Custom Search By Google

Custom Search

วันศุกร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2551

คริสเตียนดำเนินชีวิตในอิทธิพลของโลกนี้

การอนุญาติให้ทนทุกข์
http://www.letsworship.com/index.php?option=com_content&task=view&id=179&Itemid=111

โยนาห์ 4.6-8 ………และพระเจ้าทรงกำหนดให้ต้นละหุ่งต้นหนึ่งงอกขึ้นมาเหนือโยนาห์ ให้เป็นที่กำบังศีรษะของท่านเพื่อให้บรรเทาความร้อนรุ่มกลุ้มใจในเรื่องนี้เพราะเหตุต้นละหุ่งต้นนี้โยนาห์จึงมีความยินดียิ่งนัก แต่ในเวลาเช้าวันรุ่งขึ้น พระเจ้าทรงกำหนดให้หนอนตัวหนึ่งมากัดกินต้นละหุ่งต้นนั้น จนมันเหี่ยวไป เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว พระเจ้าทรงกำหนดให้ลมตะวันออกที่ร้อนผากพัดมา และแสงแดดก็แผดลงบนศีรษะของโยนาห์จนท่านอ่อนเพลียไปและท่านก็ทูลขอว่า ให้ท่านตายเสียเถิด ท่านว่า "ข้าตายเสียก็ดีกว่าอยู่"

มีแม่คนหนึ่งได้บอกลูกของเขาหลายครั้งหลายหนว่าให้นั่งลง แต่ลูกคนนั้นก็ยืนต่อไปโดยไม่ได้เชื่อฟังคำสั่งของแม่เขา แล้วในที่สุดแม่คนนั้นก็เข้าไปหาและบังคับให้ลูกของเขานั่งลง เมื่อเด็กคนนั้นนั่งลงเขาก็พูดออกมาด้วยความโกรธว่า ภายนอกนั้นผมนั่งลงแต่ภายในนั้นผมกำลังยืนขึ้นมีพวกเราหลายคนที่มองดูภายนอกดูเหมือนเป็นคนที่เชื่อฟังแต่ภายในของเรานั้นกำลังกบฎ การกบฎนั้นบางครั้งไม่ได้เป็นสิ่งที่มองเห็นได้ชัดเจนเสมอและบางครั้งเป็นสิ่งที่แอบซ่อนอยู่ภายใน การกบฎเป็นปฐมบาปและเป็นปัญหาอันหนักหน่วงสำหรับมนุษย์ บาปแห่งการกบฏครั้งแรกเกิดขึ้นจากซาตานและมันก็ลากเอาอาดัมและเอวาล้มลงไปกับมันด้วย จากการกบฏในครั้งนั้นทำให้อาดัมและเอวาสูญเสียสิทธิในการครอบครองพร้อมกับรับเอาลักษณะวิญญาณจิตแห่งการกบฏมาไว้กับตัวและถ่ายทอดสู่พงศ์พันธ์ของตน ลักษณะจิตวิญญาณที่กบฏนั้นสังเกตได้ง่ายมองหาไม่ยากเพราะคนทุกคนต่างมีด้วยกันทั้งนั้น คนของพระเจ้าก็เป็นเช่นกันแม้เราจะได้รับการทรงไถ่จากพระโลหิตพระเมษโปดกแล้ว แต่หลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตของเราก็จะต้องได้รับการชำระและเปลี่ยนแปลงต่อไป

คริสเตียนไม่ได้ถูกเรียกออกจากโลกและจำเป็นที่จะต้องดำเนินชีวิตอยู่ในโลกของความบาปต่อไปเพื่อทำพระมหาบัญชาให้สำเร็จ แต่อิทธิพลของโลกนี้ก็ส่งผลต่อลักษณะการดำเนินชีวิตต่อเราอย่างคาดไม่ถึงทีเดียว แต่ขอบคุณพระเจ้าที่เรากำลังมุ่งไปสู่ชัยชนะและอาณาจักรของพระเจ้า เราจะไม่เห็นการกบฎอีกต่อไป และเมื่อเราดำเนินชีวิตอยู่ในกายของเราขณะนี้ ชีวิตจิตใจภายในของเราอาจไม่ได้เป็นไปอย่างที่พระเจ้าปราถนา แต่การปลดปล่อยอย่างสิ้นเชิงนั้นจะมาในที่สุด เพราะฉะนั้นจะเป็นประโยชน์ต่อเราในการตระหนักถึงจุดต่างๆ ในชีวิตในการกบฎต่อพระเจ้าแม้ไม่รู้ตัวก็ตามการกบฎอาจเป็นถ้อยคำที่แสดงความคิดแง่ลบที่เราเองก็ไม่อยากจะเชื่อฟัง แต่ถ้าเราคิดในแง่บวกเราจะเรียนรู้อะไรมากมายจากเรื่องราวนี้ พระเจ้าเรียกเราให้มีส่วนประกาศข่าวประเสริฐในทุกหนทุกแห่งในโลกนี้ข่าวประเสริฐแห่งไม้กางเขนจะเป็นจุดศูนย์กลางในโลกของเราและการที่จะมีส่วนในงานพระเจ้านั้นจำเป็นที่จะต้องมีหยาดเหงื่อและน้ำตาเพื่องานของพระเจ้า และบ่อยครั้งในสภาพมนุษย์ที่เรามีความขัดแย้งและความเจ็บปวดภายใน ในการที่จะทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าและสิ่งนี้หลายครั้งเกิดขึ้นกับโยนาห์ในการไปประกาศข่าวประเสริฐพระเจ้าที่เมืองนีนาเวห์และจากการศึกษาพระธรรมโยนาห์เล่มนี้เราจะพบว่าเวลานี้เป็นเวลาที่ถึงจุดต่ำสุดของชีวิตโยนาห์ในการปฎิบัติรับใช้พระเจ้าในโยนาห์บทที่ 1 ส่วนที่ 1 นั้นคือส่วนของการปฎิเสธการทรงเรียกจากพระเจ้า ในส่วนที่ 2 เป็นส่วนของการยอมรับการทรงเรียกและจะเห็นส่วนที่ 3 ในบทที่ 3 คือส่วนของการเชื่อฟังการทรงเรียก และในส่วนสุดท้ายในบทสุดท้ายที่คือส่วนของการไม่พอใจในการที่จะตามการทรงเรียกที่มาจากพระเจ้า

