Custom Search By Google

Custom Search

วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ศึกษาพระธรรม 1ยอห์น บทที่ 1 (1)‏

ยอห์นซาบซึ้งในความรักของพระคริสต์มาก หลังจากที่พระองค์ทรงเสด็จสู่สวรรค์แล้ว อาจารย์ยอห์นได้เขียนจากสิ่งที่ท่านได้สัมผัส สิ่งที่ท่านเห็นว่าเป็นสิ่งที่สำคัญ

"ดังนั้น ยังตั้งอยู่สามสิ่ง คือ ความเชื่อ ความหวังใจ และความรัก แต่ความรักใหญ่ที่สุด" (1โครินธ์ 13:13)

ในความรักอันนี้แหละ เป็นสิ่งที่ท่านยอห์นได้เขียนไปถึงบรรดาคริสตจักร ว่าท่านซาบซึ้งในความรักของพระเยซูคริสต์เช่นไร และเพื่อที่บรรดาสาวกจะได้เข้าใจว่าควรจะปฏิบัติเช่นไร

ในพระธรรม 1ยอห์น ได้เน้นถึง "ความรัก" ให้เรารักกันและกัน

ท่านได้เริ่มต้นเหมือนพระธรรมยอห์น คือ ได้กล่าวถึงพระวาทะซึ่งบังเกิดเป็นมนุษย์ นั่นคือ องค์พระเยซูคริสต์



พระวาทะแห่งชีวิต

--------------------------------------------------------------------------------

"1 ซึ่งมีตั้งแต่ปฐมกาล ซึ่งเราได้ยิน ซึ่งเราได้เห็นกับตา ซึ่งเราได้พินิจดู และจับต้องด้วยมือของเรานั้น เกี่ยวกับพระวาทะแห่งชีวิต
2 (และชีวิตนั้นได้ปรากฏ และเราได้เห็น และเป็นพยาน และประกาศชีวิตนิรันดร์นั้นแก่ท่านทั้งหลาย ชีวิตนั้นได้ดำรงอยู่กับพระบิดา และได้ปรากฏแก่เราทั้งหลาย)
3 ซึ่งเราได้เห็น และได้ยินนั้น เราก็ได้ประกาศให้ท่านทั้งหลายรู้ด้วย เพื่อท่านทั้งหลายจะได้ร่วมสามัคคีธรรมกับเรา เราทั้งหลายก็ร่วมสามัคคีกับพระบิดา และกับพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์
4 และเราเขียนข้อความเหล่านี้ เพื่อความปลาบปลื้มยินดีของเรา {สำเนาโบราณบางฉบับว่า ท่าน} จะได้เต็มเปี่ยม (1ยอห์น 1:1-4)


--------------------------------------------------------------------------------

ท่านได้พบกับสิ่งมหัศจรรย์ คือ ความเป็นพระเจ้าที่ซ่อนอยู่ในความเป็นมนุษย์ของพระคริสต์ที่ชัดเจนมาก

เป็นสิ่งที่ยากที่จะยอมรับว่าผู้ที่เขาได้รู้จักนั้นดำรงอยู่ก่อนตั้งแต่สมัยสร้างโลก และการที่จะยอมรับว่าใครเป็นพระเจ้านั้น บุคคลผู้นั้นจะต้องเป็นคนที่สมบูรณ์แบบ แต่อาจารย์ยอห์นก็ได้กล่าวถึงพระเยซูคริสต์เช่นนั้น เพราะขณะที่ท่านติดตามพระเยซูคริสต์ ท่านได้พินิจพิจารณาชีวิตของพระเยซูคริสต์อย่างละเอียดมากได้สัมผัสกับพระเยซูคริสต์อย่างใกล้ชิด ท่านได้พบความสมบูรณ์แบบของพระองค์ และท่านยอมรับว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระวาทะ

ลองคิดถึงว่าถ้าหากว่าเราได้อยู่ในสมัยนั้น เราก็คงจะดูพระองค์อย่างใกล้ชิด แทบจะเรียกว่าจับผิดเลยก็เป็นได้ ซึ่งท่านยอห์นก็คงจะเป็นเช่นนั้น และเมื่อท่านได้ดูชีวิตของพระองค์วันแล้ววันเล่า ในที่สุดท่านก็ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า

