Custom Search By Google

Custom Search

วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ศึกษาพระธรรม 1ยอห์น บทที่ 1 (2)‏

พระเจ้าทรงเป็นความสว่าง

--------------------------------------------------------------------------------

"5 นี่เป็นข้อความที่เราได้ยินจากพระองค์ และบอกแก่ท่านทั้งหลาย คือว่า พระเจ้าทรงเป็นความสว่าง และความมืดในพระองค์ไม่มีเลย
6 ถ้าเราจะว่า เราร่วมสามัคคีธรรมกับพระองค์ และยังดำเนินอยู่ในความมืด เราก็พูดมุสา และไม่ได้ดำเนินชีวิตตามความจริง
7 แต่ถ้าเราดำเนินอยู่ในความสว่าง เหมือนอย่างพระองค์ทรงสถิตในความสว่าง เราก็ร่วมสามัคคีธรรมซึ่งกันและกัน และพระโลหิตของพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ ก็ชำระเราทั้งหลายให้ปราศจากบาปทั้งสิ้น
8 ถ้าเราทั้งหลายจะว่า เราไม่มีบาป เราก็ลวงตนเอง และสัจจะไม่ได้อยู่ในเราเลย
9 ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงสัตย์ซื่อ และเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น
10 ถ้าเรากล่าวว่า เราไม่ได้ทำบาป ก็เท่ากับเราทำให้พระองค์เป็นผู้ตรัสมุสา และพระดำรัสของพระองค์ก็มิได้อยู่ในเราทั้งหลายเลย" (1ยอห์น 1:5-10)


--------------------------------------------------------------------------------

ในพระเจ้าเป็นความสว่างที่ไม่มีความมืดเลย ความมืดจะเข้ามาเกี่ยวข้องกับพระองค์ไม่ได้เลย นี่เป็นความจริงที่เราจะต้องยึดเอาไว้ เพื่อเราจะเข้าใจในสิ่งต่อไปนี้

ถ้าเราบอกว่าเรามีความสัมพันธ์กับพระองค์ แต่ยังดำเนินอยู่ในความมืด นั่นคือยังทำบาป ท่านยอห์นบอกว่า เรากำลังจะมุสา เพราะเป็นไปไม่ได้ ในความสว่างไม่มีความมืด ถ้าหากเราอยู่ในพระเจ้าและพระเจ้าอยู่ในเรา สิ่งที่จะเกิดขึ้น คือ ต้องไม่มีความมืด และถ้าหากว่าเราทำบาป ก็จะเกิดกำแพงขวางกั้นระหว่างเรากับพระเจ้า

ถ้าเราอยู่ในความสว่างอย่างแท้จริง นั่นคือการมีสามัคคีธรรมร่วมกับพระคริสต์ ชีวิตเราจะต้องไม่มีบาป ในเวลานั้น ฤทธิ์เดชแห่งพระโลหิตพระองค์ในการไถ่บาป จะสมบูรณ์ ชีวิตเราจะได้รับการชำระพระโลหิตของพระองค์ก็ชำระเราให้ปราศจากบาปทั้งสิ้น

พระองค์ทรงประทานพระสัญญา ว่าเมื่อเราสารภาพบาปของเรา พระสัญญาของพระเจ้าจะปรากฎในชีวิตของเรา คือ ชำระชีวิตของเราให้ปราศจากบาปทั้งสิ้น และเรากับพระเจ้าก็สามารถมีสามัคคีธรรมร่วมกัน การเกิดสามัคคีธรรมจะเกิดในเวลานั้น แต่ถ้าเรายังทำบาปอยู่ ความสามัคคีธรรมนั้นจะไม่เกิด

แต่ต่อมา ท่านยอห์นก็บอกว่า เราทุกคนทำบาป และถ้าเราบอกว่าเราไม่บาป เราก็โกหก

สิ่งเหล่านี้ฟังดูแล้วเหมือนจะขัดแย้งกัน!