โยนาห์เป็นคู่มือแห่งพันธกิจในทุกวันนี้ เรียกเราให้มีส่วนในงานพันธกิจในฐานะที่เราเป็นคนของพระเจ้า และพระคุณของพระเจ้าจะทำให้เรายอมรับการทรงเรียกของพระเจ้าในชีวิตของเราได้ และช่วยเราเชื่อฟังด้วยความชื่นชมยินดีและไม่ใช่ด้วยความไม่พอใจและจะมีความขัดแย้งกันในชีวิตคริสเตียน เมื่อเราไม่ทำตามการทรงเรียกของพระเจ้า มนุษย์นั่นยากที่จะเข้าใจได้และบ่อยครั้งที่เราไม่เข้าใจตัวเราเอง แต่จากการศึกษาพระวจนะของพระเจ้าจะช่วยให้เราเข้าใจตัวเราเองว่าตัวเราเองควรจะทำอย่างไรและช่วยวิเคราะห์ท่าทีภายในใจเราเพื่อเราจะปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับน้ำพระทัยพระเจ้าและเราได้พบในโยนาห์ บทที่ 4 ในส่วนของการไม่พอใจในการทำตามการทรงเรียกและใน 4 ข้อแรกเป็นลักษณะของการไม่พอใจในการทำตามการทรงเรียกและส่วนที่ชัดเจนในชีวิตของโยนาห์ และได้ศึกษาท่าทีในการกบฎแม้จะเป็นการกบฎเงียบก็ตาม และเราได้พบ 4 วิธีในการสำแดงออกของโยนาห์ในข้อที่ 5 และเราได้เห็นการตอบสนองของพระเจ้าต่อเขาอย่างไร

วันนี้เราจะมาดูการตอบสนองของพระเจ้าต่อการกบฎเงียบของโยนาห์ และเราอาจกบฎเงียบหลายๆ ครั้งในชีวิตคริสเตียนของเรา และบ่อยๆที่พระเจ้าตอบสนองต่อเราเมื่อเราทำตามสิ่งที่เราทำไปและเราจะใช้ชีวิตของโยนาห์ เป็นห้องทดลองในการศึกษาชีวิตของโยนาห์ และมาดูการตอบสนองของพระเจ้าต่อโยนาห์ในการกบฎต่อพระเจ้าและเมื่อเขามีท่าทีอย่างนั้น เขาไปเทศนาต่อชาวนีนะเวห์อย่างไม่เต็มใจ และแท้ที่จริงเขามีความเกลียดชังต่อ คนเมืองนั้นและมีใจปรารถนาให้ชาวนีนะเวห์ตกนรกบึงไฟและว่าพระคุณความรักของพระเจ้าไม่สามารถไปแตะต้องเมืองนั้นได้ แต่ว่าพระเจ้าได้ผลักดันเขาให้พบสถานการณ์หลายๆ อย่างที่ผลักดันเขาเข้าไปสู่เมืองนั้นเขาไปเทศนาข่าวประเสริฐของพระเจ้าที่นั่นและเขาเข้าไปเทศนาด้วยความไม่พอใจด้วยเสียงที่ไม่พอใจและเมื่อเขาเทศนาเสร็จ แล้วเขาก็ออกมานอกเมืองมาดูว่าพระเจ้าจะทำอะไรต่อไป และลึกๆ เขาคาดหวังว่าคนเมืองนี้ไม่ตอบสนองต่อพระคำของพระเจ้า และพระเจ้าจะจัดการต่อคนเมืองนั้นให้หมดสิ้นไปและเราจะเห็นการกบฎเช่นนี้ในชีวิตของเขาและพระเจ้าได้ตอบสนองอย่างไรต่อคนของพระเจ้าที่ได้กบฎต่อพระองค์มี 2 สิ่งที่เราจะเห็นได้จาก ข้อที่ 6-8 ที่จะสอนบทเรียนที่มีคุณค่าแก่เราได้ การตอบสนองอันแรกอยู่ในข้อที่ 6

1. เป็นการที่พระเจ้าได้อวยพระพร
2. การทนทุกข์ให้เราดูการตอบสนองของพระเจ้าด้วยกัน อยู่ในข้อที่7-8

