Custom Search By Google

Custom Search

วันจันทร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2552

เป็นพระพรต่อชีวิตคนอื่น

จงใช้ความทุกข์ลำบากของท่านให้เกิดประโยชน์
http://www.holyofholies.net/sermon07/08_aug_19.htm

วันนี้ถ้อยคำพระเจ้าจะใช้ชื่อว่า “จงใช้ความทุกข์ลำบากของท่านให้เกิดประโยชน์” นะครับ เราต้องใช้ความทุกข์ยากลำบากที่พระเจ้าอนุญาตให้เกิดขึ้นกับชีวิตของเราให้เกิดประโยชน์ จากที่ได้บรรยายไปแล้วเรื่อง “พระเจ้าอยู่ไหน ในยามที่เราทุกข์ยากลำบาก” ไปทั้งหมด 5 ตอนแล้ว เราก็ได้เรียนรู้เรื่องราวของความทุกข์ยากลำบากแล้วอย่างละเอียด ตั้งแต่เรื่องที่มาของความทุกข์ยากลำบาก วัตถุประสงค์ของความทุกข์ยากลำบาก ที่พระเจ้าอนุญาตให้เกิดขึ้นกับชีวิตของเรา เราควรจะคิดอย่างไร และเผชิญต่อความทุกข์ยากลำบากอย่างไรที่จะทำให้เจริญเติบโตขึ้น เป็นผู้ใหญ่ทางฝ่ายวิญญาณ สำหรับขณะนี้แล้ว เราก็คิดว่าทุกคนคงเข้าใจในเรื่องความทุกข์ยากลำบาก และเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ทางฝ่ายวิญญาณแล้วทุกคน คงไม่มีคนไหนที่ผ่านการเรียนรู้ในเรื่องนี้ 5 ตอนแล้ว จะมาถามพระเจ้าอีกว่า “ทำไม” เวลามีความทุกข์ยากลำบากเกิดขึ้นในชีวิตของเรา เพราะเรารู้ว่าขณะนั้นพระเจ้าก็สถิตอยู่กับเรา

และขั้นตอนต่อไป คือ แล้วเราจะใช้ความทุกข์ยากลำบาก ซึ่งเป็นประสบการณ์ในชีวิตของเรานั้น มาใช้เป็นประโยชน์สำหรับหนุนจิตชูใจผู้คนได้อย่างไร


มีพระประสงค์ของพระเจ้าอยู่ในเหตุการณ์นั้นเสมอ

เราจะพูดย้ำอยู่เสมอว่าบนโลกใบนี้ เราต้องเจอความทุกข์ยากลำบากอย่างแน่นอน ไม่มีใครหนีพ้นเลยสักคน พระคัมภีร์บอกว่าเบื้องหลังความทุกข์ยากลำบากนั้น ไม่ว่าจะใหญ่โตหรือจะเล็กขนาดไหนก็ตาม มีพระประสงค์ของพระเจ้าอยู่ในเหตุการณ์นั้นเสมอ ไม่มีอะไรที่เกิดขึ้นกับเรา โดยปราศจากวัตถุประสงค์ของพระเจ้า


เพราะฉะนั้น หลายครั้งที่พระเจ้าทรงให้เกิดความยากลำบากขึ้นกับเรา เพื่อให้เราเรียนรู้ที่จะเผชิญ และสามารถใช้ประสบการณ์นั้น ให้เป็นการรับใช้พระเจ้า ให้ผู้คนรับรู้ถึงพระคุณ ความเมตตาหรือฤทธิ์เดชอำนาจของพระองค์ ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญยิ่งในการเผชิญความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้


เราจะเห็นว่าพระเจ้าใช้พวกเขา ผ่านทางความทุกข์ยากลำบากอย่างมากมาย

ถ้าเรามองผ่านชีวิตการรับใช้พระเจ้า ในผู้รับใช้หลายๆ คนในอดีต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพระคัมภีร์ เราจะเห็นว่าพระเจ้าใช้พวกเขา ผ่านทางความทุกข์ยากลำบากอย่างมากมาย และใช้ประสบการณ์จากความทุกข์ยากลำบากนั้น ให้เห็นว่าเขาได้รับพระคุณและความเมตตาจากพระเจ้า และผ่านพ้นมาได้ เกิดเป็นพระพรต่อชีวิตผู้คนมากมาย เป็นคำพยานของบุคคลเหล่านั้น ซึ่งได้นำมาซึ่งความรอดและความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ทำให้ผู้คนเห็นถึงความเป็นจริง หรือการทรงสถิตอยู่ของพระคริสต์


สมมติเราไม่มีความทุกข์ยากลำบากอะไรเลย ไม่ได้เจอปัญหาอะไรเลย แล้วเราจะเป็นพยานบอกว่าเรารักพระเจ้า พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่อย่างแน่นอนเลย อวยพรเรา จนกระทั่งเรามีสุภาพที่ดี แข็งแรงอย่างนี้ ยอดเยี่ยมอย่างนี้ มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว แต่ถ้าเราบอกว่าแม้เราจะประสบความทุกข์ยากลำบาก แต่เรายังอยู่ได้ เรายังยิ้มได้ เรายังขอบคุณพระเจ้าได้ และมีชีวิตอยู่เต็มไปด้วยสันติสุข เพราะเรามีความหวังใจในพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ อย่างนี้สิมันแปลกประหลาด อย่างนี้สิ มันแตกต่าง


พอเริ่มอายุมากขึ้นๆ หมดแรงแล้ว เริ่มฟังแล้ว

เพราะฉะนั้น คำพยานของบุคคลเหล่านี้ ที่ได้ผ่านความทุกข์ยากลำบากในพระคัมภีร์ ซึ่งมีอยู่มากมาย ได้นำพาผู้คนจำนวนมากมายมารู้จักพระเจ้า ได้รับความรอดในองค์พระเยซูคริสต์ แล้วยังมีเรื่องราวอีกเยอะแยะ ที่เผชิญกับปัญหาและความทุกข์ยากลำบาก ที่ได้ทำให้ชีวิตของคนอีกหลายๆ คนเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างอัศจรรย์ และเป็นตัวอย่างให้คนอื่น อย่างเช่น เปลี่ยนแปลงจากที่ไม่เคยสนใจเรื่องสุขภาพเลย พอป่วยเป็นโรคก็เริ่มหันมาดูแลสุขภาพมากขึ้น เริ่มรู้จักระมัดระวังเรื่องอาหาร เริ่มออกกำลัง เริ่มรู้จักพักผ่อนมากขึ้น อันนี้เห็นชัดๆ เลย หรือที่เขาบอกว่า “ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา” อะไรอย่างนั้น ตอนหนุ่มๆ ตอนที่ยังวัยรุ่นอยู่ พ่อแม่เตือน ใครๆ เตือนก็ไม่ฟัง พอเริ่มอายุมากขึ้นๆ หมดแรงแล้ว เริ่มฟังแล้ว เริ่มรู้แล้วว่าสุขภาพของเรา ต้องระมัดระวังด้วย ไม่ใช่พอมีพระเจ้าแล้ว “ฉันมีพระเจ้าอยู่ ฉันตะลุยลูกเดียวเลย” ไม่หลับไม่นอน ไม่พัก ไม่ผ่อน อาหารก็อดเยอะแยะ อย่างนั้นก็เป็นประสบการณ์อันหนึ่ง ที่ทำให้รู้ว่าการที่จะทำงานอะไรต่างๆ ก็ต้องดูแลสุภาพตัวเอง ให้เป็นไปตามกฎของร่างกายด้วยเช่นเดียวกัน


จากที่ไม่เคยสนใจครอบครัว พอเริ่มมีปัญหาชีวิตคู่ หรือมีปัญหาเรื่องลูก ก็เริ่มคิดได้ หันมาดูแลห่วงใยมากขึ้น รักและเข้าใจลูก ภรรยามากขึ้น อย่างนี้เป็นต้น จากที่ไม่เคยเห็นใจใคร พอต้องเจอความทุกข์ยากลำบาก ก็เริ่มเรียนรู้ที่จะเห็นใจผู้อื่นมากขึ้น เริ่มจะเข้าใจคนอื่นมากขึ้นว่าเจ็บแล้วเป็นอย่างไร


ในหนังสือลูกา 15:11-32 ที่พระเยซูตรัสเกี่ยวกับคำอุปมาเรื่องบุตรน้อยหลงหาย ก็เป็นตัวอย่างการเผชิญความทุกข์ยากลำบาก ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง สรุปเรื่องตอนต้นๆ ก็คือ.-