สภาพที่เกิดขึ้นนั้น เป็นเวลาช่วงใด? เป็นเวลาก่อนที่เรารู้จักพระเจ้า หรือเมื่อเวลาที่เรารู้จักพระเจ้าแล้ว?

ก่อนที่เราจะมาถึงพระคริสต์ ถ้าเราบอกว่าเราไม่มีบาป ก็แสดงว่าเขากำลังบอกว่าพระคัมภีร์ผิด และเขาก็ไม่ต้องการพึ่งพระเยซูคริสต์ คนเหล่านี้เป็นคนที่ไม่มีความจริงอยู่ในชีวิต เพราะเขาปฏิเสธพระเจ้าอยู่เล้ว เขาจึงไม่สารภาพต่อพระเจ้าแน่นอน

ถ้าหากว่าเรารู้จักกับพระเจ้าแล้ว เราจะกล้าบอกหรือไม่ว่าเราไม่มีบาป? เราก็คงจะไม่บอกเช่นนั้น เพราะเรารู้อยู่แล้วว่ามนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป และเราก็รู้ว่าถ้าเราสารภาพ พระองค์ก็จะยกบาปของเรา และเราจะมีสามัคคีธรรมร่วมกับพระองค์ได้ แต่ถ้าเราทำบาปอีก สามัคคีธรรมนั้นก็จะเกิดปัญหาขึ้นมา เพราะพระองค์ไม่สามารถมีสามัคคีธรรมกับความบาปคือความมืดได้

ดังนั้น ถ้าหากเราทำบาป แล้วเราบอกว่าเรามีสามัคคีธรรมกับพระองค์ นี่จึงเป็นสิ่งที่ขัดแย้ง เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นศัตรูกับความบาป

"7 อย่างไรก็ตาม เราจะบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลาย คือ การที่เราจากไปนั้นก็เพื่อประโยชน์ของท่าน เพราะถ้าเราไม่ไป องค์พระผู้ช่วยก็จะไม่เสด็จมาหาท่าน แต่ถ้าเราไปแล้ว เราก็จะใช้พระองค์มาหาท่าน
8 เมื่อพระองค์นั้นเสด็จมาแล้ว พระองค์จะทรงกระทำให้โลกรู้แจ้งในเรื่องความผิด ความชอบธรรม และการพิพากษา
9 ในเรื่องความผิดนั้น คือ เพราะเขาไม่วางใจในเรา
10 ในเรื่องความชอบธรรมนั้น คือเพราะเราไปหาพระบิดา และท่านทั้งหลายจะไม่เห็นเราอีก
11 ในเรื่องการพิพากษานั้น คือเพราะเจ้าโลกนี้ถูกพิพากษาแล้ว (ยอห์น 16:7-11)

งานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ คือ ที่เราจะเข้าใจในเรื่องความผิด ความชอบธรรม และการพิพากษา พระองค์จะไม่ยอมให้เราทำบาป

อยากขอเน้นย้ำว่า พระคัมภีร์ 1ยอห์น 1:9 นี้ ไม่ใช่เหมือนเครื่องมือที่เราจะใช้ในการทำบาป

"เหตุฉะนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆ ก็ล่วงไป นี่แน่ะ กลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น" (2โครินธ์ 5:17)

แม้ในเวลาที่พระเยซูคริสต์ทรงไม่ถือโทษหญิงล่วงประเวณีที่ถูกนำตัวมาเพื่อรับการลงโทษ พระองค์ก็ได้กำชับต่อนางว่า พระองค์ไม่เอาโทษเขา แต่อย่าทำบาปอีก

"นางนั้นทูลว่า 'พระองค์เจ้าข้า ไม่มีผู้ใดเลย' และพระเยซูตรัสว่า 'เราก็ไม่เอาโทษเจ้าเหมือนกัน จงไปเถิด และอย่าทำผิดอีก' " (ยอห์น 8:11)