ประการที่ 1

พระพรในข้อที่ 6 ในพระคัมภีร์ได้กล่าวว่า “ แล้วพระเจ้าทรงกำหนดให้ต้นละหุ่งต้นหนึ่งงอกขึ้นมาเหนือโยนาห์ให้เป็นที่กำบังศรีษะของท่านเพื่อให้บรรเทาความร้อนรุ่มกลุ้มใจในเรื่องนี้เพราะเหตุต้นละหุ่งนี้โยนาห์จึงมีความยินดียิ่งนัก” เป็นสิ่งที่น่าแปลกใจที่โยนาห์กบฎต่อพระเจ้าแต่พระเจ้าก็อวยพรเขาด้วยวิธีการนี้ แม้เป็นช่วงขณะหนึ่งก็ตามหลายครั้งที่เราแปลกประหลาดใจที่หลายครั้งเราไม่ได้เดินกับพระเจ้าแต่ก็มีพระพรหลายอย่างเข้ามาในชีวิตของเรา และในบทที่ 4 เราจะเห็นท่าทีภายในของเขาได้สับสนไปใน 4 ข้อแรกเราได้เห็นโยนาห์บ่นต่อพระเจ้าที่สำแดงวิญญาณการกบฎที่มีต่อพระเจ้า และข้อที่ 5 แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าแสดงการกบฎออกมาอย่างไรในขณะที่เขาได้นั่งอยู่ในแถบตะวันออกของเมืองนั้นอยู่ในสภาพที่เกือบจะหลงหายจากทางพระเจ้า แล้วพระเจ้าได้สงสารเขาและอวยพรเขาถึงความต้องการในชีวิต แล้วเมื่อโยนาห์ได้นั่งในแดดอันร้อนกล้านั้นและพระเจ้าได้มองจากสวรรค์และพูดออกมาว่า สงสารๆ จัง ที่เขาได้รับความทุกข์ยากเช่นนั้นและพระเจ้าได้ให้ต้นไม้งอกขึ้นมาอย่างรวดเร็วเพื่อจะเป็นร่มเงาให้แก่เขา และในสภาพร้อนชื้นนั้นพระเจ้าได้ให้ต้นไม้บางอย่างงอกขึ้นอย่างรวดเร็วสูงถึง 12 นิ้ว ภายในเวลา 1 วัน และในฐานะคริสเตียนนั้นเราจะต้องตระหนักเสมอว่า แม้พระเจ้าอวยพรเรานั้นไม่ได้แสดงถึงการที่พระเจ้ายอมรับในสิ่งที่เรากระทำและเราไม่ควรตีว่าการที่พระเจ้าอวยพรเราเป็นสิ่งที่พระเจ้ายอมรับในสิ่งที่เรากระทำ พระเจ้าอาจจะอวยพรเรานั้นมีหลายๆ เหตุผลแต่มีเพียงผู้เดียวคือพระเจ้าเท่านั้นที่รู้และพระเจ้าจะสำแดงให้เรารู้เมื่อเราได้เข้ามาแสวงหาเป้าหมายและน้ำพระทัยพระเจ้าเท่านั้นแต่พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้า และพระเจ้าไม่ได้จำกัดด้วยกฎและความคิดของมนุษย์และแท้ที่จริงพระเจ้าเปี่ยมด้วยพระคุณความรักตามที่โยนาห์ได้บรรยายไว้ในข้อที่ 2 โยนาห์ได้กล่าวไว้ว่า “เพราะข้าพระองค์ทรงทราบว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ผู้ประกอบด้วยพระคุณและทรงพระกรุณา ทรงกริ้วช้า” และเพราะความเมตตาคุณและความรักที่ทรงมีต่อเรา และบ่อยครั้งที่พระเจ้ารู้ถึงความต้องการอย่างมากในชีวิตของเราและพระหัตถ์พระเจ้าไม่สั้นเกินไปที่จะยืดมาอวยพรเราแม้ว่าพระเจ้าจะไม่เห็นด้วยกับท่าทีของเราก็ตามแม้ว่าบางครั้งพระเจ้าจะไม่ชอบและรังเกียจต่อลักษณะชีวิตของเราก็ตาม หรือพระเจ้ารังเกียจพฤติกรรมของเรา คริสเตียนจะเข้าใจผิดถึงวิธีการของพระเจ้า และมักตีความผิดคิดว่าพระพรที่พระเจ้าให้นั้นพระเจ้ายอมรับในสิ่งที่เราทำและบางคนอาจพูดว่าถ้าพระเจ้าไม่ชอบวิถีการดำเนินชีวิตของเรา แต่ทำไมพระเจ้าจึงอวยพรให้มีงานที่ดีทำมีเงินทองมากมาย ทำไมกระเป๋าของเราหนาแน่นไปด้วยเงิน และไม่ว่าเราจะเดินไปที่ไหนเงินก็จะหลุดออกมาเยอะแยะไปหมด และบางคนอาจจะบอกว่าการไม่มาคริตสจักรเป็นสิ่งที่ผิด แล้วทำไมพระเจ้าจึงปกป้องเราเมื่อเราไปเที่ยววันอาทิตย์ไปเที่ยวดิสโก็เธค และบางคนอาจจะกล่าวว่า เมื่อเราเป็นคริสเตียนเราต้องมีส่วนในการรับใช้ในคริสตจักรของเรา ทำไมพระเจ้าจึงรักษาเราล่ะเมื่อเราเจ็บป่วยแม้ว่าเราจะไม่มีส่วนในการรับใช้พระเจ้าในคริสตจักรเลย เพียงแต่มานอนหลับในตอนฟังเทศน์เท่านั้นและนักศึกษาบางคนอาจพูดว่าแม้เราไม่มีส่วนในการรับใช้พระเจ้าในคริสตจักรและเราไม่ได้อธิษฐานตอนเช้า ดูเหมือนว่าคะแนนของเราจะสูงขึ้นแม้เราจะอธิษฐานพระเจ้าตอนเช้าและร่วมรับใช้พระเจ้าดูเหมือนเราจะเพียงสอบผ่านเท่านั้น อาจเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่เราไม่ต้องมามีส่วนร่วมในคริตสจักรแล้วบางคนอาจจะพูดว่า ถ้าเป็นสิ่งที่ผิดในการทุจริตทำไมเรายิ่งทุจริตเรายิ่งได้ไต่เต้ามากขึ้นเท่านั้น พี่น้องที่รักจงฟังข้าพเจ้าเถิดว่าพระพรที่พระเจ้าให้ไม่ได้หมายถึงการที่พระเจ้าเห็นด้วยกับการที่เราทำเสมอไปในข้อพระคัมภีร์ เราจะเห็นสิ่งนี้ปรากฎครั้งแล้วครั้งเล่าใน (กดว 11: 31-33) และได้เห็นการที่อิสราเอลได้บ่นต่อว่าพระเจ้าในมานา ที่พระเจ้าได้ให้กับเขาและอยากจะทานเนื้อวัวบ้าง แล้วได้ทานสิ่งที่พระเจ้าส่งลงมาจากสวรรค์ และได้กินไก่ย่างบางครั้งบางคราว เป็นสิ่งที่ดีแล้วพระเจ้าก็เบื่อหน่ายต่อการบ่นต่อว่าของเขาแล้วพระเจ้าได้สั่งให้เกิดนกคุ่มมากมาย และมีนกคุ่มมากมายจนพระคัมภีร์ข้อที่ 31 ได้กล่าวว่า “มีลมพัดมาจากพระเจ้าพาฝูงนกคุ่มมาจากทะเลให้มาตกอยู่ที่ข้างค่ายรอบค่ายทุกทิศ ห่างออกไปเป็นหนทางเดิน วันหนึ่งสูงพ้นพื้นดินประมาณ 2 ศอก” และข้อที่ 33 กล่าวว่า “ เมื่อนกยังติดพันเขาทั้งหลายอยู่ ยังรับประทานไม่ทันหมดพระเจ้าทรงกริ้วประชาชนเสียด้วยภัยพิบัติอย่างร้ายแรง”

