Custom Search By Google

Custom Search

วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

พระปัญญาของพระเจ้า (2)‏

มี 3 ประการที่อยากฝากเอาไว้ เพื่อเป็นการตอบสนองต่อพระปัญญาของพระเจ้า ได้แก่

1. ให้เราเริ่มต้นด้วยการยำเกรงพระเจ้า
"ความยำเกรงพระเจ้า เป็นบ่อเกิดของ ความรู้ คนโง่ย่อมดูหมิ่นปัญญาและคำสั่งสอน" (สุภาษิต 1:7)

การที่เราจะตอบสนองพระปัญญาของพระเจ้า จะต้องเริ่มต้นโดยการกลัวพระเจ้า เพื่อที่เราจะให้พระองค์นำหน้าเรา เพื่อเราจะยอมรับรู้พระองค์ในทุกทางของเรา

2. ให้เราเติบโตกับพระคำของพระเจ้า
เมื่อเรายำเกรงพระเจ้า เราจำเป็นต้องเติบโตกับพระคำของพระเจ้า

"97 แหม ข้าพระองค์รักพระธรรมของพระองค์จริงๆ เป็นคำภาวนาของข้าพระองค์วันยังค่ำ
98 พระบัญญัติของพระองค์กระทำให้ ข้าพระองค์ฉลาดกว่าศัตรูของข้าพระองค์ เพราะพระบัญญัตินั้นอยู่กับข้าพระองค์เสมอ
99 ข้าพระองค์มีความเข้าใจมากกว่าบรรดา ครูของข้าพระองค์ เพราะบรรดาพระโอวาทของพระองค์เป็น คำภาวนาของข้าพระองค์
100 ข้าพระองค์เข้าใจมากกว่าคนสูงอายุ เพราะข้าพระองค์รักษาข้อบังคับของพระองค์" (สดุดี 119:97-100)

"15 และตั้งแต่เด็กมาแล้ว ที่ท่านได้รู้พระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งสามารถสอนท่านให้ถึงความรอดได้โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์
16 พระคัมภีร์ ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และ(หรือ ทุกตอนที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้า ก็) เป็นประโยชน์ในการสอน การตักเตือนว่ากล่าว การปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี และการอบรมในทางธรรม
17 เพื่อคนของพระเจ้าจะพรักพร้อมที่จะกระทำการดีทุกอย่าง" (2ทิโมธี 3:15-17)

ให้เราพร้อมที่จะเชื่อฟังพระเจ้า ไม่ใช่เพียงแค่รู้อย่างเดียว อย่าให้เราอ่านพระคัมภีร์ เฝ้าเดี่ยว เป็นเพียงกิจวัตร แต่ขอที่เราจะอ่านแล้ว รับรู้แล้ว กระทำตามด้วย เพื่อจะเป็นเหมือนคนสร้างบ้านบนศิลา มีรากฐานที่มั่นคง

3. ถ้ารู้สึกว่าขาดสิ่งใด ให้เราทูลขอพระเจ้าด้วยความเชื่อ
ถ้าผู้ใดรู้สึกว่าขาดปัญญา ให้เราขอต่อพระเจ้า และให้เราวางใจในพระเจ้า พระเจ้าจะทรงประทานสติปัญญาให้แก่เรา และเมื่อเราขอแล้ว อย่าสงสัย ให้เราเชื่อ

"5 ถ้าผู้ใดในพวกท่านขาดสติปัญญา ก็ให้ผู้นั้นทูลขอจากพระเจ้า ผู้ทรงโปรดประทานให้แก่คนทั้งปวงด้วยพระกรุณาและมิได้ทรงตำหนิ แล้วผู้นั้นก็จะได้รับสิ่งที่ทูลขอ
6 แต่จงให้ผู้นั้นทูลขอด้วยความเชื่อ อย่าสงสัยเลย เพราะว่าผู้ที่สงสัยเป็นเหมือนคลื่นในทะเลซึ่งถูกลมพัดซัดไปมา
7 ผู้นั้นจงอย่าคิดว่าจะได้รับสิ่งใดจากพระเจ้าเลย
8 เขาเป็นคนสองใจไม่มั่นคงในบรรดาทางที่ตนประพฤตินั้น" (ยากอบ 1:5-8)

ท่าทีของการเชื่อฟัง คือ ตั้งใจแต่แรกว่า ไม่ว่าพระเจ้าจะให้เราไปในทางใด เราจะไปในทางนั้นตามที่พระองค์ทรงนำ



ให้เรา rest and trust วางใจพระเจ้าอย่างสุดใจ เพราะว่าเราอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าที่แสนดี พระเจ้าผู้ทรงเป็นความรัก ผู้ที่ทรงทราบทุกสิ่ง ทรงมีฤทธานุภาพที่จะนำไปถึงผลที่จะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของเราอย่างแน่นอน และจะเป็นสิ่งที่มีคุณค่า มีความหมายสูงสุดในชีวิตของเรา

อยากให้มีโอกาสที่จะคิดถึงเรื่องราวในชีวิตของเรา ว่ามีเรื่องใดที่เรารู้สึกว่าไม่เข้าใจในแผนการของพระเจ้า ว่าทำไมพระองค์จึงให้เกิดสิ่งนี้ ขอที่เราจะนำสิ่งที่เราเรียนรู้ ว่าพระเจ้าเรายิ่งใหญ่ ทรงล้ำลึก พระปัญญาของพระองค์ก็เกินความเช้าใจ ให้เราเชื่อวางใจพระองค์ ว่าพระองค์จะทรงดูแลนำพาชีวิตของเราอย่างแน่นอน

อยากฝากพระธรรมตอนนี้ ให้เราใคร่ครวญ

"โอ พระปัญญาและความรอบรู้ของพระเจ้านั้น ล้ำลึกเท่าใด ข้อตัดสินของพระองค์นั้นเหลือที่จะหยั่งรู้ได้ และทางของพระองค์ก็เหลือที่จะสืบเสาะได้" (โรม 11:33)



Reference: http://www.livingontheedge.org/lotecommunity/media/audio/july09audio6.php



กุลกันยา วงศ์สันติชน

คำแบ่งปันเซลล์เพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 10/07/2009

เรื่อง พระปัญญาของพระเจ้า

วันเสาร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

พระปัญญาของพระเจ้า (1)‏

ก่อนอื่น อยากให้อยู่ในท่าสบาย ๆ แล้วคิดถึงในอดีต ว่ามีสิ่งใดหรือไม่ที่เราคิดว่าเป็นเรื่องยากในชีวิต เป็นเรื่องที่เรามีความรู้สึกว่า ทำไมพระเจ้าที่ทรงบอกว่าทรงมีแผนการที่ดีในชีวิตของเรา จึงอนุญาตให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น? ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งกับเพื่อน โรคภัยไข้เจ็บต่าง ทั้ง ๆ ที่เราเชื่อฟังพระเจ้าแล้ว ทำไมสิ่งเหล่านี้จึงเกิดขึ้น? หลายครั้ง ชีวิตของเราเจอกับเรื่องราวเหล่านี้

พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ในชีวิตเรา สิ่งที่พระองค์จัดเตรียมนั้นไม่ใช่เพียงแค่ปัจจุบัน แต่เป็นนิจนิรันดร์

ภาษาอังกฤษ dictionary ฉบับ Webster ได้แปลคำว่า "Wisdom" ว่า "to know" หรือ "to see"

ดังเช่นเมื่อมีรุ่นน้องปรึกษารุ่นพี่ รุ่นพี่ก็สามารถให้คำแนะนำได้ เพราะเขามองภาพออก เขารู้ และเขามองเห็นแล้วว่า น่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นต่อไป เนื่องจากเขามีประสบการณ์มาก่อน

มีผู้ที่ให้คำจำกัดความถึงพระปัญญาของพระเจ้าว่า "Wisdom of God is attribute of God whereby He produces the best possible results by the best possible means"

"พระเกียรติและพระสิริจงมีแด่พระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระเจริญอยู่นิรันดร์ ผู้ทรงเป็นองค์อมตะ ซึ่งมิได้ปรากฏพระองค์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าแต่องค์เดียวสืบๆไปเป็นนิตย์ อาเมน" (1ทิโมธี 1:17)

พระองค์เป็นพระเจ้าที่ทรงอยู่นิรันดร์ ทรงอยู่ตั้งแต่เริ่มแรก ทรงอมตะ สิ่งเหล่านี้ทำให้เรามีความเข้าใจมากขึ้นได้อย่างไร?