…. มีชายคนหนึ่ง มีลูก 2 คน อยู่มาวันหนึ่งลูกคนเล็กก็ขอแบ่งสมบัติจากบิดา แล้วก็ออกจากบ้านไปใช้ชีวิตเสเพล ผลาญทรัพย์สมบัติ ผลาญเงินจนหมดสิ้น จนกระทั่งเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก คืออดอยาก ต้องไปรับเลี้ยงหมูให้กับคนอื่นเขา แล้วไม่มีอาหารจะกิน ก็เลยคิดถึงบ้าน คิดถึงพ่อ ก็คิดในใจว่าไปเป็นคนรับใช้ที่บ้านพ่อ ยังมีอาหารได้กินดีกว่านี้ ก็เลยคิดที่จะกลับมาที่บ้าน แล้วก็จะบอกกับพ่อว่าขอกลับมาอยู่กับพ่อในฐานะลูกจ้างก็พอแล้ว แต่พ่อก็เมตตาและให้อภัยและจัดเลี้ยงต้อนรับอย่างดี จนกระทั่งพี่ชายรู้สึกเคืองที่พ่อทำดีกับน้องชาย ทั้งๆ ที่น้องเคยทำตัวเสเพลมาก่อน …

และในข้อ 31-32 พ่อตอบอย่างนี้ว่า.-


ลูกา 15:31-32

“บิดาจึงตอบเขาว่า 'ลูกเอ๋ย เจ้าอยู่กับเราเสมอ และสิ่งของทั้งหมดของเราก็เป็นของเจ้า แต่สมควรที่เราจะได้รื่นเริงและยินดี เพราะน้องของเจ้าคนนี้ตายแล้ว แต่กลับเป็นขึ้นอีก หายไปแล้ว แต่ได้พบกันอีก'"


“ตายแล้ว แต่กลับเป็นขึ้นอีก หายไปแล้ว แต่ได้พบกันอีก” ถ้าบุตรน้อยหลงหายคนนี้ขอทรัพย์สมบัติจากพ่อ ออกจากบ้านไปแล้ว ไม่ได้ประสบกับความทุกข์ยากลำบาก สบายดี ป่านนี้ก็ไม่มีโอกาสได้กลับมาบ้านอีก แล้วไม่มีโอกาสได้รับความรอด




จนในที่สุดเราก็มาพบกับพระเจ้าผู้เที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว

ตรงนี้ทำให้เราเห็นชัดๆ 100% เลยว่าทุกคนที่มาเชื่อในพระเจ้า มารู้จักพระเจ้า ก็เพราะความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้นในชีวิต ไม่ว่าความทุกข์ยากลำบากขนาดไหนก็ตาม ก็ทำให้เกิดผลดี ทำให้หันกลับมาแสวงหา คือองค์พระเยซูคริสต์เจ้า พระผู้ช่วยให้รอดของเรา แล้วเราก็ต้อนรับพระองค์ และรับเชื่อในพระองค์ และได้รับความรอดในพระองค์


เพราะฉะนั้นเราก็ไม่ควรที่จะปล่อยให้สิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเราไร้ประโยชน์

เราสามารถที่จะแบ่งปันประสบการณ์ ความทุกข์ยากลำบากของเรา ที่พระเจ้าได้ทรงอนุญาตให้เกิดขึ้น และพระองค์ทรงนำพาผ่านมานั้น ให้เกิดประโยชน์ต่อผู้อื่นได้ เป็นการถวายเกียรติแด่พระเจ้า เป็นการรับใช้ทางหนึ่งด้วย ซึ่งเราเรียกว่าการเป็นพยานนั่นเอง ประสบการณ์ของบางคนก็อาจเป็นพยานให้ผู้คนได้รับรู้ ถึงพระลักษณะของพระเจ้า ได้เห็นถึงพระคุณและความเมตตาของพระเจ้า หรือบางประสบการณ์ก็อาจเป็นพยานในความสัตย์ซื่อของพระเจ้า ในพระสัญญาของพระเจ้า บางประสบการณ์ ก็ให้เห็นถึงการอัศจรรย์ของพระเจ้า แล้วแต่ประสบการณ์ของแต่ละคนจะเป็นอย่างไร


เราจะใช้ประสบการณ์ของเรา ที่ได้ผ่านความทุกข์ยากลำบากมา ให้เป็นพระพรต่อชีวิตคนอื่น เป็นการถวายเกียรติแด่พระเจ้าอย่างไรบ้าง

ทุกคนมีอยู่แล้ว เราสามารถรับใช้พระเจ้า โดยการเป็นพยานทางฝ่ายพระองค์ เริ่มจากตัวเราที่จะแบ่งปันประสบการณ์ให้กับผู้อื่น เราควรจะมีท่าทีอย่างไร หรือคิดอย่างไร ถึงจะทำให้การแบ่งปันหรือคำพยานนั้น เป็นประโยชน์สูงสุด และเป็นไปตามคำสอน



อันดับแรกเลย ก็คือ จะต้องเปิดใจก่อน

เราจะต้องเป็นพยานด้วยการเปิดใจ พูดถึงประสบการณ์ความทุกข์ยากลำบากของเรา ที่เราเผชิญมา

ตัวอย่างเช่น อาจารย์เปาโลที่ได้บรรยายความในใจของท่าน เกี่ยวกับความทุกข์ยากลำบากในการเป็นผู้รับใช้พระเจ้าอย่างแท้จริง


2 โครินธ์ 6:4-10

“แต่เราผู้เป็นคนรับใช้ของพระเจ้า ได้กระทำตัวให้เป็นที่ชอบในการทั้งปวง โดยความเพียรอดทนเป็นอันมาก ในความทุกข์ยาก ในความขัดสน ในเหตุวิบัติ ในการถูกเฆี่ยน ในการที่ถูกจำคุก ในการวุ่นวายในการงานต่างๆ ในการอดหลับอดนอน ในการอดอาหาร โดยความบริสุทธิ์ โดยความรู้ โดยการไม่โกรธเร็ว โดยใจกรุณา โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ โดยความรักแท้ โดยถ้อยคำสัตย์จริง โดยฤทธิ์เดชของพระเจ้า ใช้เครื่องอาวุธแห่งความชอบธรรมด้วยมือขวาและมือซ้าย ทั้งเวลามียศและเวลาอัปยศ ทั้งเวลาลือกันว่าชั่ว และเวลาลือกันว่าดี ถูกเขาหาว่าเป็นคนที่ล่อลวงเขาให้หลง แต่ยังเป็นคนสัตย์ซื่อ ถูกเขาหาว่าเป็นคนไม่มีใครรู้จัก แต่ยังเป็นคนที่เขาทั้งหลายรู้จักดี เป็นคนตาย แต่ดูเถิดเรายังเป็นอยู่ เป็นคนถูกเฆี่ยนแต่ยังไม่ตาย เป็นคนที่มีความทุกข์ แต่ยังมีความยินดีอยู่เสมอ เป็นคนยากจน แต่ยังทำให้คนเป็นอันมากมั่งมี เป็นคนไม่มีอะไรเลย แต่ยังมีสิ่งสารพัดบริบูรณ์”


เปาโลได้เล่าถึงประสบการณ์ความทุกข์ลำบากที่ผ่านมา เยอะแยะมากมาย ทั้งถูกทารุณ ถูกเฆี่ยนตี ถูกดูถูกดูหมิ่น ถูกประนามใส่ร้าย ถูกกล่าวหาอย่างร้ายแรงว่าหลอกลวงคนอื่น ถ้าเป็นคนทั่วไป ก็ต้องบอกว่าทั้งชีวิตเจอแต่ความทุกข์ยากลำบาก แต่ท่านบอกว่า “เป็นคนที่มีความทุกข์ แต่ยังมีความยินดีอยู่เสมอ เป็นคนยากจนทางวัตถุ ไม่มีทรัพย์สมบัติอะไรเลย แต่ก็ได้นำพาผู้คนมากมายให้เกิดความมั่งมี เกิดความร่ำรวยทางจิตวิญญาณ”

ตัวอย่างในข้อนี้ให้เห็นถึงลักษณะการเปิดใจของเปาโล ในการแบ่งปันประสบการณ์ความทุกข์ลำบากของตัวเอง ที่ได้เผชิญมาอย่างไม่ปิดบัง


2 โครินธ์ 16:11-13

“ดูก่อนท่านชาวโครินธ์ เราพูดกับท่านอย่างไม่ปิดบังเลย และใจของเราก็เปิดรับท่าน ใจของท่านทั้งหลายมิได้ปิดเพราะเรา แต่ปิดเพราะความรู้สึกของตนเอง ในการตอบสนอง ข้าพเจ้าขอพูดกับท่านเหมือนพูดกับบุตร คือจงเปิดจิตใจของท่านเถิด”


