Custom Search By Google

Custom Search

วันจันทร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ชีวิตที่อยู่ในน้ำพระทัยของพระเจ้า


พระพรแห่งการบัพติศมา
วราภรณ์ คงล้วน
23 กค.2006

วันนี้เรามาเรียนเรื่องบัพติศมาในน้ำ ให้เราเปิดไปที่พระธรรมมัทธิว 28:18-20

มัทธิว 28:18-20

“พระเยซูจึงเสด็จเข้ามาใกล้แล้วตรัสกับเขาว่า" ฤทธานุภาพทั้งสิ้นในสวรรค์ก็ดี ในแผ่นดินโลกก็ดีทรงมอบไว้แก่เราแล้ว เหตุฉะนั้นเจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้เป็นสาวกของเรา ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์ สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้ นี่แหละเราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค"


การเป็นสาวกของพระเจ้า คือการมีชีวิตเหมือนพระเยซู ไม่มีผิดเลย

นี่คือคำสั่งสุดท้ายของพระเยซูคริสต์ ก่อนที่พระองค์จะเสด็จขึ้นสวรรค์ ถ้าพี่น้องจำได้ ตอนที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน หลังจากนั้น 3 วันพระองค์ได้เป็นขึ้นจากความตาย อยู่กับสาวก 40 วัน แล้ววันสุดท้าย คือวันที่ 40 ก่อนที่พระองค์จะเสด็จขึ้นสวรรค์ พระองค์ได้ตรัสสั่งสาวกของพระองค์ ให้ออกไปสอนคนทุกชาติให้เป็นสาวกของพระองค์ การเป็นสาวกของพระเจ้า คือการมีชีวิตเหมือนพระเยซู ไม่มีผิดเลย และให้ทำสิ่งเหล่านี้ ให้เขาบัพติศมาในพระนามของพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์ นี่คือคำสั่งของพระเจ้า


มีหลายคนถามว่าเมื่อเรารับเชื่อแล้ว เราเชื่อเฉยๆ เราไม่ต้องบัพติศมาในน้ำได้ไหม

จริงๆ มันก็ได้อยู่ แต่เราก็จะเป็นคริสเตียนที่ทำไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ ความรอดจะมีถึงเราทันทีที่เราเชื่อ เหมือนเด็กคนหนึ่งที่เกิดใหม่ พอท่านคลอดออกมาปุ๊บ ท่านก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง มีชีวิต มีจิตใจ มีเลือด มีเนื้อ มีทุกอย่างครบ 32 ถ้าสมมติว่าพ่อแม่ไม่เอาชื่อเราเข้าทะเบียนบ้าน เรายังเป็นมนุษย์อยู่ไหม เป็น แต่เป็นมนุษย์เถื่อน ไม่มีที่อยู่ ไม่มีบ้านเลขที่ พอโตขึ้นอีกนิดหนึ่งจะไปเรียนหนังสือ โรงเรียนเขาจะขอสำเนาทะเบียนบ้านคุณพ่อคุณแม่ก็หาไม่ได้เลย เพราะไม่ได้ทำให้ถูกต้อง นี่เป็นเพียงนิตินัย ยกตัวอย่างให้ฟังแบบชัดๆ



ทันทีที่เราบอกพระเจ้าว่าเราตัดสินใจ ต้อนรับพระองค์เป็นพระผู้เป็นเจ้า เราก็เป็นคริสเตียนแล้ว