อยากจะขอเล่าเรื่องราวของบุคคลหนึ่ง เขาเป็นนักฟุตบอล ได้ทำงานเป็นโค๊ชสอนเด็ก แล้วพระเจ้าทรงเรียกให้เขาเรียนพระคริสต์ธรรม เขาก็เชื่อฟัง เขาตัดสินใจที่จะถวายตัวรับใช้พระเจ้าเต็มตัว โดยภรรยาจะเป็นผู้เลี้ยงลูก ซึ่งเขามีลูกเล็ก 3 คน

แต่ละวัน เขาก็จะเตรียมตัวตอนเช้าเรียบร้อย เรียน ทำงาน กลับมาก็เล่นกับลูก เมื่อดึก ๆ จึงทำการบ้าน แล้วจึงนอน เขาทำหน้าที่อย่างเต็มที่ งานรับใช้ของเขาเติบโตขึ้น แต่งานเขาก็หนักมากขึ้น จนถึงจุด ๆ หนึ่งเขาก็รู้สึกว่าอยากที่จะเลิก ไม่อยากเรียนต่อ

วันหนึ่ง ขณะเขานั่งในห้องเรียน เขาเหม่อลอย ไม่ได้จดจ่อกับสิ่งที่เรียน แล้วจู่ ๆ ก็มีมือที่แตะที่ไหล่ของเขา เขาจึงรู้สึกตัวว่าในห้องนั้นไม่มีใครอยู่แล้ว เหลือเขาอยู่คนเดียว เพราะคนอื่นออกไปหมดแล้ว เขาจึงได้บอกกับอาจารย์ที่แตะไหล่เขาว่าเขาอยากเลิกเรียน อาจารย์จึงบอกให้เขากลับบ้าน พักผ่อน รับประทานอาหารให้อิ่ม นอนให้พอ

เขารู้สึกว่าเขาได้รับใช้พระเจ้าเต็มที่ แต่ตอนนี้ เขาไม่มีเงินที่จะจ่ายค่าใช้จ่ายต่าง ๆ มีปัญหารอบตัวอย่างมากมาย ทำไมสิ่งเหล่านี้จึงเกิดขึ้น? พระองค์บอกว่าทรงมีแผนการที่ดีเลิศให้แก่ชีวิตของเราไม่ใช่หรือ? คำที่ professor พูดเสมอ ว่า "Wisdom of God is attribute of God whereby He produces the best possible results by the best possible means" ทั้ง ๆ ที่เขาไม่เคยจด แต่สิ่งนี้ก็เข้ามาในความคิดของเขา

มีชีวิตของอีกคนหนึ่ง เขามีหน้าที่สับรางรถไฟ เขาดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข บ้านของเขาในชานเมือง และเขาทำงานที่เนินเขา เมื่อเวลากลางวัน ลูกของเขาจะวิ่งเอาอาหารมาให้ทุกวัน

วันหนึ่ง ขณะที่ลูกของเขากำลังจะเอาอาหารมาให้เช่นปกติ ขาของลูกเขาเกิดติดกับรางรถไฟ รถไฟกำลังวิ่งมาเร็วมาก เขามีทางเลือกสองทาง คือ จะสับรางเพื่อให้รถไฟไม่มาวิ่งทับลูกของเขา แต่ชีวิตของคนในรถไฟจะอันตราย หรือไม่ก็สับรางเพื่อให้รถไฟวิ่งมาทับลูกของเขา แล้วคนในรถไฟหลายร้อยคนจะรอด

สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ต้องคิดต้องตัดสินใจอย่างมาก จะรู้ได้อย่างไรว่าลูกของเขาอาจจะเติบใหญ่เป็นผู้รับใช้ที่ยิ่งใหญ่ก็เป็นได้ หรือคนในรถไฟขบวนนั้นอาจจะมีผู้ที่กำลังคิดยาต้านไวรัสเอดส์ได้ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่โลกได้อย่างมาก สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่มนุษย์เราไม่สามารถรู้ได้ แต่พระเจ้าทรงทราบทุกสิ่ง ทรงมีแผนการที่เกินความเข้าใจ

คำว่าพระปัญญาของพระเจ้า เป็นความคมชัด เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงเห็นตั้งแต่เริ่มต้นจนสุดปลาย พระองค์ทรงมีแผนการที่เกินความเข้าใจของเรา เพื่อประโยชน์ในนิรันดร์กาลของเรา

สิ่งหนึ่งที่เราสามารถทราบถึงพระปัญญาของพระเจ้าได้ คือ สิ่งทรงสร้าง เมื่อเรามองในธรรมชาติ เราจะเห็นถึงอัศจรรย์และความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

"1 ฟ้าสวรรค์ประกาศพระสิริของพระเจ้า และภาคพื้นฟ้าสำแดงพระหัตถกิจของพระองค์
2 วันส่งถ้อยคำให้แก่วัน และคืนแจ้งความรู้ให้แก่คืน
3 วาจาไม่มี ถ้อยคำก็ไม่มี และไม่มีใครได้ยินเสียงฟ้า
4 ถึงกระนั้นเสียงฟ้าก็ออกไปทั่วแผ่นดินโลก และถ้อยคำก็แพร่ไปถึงสุดปลายพิภพ พระองค์ทรงตั้งเต็นท์ไว้ให้ดวงอาทิตย์ ณ ที่นั้น
5 ซึ่งออกมาอย่างเจ้าบ่าวออกมาจากห้องโถงของเขา และวิ่งไปตามวิถีด้วยความชื่นบานอย่างชายฉกรรจ์
6 ดวงอาทิตย์ขึ้นมาจากสุดปลายฟ้าสวรรค์ข้างหนึ่ง และโคจรไปถึงที่สุดปลายอีกข้างหนึ่ง ไม่มีสิ่งใดสามารถซ่อนให้พ้นจากความร้อนของมันได้
7 กฎหมายของพระเจ้ารอบคอบ และฟื้นฟูจิตวิญญาณ กฎเกณฑ์ของพระเจ้านั้นแน่นอน
กระทำให้คนรู้น้อยมีปัญญา" (สดุดี 19:1-7)

สิ่งทรงสร้าง เป็นสิ่งที่ซับซ้อน ยิ่งใหญ่ แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของพระผู้สร้าง ถ้าผู้ใดเรียนสายวิทยาศาสตร์ก็จะยิ่งเห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น ได้เห็นความสลับซับซ้อนของเซลล์ผ่านทางกล้องจุลทรรศน์ ได้มองเห็นความยิ่งใหญ่ของจักรวาล

"ข้าแต่พระเจ้า พระราชกิจของพระองค์มากมายจริง ๆ พระองค์ทรงสร้างการงานนั้นทั้งสิ้นด้วยพระปัญญา แผ่นดินโลกมีสิ่งที่ทรงสร้างเต็มหมด" (สดุดี 104:24)

"10 พระเจ้าทรงให้การปรึกษาของชาติต่างๆเปล่าประโยชน์ พระองค์ทรงให้แผนงานของชนชาติทั้งหลายไร้ผล
11 คำปรึกษาของพระเจ้าตั้งมั่นคงเป็นนิตย์ พระดำริในพระทัยของพระองค์อยู่ทุกชั่วชาติพันธุ์" (สดุดี 33:10-11)

ในเหตุต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นล้วนอยู่ในแผนการของพระองค์

