Custom Search By Google

Custom Search

วันจันทร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ตำนานความถ่อมใจ

Revise7 S_K 19/01/09
ตำนานความถ่อมใจ

มธ. 18:1-4 1 ในเวลานั้นเหล่าสาวกมาเฝ้าพระเยซูทูลว่า “ใครเป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์"
2 พระเยซูจึงทรงเรียกเด็กเล็กๆคนหนึ่งมาให้ยืนท่ามกลางเขา
3 แล้วตรัสว่า “เรากล่าวความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าพวกท่านไม่กลับใจเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ ท่านจะเข้าในแผ่นดินสวรรค์ไม่ได้เลย
4 เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดถ่อมจิตใจลงเหมือนเด็กเล็กคนนี้ ผู้นั้นจะเป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์

• พระเยซูทรงยกตัวอย่างของเด็กเล็กๆให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งแผ่นดินสวรรค์
• ทรงให้ความสำคัญกับบางสิ่งในตัวเด็กเล็กๆ ที่ทำให้ผู้เชื่อต้องกลับมาฉุกคิดอย่างจริงจัง
• เด็กเล็กๆเป็นอย่างไรหรือ จึงเป็นตัวแทนของคนแห่งแผ่นดินสวรรค์
• คุณค่าในตัวเด็กเล็กๆนั้น ที่พระเยซูสอน มีความหมายใดกันแน่

1. “คำถาม” ใครเป็นใหญ่ที่สุดในแผ่นดินสวรรค์

• เราจะเข้าใจบริบทของเรื่องนี้ก่อน โดยต้องย้อนกลับไปดูที่มาของคำถาม
• สาวกถามพระเยซูว่า “ใครเป็นใหญ่ที่สุดในแผ่นดินสวรรค์”
• เป็นคำถามที่ถามอย่างตั้งใจ และรวมตัวกันมาเข้าเฝ้าพระเยซู เพื่อถามพระองค์ด้วยคำถามที่เจาะจง

• ทำไมสาวกจึงถามคำถามนี้?
• ในระหว่างทางเดิน เหล่าสาวกผู้ใกล้ชิด ทั้ง 12 คน ซุบซิบกันว่า ใครควรจะนั่งตำแหน่งไหน
• และเมื่อต้องการความแน่ใจ ให้รู้กันไปเลยว่าใครจะได้รับตำแหน่งใหญ่กว่ากัน จึงเข้ามาถามพระเยซูอย่างเจาะจง จะได้ไม่ต้องเถียงกันอีก

มาระโก 9:33-34 33 พระองค์จึงเสด็จมายังเมืองคาเปอรนาอุม และเมื่อเข้าไปในเรือนแล้ว พระองค์ตรัสถามเหล่าสาวกว่า “เมื่อมาตามทางนั้นท่านทั้งหลายได้โต้แย้งกันด้วยข้อความอันใด"
34 เหล่าสาวกก็นิ่งอยู่ เพราะเมื่อมาตามทางนั้นเขาได้เถียงกันว่าคนไหนจะเป็นใหญ่กว่ากัน

• สิ่งที่พระเยซูทรงตอบเหล่าสาวก เป็นสิ่งที่ผิดไปจากความคาดหวังของเขาเป็นอย่างมาก
• สิ่งที่เขาคาดหวังคือ คำตอบที่ว่า คนใดคนหนึ่งในพวกเขาจะได้เป็นใหญ่ และใครได้ตำแหน่งรองๆลงมา

• ความคิดที่ผิดพลาด นำมาซึ่งคำถามที่ผิดเพี้ยน

ความคิดผิด 1 คนที่รับใช้พระเยซูมาก จะได้เป็นใหญ่

• สาวกได้ติดตามพระเยซู ทิ้งบ้านเรือนไร่นา อาชีพ ติดตามพระองค์มา
• เขาคิดว่าเขารู้จักพระองค์มากกว่าใคร
• สนิทกับพระองค์มากกว่าใคร
• พูดคุยกับพระองค์มากกว่าใคร
• ได้รับอำนาจจากพระองค์มากกว่าใคร ให้ขับผี ให้รักษาคนเจ็บให้หาย รักษาคนตายให้ฟื้น ให้ประกาศแผ่นดินของพระเจ้า นำคนสู่แผ่นดินสวรรค์
• สาวกแต่ละคนล้วนผ่านงานรับใช้ฝ่ายวิญญาณมาอย่างโชกโชน
• ทุกคนมีจุดเด่นของตัวเอง และ ที่ไม่ด้อยไปกว่าคนอื่นๆ เช่น เปโตรกับแอนดรูว์ ได้รับการทรงเรียกมาก่อนคนอื่นๆ ยอห์นเป็นผู้ที่พระองค์ทรงรัก มัทธิวเป็นผู้คล่องแคล่วเรื่องการคำนวณ ยูดาสเป็นคนถือถุงเงิน ฯลฯ
• จึงมีการทุ่มเถียงกันว่าใครจะได้เป็นใหญ่ที่สุด กว่าคนอื่นๆ

มัทธิว 7:21-23 21 "มิใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า” จะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้
22 เมื่อถึงวันนั้นจะมีคนเป็นอันมากร้องแก่เราว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์กล่าวพระวจนะในพระนามของพระองค์ และได้ขับผีออกในพระนามของพระองค์ และได้กระทำการมหัศจรรย์เป็นอันมากในพระนามของพระองค์ มิใช่หรือ"
23 เมื่อนั้นเราจะได้กล่าวแก่เขาว่า “เราไม่เคยรู้จักเจ้าเลย เจ้าผู้กระทำความชั่ว จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา"

• การรับใช้เป็นสิ่งที่สมควร โดยตระหนักว่าเป็นการรับใช้โดยพระคุณ ยิ่งรับใช้มากยิ่งถวายเกียรติ์มาก
• คนสองคนรับใช้ยากลำบากเหมือนกัน นำคนมาเชื่อเท่ากัน คนหนึ่งได้สวรรค์ อีกคนหนึ่งไม่ได้ไป
• แม้ว่าการรับใช้จะสำคัญ แต่ท่าทีในการรับใช้มีความสำคัญยิ่งกว่า และเป็นตัวกำหนดอนาคต บำเหน็จและการพิพากษา

ความคิดผิด 2 ผู้เป็นใหญ่ คือ ผู้มีอำนาจเหนือคนอื่น

มาระโก 10:42 พระเยซูจึงทรงเรียกเขาทั้งหลายมาตรัสว่า “ท่านทั้งหลายรู้อยู่ว่า ผู้ที่นับว่าเป็นผู้ครองของคนต่างชาติ ย่อมเป็นเจ้าเหนือเขา และผู้ใหญ่ทั้งหลายก็ใช้อำนาจบังคับ

ลูกา 22:24-25 24 มีการเถียงกันด้วยว่าจะนับว่าใครในพวกเขาเป็นใหญ่ที่สุด
25 พระองค์จึงตรัสแก่เขาว่า “กษัตริย์ของคนต่างชาติย่อมเป็นเจ้าเหนือเขา และผู้ที่มีอำนาจเหนือเขานั้น เขาเรียกว่าเจ้าบุญนายคุณ

• สาวกคิดผิดเพี้ยน คิดด้วยเนื้อหนัง ฝ่ายโลก คิดอยากเป็นใหญ่
• การได้อยู่ใกล้ชิดพระเยซูเป็นสิทธิพิเศษอย่างยิ่ง และน่าจะทำให้เขาเรียนรู้จากพระองค์มากยิ่งขึ้น กลับไม่เรียนรู้เรื่องที่สำคัญที่สุด เรื่องที่พระองค์สอน และเป็นแบบอย่างปฏิบัติเสมอมา
• แทนที่คำถามจะเป็น “ทำอย่างไรจึงจะรับใช้พระองค์ได้มากขึ้น ทำตามน้ำพระทัยพระบิดาได้มากขึ้น”
• คนเหล่านั้นกลับถามว่า “ใครจะได้เป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์” สาวกคงทำให้พระเยซูเสียพระทัยไม่น้อย