เมื่อท่าทีและวิญญาณเขาผิดแม้ดูสภาพภายนอกเหมือนพระเจ้าได้อวยพรเรา ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่าไม่ได้หมายความว่าพระเจ้ายอมรับสิ่งที่เราทำ ไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าเห็นด้วยกับท่าทีที่เราทำ เราเห็นแบบอย่างของอับราฮัมที่พระเจ้าสัญญาว่าจะให้เขาเป็นบิดาของบรรดาประชาชาติทั้งปวงและสัญญาวานางซาราห์จะให้กำเนิดอิสอัคแต่ซาราห์นั้นแก่ และดูเหมือนจะไม่สามารถให้กำเนิดอิสอัคได้และซาราห์ก็คิดอย่างชาญฉลาดขึ้นมาทำไมไม่เอานางฮาการ์ผู้เป็นทาสของเราไป แล้วไปสืบลูกจากฮาการ์นั้นเอง ผลของการคิดที่ชาญฉลาดของเธอและรวดเร็วก็คือ อิสราเอลและปัญหาก็เกิดขึ้นมาตั้งแต่บัดนั้นจนถึงบัดนี้ (ปฐก 16:12) กล่าวไว้ว่า “บุตรนั้นจะเป็นดังลาป่า มือเขาจะต่อสู้คนทั้งปวง และมือคนทั้งปวงจะต่อสู้เขา เขาจะอาศัยอยู่หน้าพี่น้องของเขา” แม้พระเจ้าจะอณุญาตบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นเราต้องตระหนักว่าสิ่งนั้นไม่ได้เป็นน้ำพระทัยพระเจ้าไม่ได้เป็นน้ำพระทัยสมบูรณ์ การที่พระเจ้าอวยพรเราไม่ได้หมายความว่าพระเจ้ายอมรับในสิ่งที่เราทำมีคริสเตียนแบบโยนาห์ลายคนไปรับความคิดเหล่านี้ โดยไม่ได้มีความคิดเห็นอื่นใด เราจะต้องระมัดระวังในการตีความบนพื้นฐานพระวจนะคำของพระเจ้า พระคัมภีร์เป็นสิ่งที่แน่นอนที่สำแดงเป้าหมายของพระเจ้าที่จะให้เราดำเนิน จะบอกเราว่าสิ่งใดเป็นสิ่งที่ถูกสิ่งใดเป็นสิ่งที่ผิด เพราะฉะนั้นเราจะต้องศึกษาพระวจนะของพระเจ้า เพื่อเราจะเข้าใจเป้าหมายของพระองค์ พระคัมภีร์หลายๆ ตอนจะสอนให้เราไม่ควรจะอิจฉา คนร่ำรวย เพราะมีหลายคนที่ไม่รู้จักพระเจ้า แต่ร่ำรวยกว่าคริสเตียน ความร่ำรวยไม่ได้เป็นตัวมาวัดจิตใจของพระเจ้าได้มีคำสอนในแถบตะวันตกที่กล่าวว่า ถ้าเราดำเนินชีวิตด้วยความชอบธรรม เราจะเป็นคนที่รวยโดยอัตโนมัติเราจะสามารถสั่งรถเบนซ์มาได้โดยทันทีทันใด ข้าพเจ้าเชื่อว่าพระเจ้าปราถนาที่จะอวยพรคนของพระองค์และพระเจ้าปรารถนาให้คนของพระองค์มีเกินความต้องการของเขาและพระเจ้าปรารถนาที่จะให้เขาไปถึงจุดสูงสุดที่เขาสามารถที่จะรับได้ แต่เพื่อจะให้เป้าหมายสำเร็จในชีวิตของเรา แต่ถ้าปรารถนาให้คนของพระองค์มีเกินความต้องการของเขาและพระเจ้าปรารถนาที่จะให้เขาไปถึงจุดสูงสุดที่เขาสามารถที่จะรับได้ แต่เพื่อจะให้เป้าหมายสำเร็จในชีวิตของเราแต่ถ้าความร่ำรวยมาฉุดเรา พระเจ้าก็จะนำสิ่งนั้นออกไปแต่ขอบคุณพราะเจ้าที่พระเจ้าได้เอาสิ่งนั้นออกไปจากชีวิตเราหลายคน

และขอบคุณพระเจ้าที่ความร่ำรวยไม่ได้เป็นจุดวัดของพระเจ้าแต่ขอบคุณที่พระองค์ทำให้พระองค์ร่ำรวยในแผ่นดินสวรรค์ และให้พระองค์ยากจนในสายตาของเราและขอบคุณพระเจ้าสำหรับ อ.เปาโลที่ยอมรับในการปรับตัวเข้ากับสภาพต่างๆ ได้แต่ขอบคุณพระเจ้าที่จุดการร่ำรวยไม่สามารถวัดการอวยพรจากพระเจ้าได้ เป็นน้ำพระทัยพระเจ้าที่พระเจ้าจะรักษาทุกๆ คน พระเจ้าปรารถนาให้เราเป็นคนที่มีสุขภาพที่ดี ความเจ็บป่วยเข้ามาในโลกนี้ก็เพราะความบาปแต่ก็จริงเสมอไปที่การมีสุขภาพที่ดีจะดีกว่าความเจ็บป่วยแต่สุขภาพที่ดีทำให้เราห่างเหินจากพระเจ้าทำให้เราเย่อหยิ่ง และทำให้เราห่างเหินจากพระเจ้า และเป็นไปได้ที่พระเจ้าให้ความเจ็บป่วยเข้ามาในชีวิตเรามากเพื่อจะทำให้เราถ่อมใจลงต่อพระองค์ และสุขภาพที่ดีนั้นก็ทำให้เราตกนรกบึงไฟนั่นเอง เราต้องระมัดระวังท่าทีฉาบฉวยของเราที่มีผลต่อน้ำพระทัยของพระเจ้า ในพระคัมภีร์ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้ากระทำก็เพื่อแผนการณ์อันนิรันดร์ของพระองค์ เราจะต้องศึกษาพระคัมภีร์ครบทั้งหมดเพื่อเราจะเข้าใจแผนการณ์ของพระเจ้า อย่าพึงพอใจความคิดของเราในการดำเนินชีวิตของเราในแต่ละวัน ที่สิงคโปร์พยายามการะจายความคิดในด้านนี้ แล้วทุกคนพึงพอใจในรัฐบาลของเขารัฐบาลนี้มีอพาตเมนต์ให้อยู่มีรถให้ขับ และมีลูกได้ 2 คน และเป็นแบบอย่างประเทศที่มีความสำเร็จแต่ข้าพเจ้าจะบอกไว้ว่าวัตถุไม่สามารถทำให้มนุษย์พึงพอใจได้ ทำให้มนุษย์บ้า และทำให้มนุษย์ห่างเหินจากพระเจ้า เราควรระมัดระวังไม่ให้ชีวิตของเราควบคู่ไปกับวัตถุเพราะว่าสิ่งนั้นสิ่งเดียวไม่ได้อยู่ในชีวิตมนุษย์ การอวยพระพรของพระเจ้า ควบคู่ไปกับวัตถุเพราะว่าสิ่งนั้นสิ่งเดียวไม่ได้อยู่ในชีวิตมนุษย์ การอวยพรของพระเจ้าอยู่เหนือความคิดของเราที่เราจะคิดว่าพระพรของพระเจ้าจะเป็นอย่างไร เพราะว่าความคิดของพระเจ้าสูงกว่า ความคิดของเรา และโดยพระคุณของพระเจ้าก็จะอวยพรเราแม้เราจะเลวร้ายสักปานใดก็ตามในข้อที่ 6 ได้ให้ตัวอย่าง 2 ประการที่พระเจ้าอวยพรโยนาห์อย่างไร แม้เขาจะเป็นคนที่กบฎทำไมพระเจ้าจึงอวยพระพรโยนาห์ในช่วงแรกของข้อที่พระเจ้าได้ให้เหตุผลประการแรกแก่เราเพื่อที่จะตอบสนองต่อเขา พระเจ้าได้ให้ต้นละหุ่งเกิดขึ้นมา เพื่อที่จะให้เป็นร่มกำบังเขาโยนาห์ในช่วงที่แดดจ้าโดยที่เขาคิดว่าพระเจ้าจะทำอะไรกับเมืองนั้น ดังที่ข้าพเจ้าได้บอกท่านว่าเขาเกลียดชังชาวนีนะเวห์ และได้ไปเทศนาอย่างไม่เต็มใจโยนาห์ได้นั่งที่นั่นด้วยความยากลำบากในจิตใจทั้งทางด้านสภาพร่างกายและจิตใจ แต่พระเมตตาคุณได้เข้ามาถึงชีวิตของเขาในความต้องการทันทีทันใด และหลักการเหล่านั้นเราจะเห็นได้จากชีวิตคริตสเตียนของเราเอง เพราะความรักและเมตตาคุณของพระเจ้านั้นพระเจ้าจะตอบสนองความ ต้องการของเราที่มีนั้นชั่วขณะ แม้เราไม่สมควรที่จะรับก็ตามแม้เรามีความกดดันพระเจ้าก็จะปลดปล่อยเรา เพื่อเราจะได้รับการปลดปล่อยนั้นเพราะในชีวิตเรานั้นสามารถที่จะมีความชื่นชมยินดีได้และบ่อยครั้งที่มนุษย์จะถูกผลักดันเข้าหาพระเจ้าก็ต่อเมื่อเขามีความต้องการบางอย่างในชีวิตของเขา แม้บางครั้งเขามีปัญหามากมายเกินกว่าที่เขาจะเผชิญปัญหาได้และเมื่อนั้นเขาจะเรียนรู้ที่จะถ่อมใจลงต่อพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์และเราต้องตระหนักว่าการที่พระเจ้าอวยพระพรเรานั้นไม่ใช่ว่าพระเจ้าจะยอมรับในสิ่งที่เราทำและไม่ได้ประกันว่าพระเจ้าพอพระทัยในสิ่งที่เราทำ