ในพันธสัญญาเดิม มีเหตุการณ์ต่าง ๆ มากมาย มีปัจจัยที่เกิดจากการเชื่อฟังหรือการดื้อดึงของมนุษย์ พระเจ้าทรงมีประประสงค์ในแต่ละเหตุการณ์ ทรงครอบครองทุกสิ่ง มีสิทธิอำนาจเด็ดขาด และพระปัญญาที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่เราสามารถเห็นได้ชัดเจน คือ การทรงไถ่ของพระเยซูคริสต์

แผนการของพระเจ้านั้น มิได้เพื่อประโยชน์ของเราแค่ในปัจจุบัน แต่ไปจนถึงอนาคต จนถึงนิรันดร์กาลด้วย พระองค์จึงทรงส่งพระเยซูคริสต์มา เพื่อสิ้นพระชนม์แทนเรา เป็นแผนการที่เกินความเข้าใจของมนุษย์ เป็นเรื่องที่มนุษย์อาจคิดว่าโง่เขลา แต่นี่เป็นพระปัญญาของพระเจ้า เพื่อปลดปล่อยเราจากการเป็นทาสของความบาป

"โดยพระองค์ ท่านจึงอยู่ในพระเยซูคริสต์ เพราะพระเจ้าทรงตั้งพระองค์ให้เป็นปัญญาและความชอบธรรมของเรา และเป็นผู้ทรงชำระเราให้บริสุทธิ์ และทรงเป็นผู้ไถ่เราไว้ให้พ้นบาป" (1โครินธ์ 1:30)

เรามีความเข้าใจว่า การที่เรารอด ก็รอดโดยพระคุณ เพราะความเชื่อ เป็นพระคุณของพระเจ้า ไม่มีผู้ใดที่สมควรจะได้รับความรอด แต่นี่เป็นแผนการของพระเจ้าที่ทรงต้องการให้ผู้ที่รับฟังข่าวประเสริฐแล้วกลับใจ ได้รับความรอด

"15 เหตุฉะนั้นท่านจงระมัดระวังในการดำเนินชีวิตให้ดี อย่าให้เหมือนคนไร้ปัญญา แต่ให้เหมือนคนมีปัญญา

16 จงฉวยโอกาส เพราะว่าทุกวันนี้เป็นกาลที่ชั่ว
17 เหตุฉะนั้นอย่าเป็นคนโง่เขลา แต่จงเข้าใจน้ำพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่าเป็นอย่างไร" (เอเฟซัส
5:15-17)


เราจะต้องดำเนินชีวิตอย่างระมัดระวัง และมีปัญญา




Reference: http://www.livingontheedge.org/lotecommunity/media/audio/july09audio6.php



กุลกันยา วงศ์สันติชน

คำแบ่งปันเซลล์เพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 10/07/2009

เรื่อง พระปัญญาของพระเจ้า

วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ฤทธิ์เดชแห่งพระวจนะ (4): พระวจนะเป็นพระสัญญาของพระเจ้า‏

4. พระวจนะเป็นพระสัญญาของพระเจ้า

"เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ตราบใดที่ฟ้าและดินดำรงอยู่ แม้อักษรหนึ่งหรือขีดๆหนึ่งก็จะไม่สูญไปจากธรรมบัญญัติ จนกว่าสิ่งที่จะต้องเกิด ได้เกิดขึ้นแล้ว" (มัทธิว 5:18)

นี่เป็นคำสัญญาที่พระเยซูคริสต์ตรัสแก่เหล่าสาวก ว่าสิ่งที่เขียนในพระคัมภีร์ จะเกิดขึ้นจริงตามนั้นทุกประการ

"บรรดาพระสัญญาของพระเจ้าก็จริงโดยพระเยซู เพราะเหตุนี้เราจึงพูดว่าอาเมน โดยพระองค์เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า" (2โครินธ์ 1:20)

แม้ว่าพระสัญญาจะเป็นจริง แต่สิ่งเหล่านั้นไม่ได้เกิดขึ้นอย่างอัตโนมัติ

พระเจ้าทรงประทานพระสัญญาแก่อิสราเอลว่าเขาจะได้รับแผ่นดินแห่งพันธสัญญา แต่จะพบว่ากว่าเขาจะได้ดินแดนนั้น อิสราเอลผ่านประสบการณ์การเชื่อฟังและการไม่เชื่อฟังอย่างมากมาย

พระเจ้าทรงประทานชีวิตนิรันดร์ให้แก่เรา จะทรงประทานสิ่งสารพัดให้แก่เราบนโลกนี้ จะทรงประทานสติปัญญา สันติสุข ทรงจัดเตรียมให้แก่เราอย่างบริบูรณ์ แต่สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าหากว่าเรามิได้มีความเชื่อที่แสดงออกมาเป็นการกระทำ

อับราฮัมเชื่อมั่นในพระสัญญาของพระเจ้า รอคอยด้วยความเชื่อและวางใจในพระเจ้าตลอด เชื่อว่าพระสัญญาของพระเจ้าเป็นจริงเสมอ เพราะทุกสิ่งที่เป็นพระสัญญาของพระเจ้า



ขอที่เราเรียนรู้ที่จะรอคอยพระเจ้า พระองค์ทรงมีเวลาที่เหมาะสม

ขอที่เราจะมีความเชื่อแบบอับราฮัม ตัดสินใจว่าจะเชื่อในพระสัญญาของพระเจ้า ยืนหยัดและยึดมั่นในพระสัญญาของพระเจ้า

อยากขอส่งท้ายด้วยคำนำจากหนังสือพระคัมภีร์ฉบับเดียน

"พระคริสต์ธรรมคัมภีร์ มีเรื่องพระประสงค์ของพระเจ้า สภาวะของมนุษย์ ทางแห่งความรอด เคราะห์กรรมของคนบาป และความผาสุกของผู้ที่เชื่อถือ หลักธรรมก็บริสุทธิ์ผุดผ่อง คำสอนก็ผูกพันกับประวัติศาสตร์ ก็เป็นความจริง ข้อตกลงไม่มีเปลี่ยนแปลง จงอ่านพระคริสตธรรมคัมภีร์จะได้เป็นคนฉลาด จงเชื่อถือเพื่อจะได้ความรอด จงประพฤติตามเพื่อจะได้เป็นคนบริสุทธิ์ผุดผ่อง มีแสงสว่างที่จะนำท่าน มีอาหารเพื่อค้ำชูท่าน และมีคำเล้าโลมเพื่อให้ท่านชื่นใจ

พระคริสต์ธรรมคัมภีร์เป็นแผนที่ของผู้เดินทาง เป็นไม้เท้าของผู้แสวงบุญ เป็นเข็มทิศของผู้นำร่องทาง เป็นดาบของทหาร เป็นแผนผังของคริสเตียน ในหนังสือนี้ เมืองบรมสุขกลับสู่สภาพเดิม เมืองสวรรค์เปิดกว้าง และปิดประตูนรก

พระคริสต์เป็นหัวใจสำคัญของหนังสือเล่มนี้ ท้องเรื่องก็เป็นของดีแก่เรา สุดท้ายนำไปสู่พระสิริของพระเจ้า

ควรจดจำไว้ให้เต็มสมอง ให้ครองจิตครองใจ ให้นำเท้า จงอ่านช้า ๆ อ่านบ่อย ๆ อ่านด้วยใจอธิษฐาน พระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นขุมทรัพย์ เป็นแดนสุขารมณ์ เป็นย่านน้ำแห่งความพอใจ ประทานให้ในชีวิตของเรา จะกางออกอีกในวันพิพากษาลงโทษ และจะให้คนจดจำไว้เป็นนิตย์ มีเรื่องความรับผิดชอบอันสูงส่ง จะให้รางวัลแก่ผู้ที่ขยันทำงาน คนใดดูหมิ่นเรื่องราวเหล่านี้จะถูกปรับโทษ"



ศจ. ทิวาพร ราชรักษ์

สรุปคำเทศนาโบสถ์ไทย คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 12/07/2009

เรื่อง ฤทธิ์เดชแห่งพระวจนะ

วันพุธที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ฤทธิ์เดชแห่งพระวจนะ (3): พระวจนะเป็นอาหารแห่งชีวิต‏