"1 วันอาทิตย์เวลาเช้ามืด มารีย์ชาวมักดาลาถึงอุโมงค์ฝังศพ นางเห็นหินออกจากปากอุโมงค์อยู่แล้ว
2 นางจึงวิ่งไปหาซีโมนเปโตร และสาวกอีกคนหนึ่งที่พระเยซูทรงรักนั้น และพูดกับเขาว่า 'เขาเอาองค์พระผู้เป็นเจ้าออกไปจากอุโมงค์แล้ว และพวกเราไม่รู้ว่าเขาเอาพระองค์ไปไว้ที่ไหน'
3 เปโตรจึงออกไปยังอุโมงค์กับสาวกคนนั้น
4 เขาวิ่งไปทั้งสองคน แต่สาวกคนนั้นวิ่งเร็วกว่าเปโตรจึงมาถึงอุโมงค์ก่อน
5 เขาก้มลงมองดูเห็นผ้าป่านวางอยู่ แต่เขาไม่ได้เข้าไปข้างใน
6 ซีโมนเปโตรตามมาถึงภายหลัง แล้วเข้าไปในอุโมงค์เห็นผ้าป่านวางอยู่
7 และผ้าพันพระเศียรของพระองค์ไม่ได้วางอยู่กับผ้าอื่น แต่พับไว้ต่างหาก
8 แล้วสาวกคนนั้นที่มาถึงก่อนก็ตามเข้าไปด้วย เขาได้เห็นและเชื่อ
9 เพราะว่า ขณะนั้นเขายังไม่เข้าใจข้อพระธรรมที่เขียนไว้ว่า พระองค์จะต้องฟื้นขึ้นมาจากความตาย
10 แล้วสาวกทั้งสองก็กลับไปยังบ้านของตน" (ยอห์น 20:1-10)

จากเหตุการณ์นี้ จะเห็นได้ว่า ยอห์นวิ่งเร็วกว่า ไปถึงอุโมงค์ก่อน และเปโตรมาถึงทีหลัง แต่ปรากฎว่าเปโตรรีบเข้าไปข้างใน ในขณะที่ท่านยอห์นพิเคราะห์พิจารณา ท่านได้ใกล้ชิดกับพระเยซูคริสต์มาตลอด ได้สังเกตชีวิตของพระองค์อย่างใกล้ชิด ได้สัมผัสพระองค์ และท่านก็ได้จดจำถ้อยคำของพระองค์ ท่านจึงใคร่ครวญ แม้ท่านยังไม่เข้าใจ แต่ท่านก็เก็บไปคิด เพราะท่านได้เห็นแล้วว่าพระองค์ยิ่งใหญ่มาก ท่านรู้จักพระองค์เป็นอย่างดี นี่เป็นแบบอย่างที่ดีที่เราควรนำเป็นแบบอย่าง เพราะคนที่ยิ่งรู้จักพระองค์มาก ก็จะยิ่งตื่นเต้นกับความยิ่งใหญ่กับพระองค์ แล้วเขาก็จะไม่อยู่เฉย ๆ

คนที่รู้จักพระเจ้า จะพร้อมที่จะทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อพระองค์ ถ้าเขายิ่งรู้จักพระเจ้ามากเท่าไร เขาก็จะยิ่งเห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์ เขาจะไม่ให้สิ่งอื่นสำคัญกว่าพระองค์ พร้อมที่จะสละชีวิตเพื่อพระองค์ แต่ตรงกันข้าม ผู้ใดที่ไม่รู้จักกับพระองค์อย่างถ่องแท้ หรือรู้จักไม่มาก เขาจะไม่กระตือรือร้น และจะไม่สามารถเทิดทูนพระองค์ ถวายชีวิตแด่พระองค์ได้

"แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้" (มัทธิว 6:33)

นี่คือสิ่งที่ทำให้รู้จักกับพระเยซูคริสต์มากขึ้น คือ การที่เราแสวงหาแผ่นดินของพระองค์และความชอบธรรมของพระองค์ สิ่งนี้จะทำให้เรารู้จักพระเจ้ามากขึ้น และจะยิ่งรักพระเจ้ามากขึ้น

"ดังนี้แหละ เราจึงรู้จักความรัก โดยที่พระองค์ได้ทรงยอมสละพระชนม์ของพระองค์ เพื่อเราทั้งหลาย และเราทั้งหลายก็ควรจะสละชีวิตของเราเพื่อพี่น้อง" (1ยอห์น 3:16)

พระองค์ทรงรักเราด้วยชีวิต และพระเจ้าก็บอกให้เรารักพี่น้องเช่นกัน

แล้วเราจะรักพี่น้องอย่างไร? คือ ถึงขนาดที่จะยอมสละชีวิตเพื่อพี่น้องได้ สิ่งนี้จะเกิดได้โดยการที่เรารู้จักพระเยซูคริสต์

ยอห์นจึงได้เริ่มต้นโดยการที่บอกว่า เขาได้สัมผัสกับพระองค์อย่างใกล้ชิด และได้พบแล้วว่าพระองค์คือพระเจ้า สิ่งนี้จึงเป็นสาเหตุเดียวกันกับที่สาวกทุก ๆ คนยอมที่จะสละชีวิตให้กับพระองค์ และยอมทำทุกสิ่งให้กับพี่น้อง

ความยินดีที่ได้รับนั้นอยู่ในพระคริสต์ ความยินดีของเราจะเต็มเปี่ยมเมื่อใจของเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์ นี่จะเป็นสิ่งที่จะนำมาซึ่งสันติสุขแท้ในพระองค์