และเหตุผลประการที่ 2 อยู่ในข้อที่ 6 ช่วงท้ายว่าทำไมพระเจ้าถึงอวยพระพรโยนาห์ สิ่งแรกคือการตอบสนองความต้องการชั่วขณะของโยนาห์ ประการที่ 2 เราเห็นว่าที่จะปลดปล่อยจากความทุกข์ยากจากพระคัมภีร์ที่บอกว่าเพื่อที่จะบรรเทาความร้อนรุ่ม โยนาห์นั้นมีความไม่สบายในช่วงเวลานี้ อุณหภูมิที่อยู่ภายในตัวสูงกว่าอุณหภูมิที่อยู่ภายนอกแม้อุณหภูมิภายนอกก็ร้อนพออยู่แล้ว ที่ซีเรียแดดร้อนมากจนชาวอาหรับจะต้องเดินทางในเวลากลางคืนเพราะว่าสถานการณ์เป็นเช่นนั้น พระเจ้าจึงได้มีพระเมตตาคุณต่อโยนาห์และได้ปลดปล่อยความทุกข์ของเขาชั่วขณะหนึ่งโดยคาดหวังว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงท่าทีของโยนาห์และในชีวิตคริตสเตียนเราจะเห็นได้ว่า พระเจ้าได้อวยพระพรแก่เราในท่าทีบางลักษณะและถ้าเรามีสติปัญญาบ้างเราจะปรับตัวเข้ามาเดินอยู่ในวิถีทางของพระเจ้าและพระเจ้าได้อวยพรเราเพื่อจะปลดปล่อยเราให้ออกจากสถานการณ์บางอย่างของเราเพื่อเราจะมีความไวและตระหนักต่อวิธีการของพระเจ้า เราไม่ควรพึงพอใจในการดำเนินชีวิตในการอวยพระพรบางอย่างเท่านั้น และเราต้องตระหนักว่าพระเจ้าปรารถนาจะอวยพระพรเราอย่างมากมายเพราะเราเต็มใจที่จะดำเนินชีวิตอยู่ในวิถีทางของพระเจ้าบ่อยครั้งที่เราห่างเหินจากทางพระเจ้าเราก็ยังเห็นพระพรจากพระเจ้าติดตามเรามาเพราะพระเจ้าเป็นพระเจ้าที่อดทนนานเวลาที่พระเจ้าอดทนนั้น เป็นเวลาที่ยาวนานและเราไม่สามารถที่จะมาวัดสิ่งนั้นได้ ถ้าพวกเราเป็นพระเจ้าชั่วขณะ เราจะพบว่าโลกนี้สับสนวุ่นวาย พระเจ้าปรารถนาให้เราตระหนักว่าที่เราได้รับการปลดปล่อยจากการทนทุกข์นั้นก็เพื่อจะให้เรากลับมาหาพระเจ้าและเราจะพบว่าการตอบสนองของพระเจ้าไม่ใช่วิธีการเดียวเท่านั้น ในข้อที่ 6 เราจะเห็นพระพรที่มาจากพระเจ้า ในข้อที่ 7 และ 8
เราจะเห็นการตอบสนองของพระเจ้า