3. พระวจนะเป็นอาหารแห่งชีวิต

"ฝ่ายพระองค์ตรัสตอบว่า 'มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า 'มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียว หามิได้ แต่บำรุงด้วยพระวจนะทุกคำ ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า' ' " (มัทธิว 4:4)

สำหรับคนทั่วไป เพียงแค่ประสบความสำเร็จในชีวิตนั้นก็พอแล้ว แต่พระคัมภีร์ได้บอกแก่เราว่า สิ่งเหล่านั้นไม่สามารถทำให้จิตวิญญาณของเราอิ่มได้ แต่เราจำเป็นต้องบำรุงชีวิตด้วยพระวจนะของพระเจ้า

ทุกอย่างที่บันทึกในพระคัมภีร์ ตั้งแต่ต้นจนจบ ถ้าเราอ่าน จิตวิญญาณของเราจะเติบโตขึ้น และถ้อยคำเหล่านั้นจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราให้เหมือนพระเจ้ามากยิ่งขึ้น ทำให้เรารู้จักพระเจ้ามากยิ่งขึ้น

ชายคนหนึ่ง มาปรึกษาอาจารย์ว่า ทำอย่างไรดี เพราะเขาอ่านพระวจนะคำมากมาย แต่จำไม่ได้สักที อาจารย์จึงแนะนำให้ชายคนนั้นนำตะกร้าใบหนึ่งไปตักน้ำ

ชายคนนั้นจึงนำตะกร้าไปจุ่มลงในโอ่ง และยกขึ้นมา น้ำก็ไหลออกมาหมด

เขาจึงไปบอกอาจารย์ว่าทำไม่ได้ อาจารย์ก็บอกว่าให้ทำต่อไปเรื่อย ๆ

เขาทำต่อไป จนรู้สึกเหนื่อย อาจารย์จึงถามเขาว่า เขาได้สิ่งใดจากการทำเช่นนี้บ้าง เขาจึงตอบว่าไม่ได้อะไรเลย

แต่อาจารย์ก็ได้บอกกับเขาว่า "แม้ว่าจะไม่ได้น้ำ แต่สิ่งที่ได้ คือ ตะกร้าสะอาดขึ้น"

พระวจนะของพระเจ้าชำระจิตใจของเราให้สะอาดและบริสุทธิ์ ชีวิตเราจะได้รับการเปลี่ยนแปลงโดยที่เราไม่รู้ตัว แต่คนรอบข้างจะสังเกตได้

การอ่านพระวจนะคำของพระเจ้า เปรียบเหมือนการรับประทานอาหาร จำเป็นต้องกินทุก ๆ วัน ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ ถ้าเราปราศจากพระวจนะของพระเจ้า เราจะรู้สึกหิวกระหาย จนตายในที่สุด เป็นการตายฝ่ายวิญญาณ

พระคัมภีร์ประกอบด้วยสารอาหารที่ครบทุกอย่าง มีคุณค่าและประโยชน์ฝ่ายวิญญาณ

บางครั้งเราอาจรู้สึกว่าเบื่อ ไม่อยากอ่านพระคัมภีร์ แต่เมื่อนั้น แสดงว่าจิตวิญญาณของเราต้องการการดูแลรักษา

วันนี้เรารับประทานอาหารฝ่ายวิญญาณเพียงพอแล้วหรือยัง?



ศจ. ทิวาพร ราชรักษ์

สรุปคำเทศนาโบสถ์ไทย คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 12/07/2009

เรื่อง ฤทธิ์เดชแห่งพระวจนะ

ฤทธิ์เดชแห่งพระวจนะ (2): พระวจนะเป็นโคม‏

2. พระวจนะเป็นโคม

"พระวจนะของพระองค์เป็นโคมสำหรับเท้าของข้าพระองค์ และเป็นความสว่างแก่มรรคาของข้าพระองค์" (สดุดี 119:105)

ถ้อยคำของพระเจ้าเป็นโคม ซึ่งมีไว้เพื่อส่องสว่างในทางที่มืด ช่วยเหลือเราในขณะที่เดิน เพราะถ้าเดินในทางมืด เราจะไม่รู้ว่าเราจะสะดุดสิ่งใดบ้าง เราจะคิดสิ่งใดไม่ออก พระวจนะของพระเจ้าเป็นโคมส่องทางให้แก่เรา แม้ว่าเราจะมืดแปดด้าน แต่พระเจ้าทรงประทานด้านที่เก้าให้แก่เราได้

พระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น ที่สามารถชี้นำทางให้เราเดินในทางที่ควรทำ ขอที่เราเปิดพระคำของพระเจ้า พระองค์จะทรงประทานทางออกให้แก่เราอย่างแน่นอน

ยิ่งเราอยู่ใกล้พระวจนะของพระเจ้า เราจะยิ่งฉลาด แต่ไม่ใช่ฉลาดในทางโลก ในทางที่ผิด แต่เป็นความฉลาดในทางของพระเจ้า

"23 ถ้าพระเจ้าทรงนำย่างเท้าของมนุษย์คนใด และคนนั้นพอใจในมรรคาของพระองค์
24 แม้เขาล้ม เขาจะไม่ถูกเหวี่ยงลงเหยียดยาว เพราะว่าพระหัตถ์พระเจ้าพยุงเขาไว้" (สดุดี 37:23-24)

พระเจ้าจะทรงรักษาเราไว้ให้อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์อยู่เสมอ แม้ว่าเราจะล้มลง ก็จะทรงช่วยเรา พระองค์ทรงดูแลเราในทุก ๆ เรื่อง พระหัตถ์ของพระองค์จะพยุงเราไว้เสมอ

"ความสุขเป็นของบุคคล ผู้ไม่ดำเนินตามคำแนะนำของคนอธรรม หรือยืนอยู่ในทางของคนบาป หรือนั่งอยู่ในที่นั่งของคนที่ชอบเยาะเย้ย" (สดุดี 1:1)



ศจ. ทิวาพร ราชรักษ์

สรุปคำเทศนาโบสถ์ไทย คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 12/07/2009

เรื่อง ฤทธิ์เดชแห่งพระวจนะ

วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ฤทธิ์เดชแห่งพระวจนะ (1): พระวจนะเป็นดาบ‏

"เพราะว่า พระวจนะของพระเจ้านั้นไม่ตายและทรงพลานุภาพอยู่เสมอ คมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆ แทงทะลุกระทั่งจิตและวิญญาณ ตลอดข้อกระดูกและไขในกระดูก และสามารถวินิจฉัยความคิดและความมุ่งหมายในใจด้วย" (ฮีบรู 4:12)

พระวจนะที่เต็มไปด้วยฤทธิ์เดช เราสามารถค้นหาคำตอบได้ทุกเรื่อง หลายครั้งเราไม่พบคำตอบ ก็เพราะว่าเราไม่ได้เปิดพระคัมภีร์ พระคัมภีร์มีทางออก เพราะเป็นพระวจนะของพระเจ้า ถูกต้องอย่างแม่นยำ เพราะล้วนออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิต เปลี่ยนแปลงสังคม เปลี่ยนแปลงประเทศ และเปลี่ยนแปลงโลกได้ พระวจนะคำของพระเจ้าไม่ตาย แต่เต็มไปด้วยฤทธิ์อำนาจ



1. พระวจนะเป็นดาบ
1.1 พระวจนะเป็นดาบที่ทิ่มแทงจิตวิญญาณของเรา
"เพราะว่า พระวจนะของพระเจ้านั้นไม่ตายและทรงพลานุภาพอยู่เสมอ คมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆ แทงทะลุกระทั่งจิตและวิญญาณ ตลอดข้อกระดูกและไขในกระดูก และสามารถวินิจฉัยความคิดและความมุ่งหมายในใจด้วย" (ฮีบรู 4:12)