ถ้าวันที่เรารับเชื่อ แล้วพระเจ้าพาเรากลับบ้านเลย จากโลกนี้ไปเลย ยังไม่ได้รับบัพติศมาในน้ำเลย เราก็ยังเป็นลูกของพระเจ้าอยู่ เราได้รับความรอดนะคะ เหมือนโจรที่อยู่บนกางเขน รับเชื่อแล้วก็ถูกตรึงตาย เขาก็ได้ไปอยู่กับพระเจ้าเลย แต่ถ้าพระเจ้ายังไม่ทรงอนุญาตพาเรากลับบ้านวันนั้น ให้เรามีชีวิตอยู่ต่อไป เราก็ควรทำให้ครบถ้วน ตามที่พระเจ้าสั่ง เชื่อว่าเป็นสิ่งที่สำคัญ ไม่อย่างนั้น พระเยซูคงไม่สั่งไว้ว่า ให้ผู้คนเหล่านี้รับบัพติศมาในพระนามของพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์ และคนที่สามารถรับบัพติศมาได้คือผู้เชื่อเท่านั้น ผู้ที่กลับใจใหม่ต้อนรับพระเยซูคริสต์ ผู้ที่เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำเพื่อเรา บนไม้กางเขนเท่านั้นที่จะทำพิธีนี้ได้ เป็นสิทธิพิเศษสำหรับเรา



เรามาดูว่าพิเศษขนาดไหน เปิดที่กิจการ 2:31-41

กิจการ 2:31-41

“กษัตริย์ดาวิดก็ทรงล่วงรู้เหตุการณ์นี้ก่อน จึงทรงกล่าวถึงการคืนพระชนม์ของพระคริสต์ว่า พระเจ้ามิได้ทรงละพระองค์ไว้ในแดนคนตาย ทั้งพระมังสะของพระองค์ก็ไม่เปื่อยเน่าไป พระเยซูนี้พระเจ้าได้ทรงบันดาลให้คืนพระชนม์แล้ว ข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นพยานในข้อนี้ เหตุฉะนั้นเมื่อทรงเชิดชูพระองค์ขึ้นอยู่ที่พระหัตถ์เบื้องขวาของพระเจ้า และครั้นพระองค์ได้ทรงรับพระวิญญาณบริสุทธิ์จากพระบิดาตามพระสัญญา พระองค์ได้ทรงเทฤทธิ์เดชนี้ลงมา ดังที่ท่านทั้งหลายได้ยิน และเห็นแล้ว เหตุว่าท่านดาวิดไม่ได้ขึ้นไปยังสวรรค์แต่ท่านได้กล่าวว่า 'พระเจ้าตรัสกับองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าว่า จงนั่งขวามือของเรา จนกว่าเราจะกระทำให้ศัตรูของเจ้าอยู่ใต้เท้าเจ้า'

เหตุฉะนั้น ให้พงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งปวงทราบแน่นอนว่า พระเจ้าได้ทรงยกพระเยซูนี้ ซึ่งท่านทั้งหลายได้ตรึงไว้ที่กางเขนนั้น ทรงตั้งขึ้นให้เป็นทั้งองค์พระผู้เป็นเจ้าและเป็นพระคริสต์" เมื่อคนทั้งหลายได้ยินแล้วก็รู้สึกแปลบปลาบใจ จึงกล่าวแก่เปโตรและอัครทูตอื่นๆ ว่า "พี่น้องเอ๋ย เราจะทำอย่างไรดี" ฝ่ายเปโตรจึงกล่าวแก่เขาว่า "จงกลับใจใหม่และรับบัพติศมา ในพระนามแห่งพระเยซูคริสต์สิ้นทุกคน เพื่อพระเจ้าจะทรงยกความผิดบาปของท่านเสีย แล้วท่านจะได้รับพระราชทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ ด้วยว่าพระสัญญานั้น ตกแก่ท่านทั้งหลายกับลูกหลานของท่านด้วย และแก่คนทั้งหลายที่อยู่ไกล คือทุกคนที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของเรา ทรงเรียกมาเฝ้าพระองค์" เปโตรจึงกล่าวอีกหลายคำเป็นพยาน และได้เตือนสติเขาว่า "จงเอาตัวรอดจากชาติพันธุ์ที่คดโกงนี้เถิด" คนทั้งหลายที่รับคำของเปโตรก็รับบัพติศมา ในวันนั้นมีคนเข้าเป็นสาวกประมาณสามพันคน”