• พระเยซูสอนย้อนกลับไปในความคิดของสาวก กลับความคิดจากหน้ามือเป็นหลังมือ
• พระองค์สอนเขาว่า ผู้เป็นใหญ่คือผู้รับใช้คนทั้งปวง

มัทธิว 20:26-27 26 แต่ในพวกท่านหาเป็นอย่างนั้นไม่ ถ้าผู้ใดใคร่จะได้เป็นใหญ่ในพวกท่าน ผู้นั้นจะต้องเป็นผู้ปรนนิบัติท่านทั้งหลาย
27 ถ้าผู้ใดใคร่จะได้เป็นเอกเป็นต้น ผู้นั้นจะต้องเป็นทาสสมัครของพวกท่าน

ลูกา 22:24-27 26 แต่พวกท่านจะหาเป็นอย่างนั้นไม่ ผู้ใดในพวกท่านที่เป็นใหญ่ที่สุด ให้ผู้นั้นเป็นเหมือนผู้เยาว์ที่สุด และผู้ใดเป็นนายให้ผู้นั้นเป็นเหมือนคนรับใช้
27 ด้วยว่าใครเป็นใหญ่กว่า ผู้ที่นั่งโต๊ะหรือผู้เดินโต๊ะ ผู้ที่นั่งโต๊ะมิใช่หรือ แต่ว่าเราอยู่ท่ามกลางท่านทั้งหลายเหมือนผู้รับใช้

ความคิดผิด 3 ผู้เป็นใหญ่ มีอำนาจทำตามใจปรารถนา

• หากคิดดังนี้ เป็นการคิดผิดอย่างน้อยสองอย่างคือ
1. คนที่เป็นใหญ่ที่สุดในสวรรค์คือพระเจ้า
o และทุกคนยังต้องทำตามน้ำพระทัยพระองค์ ไม่ใช่ทำตามใจตัวเอง
o ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ มิเช่นนั้นตกสวรรค์
2. คนที่เป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์ มีวิถีทางที่แตกต่างจากโลก
o ในโลกนี้ เป็นใหญ่ได้ต้องเก่ง กล้า สามารถ
o ในสวรรค์ เป็นใหญ่ได้ ต้องถ่อมใจ ยินดีทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าทุกประการ มิใช่ทำตามใจตัวเอง

• ผู้เชื่อหลายคนไม่ได้คิดอยากเป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์
• เป็นไปได้หรือไม่ว่าเป็นเพระเขาไม่อยากรับใช้ ไม่อยากทำตามน้ำพระทัยทุกประการ ถ้าถ่อมใจทำ ต้องเหนื่อยยากลำบากแน่
• อย่างน้อยสาวกที่ติดตามพระเยซูยังจ่ายราคา ติดตามพระเจ้าและคาดหวังแผ่นดินสวรรค์
• ส่วนเราที่ผู้เป็นผู้เชื่อ เราคาดหวังแผ่นดินของพระเจ้ามากแค่ไหน คาดหวังอย่างไร
• หากไม่ได้คิด ไม่ได้คาดหวังเลย ต้องย้อนกลับมาถามตนเองว่าชีวิตในการติดตามพระเจ้าของเราเป็นอย่างไร

2. คำตอบแรก “คนคิดเป็นใหญ่ หมดสิทธิ์ไปสวรรค์”

“มธ.18:3 ถ้าพวกท่านไม่กลับใจเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ ท่านจะเข้าในแผ่นดินสวรรค์ไม่ได้เลย”

มธ. 18:1-3 1 ในเวลานั้นเหล่าสาวกมาเฝ้าพระเยซูทูลว่า “ใครเป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์"
2 พระเยซูจึงทรงเรียกเด็กเล็กๆคนหนึ่งมาให้ยืนท่ามกลางเขา
3 แล้วตรัสว่า “เรากล่าวความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าพวกท่านไม่กลับใจเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ ท่านจะเข้าในแผ่นดินสวรรค์ไม่ได้เลย

• พระเยซูไม่ได้ตอบในสิ่งที่สาวกต้องการ
• ไม่ได้ตอบว่า ใน 12 คน ใครจะได้เป็นใหญ่ ใครใหญ่กว่าใคร
• วิธีที่พระองค์ตอบและสั่งสอนคือ
• ทรงเรียกเด็กเล็กๆคนหนึ่ง ให้มายืนท่ามกลางสาวก ให้สาวกดูชัดๆ
• และบอกสาวกว่าผู้ที่ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์ คือ เด็กเล็กๆ เช่นเด็กคนนี้

o การที่พระเยซูยกตัวอย่างเด็กเล็กๆคนหนึ่ง อาจดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาในสมัยของเรา แต่ในอดีตนั้น เป็นเรื่องที่รับได้ยากจริงๆ
o คำว่าเด็กเล็กๆ ในที่นี้ ใช้คำภาษากรีกว่า Paidion แปลว่า ต่ำต้อย โดยเฉพาะใช้กับเด็กเล็กๆอายุต่ำกว่า 3 ขวบลงมา
o พวกธรรมาจารย์มักให้สถานภาพของคำนี้ เป็นความต่ำต้อยทำผูกติดไว้กับคน 3 กลุ่ม ผูกไว้ด้วยกันเสมอเวลากล่าวอ้างถึงสิทธิทางกฎหมาย ซึ่งหมายถึงเป็นคนที่ไม่มีสิทธิใดๆเลย แม้ว่าจะอยู่ในสังคมเดียวกัน คนสามกลุ่มนี้คือ
1. คนหูหนวกและคนใบ้ อยู่ในโลกส่วนตัว สื่อสารกับสังคมไม่รู้เรื่อง
2. คนที่จิตไม่สมประกอบ ไม่รับรู้โลกแห่งความเป็นจริง
3. เด็กเล็กๆ ช่วยเหลือตัวเองยังไม่ได้ ไม่มีสิทธิทางกฎหมายใดๆเลย
o สังคมในอดีต ไม่ได้ให้คุณค่าแก่เด็กเล็กๆเลย เด็กเล็กๆจึงเป็นคนที่มีไม่มีสิทธิ์ใดๆเลย
o มีเพียงพ่อแม่ที่สนใจ รัก เอาใจใส่ จนโตขึ้นได้ จึงมีสิทธิ์เหมือนคนอื่น
o เราจึงพบว่า มีการฆ่าเด็กเล็กๆ พบได้หลายครั้งในประวัติศาสตร์ที่พระคัมภีร์เขียนถึง เช่น
• ฟาโรห์ ให้ฆ่าเด็กผู้ชายทุกคนที่คลอดออกมาจากชาวอิสราเอล
• เฮโรดให้ฆ่าเด็กอายุตั้งแต่สองขวบลงมา
• บ้างก็ให้เอาเด็กไปบูชายัญ ให้ผ่าเด็กเป็นสองท่อน
• บ้างก็กินเด็ก ในเวลาที่มีความกันดารอาหารเกิดขึ้น เอาเด็กเล็กๆมาแบ่งกันกิน
o การเอาเด็กมาเป็นแบบอย่างคนที่เป็นใหญ่ในสวรรค์ จึงเป็นสิ่งที่กระชากความคิดของเหล่าสาวกอย่างมาก