เวลาเราคิดจะทำอะไรสักสิ่งหนึ่ง จะมี 2 ส่วนของความคิดที่ต่อสู้กันอยู่ คือ ฝ่ายเนื้อหนัง และฝ่ายวิญญาณ พระวจนะของพระเจ้าจะเปิดโปงว่าเรามีแรงจูงใจฝ่ายใดมากกว่ากัน

พระวจนะของพระเจ้าไชชอน ทิ่มแทงทะลุจิตและวิญญาณของเรา ไปสู่ส่วนลึกของร่างกาย และไม่เพียงเท่านั้น พระวจนะสามารถวินิจฉัยความคิดและความมุ่งหมายในใจด้วย

ในขณะที่เราทั้งหลายนั่งอยู่ที่นี่ ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าในใจแต่ละคนเป็นเช่นไรบ้าง แต่พระเจ้าทรงทอดพระเนตรที่จิตใจ ทรงทราบจิตใจของเราว่าเรามีท่าทีเช่นไรในการมานมัสการ

พระคัมภีร์ตอนหนึ่ง สามารถที่จะสอนเราเป็นการส่วนตัวได้ แม้ว่าผู้เทศนาอาจไม่ทราบว่าแต่ละคนที่ฟังเป็นเช่นไร แต่บางคนที่ฟังรู้สึกโดนใจ ในขณะที่บางคนอาจรู้สึกว่ากำลังถูกตำหนิ

พระคัมภีร์มิได้มีไว้ใช้ในการด่าทอกัน แต่พระคัมภีร์สามารถใช้ในการสอนเปลี่ยนแปลงชีวิตของเรา

พระวจนะของพระเจ้า ถ้ายิ่งอ่าน ก็จะยิ่งทราบว่าสิ่งที่เราทำอยู่นั้น เป็นเช่นไร เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าหรือไม่

มีชาวจีนคนหนึ่ง ได้เลือกหญิงไทยผู้หนึ่ง และแต่งงานกับเขา หญิงคนนี้ดีทุกอย่าง ยกเว้นปากของเธอที่ชอบด่าชอบนินทาว่าร้าย ต่อมาทั้งครอบครัวกลับใจเป็นคริสเตียน เมื่อเป็นคริสเตียนใหม่ ๆ ก็ดูเหมือนจะดีทุกอย่าง ยกเว้นที่ปากของภรรยาของเขา ซึ่งแก้ไม่หาย ทุกครั้งที่อารมณ์ไม่ดี ภรรยาจะพูดหยาบคาย

วันหนึ่ง ภรรยาคนนี้อารมณ์เสีย จึงตะโกนด่าสามี เขาตั้งใจจะด่าเป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง แต่เขาก็คิดได้ว่า พระคัมภีร์สอนไม่ให้ทำเช่นนั้น แต่ให้ภรรยาเชื่อฟังสามี เขาจึงไม่พูดเช่นนั้น แต่พูดดีกับสามีได้

"ฝ่ายภรรยา จงยอมฟังสามีของตน เหมือนยอมฟังองค์พระผู้เป็นเจ้า" (เอเฟซัส 5:22)

"อย่าประพฤติตามอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบน้ำพระทัยของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัย และอะไรดียอดเยี่ยม" (โรม 12:2)

เราไม่สามารถเปลี่ยนชีวิตจิตใจของเราได้ แต่พระเจ้าทรงเปลี่ยนได้

ไม่เพียงแต่ได้รับการสอนถึงความผิดของเราเท่านั้น แต่ทุกสิ่งที่เรากระทำจะต้องถูกเปิดเผยด้วย เพราะพระเจ้าทรงทราบทุกสิ่ง เราไม่สามารถซ่อนความผิดของเราไว้จากพระองค์ได้เลย

"ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดซ่อนไว้พ้นพระเนตรพระองค์ แต่ตรงข้ามทุกสิ่งปรากฏแจ้งต่อพระองค์ผู้ซึ่งเราต้องสัมพันธ์ด้วย" (ฮีบรู 4:13)

1.2 ดาบที่คอยต่อสู้กับมารซาตาน
ซาตานรู้จุดอ่อนของคริสเตียน ว่ามักจะพ่ายแพ้การทดลอง เพราะคริสเตียนส่วนใหญ่ไม่รู้พระคัมภีร์ ไม่รู้เนื้อหาของพระวจนะของพระเจ้า

คริสเตียนจำเป็นต้องอ่านพระคำ และท่องจดจำ ตรึกตรองสิ่งต่าง ๆ จากเรื่องราวในพระคัมภีร์

คริสเตียนบางคนไม่ชอบอ่านพระคัมภีร์ แม้ว่าจะมีพระคัมภีร์หลาย versions มีหลายเล่ม หลายรูปแบบ แต่ก็ไม่อ่าน เวลาเจอปัญหา หรือเมื่อเพื่อนมีปัญหาก็คิดไม่ออกว่าจะใช้พระคัมภีร์ตอนใดในการหนุนใจ

บางท่าน ใช้ดาบสั้น ใช้อาวุธเล็ก ๆ คือ มักจะต่อสู้ด้วยวิธีของตนเองในการต่อสู้มารซาตาน แต่ไม่ได้ใช้พระแสงแห่งพระวิญญาณ คือพระวจนะของพระเจ้า ถ้าเราไม่อ่านพระคัมภีร์ เราจะพ่ายแพ้ต่อมารซาตานแน่นอน

พระเยซูคริสต์ทรงใช้พระวจนะคำของพระเจ้าในการต่อสู้กับมารซาตาน

"1 ครั้งนั้น พระวิญญาณทรงนำพระเยซูเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร เพื่อมารจะได้มาผจญ
2 และพระองค์ทรงอดพระกระยาหารสี่สิบวันสี่สิบคืน ภายหลังพระองค์ก็ทรงอยากพระกระยาหาร
3 ส่วนผู้ผจญมาหาพระองค์ทูลว่า 'ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงสั่งก้อนหินเหล่านี้ให้กลายเป็นพระกระยาหาร'
4 ฝ่ายพระองค์ตรัสตอบว่า 'มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า 'มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียว หามิได้ แต่บำรุงด้วยพระวจนะทุกคำ ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า' '
5 แล้วมารก็นำพระองค์ไปยังนครบริสุทธิ์ และให้พระองค์ประทับที่ยอดหลังคาพระวิหาร
6 แล้วทูลพระองค์ว่า 'ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงโจนลงไปเถิด เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า พระเจ้าจะรับสั่งให้เหล่าทูตสวรรค์ ของพระองค์รักษาท่าน และเหล่าทูตสวรรค์จะเอามือประคองชูท่านไว้ มิให้เท้าของท่านกระทบหิน'
7 พระเยซูจึงตรัสตอบว่า 'พระคัมภีร์มีเขียนไว้อีกว่า อย่าทดลองพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของท่าน'
8 อีกครั้งหนึ่งมารได้นำพระองค์ขึ้นไปบนภูเขาอันสูงยิ่งนัก และได้แสดงบรรดาราชอาณาจักรในโลก ทั้งความรุ่งเรืองของราชอาณาจักรเหล่านั้นให้พระองค์ทอดพระเนตร
9 แล้วได้ทูลพระองค์ว่า 'ถ้าท่านจะกราบลงนมัสการเรา เราจะให้สิ่งทั้งปวงเหล่านี้แก่ท่าน'
10 พระเยซูจึงตรัสตอบว่า 'อ้ายซาตาน จงไปเสียให้พ้น เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า จงกราบนมัสการพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของท่าน และปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว'
11 แล้วมารจึงละพระองค์ไป และมีเหล่าทูตสวรรค์มาปรนนิบัติพระองค์" (มัทธิว 4:1-11)

หลายครั้งเราไม่พึ่งพาพระวจนะคำของพระเจ้า จึงพ่ายแพ้มารซาตาน พ่ายแพ้การทดลอง จึงขอที่เราจะเริ่มกลับมาทบทวนว่าชีวิตส่วนใหญ่ของเราที่ล้มเหลวเพราะอะไร หลายครั้งความล้มเหลวของเราเป็นสัญญาณที่พระเจ้าทรงใช้เตือนเรา ให้เราลุกขึ้นต่อสู้กับปัญหา ต่อสู้กับการทดลอง เราทุกคนจะต้องเริ่มที่จะฝึกฝนใช้ดาบประจำตัว นำมาใช้ปฏิบัติจริงเสมอ

