ 64:6 ว่า "ข้าพระองค์ทุกคนได้กลายเป็นเหมือนคนที่ไม่สะอาด และการกระทำอันชอบธรรมของข้าพระองค์ทั้งสิ้น เหมือนเสื้อผ้าที่สกปรก ข้าพระองค์ทุกคนเหี่ยวลงอย่างใบไม้ และความผิดของข้าพระองค์ทั้งหลายได้พัดพาข้าพระองค์ไปเหมือนลม"


เราต้องระมัดระวังว่าความรอดหรือความชอบธรรมที่เรามีนั้นไม่ได้เกิดจากตัวเราเอง เพราะไม่มีมนุษย์คนใดเป็นคนชอบธรรมเลย "ไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรมสักคนเดียว ไม่มีเลย" โรม 3:10 แต่ความชอบธรรมที่เรามีนั้นเป็นของประทานที่มาจากพระเจ้า เราได้รับมาโดยทางความเชื่อ "ไม่มีความชอบธรรมของข้าพเจ้าเอง ซึ่งได้มาโดยธรรมบัญญัติ แต่มีมาโดยความเชื่อในพระคริสต์ เป็นความชอบธรรมซึ่งมาจากพระเจ้าซึ่งขึ้นอยู่กับความเชื่อ" ฟิลิปปี 3:9 และใน 2 โครินธ์ 5:21 ยังได้ย้ำเราว่า "เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงกระทำพระองค์ผู้ทรงไม่มีบาปให้บาป เพราะเห็นแก่เรา เพื่อเราจะได้เป็นคนชอบธรรมของพระเจ้าทางพระองค์" ไม่เพียงแค่การระลึกว่าเราเป็นผู้ชอบธรรมหรือรอดได้เพราะความเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าเท่านั้น ในการดำเนินชีวิตของเราจะต้องชอบธรรมด้วย เราจะต้องรักษาชีวิตของเราให้บริสุทธิ์เพื่อที่เราจะได้มีชัยชนะในการต่อสู้ที่มีขึ้นอยู่ทุกๆวัน "กลางคืนล่วงไปมากแล้ว และรุ่งเช้าก็ใกล้เข้ามา เราจงเลิกการกระทำของความมืด และจงสวมเครื่องอาวุธของความสว่าง เราจงประพฤติตัวให้เหมาะสมกับเวลากลางวัน มิใช่เลี้ยงเสพสุราเมามาย มิใช่หยาบโลนลามก มิใช่วิวาทริษยากัน แต่ท่านจงประดับกายด้วยพระเยซูคริสต์เจ้า และอย่าจัดเตรียมอะไรไว้บำรุงบำเรอตัณหาของเนื้อหนัง" โรม 13:12-14
ยุทธภัณฑ์อย่างที่สามที่พระเจ้าประทานให้เราก็คือ "รองเท้าของข่าวประเสริฐแห่งสันติสุข" หลายๆคนอาจจะเข้าใจผิดคิดว่ารองเท้าในที่นี้หมายถึงการออกไปประกาศข่าวประเสริฐเหมือนกับในพระธรรมโรม 10:15 ที่ได้กล่าวเอาไว้ว่า "และถ้าไม่มีใครใช้เขาไป เขาจะไปประกาศอย่างไรได้ ตามที่มีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า เท้าของคนเหล่านั้นที่นำข่าวดีมาช่างงามจริงๆหนอ" รองเท้าที่กล่าวถึงในที่นี้คือการยึดมั่นในข่าวประเสริฐไม่ใช่การประกาศ เพราะเรากำลังกล่าวถึงยุทธภัณฑ์ที่พระเจ้าประทานให้ และเราสามารถสวมยุทธภัณฑ์อันนี้ได้ก็ต่อเมื่อเราได้รู้จักพระเจ้าแล้วเท่านั้น