นี่เป็นเหตุการณ์ช่วงที่เปโตรได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ใหม่ๆ แล้วก็ได้ประกอบด้วยพระวิญญาณสุทธิ์ ลุกขึ้นมาประกาศสั่งสอน พูดถึงสิ่งที่พระเยซูกระทำเพื่อชนชาติอิสราเอล เราจะสังเกตว่ามีบุคคลอยู่ 2 ประเภท



ประเภทหนึ่งอยู่ในข้อพระคัมภีร์นี้ คือได้ยินแล้วกลับใจใหม่

ซาบซึ้งในพระคำของพระเจ้า แล้วถามเปโตรว่า “จะต้องทำอย่างไรดี” เปโตรก็บอกว่า “กลับใจใหม่และรับบัพติศมาเสีย เพื่อประกาศตัวว่าเราจะติดตามพระองค์ตลอดชีวิต”



แต่จะมีบุคคลอีกประเภทหนึ่ง ไม่ได้กลับใจใหม่ แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

ถ้าเราอ่านในหนังสือกิจการนี้ต่อไป คือตอนที่คือสเทเฟนประกาศเรื่องราวของพระเยซูเป็นเรื่องเดียวกันเลย พอประกาศเสร็จปุ๊บ คนที่ได้ยินได้ฟังไม่ได้กลับใจใหม่ แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ถือก้อนหินคนละก้อน แล้วก็ขว้างสเทเฟนจนตายคาที่เลย นี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ถูกประกาศออกไป เราจะเห็น 2 เหตุการณ์นี้ตลอดเวลา ในยุคอดีตปัจจุบันและในอนาคตข้างหน้าด้วย คนที่พระเจ้าเลือกสรรไว้แล้ว เมื่อได้ยินได้ฟังเรื่องของพระเจ้า เขาจะสัมผัสถึงความรักของพระเจ้าและกลับใจใหม่ แต่คนที่ไม่ได้เป็นของพระเจ้า เมื่อฟังแล้วก็เจ็บใจน่าดู มาด่าเอาๆ ก็จัดการเอาหินขว้างเลย



กิจการ 8:9-13

“ยังมีคนหนึ่งชื่อซีโมน เคยทำวิทยาคมในเมืองนั้นมาก่อน และได้ทำให้ชาวสะมาเรียพิศวงหลงใหล เขายกตัวว่าเป็นผู้วิเศษ ฝ่ายคนทั้งปวงทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อยก็สนใจฟังคนนั้น แล้วว่า "คนนี้คงเป็นอานุภาพของพระเจ้า ซึ่งเรียกว่ามหิทธิฤทธิ์" คนทั้งหลายสนใจฟังเขา เพราะเขาได้ทำวิทยาคมให้คนทั้งหลายพิศวงหลงใหลมานานแล้ว แต่เมื่อฟีลิปได้ประกาศข่าวประเสริฐ ว่าด้วยแผ่นดินของพระเจ้า และพระนามแห่งพระเยซูคริสต์แล้ว คนทั้งหลายก็เชื่อ และรับบัพติศมาทั้งชายและหญิง ฝ่ายซีโมนเองก็เชื่อด้วย เมื่อรับบัพติศมาแล้วก็อยู่กับฟีลิปต่อไป และประหลาดใจที่เห็นนิมิตกับการอัศจรรย์ซึ่งฟีลิปได้กระทำ”