ประการที่ 2

และสิ่งนี้ในที่สุดก็ต้องมา ถ้าเรากบฎคือการทนทุกข์ ในข้อที่ 7-8 พระคัมภีร์กล่าวว่า“ แต่ในเวลาเช้าวันรุ่งขึ้นพระเจ้าทรงกำหนดให้ลมตะวันออกที่ร้อนผากพัดมา และแสงแดดก็แผดลงบนศรีษะโยนาห์จนท่านอ่อนเพลียไปและท่านก็ทูลขอว่าให้ท่านตายเสียเถิดท่านว่าข้าตายเสียดีกว่าอยู่ หลังจากอวยพระพรโยนาห์ชั่วขณะหนึ่งแล้วและได้ปลดปล่อยชั่วขณะนั้นแทนที่สถานการณ์จะคลี่คลายลงไปบ้าง พระเจ้าจึงได้จัดการกับชีวิตของโยนาห์ ปัญหาต่างๆ และการกลับใจใหม่และพระเจ้าได้เปิดโอกาสแบ่งการทนทุกข์เข้ามาในชีวิตของเขา วิธีการของพระเจ้าในการจัดการกับคนของพระเจ้าคือวิธีการนี้ ถ้าเราทำความบาปแล้วเราจะต้องทนทุกข์เหมือนในพระคัมภีร์ที่บอกว่าความบาปของเรานั้นจะต้องปรากฎถ้าไม่ใช่เวลานี้ในช่วงเวลาหนึ่งก็จะชัดเจนและผลร้ายที่สุดของความทุกข์ก็คือการเผาอยู่ในนรกบึงไฟ แต่เพราะพระเมตตาคุณของพระเจ้า พระเจ้าได้ให้ความทุกข์บางส่วนเข้ามาก็เพื่อที่เราจะกลับเข้ามาหาพระเจ้าได้เพื่อเราจะไม่เอาหัวทิ่มไปสู่ความบาป ความทุกข์นั้นไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าไม่ได้อยู่ในสถานการณ์นั้นๆ บ่อยครั้งเรานั้นผูกมัดและขับไล่มาร เมื่อเราเผชิญปัญหาต่างๆ การทำอย่างนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องเมื่อเราดำเนินชีวิตอยู่ในความชอบธรรม ถ้าเราดำเนินชีวิตอยู่ในวิถีการของพระเจ้าและเชื่อฟังอยู่ในน้ำพระทัยของพระทัยของพระองค์ด้วยสิ้นสุดใจของเรา แต่ถ้าเรากำลังกบฎต่อพระเจ้าเราจะขับไล่มารซาตานได้ตลอดแต่มันจะไม่ตอบสนองเรา และซาตานจะบอกว่า อย่ามาโทษฉัน ฉันไม่ได้ทำในเวลานี้เพราะผลของคุณนั่นแหละ และพระเจ้าก็จะเดินลงมาจากสวรรค์อีกครั้งหนึ่งและจะตะโกนบอกว่าเป็นเราเองนั่นแหละ เข้าใจไหม ไม่ใช่มารซาตานๆ นั้นน่าสงสาร ถูกพูดตลอดเวลาเลย อย่าไปคิดว่าการทนทุกข์มาจากมารซาตานเสมอไป พระเจ้าได้อนุญาตให้ความทุกข์ยากมาถึงเราเป็นบางขณะเพื่อให้เราตระหนักถึงความเลวร้ายที่เราห่างเหินจากพระเจ้าในโลกที่สมบูรณ์ปราศจากความบาปเหมือนสวนเอเดนก่อนที่มนุษย์จะทำความบาป และในอาณาจักรนิรันดร์ที่องค์พระเยซูเสด็จกลับมาทุกสิ่งทุกอย่างจะปรับเข้าสู่วิถีทางของพระเจ้า การทนทุกข์จะไม่ปรากฎอีกต่อไป พระคัมภีร์กล่าวว่าจะไม่มีน้ำตาอีกต่อไปและจะไม่มีความเจ็บปวดอีกต่อไป และความชื่นชมยินดีจะเป็นของเราชั่วนิจนิรันดร์ แต่ในยุคนี้ที่เรากำลังดำเนินอยู่ในโลกนี้นั้นปัญหาต่างๆก็กำลังดำเนินอยู่ต่อไป จนกว่าความผิดบาปได้ถูกทำลายไปและความบาปจะได้รับการยกออกไปในเวลาที่จะมาถึงเพราะฉะนั้นเราจะต้องตระหนักว่าเราจะต้องทนทุกข์ในความยากลำบากจนชั่วชีวิต และรอคอยและคาดหวังอาณาจักรของพระเจ้าจอมเจ้านายของเรานั้นจะเสด็จกลับมา และพระเยซูจะนำความทุกข์ยากออกไปจากชีวิตเราจนหมดสิ้น แต่จะมีความทุกข์ยากลำบากบางอย่างที่ดีต่อชีวิตของเรา ถ้าเป้าหมายบางอย่างที่พระเจ้าจะให้เกิดขึ้นมีตามความต้องการของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหมือนเราทำความผิดบาปแต่บางครั้งเหตุผลก็เพื่ออาณาจักรของพระเจ้าเหมือนกับที่ยากอบได้กล่าวไว้ว่า จงถือว่าเป็นความชื่นชมยินดีเมื่อทนทุกข์ให้เราใช้ความทนทุกข์เป็นบันไดก้าวไปสู่สง่าราศีของพระเจ้า ความทุกข์ยากไม่ได้เป็นสัญลักษณ์ของการที่พระเจ้าไม่พอพระทัยในสิ่งที่เราทำเสมอไป อาจจะเป็นสิ่งที่พระเจ้าอณุญาตให้เกิดขึ้นเพื่อเราจะจำเริญขึ้นต่อไป เพื่อจะมีสันติสุขในเราในโลกนี้ท่านจะประสบความทุกข์ยากแต่จงชื่นใจเถิด เพราะว่าเราได้ชนะโลกแล้วและพระเยซูได้บอกเราอย่างชัดเจนแล้วว่า ในโลกนี้เราจะต้องทนทุกข์แล้วเปโตรได้กล่าวกับเราใน ( 1ปต 1: 6-7 ) ในความรอดนั้นท่านทั้งหลายชื่นชมยินดี ถึงแม้ว่าเดี๋ยวนี้จำเป็นที่ท่านจะต้องทนทุกข์ทรมานชั่วขณะหนึ่งในการถูกทดลองต่างๆ เพื่อการลองดูความเชื่อของท่านอันประเสริฐยิ่งกว่าทองคำ ซึ่งแม้เสียไปได้ก็ยังถูกลองด้วยไฟจะได้เป็นเหตุให้เกิดความสรรเสริญ เกิดศักดิ์ศรีและเกรียรติในเวลาที่พระเยซูจะเสด็จมาปรากฎ และใน (ฮบ 12:7-8) ท่านทั้งหลายจะรับและทนเอาเถิดเพราะเป็นการตีสอน พระเจ้าทรงปฎิบัติต่อท่านในฐานะที่ท่านเป็นบุตรของพระองค์ด้วยว่ามีบุตรคนใดเล่าที่บิดาไม่ได้ตีสอนเขาบ้าง แต่ถ้าท่านทั้งหลายไม่ได้ถูกตีสอนเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ท่านก็ไม่ได้เป็นบุตรแต่เป็นลูกที่ไม่มีพ่อ และในข้อที่ 11 กล่าวว่า เมื่อมีการตีสอนนั้นดูไม่เป็นที่ชื่นใจเลย เป็นเรื่องเศร้าใจ แต่ต่อมาภายหลังก็จะก่อให้เกิดความสุขสำราญแก่บรรดาคนที่ต้องทนอยู่นั้คือความชอบธรรมนั้นเอง และมีข้อพระคัมภีร์มากมายที่หนุนใจเราเพื่อให้เราทนทุกข์ชีวิตที่พระเจ้าอวยพระพรนั้นไม่ได้ปราศจากความทนทุกข์ แต่ชีวิตที่ดำเนินอยู่ใแผนการณ์และน้ำพระทัยของพระองค์ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดีก็ตาม ถ้าพระเจ้าอณุญาตให้เกิดขึ้นก็เพื่อพัฒนาตัวเราเองให้อยู่ในทางของพระองค์ อ.เปาโลได้บอกเราใน (2คร 1) เพราะการทนทุกข์ของอ.เปาโล สามารถหนุนใจให้คนอื่นทนทุกข์ต่อไปได้ ถ้าเราจำได้ในเรื่องราวของ วอซ์ธานี เป็นคนที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่มีผลต่อคนจีนมากกว่าคนจีนด้วย เขาได้ใช้เวลา 20 ปี ในการเทศนาเรื่องราวของพระเจ้าและเมื่อคอมมิวนิสต์ได้มาปกครองประเทศจีนนั้น เขาก็ถูกจับขังคุกแลัวเขาก็ถูกขังคุกเป็นเวลา 20 ปี หลายครั้งข้าพเจ้าคิดว่าเป็นการดีหรือไม่ที่เขาถูกปล่อยให้อยู่นอกคุกเทศนาคนอยู่นอกคุกแต่พระเจ้าไม่มีแผนการณ์และเป้าหมายที่สูงกว่านั้น แล้วมีใครเล่าที่จะเข้าใจแผนการณ์และน้ำพระทัยของพระเจ้าได้ แล้วใครเล่าจะบอกได้ว่าคนกี่ล้านคนได้รับการหนุนน้ำใจจากการทนทุกข์ เราไม่ควรตีความหมายว่าการทนทุกข์เป็นการสาปแช่งจากพระเจ้าเพราะว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ว่าจะเลวหลายเสมอไปบ่อยครั้งที่เป็นพระพรที่แอบแฝงอยู่ และบ่อยครั้งที่เป็นวิธีที่พระเจ้าจะอวยพรเราอย่างมากมายในที่สุด เมื่อเราดำเนินชีวิตอยู่ในความชอบธรรมเราสามารถที่จะยึดการอวยพระพรจากพระเจ้าได้ ถ้าเราพบตัวเราเองในความบาปนั้น เราสามารถที่จะคลาดความทนทุกข์ได้ และครั้งต่อไปที่ท่านป่วยสิ่งแรกที่ท่านทำคือพิจารณาตัวเองว่าชีวิตเรากำลังทำอยู่ แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ให้สันติสุขภายในท่าน ท่านสามารถบังคับให้การอวยพระพรการรักษาโรคมาถึงท่านได้ แต่ถ้าท่านช่วยและจิตใจของเรารบเร้าอยู่เสมอนั่น คือสิ่งที่มาจากพระเจ้าแล้วให้เราตรวจสอบตัวเราเองเพื่อที่จะให้พระเจ้าปลดปล่อยเราเพื่อเราจะกลับเข้ามาได้ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับโยนาห์ พระเจ้าไม่ได้อนุญาตให้เกิดการทนทุกข์ธรรมดาๆ เท่านั้นแต่เป็นความทุกข์อย่างมากมายด้วย เราสามารถพบได้อีก 3 สิ่งในข้อที่ 7และข้อที่ 8 ประการแรกเราจะพบได้ในข้อที่ 7ถึง 8 ในช่วงต้น