มัทธิว 19:13-14 13 ขณะนั้นเขาพาเด็กเล็กๆมาหาพระองค์ เพื่อจะให้พระองค์ทรงวางพระหัตถ์และอธิษฐาน แต่เหล่าสาวกก็ห้ามปรามไว้
14 ฝ่ายพระเยซูตรัสว่า “จงยอมให้เด็กเล็กๆเข้ามาหาเรา อย่าห้ามเขาเลย เพราะว่าชาวแผ่นดินสวรรค์เป็นของคนเช่นเด็กเหล่านั้น"

• แผ่นดินสวรรค์เป็นของคนเล็กน้อยอย่างเด็ก หมายถึง สภาพของผู้ที่ไม่มีสิทธิ์ใดๆ
• ถ่อมใจแรก คือ ถ่อมใจรับ....เป็นผู้หมดสิทธิ์
• หมดสิ้นโดยทุกวิธีที่จะช่วยตัวเองได้ ไม่สามารถใช้วิธีใดๆ โดยความสามารถของตัวเองเพื่อไปสวรรค์
• แผ่นดินสวรรค์ มิใช่ได้มาด้วยความเก่งกล้าในการรับใช้ / ความสามารถที่อวดอ้างได้ ฯลฯ
• คนที่เข้าในแผ่นดินของพระเจ้า คือ คนกลับใจใหม่อย่างแท้จริง คนที่รู้ว่าตัวเองไม่ดีพอ ผู้ที่ไม่ได้อวดอ้างสิ่งใดๆ เป็นเหมือนกับเด็กเล็กๆคนนั้น
• เพียงขั้นแรกในการก้าวเข้าสู่แผ่นดินสวรรค์ เหล่าสาวกก็ตกมาตรฐานเสียแล้ว
• การเป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์จึงยังอยู่ห่างไกลความจริง
• ผู้ที่เรียนรู้ท่าทีถ่อมใจอย่างเด็ก จึงสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิต สามารถกลับใจใหม่ได้อย่างแท้จริง
• นี่คือถ่อมใจแรก ในความหมายของการถ่อมใจแบบเด็ก
• คนมักนำคำว่าเป็นผู้เล็กน้อยไปใช้สนองความต้องการของตัวเอง เช่น
o คนไม่ถ่อมใจ กลับจะอวดตัว แต่มักบอกว่า ตัวผมไม่มีอะไร (แต่ในใจมีอยู่เยอะ)
o ผู้เชื่อส่วนใหญ่ถูกสอนเรื่องผู้เล็กน้อย แต่ไม่ได้รับรู้เป็นชีวิต ไม่ได้เข้าใจวิถีของผู้ที่ถ่อมใจ
o หลายคนอวดอ้างสรรพคุณว่าเป็นผู้เล็กน้อย เป็นคนโนเนม เป็นคนปลายแถว เป็นคนที่ไม่มีใครรู้จัก เป็นคนไม่มีอะไร แต่กระพือความเสียหายได้ใหญ่โตทั่วประเทศได้ทีเดียว
o เราต้องกลับใจใหม่ ต้องถ่อมใจ เลียนแบบความเล็กน้อยอย่างเด็ก
o เรื่องนี้ต้องเรียนรู้ตลอดชีวิต ทุกสิ่งเริ่มต้นออกมาจากถ่อมใจ และเป็นก้าวแรกในแผ่นดินสวรรค์ ไม่สามารถละเลยได้
o และคนต้นจะเป็นคนปลายได้ และคนปลายจะเป็นคนต้นได้ ไม่มีใครยึดตำแหน่งของตนเอาไว้ได้

มาระโก 10:31 แต่มีหลายคนที่เป็นคนต้นจะต้องกลับไปเป็นคนสุดท้าย และที่เป็นคนสุดท้ายจะกลับเป็นคนต้น"

3. คำตอบที่สอง “ผู้ถ่อมใจแท้ จึงจะได้เป็นใหญ่”

มธ.18:4 เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดถ่อมจิตใจลงเหมือนเด็กเล็กคนนี้ ผู้นั้นจะเป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์

• พระเยซูไม่ได้หยุดคำสอนอยู่แค่ก้าวแรก เรื่องสอนสาวกให้กลับใจใหม่
• แต่พระเยซูสอนไปจนจบในคราวเดียว
• พระองค์ทรงตอบคำถามที่สาวกมาถามอย่างครบถ้วน
• หากมีชีวิตในโลกนี้ด้วยท่าทีถ่อมใจเหมือนเด็กเล็กๆคนนี้ และดำเนินชีวิตอย่างนั้นจริงๆ จะได้เป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์
• จุดประสงค์ของคำสอนคือ เพื่อให้ได้อยู่ในสวรรค์อย่างมีศักดิ์ศรีในแผ่นดินสวรรค์
• พระเยซูหวังใจให้สาวกเข้าในแผ่นดินสวรรค์ และมีศักดิ์ศรีในแผ่นดินสวรรค์ด้วย
• ไม่ใช่เพียงการกลับใจใหม่ หรือรอดดังไฟเข้าสู่สวรรค์
• เรื่องสำคัญที่สุดที่ทำให้ผู้เชื่ออยู่อย่างมีศักดิ์ศรี และ เป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์ได้ คือ ความถ่อมใจ

• สิ่งที่พระองค์สอนเป็นสิ่งแรกในคำเทศนาบนภูเขาคือเรื่อง ความถ่อมใจ
• ความถ่อมใจเป็นประตูเชื่อมอาณาจักรสวรรค์กับแผ่นดินโลก
• เป็นเรื่องใหญ่ที่สุด และเป็นเรื่องสำคัญที่สุดเรื่องแรก
• และยังเป็นเรื่องสำคัญที่สุดเสมอสำหรับคริสเตียนที่ยังปรารถนาติดตามพระเจ้าจนถึงวันสุดท้าย