แต่เสร็จแล้วเราก็ผ่านชีวิตช่วงนั้นไปได้โดยพระเจ้า

ถ้าเราจะเป็นพยาน ไม่ต้องอายว่าสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้น ไม่ต้องอายว่าเราเป็นหนี้สิน ไม่ต้องอายที่เรามีสุขภาพที่แย่ แล้วก็ทุกข์ทรมานด้วยสุขภาพที่แย่นั้น หลายครั้งที่เราต้องเรียกร้องต่อพระเจ้า แล้วก็ทนไม่ไหว แต่เสร็จแล้วเราก็ผ่านชีวิตช่วงนั้นไปได้โดยพระเจ้า ไม่ต้องอาย ต้องเปิดใจ บอกให้หมดเลยว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตของเราบ้างที่ลำบาก ที่แย่ๆ อีกมากมายในชีวิตส่วนตัวของแต่ละคน พระเจ้าจะใช้ตรงนั้นให้เป็นประโยชน์ในชีวิตของเรา เพื่อผู้อื่นที่เขาทุกข์ลำบากเหมือนกัน จะได้รับการหนุนจิตชูใจ



อันดับที่สอง คือ ต้องถ่อมใจ



ยอมรับความผิดพลาดที่ผ่านมาว่ามันผิดพลาดอย่างไร

เรามาดูตัวอย่างในหนังสือ 1 ทิโมธี 1:15-16 “คำนี้เป็นคำจริงและสมควรที่คนทั้งปวงจะรับไว้ คือว่าพระเยซูคริสต์ได้เสด็จมาในโลก เพื่อจะได้ทรงช่วยคนบาปให้รอด และในพวกคนบาปนั้นข้าพเจ้าเป็นตัวเอก แต่ว่าเพราะเหตุนี้เองข้าพเจ้าจึงได้รับพระกรุณา คือว่าเพื่อพระเยซูคริสต์จะได้ทรงสำแดงความอดกลั้นพระทัยทุกอย่าง ให้เห็นในตัวข้าพเจ้าซึ่งเป็นตัวเอกนั้น ให้เป็นแบบอย่างแก่คนทั้งปวงที่จะเชื่อในพระองค์ แล้วรับชีวิตนิรันดร์”


มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป แต่ในบรรดาคนบาปทั้งหมด เปาโลยอมรับด้วยความถ่อมใจว่าเปาโลเป็นคนบาปที่หนักที่สุด เลวอันดับต้นๆ

ยอมรับเลยว่าเป็นตัวเอกในเรื่องของความไม่ดี ความชั่ว เปาโลยอมรับว่าในอดีตที่ผ่านมาเคยทำความผิดบาปมากมาย แต่แม้จะบาปมากขนาดไหน ก็ยังได้รับการอภัยโดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์


ในพระคัมภีร์ได้กล่าวถึงสิ่งที่อาจารย์เปาโลเคยทำไว้ในอดีต ก่อนมารับใช้พระเจ้า อย่างเช่น ได้ร่วมกันฆ่าสเทเฟน ร่วมกันข่มเหงคริสตจักร



กิจการ 8:1-3

“การที่เขาฆ่าสเทเฟนเสียนั้น เซาโลก็เห็นชอบด้วย คราวนั้นเกิดการข่มเหงคริสตจักรครั้งใหญ่ในกรุงเยรูซาเล็ม และศิษย์ทั้งปวงนอกจากพวกอัครทูต ได้กระจัดกระจายไปทั่วแว่นแคว้นยูเดียกับสะมาเรีย ผู้ที่เกรงกลัวพระเจ้าก็ฝังศพสเทเฟนไว้ แล้วคร่ำครวญอาลัยถึงท่านอย่างยิ่ง ฝ่ายเซาโลพยายามทำลายคริสตจักร โดยเข้าไปฉุดลากชายหญิงจากทุกบ้านทุกเรือน เอาไปจำไว้ในคุก”



ทุกคนก็เป็นคนบาปหมด ดังนั้นเราต้องถ่อมใจ ถ้าเป็นพยานทางฝ่ายพระเจ้าแล้ว ต้องยอมรับว่าเราเป็นคนบาป เราทำชั่วอะไรไว้บ้าง ทำอะไรที่ไม่ดีไว้บ้าง แล้วพระเจ้าช่วยเรา อภัยให้เรา ให้เราได้รับชีวิตใหม่ ให้เราเลิกจากความบาปเหล่านั้น อย่างนี้ก็เป็นคำพยานต่อผู้คนมากมาย ให้เกิดความเชื่อ เพราะว่าไม่มีใครดีพร้อม สมบูรณ์ทุกประการ ทุกคนเคยทำบาปมาทั้งสิ้น แต่เมื่อทำบาปแล้ว รู้สึกสำนึก กลับใจใหม่ พระเจ้าก็ทรงอภัยให้ และเราก็ใช้ประสบการณ์ความผิดพลาดของเรา ในการประกาศให้ผู้คนได้เห็นถึงพระคุณที่ได้รับจากพระเจ้า อย่างนี้ เป็นการใช้ความผิดบาปในอดีตให้เกิดประโยชน์ แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าเราเก็บความผิดบาปนั้นไว้ในใจ แล้วก็ไม่ยอมสารภาพบาปนั้น ก็กลายเป็นที่เขาเรียกกันว่าตราบาปที่อยู่ในใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้จิตใจลำบาก เหมือนติดคุกในใจ

ถ้าเราสารภาพ แล้วเราตั้งใจจริง แล้วเรากล้าบอกกับคนอื่น

เราจะหลุดและเป็นอิสระ



การยอมรับความผิดพลาดในอดีต คือ การยอมรับในสัจธรรมว่าภายใต้เนื้อหนังมนุษย์ เราไม่สามารถควบคุมความคิดและการกระทำของเราได้ 100% ไม่มีทางเลย แม้แต่อัครทูตอย่างเปาโล ก็ยังยอมรับว่าทั้งเนื้อหนังและการกระทำของเขา และจิตวิญญาณต่อสู้กันตลอดเวลา ดังในหนังสือโรม 7:16-23 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า

โรม 7:16-23

“เหตุฉะนั้น ถ้าข้าพเจ้าทำสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาที่จะทำ และข้าพเจ้ายอมรับว่าธรรมบัญญัตินั้นดี ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงมิใช่ผู้กระทำ แต่ว่าบาปซึ่งอยู่ในตัวข้าพเจ้านั่นเองเป็นผู้ทำ ด้วยว่าในตัวข้าพเจ้า คือในตัวของข้าพเจ้าไม่มีความดีประการใดอยู่เลย เพราะว่าเจตนาดีข้าพเจ้าก็มีอยู่ แต่ซึ่งจะกระทำการดีนั้นข้าพเจ้าหาได้กระทำไม่ ด้วยว่าการดีนั้นซึ่งข้าพเจ้าปรารถนาทำ ข้าพเจ้าไม่ได้กระทำ แต่การชั่วซึ่งข้าพเจ้ามิได้ปรารถนาทำ ข้าพเจ้ายังทำอยู่ ถ้าแม้ข้าพเจ้ายังทำสิ่งซึ่งข้าพเจ้าไม่ปรารถนาจะทำ ก็ไม่ใช่ตัวข้าพเจ้าเป็นผู้กระทำ แต่บาปซึ่งอยู่ในตัวข้าพเจ้านั่นเองเป็นผู้กระทำ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงเห็นว่าเป็นกฎธรรมดาอย่างหนึ่ง คือเมื่อใดที่ข้าพเจ้าตั้งใจจะกระทำความดี ความชั่วก็พร้อมที่จะผุดขึ้น เพราะว่าส่วนลึกในใจของข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าชื่นชมในธรรมบัญญัติของพระเจ้า แต่ข้าพเจ้าเห็นมีกฎอีกอย่างหนึ่งอยู่ในกายของข้าพเจ้า ซึ่งต่อสู้กับกฎแห่งจิตใจของข้าพเจ้า และชักนำให้ข้าพเจ้าอยู่ใต้บังคับกฎแห่งบาป ซึ่งอยู่ในกายของข้าพเจ้า”




พระคำตรงนี้ ทำให้เราเห็นว่าตราบใดที่เรายังอยู่ในร่างกายนี้ เราต้องต่อสู้กับความบาปตลอดเวลา เป็นกฎพื้นฐานที่เราต้องยอมรับ