ที่เราอ่านไปในกิจการ พูดถึงคนยิว เขารู้เรื่องของพระเจ้ามาก่อนแล้ว และเมื่อเขาได้ยินข่าวประเสริฐของพระเจ้า เขาก็กลับใจใหม่ คนยิวจำเป็นต้องกลับใจ เหมือนกับคนต่างชาติ จากตรงนี้ คนที่ชื่อซีโมน (ไม่ใช่เปโตร) เขาได้ทำวิทยาคม ถ้าพูดถึงในปัจจุบันอาจจะเป็นพ่อมด หมอผีก็ได้ ก็จะทำเรื่องอัศจรรย์ แล้วปกติคนทั่วไปก็จะชอบเรื่องอัศจรรย์ใช่ไหมคะ ถ้าได้ยินว่าใครมาทำเรื่องแปลกประหลาด ทุกคนก็จะแห่กันไป แล้วก็จะเชื่อในสิ่งนั้น แต่เมื่อถึงวาระของผู้คนเหล่านี้ พระเจ้าก็ส่งฟิลิปไป ประกาศเรื่องของพระเยซูคริสต์ ทันทีที่เขาได้ยินเรื่องจริงของพระเจ้า คนเหล่านี้ได้กลับใจใหม่ ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า วิทยาคมไม่เอาแล้ว อัศจรรย์ก็ไม่เอาแล้ว เพราะเรื่องของพระเจ้าอัศจรรย์กว่า แล้วคนเหล่านี้ก็ได้รับบัพติศมาในน้ำ



ฉะนั้น การบัพติศมาในน้ำมีไว้สำหรับผู้ที่เชื่อและกลับใจใหม่เท่านั้น เป็นสิทธิพิเศษ

ไม่ใช่ใครคิดอยากจะบัพติศมาก็เดินมาที่โบสถ์ ขอบัพติศมาหน่อยได้ไหม เพราะเห็นสระสวยดี อยากจะลงไปอาบน้ำ หรือว่าอยากจะลงไปว่ายน้ำ ขอด้วยคนได้ไหม ไม่ได้นะคะ คงจะไม่มีใครทำอย่างนั้น เราขอบคุณพระเจ้า ให้พี่น้องชื่นใจเถิดว่าเราเป็นบุคคลพิเศษที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไว้ เพื่อที่จะเป็นลูกของพระองค์ ฉะนั้นพิธีนี้ จึงสำคัญสำหรับชีวิตของเรา พี่น้องบางท่านอาจจะบัพติศมาไปแล้วหลายสิบปี หรือบางคนอาจจะไม่กี่ปี หรือปีที่แล้ว แต่ให้มั่นใจตลอดเวลา ทุกครั้งที่เรานึกถึงสิ่งที่เราได้ทำ ได้ประกาศไปเมื่อวันที่เราได้บัตติศมาในน้ำ ให้เรารู้ว่าพระเจ้าทรงพอพระทัย เพราะเราได้ทำตามที่พระเจ้าได้ทรงสั่งไว้



พระเจ้าเลือกคนที่พระองค์ทรงเลือกสรรไว้ ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นใคร มาจากไหน

ซีโมนเป็นอีกคนหนึ่ง เขาเคยเป็นนักวิทยาคม ทำอิทธิฤทธิ์ เมื่อเขาได้ยินข่าวประเสริฐของพระเจ้า เขาก็กลับใจใหม่เหมือนกัน ขอบคุณพระเจ้า พระเจ้าเลือกเขา เราดูจากในพระคัมภีร์ พระเจ้าเลือกคนที่พระองค์ทรงเลือกสรรไว้ ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นใคร มาจากไหน มีอาชีพอะไร ไม่ได้ขึ้นอยู่กับมนุษย์ แต่ขึ้นอยู่กับพระเจ้าผู้เดียวเท่านั้น เมื่อถึงเวลาของเขา พระองค์ก็จะส่งคนไปประกาศกับเขา และพระเจ้าเอง พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะทำการงานในหัวใจของคนๆ นั้น



