Custom Search By Google

Custom Search

วันพุธที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2552

การสอนให้ทำความดีด้วยชีวิตจริง

เผยพระวจนะพระธรรม มาระโก 3:1-6


หัวข้อ : “การสอนให้ทำความดีด้วยชีวิตจริง”


สันติ แดงเรือน อาทิตย์ที่ 18 มิถุนายน 2006


คำนำ


พี่น้องจำภาพทั้งสองที่กำลังฉายได้หรือไม่ ภาพแรกเป็นรูปต้นบอนไซที่ปลูกในกระถาง แม้จะสวยเพียงใดก็ไม่โต ส่วนภาพที่สองเป็นรูปต้นมัสตาร์ดที่เจริญเติบโตสามารถให้นกมาทำรังอาศัยได้ 1 ปีผ่านไปชีวิตของพี่น้องและผมเป็นเหมือนต้นบอนไซหรือต้นมัสตาร์ด?





เนื้อหาสาระ


เมื่อพระกิตติคุณเข้ามาประเทศไทยประมาณปี ค.ศ.1830 คริสเตียนไทยยังไม่มีบุคลากรในการจัดทำหลักสูตรคริสเตียนศึกษา แต่ได้แปลบทเรียนต่างๆให้เข้ากับคนไทยและต่อมาสภาคริสตจักรฯ ได้จัดตั้งกองคริสเตียนศึกษาเพื่อจัดหลักสูตรไว้บริการคริสตจักรต่างๆ ด้วยหลักสูตรระดับต่างๆ ปัจจุบันคริสตจักรทั้งหลายต่างมีพันธกิจคริสเตียนศึกษาเป็นของตนเองมีเจ้าหน้าที่หรือผู้รับใช้ดูแลอย่างชัดเจน


การศึกษาพระวจนะของพระเจ้าในชีวิตประจำวันของคริสเตียนดูเหมือนขาดการให้ความสำคัญไปพอสมควร เนื่องจากเรามักอุทิศเวลาให้กับสิ่งอื่นมากกว่า แท้ที่จริง คริสเตียนศึกษาเป็นกระบวนการการเรียนรู้(ศึกษา) ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิตของผู้เชื่อโดยมีจุดศูนย์กลางที่พระเยซูคริสต์ เน้นความเติบโตขึ้นในด้านความเชื่อและการดำเนินชีวิตที่เรามักบอกว่า “บรรลุถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อ และในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า จนกว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ คือเต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์” ตลอดจนถึงการนำคนมาถึงพระเยซูคริสต์


พันธกิจคริสเตียนศึกษาไม่ใช่งานรวีวารศึกษาเท่านั้น ซึ่งคริสเตียนจำกัดความเข้าใจว่ารวีวารศึกษาเป็นเรื่องของเด็กไม่เกี่ยวกับผู้ใหญ่ ถ้าผู้ใหญ่ก็ต้องคริสเตียนศึกษาหรือการศึกษาพระวจนะ นี่เป็นความเข้าใจที่ผิดถนัด แท้จริงแล้ว คริสเตียนศึกษาเกี่ยวข้องกับทุกพันธกิจของคริสตจักร เนื่องจากกระบวนการนี้ก่อให้เกิด การนมัสการด้วยความเข้าใจ การรับใช้งานต่างๆ อย่างเหมาะสมกับของประทานที่มีอยู่ การสามัคคีธรรมด้วยพื้นฐานความเชื่อที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน การมีชีวิตที่เหมือนพระคริสต์ก็ผ่านกระบวนการนี้ ดังที่ชีวิตคริสเตียนได้พัฒนา 5 ด้าน คือ


1.พัฒนาความรู้ถึงพระวจนะของพระเจ้า คริสเตียนต้องได้รับพระวจนะของพระเจ้าเพื่อเราจะได้ปรับปรุงแก้ไขตนให้ดีและพรักพร้อมที่จะกระทำการดีทุกอย่าง เพื่อพระคริสต์จะทรงสถิตในใจของท่านทางความเชื่อ