ว่าการต่อสู้ ก็มีแพ้บ้าง มีชนะบ้าง บางครั้งสิ่งที่เรารู้ว่าดี อยากจะทำ แต่ก็ไม่ได้ทำ บางครั้งรู้ว่าไม่ดี ไม่อยากทำ แต่ก็ทำ ซึ่งการยอมรับกฎของความจริง พื้นฐานตรงนี้ จะช่วยให้เราสามารถที่จะถ่อมใจ ยอมรับความผิดพลาดของเราได้ง่ายขึ้น คุ้นๆ ไหมครับว่าในจิตใจของเราเป็นอย่างนี้ หลายสิ่งหลายอย่างที่เรารู้ว่าเป็นสิ่งที่ดี ในพระคัมภีร์ก็บอกว่าเป็นสิ่งที่ดี เราอยากทำ แต่เราทำไม่ได้ หลายสิ่งหลายอย่างที่ในหนังสือบอกว่าอย่าทำเลย ไม่ดี ไม่ถูกต้อง แต่เราก็อดไม่ได้ที่จะทำ อย่างเช่น ความอิจฉาริษยา ความโกรธ ความเกลียด อดไม่ได้ที่จะโกรธเขา อดไม่ได้ที่จะอิจฉาเขา อดไม่ได้ที่จะเกลียดเขา ในนี้ก็บอกแล้วว่าไม่ดี ทุกครั้งที่เราทำไป เราผิดพลาดไป เรารู้ตัวแล้วต้องทำอย่างไร เราก็ต้องมาสารภาพต่อพระเจ้า “พระบิดาช่วยลูกด้วย ลูกไม่อยากจะโกรธเขาเลย แต่ลูกเผลอไป ขอพระองค์ทรงอภัยให้ด้วย ขอบคุณพระเจ้า ในนามพระเยซูคริสต์เจ้า เอเมน” เราแพ้บ้าง ชนะบ้าง แต่พอนานๆ เข้าเราก็คุ้นเคยขึ้นเรื่อยๆ ชนะขึ้นเรื่อยๆ ชีวิตเราก็จะเปลี่ยนไป ก่อนเป็นคริสเตียนเป็นคนที่หุนหันพลันแล่น เป็นคนที่ชอบโกรธชาวบ้านเขา โดยเฉพาะอยู่ในบ้าน ก็กลายเป็นคนที่สงบลง เงียบลง สุขุม เต็มไปด้วยความรักและไม่โกรธ เราก็สามารถเป็นพยานให้กับผู้คนได้ว่ามาเป็นคริสเตียน มารู้จักพระเจ้าแล้ว เดี่ยวนี้จิตใจสงบขึ้น อย่างนี้เป็นต้น


และเมื่อเรามีท่าทีที่สามารถเปิดใจและถ่อมใจ ยอมรับความทุกข์ยากลำบาก และความผิดในอดีตได้แล้ว มาดูว่าพระเจ้าสามารถใช้ประสบการณ์ความทุกข์ยากลำบากของเรา ให้เป็นประโยชน์อย่างไรบ้าง ต่อบรรดาการงานของพระองค์


ใช้ประสบการณ์ของเราเป็นแบบอย่าง นำพาคนอื่น หนุนจิตชูใจผู้คนที่ต้องประสบปัญหาความทุกข์ลำบาก ในลักษณะเดียวกันกับเรา ใน 2 โครินธ์ 1:4-7

2 โครินธ์ 1:4-7

“พระองค์ผู้ทรงชูใจเราในการทุกข์ยากทั้งสิ้นของเรา เพื่อเราจะสามารถชูใจคนเหล่านั้น ที่มีความทุกข์ยากอย่างใดอย่างหนึ่งได้ด้วยความชูใจ ซึ่งตัวเราเองได้รับจากพระเจ้า เพราะว่าเรามีส่วนทนทุกข์กับพระคริสต์มากฉันใด ความชูใจของเราเนื่องจากพระคริสต์ก็มากฉันนั้น ที่เราทนความทุกข์ยากนั้น ก็เพื่อให้ท่านได้ความชูใจและความรอด และที่เราได้รับความชูใจ ก็เพื่อให้ท่านได้รับความชูใจด้วย ซึ่งท่านจะได้รับเมื่อเพียรสู้ทนความทุกข์เหมือนอย่างเราได้ทนนั้น เราจึงมีความหวังแน่นอนในท่านทั้งหลาย เพราะเรารู้ว่า ท่านทั้งหลายได้มีส่วนในความทุกข์ยากของเราฉันใด ท่านทั้งหลายจะได้มีส่วนในความชูใจของเราฉันนั้น”




เพื่อเราจะได้ใช้ประสบการณ์ที่เราได้รับจากพระเจ้า เป็นพระพรให้กับคนอื่น

พระเจ้าอาจให้ความทุกข์ยากลำบากเกิดขึ้นกับเรา เพื่อให้เราได้รับการเล้าโลมใจ ชูใจจากพระองค์ ได้รับการเสริมกำลังจากพระองค์ เพื่อเราจะได้ใช้ประสบการณ์ที่เราได้รับจากพระเจ้า เป็นพระพรให้กับคนอื่น เป็นแบบอย่างนำพาคนอื่นๆ อีกมากมาย ใครจะสามารถเป็นพยาน หนุนใจบรรดาคนที่ตกทุกข์ได้ยากได้ ดีเท่าๆ กับคนที่เคยประสบความทุกข์ยากลำบากมาแล้ว และใครจะสามารถเป็นพยานในความทุกข์ยากลำบาก หนุนจิตชูใจบรรดาคนที่ทุกข์ยากลำบาก ได้มากเท่ากับคนนั้นที่ประสบเรื่องเดียวกันเลย เหมือนกันเลย


ยกตัวอย่างเช่น มีปัญหาครอบครัวเหมือนกันเลย มีปัญหาสุขภาพเหมือนกันเลย มีปัญหาการเงินเหมือนกันเลย แต่เราได้ผ่านพ้นวิกฤตการณ์เหล่านั้นมาแล้ว โดยพระคุณของพระเจ้า ด้วยความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้น พระเมตตากรุณาของพระองค์ทรงช่วย และช่วยด้วยวิธีใด ก็เล่าให้เขาฟัง แค่นั้นเอง แล้วสิ่งนั้นก็ได้เป็นประโยชน์ในการหนุนจิตชูใจ บรรดาผู้คนของพระองค์ที่ทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น จะได้ผ่านพ้นวิกฤตตรงนั้นไปได้


อย่างเช่นเรื่องที่จะเล่าให้ฟังเรื่องนี้ … ภรรยาของศิษยาภิบาลคนหนึ่งเพิ่งคลอดลูก 6 เดือน เด็กก็มีสภาพอ่อนแอ อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่เธอกำลังอุ้มลูกอยู่นั้น ลูกของเธอก็สิ้นลม คือตายคาอ้อมกอดของเธอเลย ภรรยาศิษยาภิบาลคนนี้ก็กอดลูกไว้ ไม่ยอมปล่อยเลย ศิษยาภิบาลซึ่งเป็นพ่อของเด็ก ก็พยายามขอร่างของเด็กทารกน้อยนี้ เพื่อไปประกอบพิธี แต่ไม่ว่าจะพูดคุยอย่างไร เธอก็ไม่ยอมปล่อยทารกในอ้อมกอด

ปรากฏว่ามีสมาชิกที่โบสถ์คนหนึ่ง เพิ่งสูญเสียลูกชายวัยขวบเศษเมื่อปีที่แล้ว พอเธอได้ยินข่าว ก็รีบไปบ้านศิษยาภิบาล เข้าไปคุยกับภรรยาศิษยาภิบาล เธอไม่ได้ขอร่างทารกน้อยเลย เพียงแต่นั่งคุยให้ฟังถึงประสบการณ์ของเธอ ตอนที่ต้องเสียลูกชายในวัยกำลังน่ารัก และบอกว่าตอนนี้ลูกชายของเธออยู่บนสวรรค์กับพระเยซู และอาจจะกำลังรอเล่นกับเด็กน้อยคนนี้อยู่ก็ได้ และอีกไม่นานเธอก็จะได้ตามไปอยู่กับลูกด้วย



พอได้ฟังเรื่องราวของผู้หญิงคนนี้ โดยที่ไม่มีการเอ่ยปากขอร่างของทารกน้อยเลย ภรรยาของศิษยาภิบาลก็ส่งลูกของเธอให้ และนำไปให้ศิษยาภิบาล เพื่อเตรียมทำพิธี แล้วผู้หญิงทั้งสองคนที่ได้ผ่านความทุกข์ยากลำบากเหมือนกัน เรื่องเดียวกัน ก็คุกเข่าลงอธิษฐานด้วยกัน …



เห็นไหมครับ! หลายครั้งเป็นแบบนี้แหละ เราไม่รู้หรอก เราก็ปล่อยให้พระเจ้านำพาเราไป ใช้ชีวิตของเราไป และพระเจ้าจะใช้สิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา ให้เป็นประโยชน์กับคนอีกมากมาย ยิ่งประสบปัญหาความทุกข์ยากลำบากมากเท่าไหร่ พระเจ้าก็จะใช้สิ่งนั้นให้เกิดประโยชน์กับผู้คนมากเท่านั้น



มีอีกเรื่องหนึ่ง … เมื่อหลายปีก่อนหนังสือพิมพ์ของเมืองโตรอนโต ประเทศแคนาดา

ได้ตีพิมพ์ลงข่าวความสำเร็จ ในการผ่าตัดตกแต่งกะโหลกศีรษะให้กับทารก ที่เกิดมาแล้วมีกะโหลกศีรษะที่ผิดปกติ มีรูปร่างผิดปกติ ซึ่งจะไปกดทับเส้นประสาทสมอง และจะส่งผลให้คนไข้มีอาการปวดศีรษะตลอดเวลา และพิการทางสมอง ผลงานความสำเร็จนี้เป็นของนายแพทย์รันมอนโล แห่งมหาวิทยาลัยโตรอนโต