1.ต้องเผชิญกับความทุกข์หลายอย่าง
การทนทุกข์มากมายได้เข้าสู่ชีวิตของเขา หนอนได้เข้ามากัดกินต้นระหุ่งจนมันเหี่ยวไปดวงอาทิตย์ได้ส่องเหนือศรีษะเขาจนค่อยๆ ร้อน แล้วลมก็ได้พัดมาทั้งหนอน ดวงอาทิตย์และลมดูเหมือนปัญหาซัดเข้ามาทีละอย่างๆ สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นในชีวิตคริตสเตียน หลายๆ ครั้งที่ปัญหาจะเข้ามาทีละอย่างๆ แล้วรวมตัวเข้ามาอยู่ในตัวเรา ท่านอาจมีความเจ็บป่วยเข้ามาประการแรกและก่อนที่เราจะได้แก้ไข ปัญหาอื่นก็เข้ามา ทีละอย่างๆ แม้เราจะไม่ได้ส่งบัตรเชิญออกไปก็ตามปัญหาซัดเข้ามาทีละอย่างๆ มีแต่บันทึกความจำของพระเจ้าที่มาถึงเราเพื่อจะให้เราตระหนักและระลึกถึงสภาพของเรา ว่าเรามีปัญหาบางอย่างที่เกิดขึ้นจากการดำเนินชีวิตของเรา มีปัญหามากมายนั่นคือข้อที่ 1 ประการที่ 2 ในข้อที่ 8 ตอนท้าย “จนท่านได้อ่อนเพลียไป”

2.การทนทุกข์ในสภาพทางร่างกาย
เราจะพบว่าโยนาห์ไม่ได้ทนทุกข์เพียงปัญหาหลายๆ อย่างด้วยกันแต่พระเจ้าได้มาแตะเขาในสภาพร่างกายด้วย บ่อยครั้งที่การทนทุกข์ได้เข้ามาแตะต้องถึงในสภาพร่างกายของเราเพราะร่างกายเป็นที่รวมสภาพจิตใจและจิตวิญญาณด้วย แม้เราจะประกอบไปด้วยร่างกายจิตใจและจิตวิญญาณก็ตามแต่เราจะสัมผัสสิ่งเหล่านี้ง่ายดายเมื่อมันได้แตะต้องสภาพร่างกายของเรา เพราะฉะนั้นพระเจ้าอนุญาตให้การอวยพรและการทนทุกข์เพื่อมากระทบกับร่างกายของเราและเราจะพบว่าโยนาห์ได้ทนทุกข์ในสภาพร่างกายของเขาในเวลานี้ ในสวนเอเดนเมื่ออาดัมและเอวาได้ทำความบาปเขาไม่เพียงแต่ตายฝ่ายวิญญาณเท่านั้น แต่เขาได้ตายฝ่ายร่างกายด้วย ความเจ็บป่วยได้ถูกนำเข้ามาสู่โลกนี้ก็เพราะความบาป ในพระเจ้านั้นไม่มีการแยกแยะระหว่างร่างกายและจิตวิญญาณ เราเป็นมนุษย์สมบูรณ์แบบพระเจ้าก็จะจัดการเราทุกวิถีทาง และเมื่อเราเจ็บป่วยบ่อยครั้งนั่นเป็นเพราะความบาปของเราและหลายครั้งนั้นอาจไม่ใช่ เพราะฉะนั้นเราจะต้องถามคำถามกับตัวเราเองถ้าเราเจ็บป่วยเป็นเพราะเราขาดการสามัคคีธรรมกับพระเจ้าหรือไม่ ขอพระวิญญาณบริสุทธิ์สำแดงให้เราเห็นสิ่งนี้ที่จะเข้าใจ