2.พัฒนามุมมอง หมายถึงการมองชีวิตในมุมมองของพระเจ้า ด้วยความเข้าใจ สติปัญญาและความหยั่งรู้


3.พัฒนาความมุ่งมั่น หมายถึงการอุทิศชีวิต ค่านิยมและแรงจูงใจ รวมถึงการที่เรายอมตายเพื่อสิ่งที่เรามุ่งมั่น


4.พัฒนาทักษะ หมายถึงความสามารถในการทำบางสิ่งได้อย่างคล่องแคล่วและถูกต้อง โดยการกระทำและประสบการณ์


5.พัฒนาลักษณะนิสัย เป้าหมายสูงสุดของคริสเตียนศึกษาคือการเปลี่ยนแปลงให้มีอุปนิสัยเหมือนพระเยซูคริสต์ในชีวิตของเรา นั่นคือความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ ความปรานี ความดี ความสัตย์ซื่อ ความสุภาพอ่อนน้อม การรู้จักบังคับตน


ดร.เฮนดริคส์ เป็นอาจารย์สอนด้านคริสเตียนศึกษาที่มีชื่อเสียง ครั้งหนึ่งท่านได้พบเด็กชายคนหนึ่งในร้านตัดผมและพูดคุยกัน เมื่อคุยกันได้สักพักท่านถามเด็กคนนั้ว่า “โตขึ้นอยากเป็นอะไร” เขาตอบด้วยความซื่อว่า “คุณครับ ผมยังไม่เจอใครสักคนที่อยากเลียนแบบ” กรณีนี้ไม่ได้มีอะไรพิเศษมาก เด็กหลายคนไม่ได้แสวงหาครูที่สมบูรณ์แบบ แต่เป็นครูหรือผู้ที่สอนอย่างสัตย์ซื่อต่อสิ่งที่สอนและในห้องหัวใจของเด็กหลายคนเขายังว่างเปล่าสำหรับบุคคลที่เขาสามารถยกย่องได้ หรือหนึ่งในนั้นอาจจะเป็นบุตรหลานของเรา เด็ก ผู้เชื่อใหม่และผู้คนกำลังแสวงหาชายหญิงสักคนที่เข้าถึงพระวจนะของพระเจ้าซึ่งเป็นสิ่งที่มีชีวิต เป็นผู้ที่ศึกษาพระวจนะของพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอ ยอมให้พระวจนะของพระเจ้าครอบครองชีวิตจนเขาเกลียดในสิ่งที่พระเจ้าเกลียด และรักในสิ่งที่พระเจ้ารัก เมื่อบุคคลเหล่านั้นรับเอาความจริงของพระเจ้าเข้ามาเป็นส่วนของชีวิต พวกเขาก็จะเริ่มเปลี่ยนแปลงและมีอิทธิพลต่อชีวิตผู้อื่น


ในพระคัมภีร์มัทธิว 5.16 พระเยซูคริสตเจ้าตรัสว่า


“ท่านทั้งหลายก็เหมือนกับตะเกียง จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์”


พระธรรมมาระโกที่เราได้อ่านด้วยกันนั้น พระเยซูประสงค์สอนสาวกของพระองค์ และผู้ที่จ้องจับผิดพระองค์ด้วยกรอบธรรมบัญญัติ ให้ทำความดี ให้รู้ว่าพระองค์ก็เป็นเจ้าเหนือวันสะบาโต พระองค์สอนและทำให้ดู พระองค์จึงตรัสแก่คนทั้งหลายว่า “ในวันสะบาโตควรจะทำการดี หรือควรจะทำร้าย จะช่วยชีวิตดีหรือจะผลาญชีวิตเสียดี” ซึ่งก็ไม่มีใครกล้าตอบอะไร