พี่น้องฟังชัดๆ นะคะ พระเจ้าเป็นผู้ทำ เป็นผู้เลือก

ใครก็ได้ นาย ก. นาย ข. นาย ค. ไปประกาศให้ใครก็ได้ แล้วพระเจ้าเป็นผู้เปิดตาใจคนๆ นั้น ให้เขากลับใจใหม่ ฉะนั้นความดีงามทั้งหมดไม่ได้ขึ้นอยู่กับมนุษย์ แต่ขึ้นอยู่กับพระเจ้าผู้เดียว เราต้องย้ำตรงนี้บ่อยๆ เพื่อเราจะได้รู้ว่าพระเจ้าสามารถ เราไม่ได้มีบุญมีคุณกับคนที่เราไปประกาศข่าวประเสริฐให้กับเขา “ถ้าไม่มีเรานะ คนๆ นั้นตกนรกไปแล้ว” ไม่จริงหรอก ต่อให้ไม่มีท่าน ถ้าพระเจ้าเลือก เขาก็จะมาเชื่อพระเจ้า เมื่อถึงเวลา พี่น้องต้องขอบคุณพระเจ้ามากๆ ที่พระเจ้าเมตตา ต้องนึกถึงตรงนี้ ถ่อมใจสุดๆ เลยที่พระเจ้าใช้เรา เป็นภาชนะที่จะนำเอาข่าวประเสริฐของพระองค์ไปถึงใครก็ได้ที่พระเจ้าเลือกสรรไว้แล้ว พอเรามีท่าทีอย่างนี้ปุ๊บ เราก็จะถ่อมใจ เราจะไม่รู้สึกยกตนข่มท่าน เราเป็นผู้ประกาศที่ยิ่งใหญ่ ประกาศใครก็เชื่อ ท่าทีตรงนี้ก็จะหมดไป



เรามาเปิดดูในพระธรรมกิจการ 8:26-39
“แต่ทูตองค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้สั่งฟีลิปว่า "จงลุกขึ้น ไปยังทิศใต้ตามทางที่ลงไปจากกรุงเยรูซาเล็มถึงเมืองกาซา" (ซึ่งเป็นทางเปล่าเปลี่ยว) ฝ่ายฟีลิปก็ลุกขึ้นไป และดูเถิดมีชาวเอธิโอเปียคนหนึ่งเป็นขันที เป็นข้าราชการของพระนางคานดาสีพระราชินีของชาวเอธิโอเปีย และเป็นนายคลังทรัพย์ทั้งหมดของพระราชินีนั้น ได้มานมัสการในกรุงเยรูซาเล็ม ขณะนั่งรถกลับไป ท่านอ่านหนังสืออิสยาห์ผู้เผยพระวจนะอยู่ ฝ่ายพระวิญญาณตรัสสั่งฟีลิปว่า "จงเข้าไปให้ชิดรถนั้นเถิด" ฟีลิปจึงวิ่งเข้าไปใกล้ และได้ยินท่านอ่านหนังสืออิสยาห์ผู้เผยพระวจนะ จึงถามว่า "ซึ่งท่านอ่านนั้นท่านเข้าใจหรือ"
ขันทีจึงตอบว่า "ถ้าไม่มีใครอธิบายให้ ที่ไหนจะเข้าใจได้" ท่านจึงเชิญฟีลิปขึ้นนั่งรถกับท่าน พระคัมภีร์ตอนที่ท่านอ่านอยู่นั้น คือข้อเหล่านี้ เขาได้นำท่านเหมือนอย่างนำแกะไปฆ่า และเหมือนลูกแกะนิ่งอยู่ต่อหน้าผู้ตัดขนของมันฉันใด ท่านไม่ปริปากของท่านเลยฉันนั้น ในคราวที่ท่านถูกเหยียดลงนั้น ท่านไม่ได้รับความยุติธรรมเสียเลย ใครจะเล่าถึงเชื้อสายของท่านได้ เพราะว่าชีวิตของท่านต้องถูกตัดเสียจากแผ่นดินโลกแล้ว ขันทีจึงถามฟีลิปว่า "ผู้เผยพระวจนะได้กล่าวอย่างนั้นเล็งถึงผู้ใด เล็งถึงตัวท่านเอง หรือเล็งถึงผู้อื่น บอกข้าพเจ้าเถิด" ฝ่ายฟีลิปจึงเริ่มเล่าจับต้นกล่าวตามพระคัมภีร์ข้อนั้น ชี้แจงถึงข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซู

ครั้นกำลังเดินทางไปก็มาถึงที่มีน้ำแห่งหนึ่ง ขันทีจึงบอกว่า "นี่แน่ะ มีน้ำ มีอะไรขัดข้องไม่ให้ข้าพเจ้ารับบัพติศมา" และฟีลิปจึงตอบว่า "ถ้าท่านเต็มใจเชื่อท่านก็รับได้" และขันทีจึงตอบว่า "ข้าพเจ้าเชื่อว่า พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า" แล้วท่านจึงสั่งให้หยุดรถ และคนทั้งสองลงไปในน้ำทั้งฟีลิปกับขันที ฟีลิปก็ให้ท่านรับบัพติศมา เมื่อท่านทั้งสองขึ้นจากน้ำแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรับฟีลิปไปเสีย และขันทีนั้นไม่ได้เห็นท่านอีก จึงเดินทางต่อไปด้วยความพอใจ”


นี่อีกคนหนึ่งที่พระคัมภีร์ยกขึ้นมา

เป็นขันที ขันทีจะรับใช้อยู่ในวัง และแถมเป็นชาวเอธิโอเปียด้วย แต่ว่าพระเจ้าได้ทรงเลือกเขาให้รู้จักกับพระนามของพระเจ้า ใจเขาแสวงหาพระเจ้า ในพระคัมภีร์ตรงนี้บอกว่าเขาได้เดินทางไปที่เยรูซาเล็ม เพื่อนมัสการพระเจ้า ในขณะที่เขาเดินทางกลับ เชื่อว่าเขาก็ยังไม่รู้เรื่องของพระเจ้ามากเท่าไร แต่เขาเป็นคนที่รักในการอ่านถ้อยคำของพระเจ้า พระเจ้าเลือกคนนี้ไว้ เพื่อให้เขาได้ถวายเกียรติแด่พระองค์ พระเจ้าก็สั่งฟิลิปว่าให้เข้าไปใกล้ ไปหาคนนี้ ในขณะที่เข้าไป ขันทีก็กำลังอ่านพระคัมภีร์ตอนที่พระเยซูถูกนำไปประหาร ถูกกำหนดให้ตายแทนประชาชาติทั้งหลายบนไม้กางเขน ฟิลิปถามว่า “อ่านแล้วเข้าใจไหม” เขาตอบว่า “ไม่เข้าใจ” ฟิลิปก็เล่าเรื่องของพระเยซูคริสต์ เรื่องความรอดซึ่งมาจากพระเจ้าให้ฟังจนจบ ขันทีคนนี้เชื่อสุดใจเลย พอผ่านไปเห็นน้ำปุ๊บ ขันทีคนนี้ถามว่า “นี่ก็มีน้ำ ทุกอย่างก็มีพร้อมแล้ว มีอะไรไหมที่ขัดข้องใจไม่ให้ข้าพเจ้าลงน้ำ” ฟิลิปบอก “ไม่มีเลย ถ้าท่านเต็มใจ ก็บัพติศมาได้เลย”

ฉะนั้นการบัพติศมาในน้ำ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับระยะเวลา มนุษย์ตั้งเวลาขึ้นมา ว่าเมื่อคนเชื่อพระเจ้าแล้ว จำเป็นจะต้องมีอายุ 1 เดือน 2 เดือน 3 เดือนผ่านไป เพื่อให้มั่นใจว่าเขาเชื่อพระเจ้าจริงๆ หรือเปล่า ค่อยอนุญาตให้ลงน้ำ ซึ่งจริงๆ ถ้าเราอ่านจากถ้อยคำของพระเจ้า ไม่ใช่เลย



ใครก็ตามที่พระเจ้าเลือกเขา แล้วเขาเต็มใจ เขากลับใจใหม่จริงๆ
เขามีสิทธิ์ที่จะบัพติศมาทันที
ถ้าเขาตัดสินใจ แน่ใจเลยว่า “ฉันจะติดตามพระเจ้าตลอดชีวิต”