พระเยซูคริสต์ทรงเสด็จไปสู่เบื้องขวาพระบิดา พระวิญญาณเราก็ไม่สามารถมองเห็นได้ แต่สิ่งที่เราจะมองเห็นได้ คือ พี่น้อง และสิ่งที่เรากระทำต่อพี่น้อง ก็จะเป็นสิ่งที่บ่งชี้ว่าเรารู้จักพระองค์เพียงไร

"13 แต่บัดนี้ ในพระเยซูคริสต์ ท่านทั้งหลายซึ่งเมื่อก่อนอยู่ไกล ได้เข้ามาใกล้โดยพระโลหิตของพระคริสต์
14 เพราะว่า พระองค์ทรงเป็นสันติสุขของเรา เป็นผู้ทรงกระทำให้ทั้งสองฝ่ายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และทรงรื้อกำแพงที่กั้นระหว่างสองฝ่ายลง
15 คือ การเป็นปฏิปักษ์กัน โดยในเนื้อหนังของพระองค์ ได้ทรงให้ธรรมบัญญัติอันประกอบด้วย บทบัญญัติ และกฎหมายต่างๆ นั้นเป็นโมฆะ เพื่อจะกระทำให้ทั้งสองฝ่ายเป็นคนใหม่คนเดียวในพระองค์ เช่นนั้นแหละ จึงทรงกระทำให้เกิดสันติสุข
16 และเพื่อจะทรงกระทำให้ทั้งสองพวกคืนดีกับพระเจ้า เป็นกายเดียวโดยกางเขน ซึ่งเป็นการทำให้การเป็นปฏิปักษ์ต่อกันหมดสิ้นไป
17 และพระองค์ได้เสร็จมาประกาศสันติสุขแก่ท่านที่อยู่ไกล และประกาศสันติสุขแก่คนที่อยู่ใกล้" (เอเฟซัส 2:13-17)

ถ้าเราไปมีเรื่องกับผู้ที่อิทธิพล ผู้ที่มีอำนาจมากกว่าเรา เราก็คงจะเกรงกลัว ซึ่งเป็นเหตุการณ์เช่นเดียวกับเราเมื่อก่อนที่จะรู้จักพระเจ้า เพราะเวลานั้นเราเป็นศัตรูกับพระเจ้า แต่เรากลับไม่รู้ว่าพระองค์น่ากลัวว่าสิ่งที่มีอำนาจที่เรากลัวเสียอีก

"อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย แต่ไม่มีอำนาจที่จะฆ่าจิตวิญญาณ แต่จงกลัวพระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ ที่จะให้ทั้งจิตวิญญาณทั้งกายพินาศในนรกได้" (มัทธิว 10:28)

และพระเยซูคริสต์ทรงมาเพื่อที่เราจะไม่ต้องเป็นปฏิบักษ์กับพระเจ้า เราจึงมีสันติสุขอยู่ได้ และให้เราตระหนักเสมอว่า ถ้าหากเราอยู่ในบาป เราจะเป็นปฏิบักษ์กับพระองค์



อ.ประดิษฐ์ พรกีรติกุล

คำแบ่งปันกลุ่มเซลล์เพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 19/06/2009

เรื่อง ศึกษาพระธรรม 1ยอห์น

ไม่มีความคิดเห็น:

My Blog

  • วินัยของน้องหมา (ข้างถนน) - วันที่ 18/8/2011 เช้านี้ขณะที่รถติดไฟแดงอยู่บริเวณสี่แยกสามย่าน ซึ่งเบื้องหน้าเป็นจามจุรีสแควร์นั้น พลันก็เหลือบเห็นน้องหมาตัวหนึ่งเดินข้ามทางม้าลายด้วยอ...
    12 ปีที่ผ่านมา
  • บทความคริสเตียน - บทความคริสเตียน http://www.gracezone.org/index.php/christian-articles บทความทางด้านจิตวิญญาณ หลักข้อเชื่อ พระเจ้า พระคัมภีร์ พระเจ้า พระคัมภีร์ แนวทางในการ...
    14 ปีที่ผ่านมา
  • คริสเตียนกับการรับใช้พระเยซู - คริสเตียนกับการรับใช้พระเยซู วัน พุธ 08 ต.ค. 08@ 17:47:37 ICT หัวข้อ: สรุปคำเทศนาประจำอาทิตย์ ดร.ทะนุ วงค์ธนานุกุล วัน อาทิตย์ ที่ 21 กันยายน 2008 พระธร...
    15 ปีที่ผ่านมา
  • - แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้องจะนมัสการพระบิดา ด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้...
    15 ปีที่ผ่านมา

Christian Blog

บล็อกวาไรตี้

เทคโนโลยี

ดาวน์โหลดโปรแกรมมาใหม่ล่าสุด |

วาไรตี้

ข่าวประจำวัน

สารบัญเว็บไทย

กินลม ชมทะเล ที่มาร์คเฮ้าส์บังกะโล เกาะกูด จ.ตราด

Thailand Map