การทำดีของฟาริสีเป็นไปอย่างมีเงื่อนไข รวมทั้งเพิ่มเติมข้อปลีกย่อยลงในพระบัญญัติวันสะบาโตเป็นวันเสาร์หรือวันที่เจ็ดของสัปดาห์ตามปฏิทินของชาวยิว เป็นวันบริสุทธิ์ที่ตั้งขึ้นตามพระบัญญัติ เป็นวันหยุดพัก (อพย.20:8-11) หลังจากกลับมาจากการเป็นเชลยที่บาบิโลน ชาวยิวก็ถือเป็นวันนมัสการพระเจ้าด้วย ต่อมาในสมัยของพระเยซู พวกฟาริสีได้เพิ่มกฎบัญญัติมากมาย ได้แต่งเติมกฎบัญญัติหยุมหยิม อันเป็นข้อบังคับและข้อห้ามเกี่ยวกับวันสะบาโต แล้วตู่ว่าเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้า เช่น อย่าเด็ดรวงข้าวในวันสะบาโต ทำให้เกิดปัญหาต่างๆ พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีมักจะมีแนวโน้มชอบทำให้การรักษาวันสะบาโต กลายเป็นเรื่องยุ่งยากเกินกว่าที่จะปฏิบัติได้ ทำให้ดูเหมือนว่าทุกคนตกเป็นทาสของวันสะบาโต ซึ่งขัดกับน้ำพระทัยของพระเจ้าที่ “ทรงตั้งวันสะบาโตนั้นไว้เพื่อมนุษย์ มิใช่ทรงสร้างมนุษย์ไว้สำหรับวันสะบาโต และพระองค์ก็เป็นเจ้าเป็นนายเหนือวันสะบาโตด้วย” (มก.2.27-28)


การซึ่งต้องห้ามในวันสะบาโตนั้น ธรรมบัญญัติห้ามชาวยิวทำงานในวันสะบาโต แต่พวกฟาริสีได้เพิ่มรายละเอียดกฎบัญญัติว่า การรักษาคนมือลีบเป็นสิ่งที่สามารถรอทำในวันถัดไปได้ ไม่ใช่สิ่งเร่งด่วนที่ต้องทำในวันสะบาโต เขาจึงจับผิดพระเยซู ด้วยความอิจฉาที่พระองค์ไม่ทำตามคำสอนของพวกเขาและประชาชนก็ตามพระองค์เพิ่มมากขึ้นๆ


พระเยซูทรงถามว่าวันสะบาโตควรทำการดีหรือควรจะทำร้าย เพื่อเน้นเตือนถึงความหมายที่แท้จริงของวันสะบาโตว่า เป็นวันแห่งพระพรสำหรับมนุษย์ทั้งฝ่ายร่างกายและจิตวิญญาณ แต่พระเยซูทรงชี้ให้พวกเขาเห็นชัดเจนว่าวันสะบาโตของพระเจ้ามีไว้เพื่อช่วยชีวิต ไม่ใช่เพื่อทำลายชีวิต ทรงตั้งวันสะบาโตไว้เพื่อให้ร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณของมนุษย์ฟื้นชื่นขึ้น จึงเป็นเหตุให้พระเยซูทั้งเป็นทุกข์ใจเพราะความเขลาของพวกเขา และโกรธที่พวกเขาไม่ยอมทำความดี เมื่อพระองค์ตรัสแก่คนมือลีบนั้นว่า “จงเหยียดมือออกเถิด” เขาก็เหยียดออก และมือของเขาก็หายเป็นปกติ


หลายครั้งเมื่อเราพบเหตุการณ์เช่นนี้ทำให้เราไม่อยากทำความดี เพราะมันช่างยากเสียเหลือเกิน เดี๋ยวก็ถูกจับผิด เดี๋ยวก็ถูกอิจฉา หากมีความคิดแบบนี้ขอให้คิดเสียใหม่เพราะนั่นเป็นความคิดที่ผิด เพราะอาจจะเป็นการทำความดีเพื่ออวดคนอื่นหรือเพื่อหาเกียรติ ชื่อเสียงให้แก่ตนเอง พี่น้องที่รักอย่ากลัวการถูกกล่าวร้ายเพราะทำความดี ถ้าหากเราไม่ทำความดีเราก็มีความบาปแล้ว ยากอบ 4.17 กล่าวว่า “เหตุฉะนั้นผู้ใดรู้ว่าอะไรเป็นความดีและไม่ได้กระทำ คนนั้นจึงมีบาป” ยิ่งกว่านั้นถ้าผู้ที่กล่าวร้ายการทำความดีจะไม่มีบาปหนาเชียวหรือ!