ก็มีคนถามว่าอะไรคือแรงบันดาลใจให้หมอพยายามคิดค้น และทำการทดลองด้วยความอุตสาหะและพยายามอย่างมาก คำตอบคือว่าเพราะลูกชายของหมอเอง เป็นโรคนี้ และก่อนลูกชายจะเสียชีวิต เป็นเวลาหลายปีที่หมอต้องทนเฝ้าดูอาการ ความทุกข์ทรมานของลูกชาย โดยที่ไม่สามารถช่วยอะไรได้ …

เห็นไหมครับ! เพราะความทุกข์ยากลำบากที่เกิดกับหมอ หมอจึงเข้าใจ ถึงความทุกข์ยากลำบากที่จะเกิดขึ้นกับบรรดาเด็กๆ อีกมากมาย และพ่อแม่ของเด็กๆ อีกมากมาย ไม่อยากให้เขาได้เจออย่างนี้ พระเจ้าก็ใช้ และทนอุตสาหะ บากบั่น ศึกษา ค้นคว้า จนกระทั่งได้วิธีการรักษาขึ้นมา อย่างนี้เป็นต้น


อย่าให้เขาหลุดจากทางของพระองค์ไป

อีกอันหนึ่งที่เห็นชัดๆ เลย เราอธิษฐานให้ลูกของเรา มากเท่าไหร่ที่เราห่วงเขา ห่วงมากที่สุดก็คือกลัวเขาหลงทางจากพระเจ้า ไม่เดินอยู่ในทางพระเยซูคริสต์ ถามว่าเรากลัวเพราะอะไร เพราะเราผ่านมาแล้ว เรารู้ว่าทุกคนต้องมีพระเจ้าอยู่ในชีวิต เรามีประสบการณ์แล้ว เราจึงห่วงลูก จึงอธิษฐานทุกวันทุกคืน “ขอพระเจ้าเมตตา ขอพระองค์ทรงดูแลชีวิตของพวกเขา ให้อยู่ในทางของพระองค์ อย่าให้เขาหลุดจากทางของพระองค์ไป อย่าให้เขาทิ้งพระองค์ ให้เขาติดสนิทกับพระองค์ ให้เขาเจริญเติบโตทางฝ่ายจิตวิญญาณ ให้เขารักพระองค์ ให้เขาสนิทสนมกับพระองค์ ปกป้องคุ้มครองดูแลรักษาชีวิตของเขา ดูแลเขาจากการกระทำผิดบาปทั้งปวงด้วย”


ชีวิตมนุษย์ไม่ได้สิ้นสุดตรงความตายบนโลกใบนี้

พ่อแม่จะอธิษฐานให้ลูกมากที่สุด เพราะรู้ว่าถ้าไม่มีพระเจ้าลำบากแน่ๆ แล้วลำบากอย่างที่สุด ไปจนถึงนิรันดร์กาลเลย ความหวังนั้นอยู่ในพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด อยู่ในสวรรค์สถาน ในความรอดนิรันดร์กาลที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้ นั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตมนุษย์ ชีวิตมนุษย์ไม่ได้สิ้นสุดตรงความตายบนโลกใบนี้ แต่ยังมีชีวิตหลังความตายอีก ที่จำเป็นจะต้องให้ความสำคัญ และเอาจริงเอาจัง เรารู้แล้ว แต่ลูกเรายังวัยรุ่นอยู่ หรือยังเด็กอยู่ ยังไม่รู้ เราก็เลยอธิษฐานอย่างสุดขีด เพื่อให้ลูกเราอยู่ในทางของพระเจ้าให้ได้ อย่าให้เขาทิ้งพระเจ้า เห็นไหมครับ เพราะประสบการณ์นี่แหละที่พระเจ้าทรงใช้



และยังมีอีกหลายอย่างที่พระเจ้าทรงสามารถใช้ อย่างเช่น เราไม่ต้องเรียนรู้ด้วยตัวเองในทุกสิ่ง แต่เราใช้ประสบการณ์ของผู้อื่นมาเป็นคนสอนเรา อย่างเช่นการรับประทานอะไรได้หรือไม่ได้ ที่เป็นโทษ เราไม่ต้องไปลองเอง ยกตัวอย่างเช่นปลาปักเป้า ถ้าทำไม่ถูกต้องกิน แล้วจะเป็นพิษถึงตาย



จนกระทั่งมาถึงจุดที่พระเจ้าเท่านั้นคือสิ่งเดียวที่เราเหลืออยู่

พระคัมภีร์ก็มีตัวอย่างเป็นบทเรียน ที่พระเจ้าต้องการสอนเราผ่านทางความทุกข์ลำบาก และเป็นพยานว่า “ฉันได้พบกับความทุกข์ยากลำบากอย่างนี้อย่างนั้นมา และฉันได้วางใจในพระเจ้าอย่างไร และพระเจ้าได้ช่วยฉันหลุดรอดพ้นมาได้อย่างไร” มีคนกล่าวว่าเราจะไม่มีทางรู้เลยว่าในทุกๆ สถานการณ์ พระเจ้าคือสิ่งเดียวเท่านั้นที่เราต้องการ จนกระทั่งมาถึงจุดที่พระเจ้าเท่านั้นคือสิ่งเดียวที่เราเหลืออยู่ และเคยมีผู้ประสพภัยพิบัติธรรมชาติ สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง ได้พูดว่า “ถึงแม้เราจะสูญเสียทุกอย่าง แต่เราก็ยังมีพระเจ้า”



จากจุดนี้แหละ ที่พระเจ้าจะได้เริ่มทำงานในชีวิตของเรา

เมื่อหมดทุกสิ่งทุกอย่าง เราก็จะรู้ว่าสิ่งเดียวที่เราเหลืออยู่ และอยู่เคียงข้างเราตลอด คือพระเจ้า และจากจุดนี้แหละ ที่พระเจ้าจะได้เริ่มทำงานในชีวิตของเรา เริ่มให้เราได้เรียนรู้ว่าเมื่อเรามีพระเจ้า ก็เท่ากับมีทุกสิ่ง ให้เราสามารถวางใจในพระเจ้า และให้พระองค์นำเราผ่านในทุกๆ สถานการณ์แห่งความทุกข์ยากลำบากได้ ในหนังสือ 2 โครินธ์ 1:8-10


2 โครินธ์ 1:8-10

“พี่น้องทั้งหลาย เราอยากให้ท่านทราบถึงความทุกข์ยากที่เกิดแก่เราในแคว้นเอเชีย ซึ่งทำให้เราหนักใจเหลือกำลัง จนเราเกือบหมดหวังที่จะเอาชีวิตรอดมาได้ ที่จริงเราคาดว่าเราถึงที่ตายแล้ว แต่ที่เป็นเช่นนี้ก็เพื่อมิให้เราไว้ใจในตนเอง แต่ให้ไว้ใจในพระเจ้า ผู้ทรงโปรดให้คนทั้งปวงฟื้นจากความตาย พระองค์ทรงช่วยเราให้พ้นจากมรณภัย และพระองค์จะทรงช่วยเราอีก เราไว้ใจพระองค์ว่า พระองค์จะทรงช่วยเราต่อไปอีก”




แต่พระเจ้าบอกว่าพระคัมภีร์เล่มเดียว ได้รวบรวมวิธีที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหาในชีวิตของเรา ครบทุกเรื่อง

นอกเหนือจากที่พระเจ้าใช้ประสบการณ์ของพวกเรา ให้เป็นพยานเกี่ยวกับเรื่องการไว้วางใจในพระเจ้า และผ่านพ้นชีวิตแห่งความทุกข์ลำบากแล้ว พระองค์ยังทรงให้เราเป็นพยานว่าถ้าเชื่อถ้อยคำพระเจ้าแล้ว การดำเนินชีวิตจะเป็นพระพร หลายคนเมื่อมีปัญหา ก็พยายามแก้ปัญหาด้วยความคิดตัวเอง ตามแบบอย่างที่โลกเขาทำกัน มีหนังสือวางขายในท้องตลาดกันเยอะแยะ อย่างเช่น “20 วิธีในการแก้ปัญหาชีวิต” “12 วิธีในการทำให้รวย” “7 วิธีในการใช้ชีวิตคู่” “6 วิธีในการประสบความสำเร็จ” “ในความร่ำรวย” อะไรต่างๆ แต่พระเจ้าบอกว่าพระคัมภีร์เล่มเดียว ได้รวบรวมวิธีที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหาในชีวิตของเรา ครบทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเรื่องครอบครัว เรื่องการเงิน เรื่องการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อย่างไร และรวมไปถึงชีวิตภายภาคหน้าด้วย บางครั้งพระเจ้าก็ปล่อยให้เราดิ้นรน คิดแก้ปัญหาไปเองก่อน แล้วก็พลาดซ้ำๆ จนกระทั่งกลับมาหาพระเจ้า พักพิง พึ่งพิงในถ้อยคำพระเจ้า ให้พระวจนะของพระเจ้านำพาเราผ่านไปได้ เพื่อเราจะได้เรียนรู้ตรงนี้ และจะได้ประกาศออกไป เป็นพยานให้กับคนอื่นได้รับรู้ และนำพาผู้คนมาสู่ถ้อยคำของพระเจ้า