ศจ. ทิวาพร ราชรักษ์

สรุปคำเทศนาโบสถ์ไทย คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 12/07/2009

เรื่อง ฤทธิ์เดชแห่งพระวจนะ

วันพุธที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

การติดตามพระเจ้าตลอดชีวิต

การติดตามพระเจ้าตลอดชีวิต
S_K 220609

• การติดตามพระเจ้ามีแรงกดดัน แรงเสียดทาน
• มีหลายคนย่อหย่อน ท้อถอย หันหลังกลับ สูญเสียความเชื่อ
• เราจะสามารถติดตามพระเจ้าได้ในตลอดชีวิตของเราได้อย่างไร
• อะไรจะเป็นหลักยึดให้เราได้บ้าง เพื่อเราจะสามารถติดตามพระเจ้าได้ตลอดชีวิตของเรา
1. สัตย์ซื่อต่อความจริง
• ความจริงเรื่องทางแห่งความรอด ที่มีทางเดียวในพระเยซูคริสต์
• ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น อย่าหลงลืม อย่าเลอะเลือน
• พระเยซูทรงเป็นพระเจ้า ทรงเป็นเจ้าของชีวิต ทางอื่นไม่มี
ยน14:6 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา
กจ4:12 ในผู้อื่นความรอดไม่มีเลย ด้วยว่านามอื่นซึ่งให้เราทั้งหลายรอดได้ ไม่ทรงโปรดให้มีในท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า”
คส3:15 และจงให้สันติสุขของพระคริสต์ครองจิตใจของท่าน พระเจ้าทรงเรียกท่านไว้ให้เป็นกายเดียวด้วย เพื่อสันติสุขนั้น และท่านจงมีใจกตัญญู
• เราจะติดตามพระเจ้าได้ตลอดชีวิต ต้องยึดความจริงเรื่องนี้ไว้
• ยึดด้วยใจรัก มิใช่ด้วยการฝืนใจบังคับ
อฟ4:15 แต่ให้เรายึดความจริงด้วยใจรัก เพื่อจะจำเริญขึ้นทุกอย่างสู่พระองค์ผู้เป็นศีรษะ คือพระคริสต์
• การติดตามพระเจ้าตลอดชีวิต ต้องเดินในความชอบธรรม และต้องต่อสู้กับความบาป
• ความลำบากทำให้บางคนขมขื่นใจ
• แม้อาจเกิดขึ้นได้ก็รีบกลับใจใหม่ อย่าเพิกเฉยละเลยไปจนทรยศต่อความจริง
ยก3:14 แต่ถ้าท่านรู้สึกขมขื่นเพราะมีใจริษยาและมักใหญ่ใฝ่สูง ก็อย่าโอ้อวดและอย่าทรยศ ต่อความจริง
• รักษาความจริงในใจไว้ให้ได้ อย่าให้จิตสำนึกชอบเสียไป มิเช่นนั้นชีวิตแห่งความเชื่อจะอับปางลงได้
1ทธ1:19 จงยึดความเชื่อไว้ และมีจิตสำนึกว่าตนชอบ ซึ่งข้อนี้บางคนได้ละทิ้งเสีย ความเชื่อของเขาจึงอับปางลง
2. เห็นแก่แผ่นดินสวรรค์มากกว่าแผ่นดินโลก

• ดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ
• หากยากจนไปอีก 60 ปี แต่ได้บำเหน็จบนสวรรค์เอาไหม
• คนที่เลือกเดินทางนี้ต้องมีใจรักแผ่นดินสวรรค์จริงๆ
• มีคริสเตียนสองประเภทที่ดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ

2.1 คนที่เป็นคริสเตียนอย่างไม่ตั้งใจ

• ไม่มีทางเลือกอื่น ทางนี้ดีที่สุด ไม่มีทางไหนไปแล้ว จึงเลือกเดินทางนี้ด้วยความจำใจ ด้วยความรู้สึกดีชั่วคราว
• อาจเดินทางนี้ไม่ได้นาน เพราะไม่ได้เห็นคุณค่าจริง
• ชีวิตก็ไม่เกิดผล ไม่ได้รับใช้จริงจัง รอดได้เหมือนดังรอดจากไฟ

มก4:5-7 5 บ้างก็ตกที่ซึ่งมีพื้นหินมีเนื้อดินแต่น้อย จึงงอกขึ้นโดยเร็ว เพราะดินไม่ลึก
6 แต่เมื่อแดดจัด แดดก็แผดเผา เพราะรากไม่มี จึงเหี่ยวไป
7 บ้างก็ตกกลางต้นหนาม ต้นหนามก็งอกขึ้นปกคลุมเสีย จึงไม่เกิดผล

1 คร 3:14-15 14 ถ้าการงานของผู้ใดที่ก่อขึ้นทนอยู่ได้ ผู้นั้นก็จะได้ค่าตอบแทน
15 ถ้าการงานของผู้ใดถูกเผาไหม้ไป ผู้นั้นก็จะขาดค่าตอบแทน แต่ตัวเขาเองจะรอด แต่เหมือนดังรอดจากไฟ

2.2 คนที่เป็นคริสเตียนเพราะตั้งใจ

• คนที่เลือกทางนี้เพราะใจรัก ปรารถนาเดินในทางนี้
• เห็นคุณค่าความชอบธรรมแท้อย่างที่พระเจ้าสำแดงแก่เรา

1ทธ6:5-6 5 และการด่าทอกันระหว่างผู้ที่มีใจทรามและไร้ความสัตย์จริง ที่คิดว่าทางของพระเจ้านั้นเป็นทางได้ประโยชน์
6 จริงอยู่ เราได้รับประโยชน์มากมายจากทางของพระเจ้า พร้อมทั้งความสุขใจ
ฟป3:8 ที่จริงข้าพเจ้าถือว่าสิ่งสารพัดไร้ประโยชน์ เพราะเห็นแก่ความประเสริฐแห่งความรู้ถึงพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า เพราะเหตุพระองค์ ข้าพเจ้าจึงได้ยอมสละสิ่งสารพัด และถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเหมือนหยากเยื่อเพื่อข้าพเจ้าจะได้พระคริสต์
• เพราะเห็นคุณค่าการเป็นคริสเตียน เห็นคุณค่าการเป็นคนแห่งแผ่นดินสวรรค์
• บ้านถาวรของเขาอยู่ในสวรรค์
• บ้านเมืองแท้จึงอยู่ในสวรรค์ คาดหวังแผ่นดินสวรรค์ ไม่ได้คิดแต่เพียงในโลกนี้
ฟป3:20 แต่บ้านเมืองของเรานั้นอยู่ที่สวรรค์ เรารอคอยผู้ช่วยให้รอด ซึ่งจะเสด็จมาจากสวรรค์คือพระเยซูคริสตเจ้า
1ปต1:4 และเพื่อให้ได้รับมรดก ซึ่งไม่รู้เปื่อยเน่า ปราศจากมลทิน และไม่ร่วงโรยซึ่งได้เตรียมไว้ในสวรรค์เพื่อท่านทั้งหลาย
• ไม่มีใครยึดโลกเอาไว้กับตัวเองได้
• เมื่อเราตาย เราเอาไปไม่ได้สักอย่างเดียว
1ทธ6:7 เพราะว่าเราไม่ได้เอาอะไรเข้ามาในโลกฉันใด เราก็เอาอะไรออกไปจากโลกไม่ได้ฉันนั้น
• เราลงทุนอะไรไว้บนสวรรค์บ้าง
• ชีวิตนี้สั้นนัก
สดด39:4-7 4 ข้าแต่พระเจ้า ขอให้ข้าพระองค์ทราบถึงบั้นปลาย ของข้าพระองค์ และวันเวลาของข้าพระองค์ จะนานสักเท่าใด ขอให้ข้าพระองค์ทราบว่า ชีวิตข้าพระองค์ไม่เที่ยงอย่างไร
5 ดูเถิด พระองค์ทรงกระทำให้วันเวลาของข้าพระองค์ ยาวสองสามฝ่ามือเท่านั้น ชั่วชีวิตของข้าพระองค์ ไม่เท่าไรเลย เฉพาะพระพักตร์พระองค์ มนุษย์ทุกคนดำรงอยู่อย่างลมหายใจแน่ทีเดียว
6 มนุษย์ไปๆมาๆอย่างเงาแน่ทีเดียว เขาทั้งหลายยุ่งอยู่เปล่าๆแน่ทีเดียว มนุษย์โกยกองไว้ และไม่ทราบว่าใครจะเก็บไป”
7 “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า บัดนี้ข้าพระองค์จะรอคอยอะไร ความหวังของข้าพระองค์อยู่ในพระองค์
3. มีความผูกพันธ์กับพระเจ้า