• คำว่าถ่อมใจมาจากคำในภาษากรีกว่า Tapeinoo แปลว่า การลดตัวลงต่ำ การอยู่อย่างไม่มีตำแหน่งใดๆ
• พระเยซูนำเด็กคนนี้มาเป็นตัวอย่าง ไม่ได้หมายความว่าเด็กที่ยืนอยู่คนนี้ จะเป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์ เพราะเด็กคนนี้ ไม่ได้เป็นเด็กตลอดไป เขาจะโตขึ้น และไม่ได้เป็นเด็กเหมือนเดิม
• แต่พระเยซูกำลังบอกถึง บางสิ่ง ที่เป็นลักษณะเจาะจง ที่มีเฉพาะในเด็กเล็กๆเท่านั้น
• สิ่งที่พระเยซูกล่าวถึงอย่างเจาะจง เพียงเรื่องเดียวคือ ความถ่อมใจอย่างเด็ก หมายถึง การไม่มีสถานะภาพใดๆเลยที่อวดอ้างได้
• พระองค์ไม่ได้หมายถึงเรื่อง ความคุณธรรมหรือความดีใดๆ ในตัวเด็ก
• พระองค์ไม่ได้หมายถึง ความจริงใจ ความไร้เดียงสา หรือความชั่วร้ายที่เด็กๆมีน้อยกว่าผู้ใหญ่ แม้เด็กไม่ชั่วร้ายเท่าผู้ใหญ่ แต่ก็เป็นคนบาปเช่นเดียวกัน
• ลองสังเกตดูว่ามีสิ่งใดที่เด็ก สามารถอวดอ้างกับพ่อแม่ของเขาว่า เขาหามาได้เอง จะไม่มีเลย โดยเฉพาะในเด็กต่ำกว่า 3 ขวบ
o ลูกน้อยไม่สามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้เอง ต้องมีพ่อแม่คอยช่วยอยู่ตลอดเวลา
o หากเด็กเล็กๆ ถูกลืมทิ้งไว้ที่สวนสวนสาธารณะ เขาจะไม่สามารถดำเนินชีวิตอยู่ได้เลย
o เขาไม่รู้จะกินอะไร จะกินตอนไหน อะไรกินได้หรือไม่ได้
o ไม่ได้คิดจะอาบน้ำ ถอดกางเกงก็ไม่เป็น ขับถ่ายก็ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
o จะกลับบ้านก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
o แค่มองหาพ่อแม่ไม่เจอก็ร้องไห้แล้ว
o เป็นเด็ก คือ ไม่สามารถขาดจากพ่อแม่ได้เลย
o ไม่มีสถานภาพใดๆเลยที่อวดอ้างได้
o แต่ธรรมชาติของเด็กเล็กๆบอกตัวเขาเองว่า เขาจะต้องมีพ่อแม่อยู่กับเขาไม่ว่าพ่อแม่ ต่อว่า หรือตีเขา เขาก็ยังอยู่กับพ่อแม่ต่อไป พึ่งพ่อแม่ต่อไป ไม่ไปไหนเด็ดขาด คิดอย่างอื่นไปไม่ได้
o เมื่อต้องการสิ่งใด จะร้องหาจากพ่อแม่ ร้องขอจากพ่อแม่ ไม่มีความอายในการร้องขอจากพ่อแม่ของตน เวลาร้องจะร้องเต็มที่
o แม้ดื้อบ้าง เกเรบ้าง ไม่เชื่อฟังบ้าง แต่ก็อยู่กับพ่อแม่เสมอ ไม่เคยมีความคิดเป็นอย่างอื่น
o ความสุขของเขาไม่ได้อยู่ที่การสะสมสิ่งของที่พ่อแม่ให้เขา เขาไม่รู้ว่าจะเอาไปทำไมด้วยซ้ำ ไม่เคยคิดสร้างสถานภาพให้กับตัวเอง
o ความสุขของเขาอิงอยู่กับพ่อแม่ อยากอยู่กับพ่อแม่ อยากเล่นกับพ่อแม่ อยากพึ่งพิงพ่อแม่ตลอดไป เดินยังไม่อยากเดิน แม้ว่าเดินได้ ขอให้พ่อแม่อุ้มไป
o ความถ่อมใจของตัวเด็กเล็กๆ ที่เป็นความสุขของเขา คือ การได้พึ่งพาพ่อแม่ของเขา เขาทำด้วยความยินดี รับการช่วยเหลือด้วยความเต็มใจ
o ความถ่อมใจแบบนี้แหละที่พระองค์ต้องการสอนสาวก เพียงแต่เปลี่ยนตัวละครจากตัวเด็กกับพ่อของเขา ไปเป็นตัวท่านกับพระเจ้า
o พระเจ้าเป็นพระบิดา และท่านเป็นบุตรของพระองค์
o ยินดีถ่อมใจ พึ่งพาพระองค์ เกาะติดแน่นอยู่กับพระองค์ด้วยความยินดีและเต็มใจเสมอ
o คือถ่อมใจต่อพระองค์อย่างเด็กน้อยที่มีความสุขอยู่กับบิดามากกว่าสิ่งต่างๆที่บิดาหยิบยื่นให้

ถ่อมใจในแผ่นดินสวรรค์ ไม่สามารถเรียนได้จากโลกนี้

o ความรู้ในโลกไม่เคยทำให้ใครถ่อมใจได้อย่างแท้จริง ไม่ว่าบุคคลหรือ สิ่งใดในโลกก็ตาม
o แต่การเรียนรู้ความถ่อมใจอย่างแท้จริง เรื่องแผ่นดินในสวรรค์ ผู้เชื่อต้องเรียนจากพระเยซู ไม่มีผู้ใดสอนท่านได้นอกจากพระองค์เท่านั้น

การมีความรู้ในพระคัมภีร์ ไม่ได้บอกถึง การเป็นคนที่ถ่อมใจ

o ความรู้เป็นเรื่องหนึ่ง เป็นสิ่งดีถ้ารู้ให้มากที่สุด แต่ที่สำคัญคือการเปลี่ยนไปตามอย่างที่เรียนรู้
o หากมีความรู้พระคัมภีร์ แต่ไม่เปลี่ยนชีวิต แทนที่จะถ่อมใจ กลับกลายเป็นความหยิ่ง ทำร้ายและทำลายผู้คน ทั้งตัวเองและผู้อื่น

o ความถ่อมใจอย่างสวรรค์ จะทำให้ผู้เชื่อสามารถเรียนรู้จากพระเจ้า ให้พระเจ้าเป็นผู้เลี้ยงดูท่าน สร้างชีวิตของท่าน พัฒนาชีวิตของท่าน
o ยิ่งเกาะติดพระเจ้ายาวนานขึ้น ยิ่งเรียนรู้จากพระองค์ เปลี่ยนแปลงชีวิต และให้พระองค์ปั้นแต่งชีวิตของเรา ให้เป็นเหมือนพระองค์มากขึ้น จึงมีคุณสมบัติที่พึงประสงค์ในแผ่นดินของพระองค์มากขึ้นเป็นลำดับนั้นเอง
o สิ่งนี้จะเกิดไม่ได้เลย หากไม่ได้พึ่งพาพระองค์ หรือพึ่งก็เพียงแต่น้อย ไม่ถ่อมใจให้พระองค์เป็นผู้นำชีวิต เลือกดำเนินชีวิตด้วยตัวเองเป็นส่วนใหญ่
o ความถ่อมใจที่สอง คือ ถ่อมใจพึ่งพาพระเจ้า เหมือนอย่างเด็กเล็กๆที่ใช้ชีวิตอยู่ได้โดยการพึ่งพาพ่อแม่ของเขานั่นเอง

สดุดี 89:26 เขาจะร้องต่อเราว่า “พระองค์ทรงเป็นพระบิดาของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ และเป็นพระศิลาแห่งความรอดของข้าพระองค์"

อิสยาห์ 64:8 ข้าแต่พระเจ้า แต่พระองค์ยังทรงเป็นพระบิดาของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ทั้งหลาย เป็นดินเหนียว และพระองค์ทรงเป็นช่างปั้น ข้าพระองค์ทุกคนเป็นผลพระหัตถกิจของพระองค์

คำถาม
1. แบบอย่างความถ่อมใจของเด็กเล็กๆ เป็นแบบอย่างที่สมบูรณ์ครบถ้วนหรือไม่ แตกต่างกับความถ่อมใจของพระเยซูอย่างไร
2. ถ้าเราถ่อมใจอย่างแท้จริง อย่างเด็กเล็กๆ จะเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้บ้าง มากน้อยขนาดไหน
3. คำถามที่สำคัญที่สุดคือ ความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้า ตอนนี้เป็นอย่างไร อนาคตจะดีขึ้น ไม่เปลี่ยนแปลง หรือ แย่ลง

มธ. 18:1-4 1 ในเวลานั้นเหล่าสาวกมาเฝ้าพระเยซูทูลว่า “ใครเป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์"
2 พระเยซูจึงทรงเรียกเด็กเล็กๆคนหนึ่งมาให้ยืนท่ามกลางเขา
3 แล้วตรัสว่า “เรากล่าวความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าพวกท่านไม่กลับใจเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ ท่านจะเข้าในแผ่นดินสวรรค์ไม่ได้เลย
4 เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดถ่อมจิตใจลงเหมือนเด็กเล็กคนนี้ ผู้นั้นจะเป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์