ในการออกไปทำสงคราม รองเท้ามีความสำคัญมาก เพราะจะช่วยให้เราสามารถยืนได้อย่างมั่นคง หากเราสวมรองเท้าที่ไม่ดีออกไปรบ เราอาจจะลื่นหรือล้มได้ ซึ่งนั่นอาจจะหมายถึงการเสียชีวิตได้ ก่อนที่เราจะมารู้จักพระเจ้านั้นเราอยู่คนละฝ่ายกับพระองค์ แต่เพราะข่าวประเสริฐแห่งสันติสุขนี่เองทำให้เราได้กลับมาคืนดีกับพระองค์โดยผ่านทางองค์พระเยซูคริสต์ "เหตุฉะนั้น เมื่อเราได้เป็นคนชอบธรรมเพราะความเชื่อแล้ว เราจึงมีสันติสุขในพระเจ้าทางพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา" โรม 5:1


เมื่อเราได้มาคืนดีกับพระองค์ เราก็อยู่ฝ่ายพระองค์ และเรามั่นใจได้ว่าเราจะได้รับการปกป้อง ได้รับการดูแลจากพระองค์ และจะไม่มีอำนาจใดสามารถมาทำร้ายเราได้ถ้าพระองค์ไม่ทรงอนุญาต ไม่เพียงแค่การกลับมาคืนดีกับพระเจ้าและอยู่ในฝ่ายเดียวกับพระองค์เท่านั้น แต่พระเจ้ายังทรงรักษาสันติสุขอันนี้ไว้ให้เราโดยผ่านทางพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ที่จะทรงชำระบาปต่างๆของเราเมื่อเราได้ล่วงละเมิดหรือทำผิดพลาดไป "แต่ถ้าเราดำเนินอยู่ในความสว่าง เหมือนอย่างพระองค์ทรงสถิตในความสว่าง เราก็ร่วมสามัคคีธรรมซึ่งกันและกัน และพระโลหิตของพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ก็ชำระเราทั้งหลายให้ปราศจากบาปทั้งสิ้น" 1 ยอห์น 1:7 และพระองค์ยังทรงสัญญาด้วยว่าสันติสุขที่มอบให้เรานี้เป็นสันติสุขที่นิรันดร์ ไม่มีสิ่งไหนจะสามารถมาพรากไปจากเราได้ "โดยการถวายบูชาเพียงครั้งเดียว พระองค์ก็ได้ทรงกระทำให้คนทั้งหลายที่ได้รับการทรงชำระให้บริสุทธิ์แล้วนั้นถึงความสมบูรณ์เป็นนิตย์" ฮิบรู 10:14 ดังนั้นเมื่อเรารู้และมั่นใจว่าสันติสุขที่เราได้รับนั้นเป็นสันติสุขที่นิรันดร์ เราก็จะสามารถยืนหยัดในการต่อสู้ได้อย่างมั่นคง อ่านต่อฉบับหน้า

โดย พายุแห่งความเปรมปรีดิ์

My Blog

  • วินัยของน้องหมา (ข้างถนน) - วันที่ 18/8/2011 เช้านี้ขณะที่รถติดไฟแดงอยู่บริเวณสี่แยกสามย่าน ซึ่งเบื้องหน้าเป็นจามจุรีสแควร์นั้น พลันก็เหลือบเห็นน้องหมาตัวหนึ่งเดินข้ามทางม้าลายด้วยอ...
    12 ปีที่ผ่านมา
  • บทความคริสเตียน - บทความคริสเตียน http://www.gracezone.org/index.php/christian-articles บทความทางด้านจิตวิญญาณ หลักข้อเชื่อ พระเจ้า พระคัมภีร์ พระเจ้า พระคัมภีร์ แนวทางในการ...
    14 ปีที่ผ่านมา
  • คริสเตียนกับการรับใช้พระเยซู - คริสเตียนกับการรับใช้พระเยซู วัน พุธ 08 ต.ค. 08@ 17:47:37 ICT หัวข้อ: สรุปคำเทศนาประจำอาทิตย์ ดร.ทะนุ วงค์ธนานุกุล วัน อาทิตย์ ที่ 21 กันยายน 2008 พระธร...
    15 ปีที่ผ่านมา
  • - แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้องจะนมัสการพระบิดา ด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้...
    15 ปีที่ผ่านมา

Christian Blog

บล็อกวาไรตี้

เทคโนโลยี

ดาวน์โหลดโปรแกรมมาใหม่ล่าสุด |

วาไรตี้

ข่าวประจำวัน

สารบัญเว็บไทย

กินลม ชมทะเล ที่มาร์คเฮ้าส์บังกะโล เกาะกูด จ.ตราด

Thailand Map