เมื่อเราได้รับโอกาสแห่งชีวิตใหม่ ซึ่งเป็นชีวิตที่เราได้รับจากพระเจ้าด้วยความรักของพระองค์ ถ้าหากว่าพระองค์ไม่ให้แก่เราก็ไม่ใช่ความผิดของพระองค์ เพราะว่าสิ่งที่เราควรได้รับ คือโทษเนื่องจากความบาปของเรา แต่โดยพระคุณและความรัก พระเยซูคริสต์จึงทรงยอมตาย ยอมทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส เพื่อเราจะได้มีโอกาสใหม่อีกครั้งหนึ่ง ชีวิตใหม่ของเราจึงควรที่จะต้องถวายเกียรติแด่พระเจ้า ดังนั้นเราจะกลับไปทำบาปอีกไม่ได้ เราต้องเน้นยำเช่นนี้ มิเช่นนั้นคริสเตียนก็จะทำบาปอยู่เรื่อย ๆ โดยคิดว่าทำบาปแล้วจะสารภาพได้ ถ้าเขาคิดเช่นนั้น ก็เป็นความขัดแย้งในตัวเขาเอง และเขาก็จะไม่สามารถมีสามัคคีธรรมกับพระเจ้าได้เลย

ชีวิตเราจะต้องปฏิเสธความบาปทั้งสิ้น และรังเกียจบาปเหมือนกับที่พระองค์ทรงรังเกียจ อย่าเล่นกับสิ่งที่พระองค์รังเกียจ

"26 เมื่อเราได้รับความรู้เรื่องความจริงแล้ว แต่เรายังขืนทำผิดอีก เครื่องบูชาลบบาปนั้น ก็จะไม่มีเหลืออยู่เลย
27 แต่จะมีความหวาดกลัวในการรอคอยการพิพากษาโทษ และไฟอันร้ายแรง ซึ่งจะเผาผลาญบรรดาคนที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้า" (ฮีบรู 10:26)

ถ้าคริสเตียนทำบาป กำแพงจะปรากฎ ขวางกันเขาไว้ ทำให้เขาไม่สามารถมีสามัคคีธรรมกับพระองค์ เขาจะอยู่ด้วยความหวาดกลัว

"7 ท่านที่รักทั้งหลาย ขอให้เรารักซึ่งกันและกัน เพราะว่าความรักมาจากพระเจ้า และทุกคนที่รักก็บังเกิดมาจากพระเจ้า และรู้จักพระเจ้า
8 ผู้ที่ไม่รักก็ไม่รู้จักพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นความรัก (1ยอห์น 4:7-8)

ถ้าผู้ใดที่รู้จักพระองค์ มีสามัคคีธรรมกับพระองค์ เขาก็จะสามารถที่จะรักพี่น้อง แม้ว่าคนคนนั้นจะไม่น่ารัก และถ้าเราไม่รัก ก็แสดงว่าเราก็ไม่รู้จักพระเจ้า แสดงว่าเราปฏิเสธพระเจ้า ความหวาดกลัวในการพิพากษาก็จะอยู่กับชีวิตเรา

การสารภาพที่ทำให้เกิดสามัคคีธรรมอย่างแท้จริง คือ การที่เราสารภาพ แล้วไม่ขืนกลับไปทำอีก คือไม่กลับไปทำบาปที่เกิดจากความเจตนาอีก แต่ถ้าเราตั้งใจแล้ว แล้วเราทำบาปโดยไม่เจตนา พระสัญญาของพระองค์ใน 1ยอห์น 1:9 นี้ก็จะเกิดผลในชีวิตของเขา

เราจำเป็นต้องเปลี่ยนทัศนคติและมุมมองความเข้าใจเกี่ยวกับพระเจ้า ว่าในพระองค์ จะต้องไม่มีความมืด และความบริสุทธิ์ของพระองค์เป็นความบริสุทธิ์ที่แท้จริง