• พระเยซูทรงยกตัวอย่างของเด็กเล็กๆให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งแผ่นดินสวรรค์
• ทรงให้ความสำคัญกับบางสิ่งในตัวเด็กเล็กๆ ที่ทำให้ผู้เชื่อต้องกลับมาฉุกคิดอย่างจริงจัง
• เด็กเล็กๆเป็นอย่างไรหรือ จึงเป็นตัวแทนของคนแห่งแผ่นดินสวรรค์
• คุณค่าในตัวเด็กเล็กๆนั้น ที่พระเยซูสอน มีความหมายใดกันแน่

1. “คำถาม” ใครเป็นใหญ่ที่สุดในแผ่นดินสวรรค์

• เราจะเข้าใจบริบทของเรื่องนี้ก่อน โดยต้องย้อนกลับไปดูที่มาของคำถาม
• สาวกถามพระเยซูว่า “ใครเป็นใหญ่ที่สุดในแผ่นดินสวรรค์”
• เป็นคำถามที่ถามอย่างตั้งใจ และรวมตัวกันมาเข้าเฝ้าพระเยซู เพื่อถามพระองค์ด้วยคำถามที่เจาะจง

• ทำไมสาวกจึงถามคำถามนี้?
• ในระหว่างทางเดิน เหล่าสาวกผู้ใกล้ชิด ทั้ง 12 คน ซุบซิบกันว่า ใครควรจะนั่งตำแหน่งไหน
• และเมื่อต้องการความแน่ใจ ให้รู้กันไปเลยว่าใครจะได้รับตำแหน่งใหญ่กว่ากัน จึงเข้ามาถามพระเยซูอย่างเจาะจง จะได้ไม่ต้องเถียงกันอีก

มาระโก 9:33-34 33 พระองค์จึงเสด็จมายังเมืองคาเปอรนาอุม และเมื่อเข้าไปในเรือนแล้ว พระองค์ตรัสถามเหล่าสาวกว่า “เมื่อมาตามทางนั้นท่านทั้งหลายได้โต้แย้งกันด้วยข้อความอันใด"
34 เหล่าสาวกก็นิ่งอยู่ เพราะเมื่อมาตามทางนั้นเขาได้เถียงกันว่าคนไหนจะเป็นใหญ่กว่ากัน

• สิ่งที่พระเยซูทรงตอบเหล่าสาวก เป็นสิ่งที่ผิดไปจากความคาดหวังของเขาเป็นอย่างมาก
• สิ่งที่เขาคาดหวังคือ คำตอบที่ว่า คนใดคนหนึ่งในพวกเขาจะได้เป็นใหญ่ และใครได้ตำแหน่งรองๆลงมา

• ความคิดที่ผิดพลาด นำมาซึ่งคำถามที่ผิดเพี้ยน

ความคิดผิด 1 คนที่รับใช้พระเยซูมาก จะได้เป็นใหญ่

• สาวกได้ติดตามพระเยซู ทิ้งบ้านเรือนไร่นา อาชีพ ติดตามพระองค์มา
• เขาคิดว่าเขารู้จักพระองค์มากกว่าใคร
• สนิทกับพระองค์มากกว่าใคร
• พูดคุยกับพระองค์มากกว่าใคร
• ได้รับอำนาจจากพระองค์มากกว่าใคร ให้ขับผี ให้รักษาคนเจ็บให้หาย รักษาคนตายให้ฟื้น ให้ประกาศแผ่นดินของพระเจ้า นำคนสู่แผ่นดินสวรรค์
• สาวกแต่ละคนล้วนผ่านงานรับใช้ฝ่ายวิญญาณมาอย่างโชกโชน
• ทุกคนมีจุดเด่นของตัวเอง และ ที่ไม่ด้อยไปกว่าคนอื่นๆ เช่น เปโตรกับแอนดรูว์ ได้รับการทรงเรียกมาก่อนคนอื่นๆ ยอห์นเป็นผู้ที่พระองค์ทรงรัก มัทธิวเป็นผู้คล่องแคล่วเรื่องการคำนวณ ยูดาสเป็นคนถือถุงเงิน ฯลฯ
• จึงมีการทุ่มเถียงกันว่าใครจะได้เป็นใหญ่ที่สุด กว่าคนอื่นๆ

มัทธิว 7:21-23 21 "มิใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า” จะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้
22 เมื่อถึงวันนั้นจะมีคนเป็นอันมากร้องแก่เราว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์กล่าวพระวจนะในพระนามของพระองค์ และได้ขับผีออกในพระนามของพระองค์ และได้กระทำการมหัศจรรย์เป็นอันมากในพระนามของพระองค์ มิใช่หรือ"
23 เมื่อนั้นเราจะได้กล่าวแก่เขาว่า “เราไม่เคยรู้จักเจ้าเลย เจ้าผู้กระทำความชั่ว จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา"

• การรับใช้เป็นสิ่งที่สมควร โดยตระหนักว่าเป็นการรับใช้โดยพระคุณ ยิ่งรับใช้มากยิ่งถวายเกียรติ์มาก
• คนสองคนรับใช้ยากลำบากเหมือนกัน นำคนมาเชื่อเท่ากัน คนหนึ่งได้สวรรค์ อีกคนหนึ่งไม่ได้ไป
• แม้ว่าการรับใช้จะสำคัญ แต่ท่าทีในการรับใช้มีความสำคัญยิ่งกว่า และเป็นตัวกำหนดอนาคต บำเหน็จและการพิพากษา

ความคิดผิด 2 ผู้เป็นใหญ่ คือ ผู้มีอำนาจเหนือคนอื่น

มาระโก 10:42 พระเยซูจึงทรงเรียกเขาทั้งหลายมาตรัสว่า “ท่านทั้งหลายรู้อยู่ว่า ผู้ที่นับว่าเป็นผู้ครองของคนต่างชาติ ย่อมเป็นเจ้าเหนือเขา และผู้ใหญ่ทั้งหลายก็ใช้อำนาจบังคับ

ลูกา 22:24-25 24 มีการเถียงกันด้วยว่าจะนับว่าใครในพวกเขาเป็นใหญ่ที่สุด
25 พระองค์จึงตรัสแก่เขาว่า “กษัตริย์ของคนต่างชาติย่อมเป็นเจ้าเหนือเขา และผู้ที่มีอำนาจเหนือเขานั้น เขาเรียกว่าเจ้าบุญนายคุณ

• สาวกคิดผิดเพี้ยน คิดด้วยเนื้อหนัง ฝ่ายโลก คิดอยากเป็นใหญ่
• การได้อยู่ใกล้ชิดพระเยซูเป็นสิทธิพิเศษอย่างยิ่ง และน่าจะทำให้เขาเรียนรู้จากพระองค์มากยิ่งขึ้น กลับไม่เรียนรู้เรื่องที่สำคัญที่สุด เรื่องที่พระองค์สอน และเป็นแบบอย่างปฏิบัติเสมอมา
• แทนที่คำถามจะเป็น “ทำอย่างไรจึงจะรับใช้พระองค์ได้มากขึ้น ทำตามน้ำพระทัยพระบิดาได้มากขึ้น”
• คนเหล่านั้นกลับถามว่า “ใครจะได้เป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์” สาวกคงทำให้พระเยซูเสียพระทัยไม่น้อย

• พระเยซูสอนย้อนกลับไปในความคิดของสาวก กลับความคิดจากหน้ามือเป็นหลังมือ
• พระองค์สอนเขาว่า ผู้เป็นใหญ่คือผู้รับใช้คนทั้งปวง

มัทธิว 20:26-27 26 แต่ในพวกท่านหาเป็นอย่างนั้นไม่ ถ้าผู้ใดใคร่จะได้เป็นใหญ่ในพวกท่าน ผู้นั้นจะต้องเป็นผู้ปรนนิบัติท่านทั้งหลาย
27 ถ้าผู้ใดใคร่จะได้เป็นเอกเป็นต้น ผู้นั้นจะต้องเป็นทาสสมัครของพวกท่าน