เห็นไหมครับ พอเราได้เรียนรู้ ได้หลุดพ้นจากปัญหาเหล่านี้ เพราะพระคัมภีร์ได้สอนไว้อย่างนี้ๆ ผู้คนก็มาศึกษาถ้อยคำพระเจ้า และได้เรียนรู้จักถ้อยคำพระเจ้า เพราะเป็นถ้อยคำที่มีฤทธิ์อำนาจ สามารถช่วยเราให้พ้นจากปัญหาทุกๆ อย่างในชีวิตของเราได้



สดุดี 119:71-72

“ดีแล้วที่ข้าพระองค์ทุกข์ยาก เพื่อข้าพระองค์จะเรียนรู้ถึงกฎเกณฑ์ของพระองค์ สำหรับข้าพระองค์ พระธรรมแห่งพระโอษฐ์ของพระองค์ ก็ดีกว่าทองคำและเงินพันๆ แท่ง”


จากประสบการณ์ของความทุกข์ยากลำบาก ซึ่งทำให้เกิดความไว้วางใจในพระเจ้า ทำให้เกิดการเรียนรู้เรื่องเกี่ยวกับถ้อยคำพระเจ้า ทำให้เกิดการเรียนรู้เรื่องการพักพิงซึ่งกันและกัน พระคัมภีร์บอกว่า พระเจ้าไม่ได้สร้างมนุษย์ให้อยู่โดดเดี่ยว แต่ให้เราพึ่งพิงซึ่งกันและกัน


1 โครินธ์ 11:11

“ถึงกระนั้นก็ดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ชายก็ต้องพึ่งผู้หญิง และผู้หญิงก็ต้องพึ่งผู้ชาย”


ในประเด็นตรงนี้ไม่ได้หมายถึงการใช้ชีวิตคู่หญิงชาย แต่เป็นมุมมองให้เห็นว่าพระเจ้าได้สร้างมนุษย์ โดยใส่คุณสมบัติบางอย่างเอาไว้ในผู้หญิง ซึ่งผู้ชายไม่มี และคุณสมบัติบางอย่างเอาไว้ในผู้ชาย ซึ่งผู้หญิงไม่มี และให้ต่างฝ่ายต่างเรียนรู้ที่จะพึ่งพาซึ่งกันและกัน



ปัญญาจารย์ 4:9-10

“สองคนดีกว่าคนเดียว เพราะว่าเขาทั้งสองได้รับผลของงานดี ด้วยว่าถ้าคนหนึ่งล้มลง อีกคนหนึ่งจะได้พยุงเพื่อนของตนให้ลุกขึ้น แต่วิบัติแก่คนนั้นที่อยู่คนเดียวเมื่อเขาล้มลง และไม่มีผู้อื่นพยุงยกเขาให้ลุกขึ้น”


ชีวิตเราถ้าไม่เคยต้องการพึ่งพิงใคร เราก็จะไม่รู้จักการให้ผู้อื่นพึ่งพิงด้วยเช่นเดียวกัน คือถ้าเราคิดในใจว่าเราจะไม่พึ่งพาใคร ในขณะเดียวกันเราก็จะไม่ให้ใครพึ่งพาเราด้วย มันเป็นธรรมดา การยอมรับการช่วยเหลือจากคนอื่น ไม่ได้เป็นการเสียศักดิ์ศรี หรือเป็นการแสดงถึงความอ่อนแออย่างที่หลายๆ คนคิด บางครั้งเมื่อเราต้องเผชิญปัญหา หรือความทุกข์ยากลำบาก พระเจ้าก็อาจจะประทานความช่วยเหลือแก่เรา ผ่านทางผู้อื่น ให้เราได้มีประสบการณ์ที่ต้องพึ่งพิงผู้อื่น และเรียนรู้จักที่จะ เป็นที่พึ่งพิงสำหรับคนอื่นต่อไป


เป็นเรื่องธรรมดา บางครั้งเย่อหยิ่ง นึกว่าอะไรต้องมาจากพระเจ้าอย่างเดียว

“มาจากคนไม่เอา ฉันจะรอพระเจ้า” เหมือนกับที่เขาเล่าให้ฟังบ่อยๆ ว่าน้ำท่วมเมืองจนถึงหลังคา มีชายคนหนึ่งหนีขึ้นไปอยู่บนหลังคา แล้วก็อธิษฐานกับพระเจ้า ขอพระเจ้ามาช่วยด้วย สักครู่หนึ่งก็มีเรือมารับ ชายคนนี้ก็บอกว่า “ไม่ไป ฉันอธิษฐานกับพระเจ้า พระเจ้าต้องมารับฉัน พระเจ้าต้องมาช่วยฉัน เพราะฉะนั้นฉันไม่พึ่งพามนุษย์ ฉันไม่พึ่งพาเรือ” เรือก็ผ่านไป อีกสักครู่หนึ่งน้ำก็เข้ามาอีก ขึ้นมาจะถึงสุดแล้ว ไม่มีที่ยืนอยู่แล้ว คราวนี้ส่งเฮลิคอปเตอร์มา เฮลิคอปเตอร์ก็บอกว่า “เอ้า! เร็วขึ้นมาเลย” เขาบอก “ไม่เอา ฉันรอพระเจ้าอยู่ พระเจ้าจะต้องมาช่วยฉัน เพราะฉันอธิษฐานกับพระเจ้าแล้ว” เสร็จแล้วเฮลิคอปเตอร์ก็ผ่านไป จนกระทั่งน้ำขึ้นมาท่วมหลังคา ชายคนนี้เลยตายไป พอขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ เขาถามพระเจ้าว่า “อธิษฐานขอพระเจ้ามาช่วยตั้งนาน พระเจ้าไม่เห็นมาสักทีเลย ไหนบอกว่าอธิษฐานแล้วพระเจ้าจะช่วยไง พระองค์จะทรงช่วยกู้” พระเจ้าก็บอกว่า “เอ้า! ก็ส่งเรือมาตั้งแต่ลำแรกแล้ว ทำไมไม่ไป” เป็นอย่างนี้


ขึ้นอยู่กับพระเจ้าเองต่างหาก

ฉะนั้นคริสเตียนหลายคนก็เคยปิดประตู ไม่ยอมรับการช่วยเหลือจากผู้อื่น โดยคิดว่าเมื่อมีพระเจ้าก็พอเพียงแล้ว เช่นเมื่อเจ็บป่วยก็ไม่ไปหาหมอ เรียกร้องให้พระเจ้ารักษาอย่างเดียว ไม่คิดว่าจริงๆ แล้วหมอและยาก็มาจากพระเจ้าในการประทานการรักษาให้ อันนี้คุ้นๆ ไหมครับ บางคนเป็นอย่างนั้นจริงๆ ผมเองในอดีตก็เคยเป็นอย่างนั้นแหละ อดีตเชื่อพระเจ้ามากๆ จนเว่อร์ไป หมอไม่ได้อยู่ในสายตาเลย “ทำไมต้องมีหมอด้วย ในเมื่อเราวางมืออธิษฐานรักษาคนหายโรคได้” ลืมไปว่าการรักษาคนหายโรคนั้น มันขึ้นอยู่กับพระเจ้า ไม่ได้ขึ้นอยู่กับมือของเรา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวเรา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเชื่อของเราด้วยซ้ำ ขึ้นอยู่กับพระเจ้าเองต่างหาก ก็เลยคิดว่าขนาดเราวางมือรักษาโรคคนอื่นหาย แล้วเราไม่สบาย ทำไมเราต้องไปหาหมอ ใช้ความอดทนเอา มีอยู่ครั้งหนึ่งเป็นไข้หวัดใหญ่ ปวดหัวมาก ไม่ยอมกินพาราฯ ใช้อธิษฐานเอา ปวดแบบมากๆ ซึ่งมันก็คงทำลายชีวิตของเรา ทำลายสุขภาพของเราไปมาก ปวดหัวจนหลายวัน ไข้ขึ้นสูงก็ใช้เช็ดตัวเอา แล้วก็อธิษฐานๆ แต่แย่นะครับ ที่พูดมันหายไปแล้ว แต่มันทรมานมากเลย ทำไมต้องทรมานถึงขนาดนั้น เพราะในใจคิดอย่างนี้แหละ มีพระเจ้าก็พอแล้ว ไม่ต้องพึ่งหมอหรอก เป็นการคิดที่ผิดมาก แล้วก็เกิดเป็นความเสียหาย สำหรับสุขภาพร่างกายในอนาคตต่อมา ซึ่งเลยไป 3 – 4 วัน ก็ไม่ได้ ในที่สุดก็ต้องกินยาพาราฯ ปรากฏว่าหลังจากที่กินยาพาราฯ 3 – 4 วันยังไม่หายเลย ไข้ยังไม่ยอมลด ซึ่งจริงๆ แล้วควรจะไปหาหมอ เพราะเป็นไข้หวัดใหญ่ ซึ่งมันไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย พระเจ้ารักษาได้ผ่านทางหมอ