3. การทนทุกข์อย่างรุนแรง
พระคัมภีร์กล่าวว่าโยนาห์ต้องการตายและกล่าวว่าข้าตายเสียก็ดีกว่าอยู่ และเราจะพบว่าโยนาห์ได้มาถึงจุดสุดท้ายของชีวิต เขาไม่เพียงทนทุกข์อย่างมากมายจากสภาพรอบข้างของเขา ไม่เพียงแต่ทนทุกข์ทางร่างกายจากการอ่อนเพลียไปอย่างมากมาย แต่การทนทุกข์ของเขารุนแรงถึงขั้นอยากจะตาย คนเรานั้นจะมาถึงจุดที่อยากจะตายก็ต่อเมื่อมาถึงจุดที่ว่าการที่มีชีวิตอยู่ต่อไปนั้นไม่อาจจะมีความชื่นชมยินดีต่อไปได้ ความรุนแรงในสภาพที่โยนาห์จะต้องทนทุกข์นั้นเป็นการแสดงถึงความรักของพระเจ้าที่จะนำโยนาห์กลับคืนมาหาพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง พระเจ้าคาดหวังว่าความรุนแรงจะผลักดันให้โยนาห์ มีท่าทีที่ถูกต้องต่อพระองค์โยนาห์มีท่าทีผิดต่อชาวนีนะเวห์เพราะไม่มีความรักความห่วงใยต่อชาวเมืองนั้น และในเวลานี้พระเจ้าได้ขับเคลื่ยนเขามาสู่จุดต่ำสุดในชีวิต ฝ่ายวิญญาณของเขาและความชื่นชมยินดีอย่างเดียวที่เขาคิดได้ก็คือการตายจากโลกนี้ไป การทนทุกข์อย่างรุนแรงที่สุดนี้เป็นเหตุที่พระคัมภีร์บอกเราหลายครั้งด้วยกันว่าเราทำบาป หลายคนจะตายก่อนเวลาของเขาเพราะพิธีมหาสนิทในวันอาทิตย์และพระคัมภีร์ได้เตือนเราว่าการรับพิธีนี้อย่างไม่ถูกต้องนั้นจะนำความพินาศมาสู่ตัวเราเอง(1 กร.12:27-30) พระเจ้าอนุญาตให้การทนทุกข์อย่างรุนแรงเข้ามาในชีวิตเราเพื่อเตือนใจเรา เพื่อไม่ให้เรามีใจแข็งกระด้าง ใน โรม 1 สอนเราว่า ถ้าเราทำให้ใจของเราแข็งกระด้าง ต่อไปวันหนึ่งเราจะเกิดความเย็นชาและไม่ตระหนักถึงความบาป ไม่สามารถจะกลับใจใหม่ได้และดำเนินชีวิตออกจากทางพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง และโดยพระเมตตาคุณของพระเจ้าบางครั้งพระเจ้าจะให้การทนทุกข์อย่างรุนแรงเข้ามา ถ้าเราต้องตัดเท้าทิ้งเพื่อเราจะได้เข้าแผ่นดินสวรรค์ พระเจ้าก็จะอนุญาตให้สิ่งนี้เกิดขึ้นเพราะว่านรกเป็นที่ๆ เลวร้ายที่มนุษย์จะไปอยู่ และพระเจ้าทรงรักเขาและพระเมตตาคุณของพระเจ้านั้นมีต่อเราเสมอ ถ้าจำเป็นที่พระเจ้าจะนำเราไปถึงจุดเกือบจะล้มละลายเพื่อจะนำเรากลับมาอยู่ในทางพระเจ้าพระองค์ก็จะอนุญาตให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น ขอคำสอนจากพระวจนะของพระเจ้านั้นจะสอนให้เราเข้าใจถึงน้ำพระทัยพระเจ้าที่มีต่อชีวิตของเรา น้ำพระทัยของพระเจ้าก็คือการที่เราจะมีส่วนในเป้าหมายของพระเจ้าคือ ในทุกๆ คนผ่านอาชีพของเรา ผ่านของประทาน,ทักษะ ,การใช้เวลา,การใช้สิ่งที่มีค่าของเรา

สรุป คนของพระเจ้าจะต้องมีส่วนในงานพันธกิจของพระองค์เพื่อการทรงเรียกในงานพันธกิจจะมาถึงทุกๆคน นั่นหมายถึงงานพันธกิจในบ้านของเราและต่างประเทศด้วย เราจะต้องมีส่วนร่วม เราไม่สามารถเป็นบุตรของพระองค์ ถ้าเราไม่มีจิตใจเหมือนพระองค์ได้ ถ้าเราไม่มีใจและความห่วงใยเหมือนพระเจ้า เราก็ไม่สามารถเป็นบุตรของพระเจ้าได้ขอพระเจ้าช่วยให้เรามีความห่วงใยคนที่เหมือนชาวนีนะเวย์ ที่เราจะมีส่วนในพระราชกิจของพระองค์ที่เราจะไม่มีชีวิตที่ดำเนินไปวันต่อวันเท่านั้น เรามีเป้าหมายสูงกว่าที่เราดำเนินชีวิตอยู่ และพระเจ้าเรียกเราให้มีเป้าหมายสูงสุดเหมือนกับพระองค์ ให้เราเชื่อฟังการทรงเรียกของพระเจ้า การเชื่อฟังภายในจิตใจของเราและถ้าเราทำสิ่งนั้น การอวยพระพรของพระเจ้าจะติดตามอยู่ในชีวิตของเราและการทนทุกข์นั้นก็จะเป็นส่วนเล็กน้อย อย่าถูกหลอกลวงเลยว่า พระพรของพระเจ้านั้นไม่ได้เห็นด้วยกับการกระทำของเราเสมอไป การทนทุกข์ไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าไม่ได้มีส่วนในสิ่งนั้น ขอให้บทเรียนของโยนาห์สอนพวกเราท่านได้ยินเสียงของพระเจ้าในวันนี้หรือไม่

ไม่มีความคิดเห็น:

My Blog

  • วินัยของน้องหมา (ข้างถนน) - วันที่ 18/8/2011 เช้านี้ขณะที่รถติดไฟแดงอยู่บริเวณสี่แยกสามย่าน ซึ่งเบื้องหน้าเป็นจามจุรีสแควร์นั้น พลันก็เหลือบเห็นน้องหมาตัวหนึ่งเดินข้ามทางม้าลายด้วยอ...
    12 ปีที่ผ่านมา
  • บทความคริสเตียน - บทความคริสเตียน http://www.gracezone.org/index.php/christian-articles บทความทางด้านจิตวิญญาณ หลักข้อเชื่อ พระเจ้า พระคัมภีร์ พระเจ้า พระคัมภีร์ แนวทางในการ...
    15 ปีที่ผ่านมา
  • คริสเตียนกับการรับใช้พระเยซู - คริสเตียนกับการรับใช้พระเยซู วัน พุธ 08 ต.ค. 08@ 17:47:37 ICT หัวข้อ: สรุปคำเทศนาประจำอาทิตย์ ดร.ทะนุ วงค์ธนานุกุล วัน อาทิตย์ ที่ 21 กันยายน 2008 พระธร...
    15 ปีที่ผ่านมา
  • - แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้องจะนมัสการพระบิดา ด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้...
    15 ปีที่ผ่านมา

Christian Blog

บล็อกวาไรตี้

เทคโนโลยี

ดาวน์โหลดโปรแกรมมาใหม่ล่าสุด |

วาไรตี้

ข่าวประจำวัน

สารบัญเว็บไทย

กินลม ชมทะเล ที่มาร์คเฮ้าส์บังกะโล เกาะกูด จ.ตราด

Thailand Map