ลูกา 22:24-27 26 แต่พวกท่านจะหาเป็นอย่างนั้นไม่ ผู้ใดในพวกท่านที่เป็นใหญ่ที่สุด ให้ผู้นั้นเป็นเหมือนผู้เยาว์ที่สุด และผู้ใดเป็นนายให้ผู้นั้นเป็นเหมือนคนรับใช้
27 ด้วยว่าใครเป็นใหญ่กว่า ผู้ที่นั่งโต๊ะหรือผู้เดินโต๊ะ ผู้ที่นั่งโต๊ะมิใช่หรือ แต่ว่าเราอยู่ท่ามกลางท่านทั้งหลายเหมือนผู้รับใช้

ความคิดผิด 3 ผู้เป็นใหญ่ มีอำนาจทำตามใจปรารถนา

• หากคิดดังนี้ เป็นการคิดผิดอย่างน้อยสองอย่างคือ
1. คนที่เป็นใหญ่ที่สุดในสวรรค์คือพระเจ้า
o และทุกคนยังต้องทำตามน้ำพระทัยพระองค์ ไม่ใช่ทำตามใจตัวเอง
o ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ มิเช่นนั้นตกสวรรค์
2. คนที่เป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์ มีวิถีทางที่แตกต่างจากโลก
o ในโลกนี้ เป็นใหญ่ได้ต้องเก่ง กล้า สามารถ
o ในสวรรค์ เป็นใหญ่ได้ ต้องถ่อมใจ ยินดีทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าทุกประการ มิใช่ทำตามใจตัวเอง

• ผู้เชื่อหลายคนไม่ได้คิดอยากเป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์
• เป็นไปได้หรือไม่ว่าเป็นเพระเขาไม่อยากรับใช้ ไม่อยากทำตามน้ำพระทัยทุกประการ ถ้าถ่อมใจทำ ต้องเหนื่อยยากลำบากแน่
• อย่างน้อยสาวกที่ติดตามพระเยซูยังจ่ายราคา ติดตามพระเจ้าและคาดหวังแผ่นดินสวรรค์
• ส่วนเราที่ผู้เป็นผู้เชื่อ เราคาดหวังแผ่นดินของพระเจ้ามากแค่ไหน คาดหวังอย่างไร
• หากไม่ได้คิด ไม่ได้คาดหวังเลย ต้องย้อนกลับมาถามตนเองว่าชีวิตในการติดตามพระเจ้าของเราเป็นอย่างไร

2. คำตอบแรก “คนคิดเป็นใหญ่ หมดสิทธิ์ไปสวรรค์”

“มธ.18:3 ถ้าพวกท่านไม่กลับใจเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ ท่านจะเข้าในแผ่นดินสวรรค์ไม่ได้เลย”

มธ. 18:1-3 1 ในเวลานั้นเหล่าสาวกมาเฝ้าพระเยซูทูลว่า “ใครเป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์"
2 พระเยซูจึงทรงเรียกเด็กเล็กๆคนหนึ่งมาให้ยืนท่ามกลางเขา
3 แล้วตรัสว่า “เรากล่าวความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าพวกท่านไม่กลับใจเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ ท่านจะเข้าในแผ่นดินสวรรค์ไม่ได้เลย

• พระเยซูไม่ได้ตอบในสิ่งที่สาวกต้องการ
• ไม่ได้ตอบว่า ใน 12 คน ใครจะได้เป็นใหญ่ ใครใหญ่กว่าใคร
• วิธีที่พระองค์ตอบและสั่งสอนคือ
• ทรงเรียกเด็กเล็กๆคนหนึ่ง ให้มายืนท่ามกลางสาวก ให้สาวกดูชัดๆ
• และบอกสาวกว่าผู้ที่ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์ คือ เด็กเล็กๆ เช่นเด็กคนนี้

o การที่พระเยซูยกตัวอย่างเด็กเล็กๆคนหนึ่ง อาจดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาในสมัยของเรา แต่ในอดีตนั้น เป็นเรื่องที่รับได้ยากจริงๆ
o คำว่าเด็กเล็กๆ ในที่นี้ ใช้คำภาษากรีกว่า Paidion แปลว่า ต่ำต้อย โดยเฉพาะใช้กับเด็กเล็กๆอายุต่ำกว่า 3 ขวบลงมา
o พวกธรรมาจารย์มักให้สถานภาพของคำนี้ เป็นความต่ำต้อยทำผูกติดไว้กับคน 3 กลุ่ม ผูกไว้ด้วยกันเสมอเวลากล่าวอ้างถึงสิทธิทางกฎหมาย ซึ่งหมายถึงเป็นคนที่ไม่มีสิทธิใดๆเลย แม้ว่าจะอยู่ในสังคมเดียวกัน คนสามกลุ่มนี้คือ
1. คนหูหนวกและคนใบ้ อยู่ในโลกส่วนตัว สื่อสารกับสังคมไม่รู้เรื่อง
2. คนที่จิตไม่สมประกอบ ไม่รับรู้โลกแห่งความเป็นจริง
3. เด็กเล็กๆ ช่วยเหลือตัวเองยังไม่ได้ ไม่มีสิทธิทางกฎหมายใดๆเลย
o สังคมในอดีต ไม่ได้ให้คุณค่าแก่เด็กเล็กๆเลย เด็กเล็กๆจึงเป็นคนที่มีไม่มีสิทธิ์ใดๆเลย
o มีเพียงพ่อแม่ที่สนใจ รัก เอาใจใส่ จนโตขึ้นได้ จึงมีสิทธิ์เหมือนคนอื่น
o เราจึงพบว่า มีการฆ่าเด็กเล็กๆ พบได้หลายครั้งในประวัติศาสตร์ที่พระคัมภีร์เขียนถึง เช่น
• ฟาโรห์ ให้ฆ่าเด็กผู้ชายทุกคนที่คลอดออกมาจากชาวอิสราเอล
• เฮโรดให้ฆ่าเด็กอายุตั้งแต่สองขวบลงมา
• บ้างก็ให้เอาเด็กไปบูชายัญ ให้ผ่าเด็กเป็นสองท่อน
• บ้างก็กินเด็ก ในเวลาที่มีความกันดารอาหารเกิดขึ้น เอาเด็กเล็กๆมาแบ่งกันกิน
o การเอาเด็กมาเป็นแบบอย่างคนที่เป็นใหญ่ในสวรรค์ จึงเป็นสิ่งที่กระชากความคิดของเหล่าสาวกอย่างมาก

มัทธิว 19:13-14 13 ขณะนั้นเขาพาเด็กเล็กๆมาหาพระองค์ เพื่อจะให้พระองค์ทรงวางพระหัตถ์และอธิษฐาน แต่เหล่าสาวกก็ห้ามปรามไว้
14 ฝ่ายพระเยซูตรัสว่า “จงยอมให้เด็กเล็กๆเข้ามาหาเรา อย่าห้ามเขาเลย เพราะว่าชาวแผ่นดินสวรรค์เป็นของคนเช่นเด็กเหล่านั้น"