เพราะพี่น้องต้องรู้อย่างหนึ่งว่าเราเป็นคนบาป เราจะดีเพรียบพร้อมทันทีไม่ได้ หรือบางคนอาจจะดีช้ามากเลย พี่น้องคิดออกไหมคะ ต่อให้เรียนพระคัมภีร์ไป 10 ปีแล้ว พื้นฐานธรรมชาติบาปของเขายังมีอยู่เยอะ ขัดไปนิดหน่อย มองดูแล้วคนนี้ไม่กลับใจแน่ๆ เลย เห็นทำบาปตลอดเวลา 10 ปีผ่านไป ยังทำบาปอยู่ แล้วเราจะกั้นขวางเขา ไม่ให้เขาบัพติศมา ซึ่งไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น (นี่เป็นความคิดส่วนตัว) เพราะว่าการบัพติศมาในน้ำหมายถึงเรากำลังทำตามคำสั่งของพระเจ้า แล้วไม่มีใครหรอกที่ไม่เชื่อพระเยซูคริสต์แล้วอยากจะมาบัพติศมาในน้ำ คนที่ต้องการบัพติศมาในน้ำ คือคนที่รู้ว่าเขาได้กลับใจใหม่ รู้ถึงพระคุณของพระเยซูคริสต์ อ่านพระคำตรงนี้ว่าพระเจ้าสั่งให้ทำ แล้วเขาอยากจะทำอย่างที่พระเจ้าบอกมากกว่า ถึงทำอย่างนั้น ดังนั้นคริสตจักรจึงชื่นชมยินดีเมื่อสมาชิกมาขอบัพติศมาในน้ำ แปลว่าเขามั่นใจจริงๆ ว่าเขาอยากจะติดตามพระเจ้าตลอดชีวิต

ในพระคัมภีร์ตรงนี้บอกว่าเมื่อขันทีได้บัพติศมาในน้ำ ทันทีที่ขึ้นจากน้ำ พระเจ้าก็พาฟิลิปหายแว๊บไปกับตา แล้วขันทีคนนี้ก็กลับไปที่เอธิโอเปียด้วยความพอใจ ทันทีที่เราทำตามถ้อยคำพระเจ้า ทำตามคำสั่งของพระเจ้า เราจะเกิดความอิ่มเอมใจ ความพึงพอใจ

เรามาเปิดดูในพระธรรม 1 เปโตร 3:21 ทำไมเราจึงต้องบัพติศมาในน้ำ สิ่งนี้สำคัญขนาดไหน

1 เปโตร 3:21

“บัดนี้พิธีบัพติศมาก็ช่วยท่านทั้งหลายให้รอดเช่นเดียวกัน มิใช่เป็นการชำระมลทินทางกาย แต่ให้มีจิตสำนึกว่าชอบจำเพาะพระพักตร์พระเจ้า โดยที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย”


พิธีนี้ในพระคัมภีร์บอกว่าไม่ได้เป็นการชำระภายนอก เราอาจจะคิดว่าเราจุ่มน้ำ แล้วข้างนอกเราสะอาดหมดจด ไม่ใช่นะคะ พิธีนี้เมื่อเราทำไป จิตสำนึกข้างในเราถูกชำระ ให้เป็นจิตสำนึกที่ชอบจำเพาะพระพักตร์ของพระเยซูคริสต์ มันจะมีฤทธิ์เดชอำนาจทางฝ่ายวิญญาณที่เรามองไม่เห็น เราไม่สามารถสัมผัสจับต้องได้ แต่ในพระคัมภีร์บอกเราอย่างนั้นว่าทันทีที่เราได้ทำตามคำสั่งของพระเยซูคริสต์ปุ๊บ เกิดมีการชำระล้างในจิตวิญญาณ เราจะเป็นที่ชอบจำเพาะพระพักตร์ของพระเจ้า