ขึ้นอยู่กับพระเจ้าที่พระองค์ทรงตัดสินพระทัย

นี่คือตัวอย่างอันหนึ่งในชีวิตของผมที่ผ่านมา แล้วเกิดเป็นความเข้าใจมากขึ้น เริ่มรู้สึกมากขึ้นว่าสิ่งที่เขาพูดกันไว้ ที่เขาสอนไว้ว่าพระเจ้าก็ทรงใช้หมอและยามารักษาลูกๆ ของพระองค์ให้หายจากความทุกข์ทรมานเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นป่านนี้ผมคงจะเป็นอะไรแล้วก็ไม่รู้ และอีกหลายๆ เรื่อง ของหลายๆ คนที่เป็นพยาน ที่เราได้ยินได้ฟังเป็นอย่างนี้เหมือนกัน แล้วก็เกิดความทุกข์ลำบาก และไม่ได้เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า เพราะว่าจะพึ่งพระเจ้าอย่างเดียวเลย ไม่คิดเลยว่าหมอและยาก็พระเจ้าเป็นผู้ประทานให้ พระเจ้าก็ทรงประทานสติปัญญาให้กับคนได้เรียนแพทย์ เป็นหมอ ประทานสติปัญญาให้กับนักวิทยาศาสตร์ที่จะค้นคิดหายารักษาโรคขึ้นมา การวางมืออธิษฐานนั้น เป็นน้ำพระทัยพระเจ้า ที่พระองค์จะทรงให้หรือไม่ให้ หายหรือไม่หาย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเชื่อของเราเลย ขึ้นอยู่กับพระเจ้าที่พระองค์ทรงตัดสินพระทัยของพระองค์เอง ว่าจะรักษาคนนี้ด้วยวิธีการอัศจรรย์ไหม



เมื่อก่อนทุกครั้งที่เราวางมือรักษาโรคให้เขาหายนั้น เรารู้สึกว่าความเชื่อของเรา ทำให้เขาหาย และความเชื่อของเขาทำให้เขาหายด้วยเช่นเดียวกัน แต่หลังจากนั้นมาพระเจ้าก็สอนให้เราสังเกตเห็นมากขึ้น ว่าคนนี้หาย ทั้งๆ ที่เราก็ไม่ได้เชื่อนะ เข้าใจไหม เราวางมือไปเฉยๆ เรายังไม่ได้เตรียมพร้อมอะไรเหมือนแต่ก่อนนี้เลย แล้วเราก็ไม่รู้สึกว่าเขาจะหายด้วย เราวางมือไปตามหน้าที่ของเราเท่านั้นเอง ปรากฏว่าเขาก็หายด้วย ง่ายๆ ง่ายกว่าแต่ก่อน แต่ก่อนนี้จะวางมืออธิษฐานที ต้องเตรียมตัวเป็น 4 – 5 ชั่วโมง บางครั้งต้องเตรียมตัวเป็น 2 วัน 3 วัน ต้องอดอาหารด้วย ต้องอธิษฐานหลายๆ ชั่วโมง เพื่อจะสร้าง ที่เราเรียกว่าความเชื่อขึ้นมา แล้วถึงไปวางมือเขา ซึ่งหลายคนอดอาหารไปอย่างนั้น และอธิษฐานมากขนาดนั้น ไปวางมือให้กับเขา ปรากฏว่าเขาก็ตาย



นี่คือประสบการณ์จริงๆ ทำให้เราคิดขึ้นมาว่าตายได้อย่างไร ร้องห่มร้องไห้ต่อหน้าศพเขาเลย เพราะเสียใจ เพราะเราคิดอีกแบบหนึ่ง แต่พระเจ้าทรงเมตตาเรา สอนเรา สอนผม ไม่อย่างนั้นก็แย่กว่านี้ เพราะเราคิดว่าการตายนั้นเป็นสุดๆ แล้ว ปัญหาอยู่ที่ตายหรือไม่ตาย ไม่ใช่ หลังจากความตายแล้ว ยังมีชีวิตนิรันดร์อยู่ พระองค์เป็นผู้ควบคุมสถานการณ์ทุกสิ่งทุกอย่างไว้ ชีวิตไม่ได้มีแค่บนโลกใบนี้เท่านั้น แต่มนุษย์บนโลกใบนี้เหมือนแค่เตรียมตัว เหมือนโรงเรียนอนุบาล หรือเหมือนกับไข่เท่านั้นเอง ที่กำลังฟักตัว


เมื่อสิ้นสุดชีวิตบนโลกใบนี้แล้ว เหมือนไข่ใบนี้ฟักตัวออกมา แล้วจะเป็นไก่ที่น่ารักดีๆ หรือจะเป็นไก่พิการ

หรือจะเป็นไก่ตาย ดังนั้นชีวิตบนโลกใบนี้ เป็นแค่ไข่เท่านั้นเอง ชีวิตจริงๆ คือหลังความตาย หลังจากทิ้งร่างบนโลกใบนี้แล้ว ซึ่งจะต้องอยู่นิรันดร์ ว่าจะอยู่กับพระเจ้านิรันดร์กาลในสวรรค์สถาน หรือยู่ในนรกนิรันดร์กาล ซึ่งตัดขาดจากพระเจ้า ทุกข์ทรมานมากในบึงไฟนรก ตรงนี้สำคัญกว่า เราลืมคิดถึงสิ่งที่ยาวเหยียด แล้วยังอีกมากมายในน้ำพระทัยพระเจ้าที่เราไม่รู้ ซึ่งเราได้เรียนรู้กันมาแล้ว 5 ตอนว่าน้ำพระทัยพระเจ้าที่เรายังไม่รู้ ยังมีอีกเยอะแยะมากมาย พระองค์ทรงเป็นผู้กำหนดทุกสิ่งทุกอย่าง ควบคุมทุกสถานการณ์ในชีวิตของเรา


เพราะฉะนั้น ตรงนี้จึงสอนเราว่าถ้าเราพึ่งพิงในพระเจ้า และยอมให้พระเจ้าทำให้เราถ่อมใจลง

สามารถที่จะมีความทุกข์ลำบากเกิดขึ้นกับเรา และสามารถที่จะยอมรับการช่วยเหลือ การพึ่งพิงจากผู้อื่น อย่างเช่น ไม่สบายก็ไปให้หมอดูแล ไปโรงพยาบาลอะไรต่างๆ เหล่านี้ เราก็จะรู้สึกถ่อมใจและยอมที่จะให้พระเจ้าใช้เรา ในการที่เราจะเป็นที่พึ่งพิงให้กับคนอื่นได้เช่นกัน


ที่ยกมา 3 ประเด็นนี้ เป็นเพียงตัวอย่างเท่านั้น ให้เราได้เห็นว่าทุกๆ ปัญหา ทุกๆ ความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้น จะต้องมีอะไรบางอย่างที่พระเจ้าต้องการให้เราได้เรียนรู้ และเพื่อเป็นพยานให้กับคนอื่น คือ.-

1. เรียนรู้ในการที่จะวางใจในพระเจ้า
2. เรียนรู้ที่จะเชื่อฟังถ้อยคำพระเจ้า
3. เรียนรู้ในการพึ่งพิงซึ่งกันและกัน



“พระเจ้า พระองค์ต้องการสอนอะไรลูก”

ใช้ประสบการณ์ของเรา ที่พระเจ้าจะใช้ เพราะฉะนั้นต่อไปนี้เมื่อเกิดปัญหา เกิดความทุกข์ขึ้น แทนที่จะมัวมานั่งถามว่า “ทำไม” “ทำไมต้องเกิดขึ้นกับเรา” “ทำไมต้องเป็นเรา” ลองเปลี่ยนคำถามว่า “อะไร” “พระเจ้า พระองค์ต้องการสอนอะไรลูก” พระองค์ต้องการให้ลูกเรียนรู้อะไรในการเผชิญกับสถานการณ์นี้” “พระองค์ต้องการให้ลูกเปลี่ยนแปลงอะไรในชีวิตของลูก” เพื่อเราจะได้เรียนรู้ และก็แบ่งปันประสบการณ์นี้ให้กับผู้อื่น เป็นพระพร เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นต่อไป



อันดับที่สาม หลายคนมีประสบการณ์ที่ต้องเผชิญกับปัญหาความทุกข์ยากลำบาก แล้วก็ได้รับสิ่งที่ดีๆ ในภายหลัง