สุภาษิต 17.13 “ถ้าคนหนึ่งคนใดทำชั่วตอบแทนความดี


ความชั่วจะไม่พรากจากเรือนของคนนั้น”


1 ปต.3.13 ได้หนุนใจพี่น้องและผมว่า


“ถ้าท่านทั้งหลายใฝ่ใจประพฤติความดี ผู้ใดจะ


ทำร้ายท่าน 14แต่ถึงแม้ว่าท่านทั้งหลายต้องทนทุกข์ เพราะเหตุประพฤติการชอบธรรม ท่านก็เป็นสุข อย่ากลัวเขา และอย่าคิดวิตกไปเลย”


ในพระธรรม มัทธิว 12:11 พระเยซูได้ใช้ลูกแกะซึ่เป็นสัตว์ที่พวกเขารักเข้ามาเปรียบ -เทียบถึงหัวใจแห่งความรักเมตตาของพระเจ้าที่ทรงประสงค์ให้ทำความดี การช่วยเหลือแกะตัวเดียวที่ตกบ่อในวันสะบาโต พระเยซูต้องการสอนพวกฟาริสีว่า แม้แต่พวกเขาที่เป็นคนรักษากฎอย่างเคร่งครัดยังยอมช่วยเหลือสัตว์ในวันสะบาโต ดังนั้นพวกเขาจึงควรยินดีที่จะช่วยเหลือชายมือลีบคนนี้ด้วย บางทีการทำความดีอาจจะมีกรอบ มีกฎเกณฑ์ แต่พระเยซูไม่ได้สอนเราให้ทำตามตัวอักษรแบบไม้บรรทัดวัด แต่ให้ทำด้วยความเข้าใจ


ดังโจทย์ที่เราได้ยินกันบ่อย คือให้ลากเส้นผ่านจุด 9 จุด โดยใช้เส้นตรงเพียง 4 เส้น และไม่ยกปากกา






Ÿ Ÿ Ÿ Ÿ Ÿ Ÿ


Ÿ Ÿ Ÿ Ÿ Ÿ Ÿ


Ÿ Ÿ Ÿ Ÿ Ÿ Ÿ





ในฐานะที่เราเป็นบุตรของพระเจ้าเราควรสอนบุตรหลานให้ทำความดวามดีบนพื้นฐานแห่งพระวจนะของพระเจ้าด้วยการกระทำให้เป็นตัวอย่าง อย่าใช้แต่คำพูดเท่านั้นจะฝึกสอนคนใช้ไม่ได้ เพราะถึงแม้เขาจะเข้าใจ แต่เขาก็ไม่ฟัง (สภษ.29.19) บางทีกรอบการสอนของเราอาจจะเป็นการพูด เราทะลุกรอบออกไป ทำให้เขาได้เห็น สอนบุตรหลานของเราให้ทำความดีอย่างไม่มีเงื่อนไข ให้นำเขาทำด้วยความเข้าใจ สอนเขาทุกโอกาสที่ยังสอนได้