พระเจ้าทรงให้โอกาสแก่เราเสมอ ที่เราจะเริ่มต้นกลับมีความสัมพันธ์ มีความสามัคคีธรรมกับพระองค์ใหม่ได้ และโดยการสามัคคีธรรมที่แท้จริง พระโลหิตของพระเยซูคริสต์จึงจะมีผลชำระเราให้บริสุทธิ์อย่างแท้จริง

พระเจ้าของเราบริสุทธิ์ พระองค์ทรงมีพระประสงค์ให้ชีวิตของเราบริสุทธิ์ ทรงเน้นย้ำเสมอให้เรามีชีวิตที่บริสุทธิ์

สิ่งเหล่านี้ เราจะสามารถใช้ในการตอบคำถามแก่คนที่ยังไม่รู้จักพระเจ้าได้ คือ มักจะมีคนมองว่า คริสเตียนสามารถทำบาปได้ เพราะในที่สุดเขาก็สามารถสารภาพได้ แต่ความเป็นจริงมิได้เป็นเช่นนั้น เพราะเงื่อนไขการชำระ ก็คือ เราจำเป็นจะต้องสารภาพ และตั้งใจที่จะไม่กลับไปทำอีก นี่แหละ การชำระจึงจะเกิดผล ไม่ได้เป็นการชำระอย่างที่เขาเข้าใจ

"เหตุฉะนั้น ท่านจึงไม่ใช่คนต่างด้าวต่างแดนอีกต่อไป แต่ว่าเป็นพลเมืองเดียวกันกับธรรมิกชน และเป็นครอบครัวของพระเจ้า" (เอเฟซัส 2:19)

คำว่า "ธรรมิกชน" นั้น ในฉบับ King James ใช้คำว่า "saints" ซึ่งแปลว่า "วิสุทธิชน" นี่เป็นคำที่ทำให้เราเห็นภาพพจน์อย่างชัดเจน ว่าชีวิตเราจะต้องบริสุทธิ์ ขอที่เราจะเข้าใจ และดำเนินชีวิตใหม่ ที่จะเป็นชีวิตที่เป็นวิสุทธิชน แล้วเราจะไม่ต้องกลัวการพิพากษาอีกต่อไป



อ.ประดิษฐ์ พรกีรติกุล

คำแบ่งปันกลุ่มเซลล์เพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 19/06/2009

เรื่อง ศึกษาพระธรรม 1ยอห์น

ไม่มีความคิดเห็น:

My Blog

  • วินัยของน้องหมา (ข้างถนน) - วันที่ 18/8/2011 เช้านี้ขณะที่รถติดไฟแดงอยู่บริเวณสี่แยกสามย่าน ซึ่งเบื้องหน้าเป็นจามจุรีสแควร์นั้น พลันก็เหลือบเห็นน้องหมาตัวหนึ่งเดินข้ามทางม้าลายด้วยอ...
    12 ปีที่ผ่านมา
  • บทความคริสเตียน - บทความคริสเตียน http://www.gracezone.org/index.php/christian-articles บทความทางด้านจิตวิญญาณ หลักข้อเชื่อ พระเจ้า พระคัมภีร์ พระเจ้า พระคัมภีร์ แนวทางในการ...
    14 ปีที่ผ่านมา
  • คริสเตียนกับการรับใช้พระเยซู - คริสเตียนกับการรับใช้พระเยซู วัน พุธ 08 ต.ค. 08@ 17:47:37 ICT หัวข้อ: สรุปคำเทศนาประจำอาทิตย์ ดร.ทะนุ วงค์ธนานุกุล วัน อาทิตย์ ที่ 21 กันยายน 2008 พระธร...
    15 ปีที่ผ่านมา
  • - แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้องจะนมัสการพระบิดา ด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้...
    15 ปีที่ผ่านมา

Christian Blog

บล็อกวาไรตี้

เทคโนโลยี

ดาวน์โหลดโปรแกรมมาใหม่ล่าสุด |

วาไรตี้

ข่าวประจำวัน

สารบัญเว็บไทย

กินลม ชมทะเล ที่มาร์คเฮ้าส์บังกะโล เกาะกูด จ.ตราด

Thailand Map