• มีพระเจ้าจึงเป็นสุข
• ไม่ใช่อิงประสบการณ์คนอื่น
• หากดำเนินชีวิตในความเชื่อจะมีประสบการณ์กับพระเจ้า จะมีสัมพันธภาพอันดีกับพระองคื
• ความสัมพันธ์กับพระเจ้าเป็นสิ่งสำคัญมากที่สุดในการติดตามพระเจ้าตลอดชีวิต
2ทธ1:12 เพราะเหตุนั้นเองข้าพเจ้าจึงได้ทนทุกข์ลำบากเช่นนี้ ถึงกระนั้นข้าพเจ้าก็ไม่ละอาย เพราะว่าข้าพเจ้ารู้จักพระองค์ที่ข้าพเจ้าได้เชื่อ และข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า พระองค์ทรงสามารถรักษาซึ่งข้าพเจ้าได้มอบไว้กับพระองค์ จนถึงวันพิพากษาได้
2ทธ4:17 แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประทับอยู่ใกล้ข้าพเจ้า และได้ทรงประทานกำลังให้ข้าพเจ้า ประกาศพระวจนะได้อย่างเต็มที่ เพื่อให้คนต่างชาติทั้งปวงได้ยิน ดังนั้นข้าพเจ้าจึงรอดพ้นจากปากสิงห์
ฟป5:4-7 4 จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกเวลา ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่า จงชื่นชมยินดีเถิด
5 จงให้จิตใจที่อ่อนสุภาพของท่านประจักษ์แก่คนทั้งปวง องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ใกล้แล้ว
6 อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆเลย แต่จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน กับการขอบพระคุณ
7 แล้วสันติสุขแห่งพระเจ้าซึ่งเกินความเข้าใจ จะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์

• หากไม่ได้มีความสัมพันธ์กับพระเจ้า ในวันสุดท้าย อาจต้องเจอกับคำว่าเราไม่รู้จักเจ้า

ลก13:25-29 25 เมื่อเจ้าบ้านลุกขึ้นปิดประตูแล้ว และท่านทั้งหลายยืนอยู่ภายนอกเคาะที่ประตูว่า 'นายเจ้าข้า ขอเปิดให้ข้าพเจ้าเถิด' และเจ้าบ้านนั้นจะตอบท่านทั้งหลายว่า 'เราไม่รู้จักเจ้าว่ามาจากไหน'
26 ขณะนั้นท่านทั้งหลายจะว่า 'ข้าพเจ้าได้กินได้ดื่มกับท่าน และท่านได้สั่งสอนที่ถนนของพวกข้าพเจ้า'
27 เจ้าบ้านนั้นจะว่า 'เราไม่รู้จักเจ้าว่ามาจากไหน เจ้าผู้กระทำความชั่ว จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา'
28 เมื่อท่านทั้งหลายจะเห็นอับราฮัม อิสอัค ยาโคบ และบรรดาผู้เผยพระวจนะในแผ่นดินของพระเจ้า แต่ตัวท่านเองถูกขับไล่ไสส่งออกไปภายนอก ที่นั่นจะมีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
29 จะมีคนมาจากทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศเหนือ ทิศใต้ จะมาร่วมสำรับในแผ่นดินของพระเจ้า

ศึกษาพระธรรม 1ยอห์น บทที่ 2 (2)‏ พระบัญญัติใหม่

พระบัญญัติใหม่

--------------------------------------------------------------------------------

"7 ดูก่อน ท่านที่รัก ข้าพเจ้าไม่ได้เขียนบัญญัติใหม่ ถึงท่านทั้งหลายเลย แต่เป็นพระบัญญัติเก่าซึ่งท่านทั้งหลายได้มีอยู่ตั้งแต่เริ่มแรก พระบัญญัติเก่านั้นคือคำซึ่งท่านทั้งหลายได้ยินมาแล้ว
8 อีกนัยหนึ่ง ก็กล่าวได้ว่า ข้าพเจ้าเขียนบัญญัติใหม่ถึงท่านทั้งหลาย ที่ว่าใหม่ทั้งฝ่ายพระองค์ และฝ่ายท่านทั้งหลาย ก็เพราะว่าความมืดนั้นกำลังจะล่วงไป และความสว่างแท้ก็ส่องอยู่แล้ว
9 ผู้ใดที่กล่าวว่า ตนอยู่ในความสว่าง และยังเกลียดชังพี่น้องของตน ผู้นั้นก็ยังอยู่ในความมืด
10 ผู้ที่รักพี่น้องของตน ก็อยู่ในความสว่าง และในความสว่างนั้น ไม่มีอะไรที่จะทำให้สะดุด
11 แต่ผู้ที่เกลียดชังพี่น้องของตน ก็อยู่ในความมืด และเดินในความมืด และไม่รู้ว่าตนกำลังไปไหน เพราะว่าความมืดทำให้ตาของเขาบอดไปเสียแล้ว
12 ลูกทั้งหลายเอ๋ย ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะว่าได้ทรงยกบาปของท่านแล้ว ด้วยเห็นแก่พระนามของพระองค์
13 ท่านทั้งหลายที่เป็นบิดา ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะท่านทั้งหลายได้คุ้นกับพระองค์ ผู้ทรงดำรงอยู่ตั้งแต่ปฐมกาล ท่านทั้งหลายที่เป็นคนหนุ่มๆ ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะท่านทั้งหลายได้ชนะมารร้ายนั้น ท่านทั้งหลายผู้เป็นลูก ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะว่าท่านทั้งหลายได้คุ้นกับพระบิดา
14 ท่านทั้งหลายที่เป็นบิดา ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะท่านทั้งหลายได้คุ้นกับพระองค์ ผู้ทรงดำรงอยู่ตั้งแต่ปฐมกาล ท่านทั้งหลายที่เป็นคนหนุ่มๆ ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะท่านทั้งหลายมีกำลังมาก และพระวจนะของพระเจ้าดำรงอยู่ในท่านทั้งหลาย และท่านชนะมารร้ายนั้นแล้ว
15 อย่ารักโลก หรือสิ่งของในโลก ถ้าผู้ใดรักโลก ความรักต่อพระบิดาไม่ได้อยู่ในผู้นั้น
16 เพราะว่า สารพัดซึ่งมีอยู่ในโลก คือ ตัณหาของเนื้อหนัง และตัณหาของตา และความทะนงในลาภยศไม่ได้เกิดมาจากพระบิดา แต่เกิดมาจากโลก
17 และโลกกับสิ่งที่ยั่วยวนของโลกกำลังล่วงไป แต่ผู้ที่ประพฤติตามพระทัยของพระเจ้าจะดำรงอยู่เป็นนิตย์" (1ยอห์น 2:7-17)