ในฐานะที่ผมและพี่น้องเป็นพ่อ-แม่,ปู่-ย่า,ตา-ยาย เราควรมีท่าทีในการสอนบุตรหลานของเราในชีวิตประจำวันอย่างไร โมเสสสั่งคนอิสราเอลว่า “จงให้ถ้อยคำที่ข้าพเจ้า บัญชาพวกท่านในวันนี้อยู่ในใจของท่าน 7และพวกท่านจงอุตส่าห์ สอนถ้อยคำเหล่านั้นแก่บุตรหลานของท่าน เมื่อท่านนั่งอยู่ในเรือน เดินอยู่ตามทาง และนอนลงหรือลุกขึ้น จงพูดถึงถ้อยคำนั้น 8จงเอาถ้อยคำเหล่านี้พันไว้ที่มือของท่านเป็นหมายสำคัญ และจงจารึกไว้ที่หว่างคิ้วของท่าน 9และเขียนไว้ที่เสาประตูเรือนและที่ประตูของท่าน” (เฉลยธรรมบัญญัติ6.6-9)


เราเลี่ยงไม่สามารถเลี่ยงการนำเขาอ่านและท่องจำพระคัมภีร์ ได้ เราไม่สามารถเลี่ยงการอธิษฐาน เราไม่สามารถเลี่ยงการเฝ้าเดี่ยว เราไม่สามารถเลี่ยงการทำความดีได้






สรุป


เราจึงพบว่าคริสเตียนศึกษาเป็นกระบวนการเรียนการสอนที่เรียกร้องให้เราดำเนินชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้า เป็นกระบวนการที่เปิดช่องให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำงานในชีวิตของเราได้ ไม่ใช่การถ่ายทอดเนื้อหาสาระพระคัมภีร์เท่านั้น แต่เป็นการนำพระคัมภีร์มาใช้ในชีวิตจริงดังเช่นที่พระเยซูให้เหล่าสาวกเรียนจากชีวิตจริงของพระองค์ ดังนั้นการสอนคนให้ทำความดีในชีวิตจริง...


1.ให้ทำความดีอย่างไม่มีเงื่อนไข ไม่เพิ่ม ไม่ลดความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า


2.เราต้องปฏิบัติให้เป็นจริงและสอดคล้องกับสิ่งที่สอน


3.สอนให้ทำความดีด้วยหัวใจแห่งความรักเมตตาของพระเจ้า


ครั้งหนึ่งเมื่อตอนที่แดน คลาร์ก(Dan Clark)เป็นวัยรุ่น เขากับพ่อไปยืนต่อแถวซื้อตั๋วชมละครสัตว์ ในที่สุดเหลืออีก 1 ครอบครัวเท่านั้นเขาก็จะได้ซื้อ ครอบครัวที่อยู่ข้างหน้านั้นสะดุดใจเขามาก เขามีลูกถึง 8 คน ทุกคนอายุต่ำกว่า 12 ขวบทั้งนั้น คุณเดาได้เลยว่าพวกเขาคงมีเงินไม่มาก เสื้อผ้าของพวกเขาราคาไม่แพง แต่สะอาดเอี่ยม เด็กๆ นิสัยเรียบร้อย ทุกคนยืนเข้าแถวจับคู่กันอยู่หลังพ่อแม่ มือคอยจับกันไว้ ทุกคนคุยกันเจี๊ยวจ๊าวเรื่องตัวตลก ช้างและการแสดงอื่นๆ ที่พวกเขาจะได้ดูกันในคืนนั้นด้วยความตื่นแต้น ใครๆ ก็สัมผัสได้ว่าพวกเขาไม่เคยดูละครสัตว์มาก่อน นี่คงจะเป็นช่วงเวลาสุดยอดในชีวิตวัยเด็กของพวกเขาแน่นอน


พ่อกับแม่ยืนอยู่หัวแถวอย่างภาคภูมิใจ แม่เกาะแขนสามี เงยหน้ามองเขาราวกับจะพูดว่า “คุณเป็นอัศวินในชุดเกราะวาววับของฉัน” เขายิ้มและเริงร่าอย่างภาคภูมิ มองหน้าภรรยาราวกับจะตอบว่า “คุณพูดถูกแล้วละ”


หญิงขายตั๋วถามผู้เป็นพ่อว่าต้องการซื้อตั๋วกี่ใบ เขาตอบอย่างภูมิใจว่า “ผมขอซื้อตั๋วเด็ก 8 ใบ และตั๋วผู้ใหญ่ 2 ใบครับ จะได้ดูกันทั้งครอบครัว” หญิงขายตั๋วบอกราคา