• แผ่นดินสวรรค์เป็นของคนเล็กน้อยอย่างเด็ก หมายถึง สภาพของผู้ที่ไม่มีสิทธิ์ใดๆ
• ถ่อมใจแรก คือ ถ่อมใจรับ....เป็นผู้หมดสิทธิ์
• หมดสิ้นโดยทุกวิธีที่จะช่วยตัวเองได้ ไม่สามารถใช้วิธีใดๆ โดยความสามารถของตัวเองเพื่อไปสวรรค์
• แผ่นดินสวรรค์ มิใช่ได้มาด้วยความเก่งกล้าในการรับใช้ / ความสามารถที่อวดอ้างได้ ฯลฯ
• คนที่เข้าในแผ่นดินของพระเจ้า คือ คนกลับใจใหม่อย่างแท้จริง คนที่รู้ว่าตัวเองไม่ดีพอ ผู้ที่ไม่ได้อวดอ้างสิ่งใดๆ เป็นเหมือนกับเด็กเล็กๆคนนั้น
• เพียงขั้นแรกในการก้าวเข้าสู่แผ่นดินสวรรค์ เหล่าสาวกก็ตกมาตรฐานเสียแล้ว
• การเป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์จึงยังอยู่ห่างไกลความจริง
• ผู้ที่เรียนรู้ท่าทีถ่อมใจอย่างเด็ก จึงสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิต สามารถกลับใจใหม่ได้อย่างแท้จริง
• นี่คือถ่อมใจแรก ในความหมายของการถ่อมใจแบบเด็ก
• คนมักนำคำว่าเป็นผู้เล็กน้อยไปใช้สนองความต้องการของตัวเอง เช่น
o คนไม่ถ่อมใจ กลับจะอวดตัว แต่มักบอกว่า ตัวผมไม่มีอะไร (แต่ในใจมีอยู่เยอะ)
o ผู้เชื่อส่วนใหญ่ถูกสอนเรื่องผู้เล็กน้อย แต่ไม่ได้รับรู้เป็นชีวิต ไม่ได้เข้าใจวิถีของผู้ที่ถ่อมใจ
o หลายคนอวดอ้างสรรพคุณว่าเป็นผู้เล็กน้อย เป็นคนโนเนม เป็นคนปลายแถว เป็นคนที่ไม่มีใครรู้จัก เป็นคนไม่มีอะไร แต่กระพือความเสียหายได้ใหญ่โตทั่วประเทศได้ทีเดียว
o เราต้องกลับใจใหม่ ต้องถ่อมใจ เลียนแบบความเล็กน้อยอย่างเด็ก
o เรื่องนี้ต้องเรียนรู้ตลอดชีวิต ทุกสิ่งเริ่มต้นออกมาจากถ่อมใจ และเป็นก้าวแรกในแผ่นดินสวรรค์ ไม่สามารถละเลยได้
o และคนต้นจะเป็นคนปลายได้ และคนปลายจะเป็นคนต้นได้ ไม่มีใครยึดตำแหน่งของตนเอาไว้ได้

มาระโก 10:31 แต่มีหลายคนที่เป็นคนต้นจะต้องกลับไปเป็นคนสุดท้าย และที่เป็นคนสุดท้ายจะกลับเป็นคนต้น"

3. คำตอบที่สอง “ผู้ถ่อมใจแท้ จึงจะได้เป็นใหญ่”

มธ.18:4 เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดถ่อมจิตใจลงเหมือนเด็กเล็กคนนี้ ผู้นั้นจะเป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์

• พระเยซูไม่ได้หยุดคำสอนอยู่แค่ก้าวแรก เรื่องสอนสาวกให้กลับใจใหม่
• แต่พระเยซูสอนไปจนจบในคราวเดียว
• พระองค์ทรงตอบคำถามที่สาวกมาถามอย่างครบถ้วน
• หากมีชีวิตในโลกนี้ด้วยท่าทีถ่อมใจเหมือนเด็กเล็กๆคนนี้ และดำเนินชีวิตอย่างนั้นจริงๆ จะได้เป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์
• จุดประสงค์ของคำสอนคือ เพื่อให้ได้อยู่ในสวรรค์อย่างมีศักดิ์ศรีในแผ่นดินสวรรค์
• พระเยซูหวังใจให้สาวกเข้าในแผ่นดินสวรรค์ และมีศักดิ์ศรีในแผ่นดินสวรรค์ด้วย
• ไม่ใช่เพียงการกลับใจใหม่ หรือรอดดังไฟเข้าสู่สวรรค์
• เรื่องสำคัญที่สุดที่ทำให้ผู้เชื่ออยู่อย่างมีศักดิ์ศรี และ เป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์ได้ คือ ความถ่อมใจ

• สิ่งที่พระองค์สอนเป็นสิ่งแรกในคำเทศนาบนภูเขาคือเรื่อง ความถ่อมใจ
• ความถ่อมใจเป็นประตูเชื่อมอาณาจักรสวรรค์กับแผ่นดินโลก
• เป็นเรื่องใหญ่ที่สุด และเป็นเรื่องสำคัญที่สุดเรื่องแรก
• และยังเป็นเรื่องสำคัญที่สุดเสมอสำหรับคริสเตียนที่ยังปรารถนาติดตามพระเจ้าจนถึงวันสุดท้าย

• คำว่าถ่อมใจมาจากคำในภาษากรีกว่า Tapeinoo แปลว่า การลดตัวลงต่ำ การอยู่อย่างไม่มีตำแหน่งใดๆ
• พระเยซูนำเด็กคนนี้มาเป็นตัวอย่าง ไม่ได้หมายความว่าเด็กที่ยืนอยู่คนนี้ จะเป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์ เพราะเด็กคนนี้ ไม่ได้เป็นเด็กตลอดไป เขาจะโตขึ้น และไม่ได้เป็นเด็กเหมือนเดิม
• แต่พระเยซูกำลังบอกถึง บางสิ่ง ที่เป็นลักษณะเจาะจง ที่มีเฉพาะในเด็กเล็กๆเท่านั้น
• สิ่งที่พระเยซูกล่าวถึงอย่างเจาะจง เพียงเรื่องเดียวคือ ความถ่อมใจอย่างเด็ก หมายถึง การไม่มีสถานะภาพใดๆเลยที่อวดอ้างได้
• พระองค์ไม่ได้หมายถึงเรื่อง ความคุณธรรมหรือความดีใดๆ ในตัวเด็ก
• พระองค์ไม่ได้หมายถึง ความจริงใจ ความไร้เดียงสา หรือความชั่วร้ายที่เด็กๆมีน้อยกว่าผู้ใหญ่ แม้เด็กไม่ชั่วร้ายเท่าผู้ใหญ่ แต่ก็เป็นคนบาปเช่นเดียวกัน
• ลองสังเกตดูว่ามีสิ่งใดที่เด็ก สามารถอวดอ้างกับพ่อแม่ของเขาว่า เขาหามาได้เอง จะไม่มีเลย โดยเฉพาะในเด็กต่ำกว่า 3 ขวบ
o ลูกน้อยไม่สามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้เอง ต้องมีพ่อแม่คอยช่วยอยู่ตลอดเวลา
o หากเด็กเล็กๆ ถูกลืมทิ้งไว้ที่สวนสวนสาธารณะ เขาจะไม่สามารถดำเนินชีวิตอยู่ได้เลย
o เขาไม่รู้จะกินอะไร จะกินตอนไหน อะไรกินได้หรือไม่ได้
o ไม่ได้คิดจะอาบน้ำ ถอดกางเกงก็ไม่เป็น ขับถ่ายก็ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
o จะกลับบ้านก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
o แค่มองหาพ่อแม่ไม่เจอก็ร้องไห้แล้ว
o เป็นเด็ก คือ ไม่สามารถขาดจากพ่อแม่ได้เลย
o ไม่มีสถานภาพใดๆเลยที่อวดอ้างได้
o แต่ธรรมชาติของเด็กเล็กๆบอกตัวเขาเองว่า เขาจะต้องมีพ่อแม่อยู่กับเขาไม่ว่าพ่อแม่ ต่อว่า หรือตีเขา เขาก็ยังอยู่กับพ่อแม่ต่อไป พึ่งพ่อแม่ต่อไป ไม่ไปไหนเด็ดขาด คิดอย่างอื่นไปไม่ได้
o เมื่อต้องการสิ่งใด จะร้องหาจากพ่อแม่ ร้องขอจากพ่อแม่ ไม่มีความอายในการร้องขอจากพ่อแม่ของตน เวลาร้องจะร้องเต็มที่
o แม้ดื้อบ้าง เกเรบ้าง ไม่เชื่อฟังบ้าง แต่ก็อยู่กับพ่อแม่เสมอ ไม่เคยมีความคิดเป็นอย่างอื่น
o ความสุขของเขาไม่ได้อยู่ที่การสะสมสิ่งของที่พ่อแม่ให้เขา เขาไม่รู้ว่าจะเอาไปทำไมด้วยซ้ำ ไม่เคยคิดสร้างสถานภาพให้กับตัวเอง
o ความสุขของเขาอิงอยู่กับพ่อแม่ อยากอยู่กับพ่อแม่ อยากเล่นกับพ่อแม่ อยากพึ่งพิงพ่อแม่ตลอดไป เดินยังไม่อยากเดิน แม้ว่าเดินได้ ขอให้พ่อแม่อุ้มไป
o ความถ่อมใจของตัวเด็กเล็กๆ ที่เป็นความสุขของเขา คือ การได้พึ่งพาพ่อแม่ของเขา เขาทำด้วยความยินดี รับการช่วยเหลือด้วยความเต็มใจ
o ความถ่อมใจแบบนี้แหละที่พระองค์ต้องการสอนสาวก เพียงแต่เปลี่ยนตัวละครจากตัวเด็กกับพ่อของเขา ไปเป็นตัวท่านกับพระเจ้า
o พระเจ้าเป็นพระบิดา และท่านเป็นบุตรของพระองค์
o ยินดีถ่อมใจ พึ่งพาพระองค์ เกาะติดแน่นอยู่กับพระองค์ด้วยความยินดีและเต็มใจเสมอ
o คือถ่อมใจต่อพระองค์อย่างเด็กน้อยที่มีความสุขอยู่กับบิดามากกว่าสิ่งต่างๆที่บิดาหยิบยื่นให้