--------------------------------------------------------------------------------

บัญญัติทั้งเก่าและใหม่ ก็เป็นบัญญัติเดียวกัน แต่สิ่งที่ใหม่ก็คือ ความมืดกำลังจะล่วงไป และความสว่างแท้ได้ปรากฎแล้ว สิ่งที่ยังไม่สมบูรณ์ ก็ได้ประจักษ์แล้ว ได้เปลี่ยนเป็นความสมบูรณ์แล้ว โดยชีวิตขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า ผู้ซึ่งมิได้ทรงมีบาปเลย สิ่งซึ่งเนื้อหนังเอาชนะไม่ได้ บัดนี้เราจึงสามารถเอาชนะได้แล้ว ในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า

"3 เพราะว่า สิ่งซึ่งธรรมบัญญัติทำไม่ได้ เพราะเนื้อหนังทำให้อ่อนกำลังไปนั้น พระเจ้าได้ทรงกระทำแล้ว โดยพระองค์ทรงใช้พระบุตรของพระองค์มา ในสภาพเสมือนเนื้อหนังที่บาป และเพื่อไถ่บาป {หรือ เป็นเครื่องบูชาไถ่คนจากบาป} พระบุตรในเนื้อหนังจึงได้ทรงปรับโทษบาป
4 เพื่อสิ่งที่ธรรมบัญญัติสั่งไว้ จะได้สำเร็จในตัวเราทั้งหลาย ผู้ไม่ดำเนินตามฝ่ายเนื้อหนัง แต่ตามฝ่ายพระวิญญาณ (โรม 8:3-4)

ถ้าหากเราอยู่ในพระวิญญาณ เราจะมีกำลังที่จะเอาชนะเนื้อหนังได้ หรือกล่าวอย่างชัดเจนเลย ก็คือ ถ้าเราอยู่ในพระวิญญาณแล้ว เราจะแพ้เนื้อหนังไม่ได้

"ถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าทรงสถิตอยู่ในท่านทั้งหลายจริงๆ แล้ว ท่านก็มิได้อยู่ใต้เนื้อหนัง แต่อยู่ใต้พระวิญญาณ ผู้ใดไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์ ผู้นั้นก็ไม่เป็นของพระองค์" (โรม 8:9)

"ด้วยว่า ซึ่งปักใจอยู่กับเนื้อหนัง ก็คือความตาย และซึ่งปักใจอยู่กับพระวิญญาณ ก็คือชีวิต และสันติสุข" (โรม 8:6)

โรมบทที่ 8 ได้อธิบายถึงลักษณะของชีวิตฝ่ายวิญญาณได้อย่างชัดเจนมากทีเดียว เราจำเป็นต้องศึกษาและจดจำให้ดี เพื่อที่เราจะเข้าใจได้ว่าลักษณะของผู้ที่อยู่ฝ่ายวิญญาณเป็นอย่างไร เพื่อที่เราจะมั่นใจได้ว่ามีพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นมัดจำ จนถึงวันสุดท้ายที่จะได้รอดพ้นจากการพิพากษา

"13 ในพระองค์นั้น ท่านทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน เมื่อท่านได้ฟังสัจวาทะ คือ ข่าวประเสริฐเรื่องความรอดของท่าน และได้วางใจในพระองค์ ได้รับการผนึกตราไว้ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์แห่งพระสัญญา
14 เป็นมัดจำของการรับมรดกของเรา จนกว่าเราจะได้รับกรรมสิทธิ์ เป็นที่ถวายสรรเสริญ แด่พระสิริของพระองค์" (เอเฟซัส 1:13-14)

เราจำเป็นต้องต่อสู้ เพื่อที่เราจะหลุดจากเนื้อหนังนี้ เพื่อที่เราจะประหารโลกียวิสัยในตัวเราเสีย โดยการตรึงตัวเก่าของเราไว้กับพระองค์ และมีชีวิตใหม่ในพระองค์

"เหตุฉะนั้น จงประหารโลกียวิสัยในตัวท่านเสีย มีการล่วงประเวณี การโสโครก ราคะตัณหา ความปรารถนาชั่ว และความโลภ ซึ่งเป็นการนับถือรูปเคารพ" (โคโลสี 3:5)

ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว ข้าพเจ้าเองไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตซึ่งข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้ ข้าพเจ้าดำเนินอยู่ โดยศรัทธาในพระบุตรของพระเจ้า ผู้ได้ทรงรักข้าพเจ้า และได้ทรงสละพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า (กาลาเทีย 2:20)

เราทุกคนเป็นพี่น้องกัน โดยมีพระเยซูคริสต์เป็นบุตรหัวปี ดังนั้นพี่น้องจึงมิได้หมายถึงพี่น้องทางสายเลือดเท่านั้น แต่เราจำเป็นต้องรักกันและกันทั้งหมด เพราะผู้ที่อยู่ในพระคริสต์จะต้องรักกันและกัน และชีวิตในพระเจ้าจะเกลียดชังผู้ใดไม่ได้เลย เกลียดได้อย่างเดียว คือ ความบาป เราจะมีทั้งพระวิญญาณและเนื้อหนังไม่ได้

พระเยซูคริสต์ทรงสอนให้เรารักแม้กระทั้งศัตรู ดังนั้น เราจึงไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงในการรักพี่น้องได้

ท่านยอห์นได้เปรียบเทียบกับผู้ที่เกลียดชังพี่น้องว่า เป็นผู้ที่อยู่ในความมืด เดินในทางมืด และมองไม่เห็นทาง ดังนั้น ถ้าหากว่าเราจะติดตามผู้ใด เราจะยึดใครเป็นแบบอย่าง ให้เราสังเกตดูให้ดีว่าผู้ที่เราจะติดตามนั้นเป็นเช่นไร เขาเดินในความสว่างหรือไม่? ในชีวิตของเขาเต็มไปด้วยความรักหรือไม่? สังเกตลักษณะของชีวิตของเขาให้ดี เพื่อที่เราจะไม่ติดตามคนที่เป็นดั่งคนตาบอด แต่ถ้าผู้ที่เราจะติดตามนั้นเป็นบุคคลในฝ่ายวิญญาณ เดินในความสว่างแล้ว ให้เราติดตามเขาไปเถิด เอาชีวิตเขาเป็นแบบอย่าง แล้วเราจะก้าวสู่แผ่นดินสวรรค์ด้วยความมั่นใจ





อ.ประดิษฐ์ พรกีรติกุล

คำแบ่งปันกลุ่มเซลล์เพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 26/06/2009

เรื่อง ศึกษาพระธรรม 1ยอห์น

My Blog

  • วินัยของน้องหมา (ข้างถนน) - วันที่ 18/8/2011 เช้านี้ขณะที่รถติดไฟแดงอยู่บริเวณสี่แยกสามย่าน ซึ่งเบื้องหน้าเป็นจามจุรีสแควร์นั้น พลันก็เหลือบเห็นน้องหมาตัวหนึ่งเดินข้ามทางม้าลายด้วยอ...
    12 ปีที่ผ่านมา
  • บทความคริสเตียน - บทความคริสเตียน http://www.gracezone.org/index.php/christian-articles บทความทางด้านจิตวิญญาณ หลักข้อเชื่อ พระเจ้า พระคัมภีร์ พระเจ้า พระคัมภีร์ แนวทางในการ...
    15 ปีที่ผ่านมา
  • คริสเตียนกับการรับใช้พระเยซู - คริสเตียนกับการรับใช้พระเยซู วัน พุธ 08 ต.ค. 08@ 17:47:37 ICT หัวข้อ: สรุปคำเทศนาประจำอาทิตย์ ดร.ทะนุ วงค์ธนานุกุล วัน อาทิตย์ ที่ 21 กันยายน 2008 พระธร...
    15 ปีที่ผ่านมา
  • - แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้องจะนมัสการพระบิดา ด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้...
    15 ปีที่ผ่านมา

Christian Blog

บล็อกวาไรตี้

เทคโนโลยี

ดาวน์โหลดโปรแกรมมาใหม่ล่าสุด |

วาไรตี้

ข่าวประจำวัน

สารบัญเว็บไทย

กินลม ชมทะเล ที่มาร์คเฮ้าส์บังกะโล เกาะกูด จ.ตราด

Thailand Map