ภรรยาของเขาปล่อยมือที่เกาะไว้ ศีรษะตก ริมฝีปากของชายคนนั้นเริ่มสั่น เขายื่นหน้าเข้าไปใกล้อีกเล็กน้อยแล้วถาม “คุณว่าเท่าไหร่นะครับ”


หญิงขายตั๋วบอกราคาอีกครั้ง


ชายคนนั้นมีเงินไม่พอ เขาจะหันมาบอกลูกๆ ทั้ง 8 คนว่าเขามีเงินไม่พอที่จะพาพวกลูกๆ ไปดูละครสัตว์ได้อย่างไรกัน


พ่อของแดนซึ่งยืนดูเหตุการณ์อยู่นั้น จึงดึงแบงค์ 20 เหรียญออกจากกระเป๋าสตางค์ แล้วทำหล่นบนพื้น (เราไม่ร่ำรวยอะไรหรอกครับ!) พ่อของผมก้มลงหยิบแบงค์นั้นขึ้นมา แตะไหล่ชายคนนั้น แล้วพูดว่า “โทษครับ เงินนี่หล่นจากกระเป๋าคุณ”


ชายคนนั้นรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาไม่ได้ขอให้ใครบริจาคทาน แต่เขาซาบซึ้งในความช่วยเหลือที่มากู้สถานการณ์อันสิ้นหวัง สั่นคลอนหัวใจ และน่าอับอายตอนนี้ได้ เขามองตาพ่อผมนิ่ง กุมมือของพ่อด้วยมือทั้ง 2 ข้างของเขา กำแบงค์ 20 เหรียญนั้นแน่น ริมฝีปากของเขาสั่น น้ำตาเอ่อท้นลงอาบแก้มของเขา เขาตอบว่า “ขอบคุณครับ ขอบคุณ เงินนี้มีความหมายต่อผมและครอบครัวมาก”


พ่อของผมกลับไปที่รถแล้วขับกลับบ้าน คืนนั้นเราไม่ได้ดูละครสัตว์แต่เราก็ไม่ได้ไปเสียเที่ยว

ไม่มีความคิดเห็น:

My Blog

  • วินัยของน้องหมา (ข้างถนน) - วันที่ 18/8/2011 เช้านี้ขณะที่รถติดไฟแดงอยู่บริเวณสี่แยกสามย่าน ซึ่งเบื้องหน้าเป็นจามจุรีสแควร์นั้น พลันก็เหลือบเห็นน้องหมาตัวหนึ่งเดินข้ามทางม้าลายด้วยอ...
    12 ปีที่ผ่านมา
  • บทความคริสเตียน - บทความคริสเตียน http://www.gracezone.org/index.php/christian-articles บทความทางด้านจิตวิญญาณ หลักข้อเชื่อ พระเจ้า พระคัมภีร์ พระเจ้า พระคัมภีร์ แนวทางในการ...
    15 ปีที่ผ่านมา
  • คริสเตียนกับการรับใช้พระเยซู - คริสเตียนกับการรับใช้พระเยซู วัน พุธ 08 ต.ค. 08@ 17:47:37 ICT หัวข้อ: สรุปคำเทศนาประจำอาทิตย์ ดร.ทะนุ วงค์ธนานุกุล วัน อาทิตย์ ที่ 21 กันยายน 2008 พระธร...
    15 ปีที่ผ่านมา
  • - แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้องจะนมัสการพระบิดา ด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้...
    15 ปีที่ผ่านมา

Christian Blog

บล็อกวาไรตี้

เทคโนโลยี

ดาวน์โหลดโปรแกรมมาใหม่ล่าสุด |

วาไรตี้

ข่าวประจำวัน

สารบัญเว็บไทย

กินลม ชมทะเล ที่มาร์คเฮ้าส์บังกะโล เกาะกูด จ.ตราด

Thailand Map