ถ่อมใจในแผ่นดินสวรรค์ ไม่สามารถเรียนได้จากโลกนี้

o ความรู้ในโลกไม่เคยทำให้ใครถ่อมใจได้อย่างแท้จริง ไม่ว่าบุคคลหรือ สิ่งใดในโลกก็ตาม
o แต่การเรียนรู้ความถ่อมใจอย่างแท้จริง เรื่องแผ่นดินในสวรรค์ ผู้เชื่อต้องเรียนจากพระเยซู ไม่มีผู้ใดสอนท่านได้นอกจากพระองค์เท่านั้น

การมีความรู้ในพระคัมภีร์ ไม่ได้บอกถึง การเป็นคนที่ถ่อมใจ

o ความรู้เป็นเรื่องหนึ่ง เป็นสิ่งดีถ้ารู้ให้มากที่สุด แต่ที่สำคัญคือการเปลี่ยนไปตามอย่างที่เรียนรู้
o หากมีความรู้พระคัมภีร์ แต่ไม่เปลี่ยนชีวิต แทนที่จะถ่อมใจ กลับกลายเป็นความหยิ่ง ทำร้ายและทำลายผู้คน ทั้งตัวเองและผู้อื่น

o ความถ่อมใจอย่างสวรรค์ จะทำให้ผู้เชื่อสามารถเรียนรู้จากพระเจ้า ให้พระเจ้าเป็นผู้เลี้ยงดูท่าน สร้างชีวิตของท่าน พัฒนาชีวิตของท่าน
o ยิ่งเกาะติดพระเจ้ายาวนานขึ้น ยิ่งเรียนรู้จากพระองค์ เปลี่ยนแปลงชีวิต และให้พระองค์ปั้นแต่งชีวิตของเรา ให้เป็นเหมือนพระองค์มากขึ้น จึงมีคุณสมบัติที่พึงประสงค์ในแผ่นดินของพระองค์มากขึ้นเป็นลำดับนั้นเอง
o สิ่งนี้จะเกิดไม่ได้เลย หากไม่ได้พึ่งพาพระองค์ หรือพึ่งก็เพียงแต่น้อย ไม่ถ่อมใจให้พระองค์เป็นผู้นำชีวิต เลือกดำเนินชีวิตด้วยตัวเองเป็นส่วนใหญ่
o ความถ่อมใจที่สอง คือ ถ่อมใจพึ่งพาพระเจ้า เหมือนอย่างเด็กเล็กๆที่ใช้ชีวิตอยู่ได้โดยการพึ่งพาพ่อแม่ของเขานั่นเอง

สดุดี 89:26 เขาจะร้องต่อเราว่า “พระองค์ทรงเป็นพระบิดาของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ และเป็นพระศิลาแห่งความรอดของข้าพระองค์"

อิสยาห์ 64:8 ข้าแต่พระเจ้า แต่พระองค์ยังทรงเป็นพระบิดาของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ทั้งหลาย เป็นดินเหนียว และพระองค์ทรงเป็นช่างปั้น ข้าพระองค์ทุกคนเป็นผลพระหัตถกิจของพระองค์

คำถาม
1. แบบอย่างความถ่อมใจของเด็กเล็กๆ เป็นแบบอย่างที่สมบูรณ์ครบถ้วนหรือไม่ แตกต่างกับความถ่อมใจของพระเยซูอย่างไร
2. ถ้าเราถ่อมใจอย่างแท้จริง อย่างเด็กเล็กๆ จะเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้บ้าง มากน้อยขนาดไหน
3. คำถามที่สำคัญที่สุดคือ ความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้า ตอนนี้เป็นอย่างไร อนาคตจะดีขึ้น ไม่เปลี่ยนแปลง หรือ แย่ลง

ไม่มีความคิดเห็น:

My Blog

  • วินัยของน้องหมา (ข้างถนน) - วันที่ 18/8/2011 เช้านี้ขณะที่รถติดไฟแดงอยู่บริเวณสี่แยกสามย่าน ซึ่งเบื้องหน้าเป็นจามจุรีสแควร์นั้น พลันก็เหลือบเห็นน้องหมาตัวหนึ่งเดินข้ามทางม้าลายด้วยอ...
    12 ปีที่ผ่านมา
  • บทความคริสเตียน - บทความคริสเตียน http://www.gracezone.org/index.php/christian-articles บทความทางด้านจิตวิญญาณ หลักข้อเชื่อ พระเจ้า พระคัมภีร์ พระเจ้า พระคัมภีร์ แนวทางในการ...
    15 ปีที่ผ่านมา
  • คริสเตียนกับการรับใช้พระเยซู - คริสเตียนกับการรับใช้พระเยซู วัน พุธ 08 ต.ค. 08@ 17:47:37 ICT หัวข้อ: สรุปคำเทศนาประจำอาทิตย์ ดร.ทะนุ วงค์ธนานุกุล วัน อาทิตย์ ที่ 21 กันยายน 2008 พระธร...
    15 ปีที่ผ่านมา
  • - แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้องจะนมัสการพระบิดา ด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้...
    15 ปีที่ผ่านมา

Christian Blog

บล็อกวาไรตี้

เทคโนโลยี

ดาวน์โหลดโปรแกรมมาใหม่ล่าสุด |

วาไรตี้

ข่าวประจำวัน

สารบัญเว็บไทย

กินลม ชมทะเล ที่มาร์คเฮ้าส์บังกะโล เกาะกูด จ.ตราด

Thailand Map