โรม 8:28 ที่เราคุ้นเคยกันดี

“เรารู้ว่าพระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง คือคนทั้งปวงที่พระองค์ได้ทรงเรียก ตามพระประสงค์ของพระองค์”


เรื่องราวของโยเซฟ ในหนังสือปฐมกาลก็เป็นตัวอย่างที่ดีอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งโยเซฟถูกพี่ชายขายให้กับคนอิชมาเอล ตั้งแต่อายุ 17 ปี แล้วถูกนำไปที่ประเทศอียิปต์ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนต้น ถือว่าเป็นความทุกข์ยากลำบากของโยเซฟแน่นอน แต่ตอนหลังโยเซฟก็ได้ดี ได้ทำงานเป็นที่โปรดปรานของกษัตริย์ฟาโรห์ มีตำแหน่งใหญ่โตในอียิปต์ แล้วในที่สุดพวกพี่ชายที่เคยทำให้โยเซฟต้องทนทุกข์ทรมานนั้น ต้องมาขอความช่วยเหลือจากน้องชาย ซึ่งโยเซฟก็ไม่ได้ถือโกรธ แต่กลับบอกว่า “เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ที่ต้องการให้ผ่านความทุกข์ลำบากในครั้งนั้น เพื่อให้เกิดสิ่งดีๆ ในวันนี้นั่นเอง



อันดับที่สี่ สุดท้าย เป็นพยานว่าพระเยซูทรงเป็นความหวังในชีวิตของเรา แม้อยู่ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก

เราก็สามารถประกาศให้ผู้คนได้เห็นว่า เรายังคงมีสันติสุขและมีความหวังอยู่เสมอ เพราะเราหวังในพระเยซูคริสต์
1 เปโตร 3:14-15 “แต่ถึงแม้ว่าท่านทั้งหลายต้องทนทุกข์ เพราะเหตุประพฤติการชอบธรรม ท่านก็เป็นสุข อย่ากลัวเขา และอย่าคิดวิตกไปเลย แต่ในใจของท่าน จงเคารพนับถือพระคริสต์ว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า จงเตรียมตัวไว้ให้พร้อมเสมอ เพื่อท่านจะสามารถตอบทุกคนที่ถามท่านว่า ท่านมีความหวังใจเช่นนี้ด้วยเหตุผลประการใด แต่จงตอบด้วยใจสุภาพและด้วยความนับถือ”


ความหวังเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำเนินชีวิตของทุกๆ คน

โดยเฉพาะคนที่กำลังเผชิญความทุกข์ลำบาก ยิ่งต้องการมากเป็นพิเศษ ใครที่เจอปัญหาแล้วไม่มีความหวัง ยิ่งทำให้ความทุกข์หนักขึ้นไปอีก ความหวังจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากในชีวิตของเรา แต่ถ้าเราเห็นตัวอย่างจากคนอื่นที่เขากำลังประสบปัญหา เช่น อาจกำลังป่วยอยู่ หรือกำลังขัดสนเงินทองอยู่ แต่ท่าทีเขาไม่ได้รู้สึกกังวลหรือเป็นทุกข์เลย ยังมีสันติสุขอยู่ ยังมีความหวังอยู่ตลอดเวลา เราก็คงอยากได้เป็นแบบนั้นบ้าง คงอยากเดินเข้าไปถามว่า เขามีเคล็ดลับอะไรในการดำเนินชีวิตและเขาก็จะได้ประกาศว่า “เพราะเขามีพระเยซูคริสต์ และมีความหวังในชีวิตนิรันดร์” ตรงนี้แหละที่พระเจ้าอยากให้เกิดขึ้นในชีวิตของเรา เมื่อความทุกข์ยากลำบากเกิดขึ้นกับเรา


“คุณอยู่ได้อย่างไร”

นี่เป็นพยานแทนพี่น้องเราคนหนึ่ง ที่มีปัญหาเรื่องการเงินในธุรกิจที่ทำอยู่ก็ลำบากลำบน มีหนี้สินก็หมุนกันแทบไม่ทัน” ก็คือทัน ใช่ไหม ก็อยู่มาได้ตลอด ยังหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส หนำซ้ำยังเกิดโรคภัยไข้เจ็บขึ้นมาอีก ขับรถไม่ได้ ตาจะบอดเอาด้วยซ้ำไป ยังนั่งยิ้มอยู่ ให้คนอื่นเขาขับให้ สบาย “ตาจะบอดไม่กลัวหรือ!” “กลัวทำไม ขอบคุณพระเจ้า ดีด้วยซ้ำไปไม่ต้องขับรถเอง ให้คนอื่นขับให้” เพื่อนๆ ก็เกิดความแปลกใจว่าชีวิตอย่างนี้มีด้วยหรือ! ก็มีสิ เขาก็จะเล่าต่อไปว่าที่เขามีความคิดอย่างนี้ได้ มีความเชื่ออย่างนี้ได้ มีความหวังใจอย่างนี้ได้ ก็เพราะว่าเขามีความหวังใจ ในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าในชีวิตนิรันดร์ พระเจ้าสถิตอยู่กับเขาเสมอ อยู่กับเขาตลอดเวลา สิ่งนี้เป็นสิ่งดีที่เกิดขึ้นกับเขา พระเจ้ากำลังสอนอะไรบางอย่าง พระเจ้ากำลังดูแลชีวิตของเขา ให้เจริญเติบโตทางฝ่ายจิตวิญญาณ นี่ก็คือคำพยานชีวิต


ดังนั้นสรุปแล้วความทุกข์ที่เกิดขึ้น เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า

เพราะฉะนั้นอย่าปล่อยให้ไร้ประโยชน์ การที่เราจะใช้ความทุกข์ความลำบากที่เกิดขึ้นกับเรา ให้เป็นประโยชน์นั้น เราต้องเปิดใจในการเล่าประสบการณ์ที่ผ่านมาของเรา ด้วยความถ่อมใจ และยอมรับความบาปผิดในอดีต และรับการอภัยจากพระเยซูคริสต์


สิ่งที่พระเจ้าใช้ประโยชน์จากเราได้ จากประสบการณ์เผชิญความทุกข์ยากลำบากที่ผ่านมา ก็คือ.-

(1) นำไปหนุนจิตชูใจคนอื่น ที่ต้องประสบความทุกข์ยากลำบากในลักษณะเดียวกันกับเรา
(2) เรียนรู้และแบ่งปันบทเรียนที่ได้เรียน เช่น การวางใจในพระเจ้า การเชื่อฟังถ้อยคำพระเจ้า และการพึ่งพิงซึ่งกันและกัน
(3) เป็นพยานว่าพระเจ้าทำให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่งได้
(4) เป็นพยานว่าพระเยซูคริสต์เป็นความหวังสูงสุดในชีวิต


และนี่คือความหมายของทั้งหมด ที่พระเจ้าจะสามารถใช้ความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้นกับเรา ให้เป็นประโยชน์ต่อการงานของพระองค์ ในการรับใช้ผู้อื่นต่อไป ขอพระเจ้าอวยพรครับ


นคร เวชสุภาพร

ไม่มีความคิดเห็น:

My Blog

  • วินัยของน้องหมา (ข้างถนน) - วันที่ 18/8/2011 เช้านี้ขณะที่รถติดไฟแดงอยู่บริเวณสี่แยกสามย่าน ซึ่งเบื้องหน้าเป็นจามจุรีสแควร์นั้น พลันก็เหลือบเห็นน้องหมาตัวหนึ่งเดินข้ามทางม้าลายด้วยอ...
    12 ปีที่ผ่านมา
  • บทความคริสเตียน - บทความคริสเตียน http://www.gracezone.org/index.php/christian-articles บทความทางด้านจิตวิญญาณ หลักข้อเชื่อ พระเจ้า พระคัมภีร์ พระเจ้า พระคัมภีร์ แนวทางในการ...
    15 ปีที่ผ่านมา
  • คริสเตียนกับการรับใช้พระเยซู - คริสเตียนกับการรับใช้พระเยซู วัน พุธ 08 ต.ค. 08@ 17:47:37 ICT หัวข้อ: สรุปคำเทศนาประจำอาทิตย์ ดร.ทะนุ วงค์ธนานุกุล วัน อาทิตย์ ที่ 21 กันยายน 2008 พระธร...
    15 ปีที่ผ่านมา
  • - แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้องจะนมัสการพระบิดา ด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้...
    15 ปีที่ผ่านมา

Christian Blog

บล็อกวาไรตี้

เทคโนโลยี

ดาวน์โหลดโปรแกรมมาใหม่ล่าสุด |

วาไรตี้

ข่าวประจำวัน

สารบัญเว็บไทย

กินลม ชมทะเล ที่มาร์คเฮ้าส์บังกะโล เกาะกูด จ.ตราด

Thailand Map