เปิดไปที่โรม 6:1-4

“ถ้าเช่นนั้นแล้วเราจะว่าอย่างไร ควรเราจะอยู่ในบาปต่อไป เพื่อให้พระคุณมีมากยิ่งขึ้นหรือ อย่าให้เป็นอย่างนั้นเลย พวกเราที่ตายต่อบาปแล้ว จะมีชีวิตในบาปต่อไปอย่างไรได้ ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งหลายที่ได้รับบัพติศมาเข้าในพระเยซูคริสต์ ก็ได้รับบัพติศมานั้นเข้าในความตายของพระองค์ เหตุฉะนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว โดยการรับบัพติศมาเข้าส่วนในการตายนั้น เพื่อว่าเมื่อพระคริสต์ได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตายโดยเดชพระสิริของพระบิดาแล้ว เราก็จะได้ดำเนินตามชีวิตใหม่ด้วยเหมือนกัน”


ดังนั้นพิธีบัพติศมาในน้ำเป็นลักษณะเหมือนเราฝังตัวเก่าของเรา ฝังความบาปเก่าๆ ของเราไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์

ตอนที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน แล้วก็ถูกนำไปฝังในอุโมงค์ ตัวเก่าของเรา ธรรมชาติบาปของเราทั้งหมดก็ถูกฝังไปพร้อมกัน แต่พิธีนี้เราจะใช้น้ำเป็นตัวยืน พี่น้องนึกภาพออกไหม ถ้าสมมติว่าวันนี้พระเจ้าพาดิฉันกลับบ้าน (ตาย) ยืนเทศน์อยู่ แล้วก็ตายอยู่ตรงนี้ แล้วศิษยาภิบาลที่นี่ก็จะไปสั่งโลงมา ให้ดิฉันนอนในโลง แล้วก็ปิดฝา นำมาตั้งไว้ที่หน้าเวทีนี้ ทำพิธีไว้อาลัย พิธีบัพติศมาจะเป็นภาพฝ่ายวิญญาณเหมือนกับเราเอาตัวบาปของเรา จุ่ม ฝังลงไปในน้ำ เป็นเหมือนสุสานฝ่ายวิญญาณ ทันทีที่เราจุ่มลงไป พี่น้องนึกถึงอดีต ไม่ว่าเราจะทำอะไรไว้ ความบาป ความผิดทั้งหมด พระเยซูสัญญาว่าได้ถูกฝังไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว ทันทีที่เรากลั้นหายใจ ลงน้ำ คือเราฝังตัวเก่าของเรา แล้วเมื่อเราโผล่ขึ้นจากน้ำปุ๊บ เป็นพิธีที่เล็งให้เห็นว่าเราเป็นขึ้นมาจากความตาย พร้อมกับพระเยซูคริสต์ หลังจากนั้น 3 วัน พระเยซูคริสต์ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย เป็นชีวิตที่มีชัยชนะ เราจะมีเหมือนกับพระองค์ในลักษณะฝ่ายวิญญาณ คือตัวเก่าเราถูกฝัง แล้วเมื่อเราขึ้นมาใหม่ เราได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณจากพระเจ้า แล้วเราก็จะดำเนินชีวิตใหม่ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา


ดังนั้นการทำพิธีนี้ คือเราประกาศให้ทุกคนมาเป็นสักขีพยานว่า “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฉันฝังตัวเก่าแล้ว แล้วฉันจะมีชีวิตใหม่ร่วมกับพระเยซูคริสต์

ให้ทุกคนมาเป็นพยาน ช่วยดูหน่อยว่าตั้งแต่นี้ไป เราจะดำเนินชีวิตอย่างดีงามตามน้ำพระทัยของพระเจ้า” แล้วก็ช่วยกันประคับประคองกัน ถูลู่ถูกังกันไป เชื่อว่าทันทีที่ท่านขึ้นมาจากน้ำ ไม่ใช่โดยปริยายนะว่าจากนี้ต่อไปท่านไม่ทำบาป ยังทำอยู่นั่นแหละ ทำอยู่เหมือนเดิม อาจจะน้อยลงบ้าง บางวันอาจจะเยอะกว่าเดิม แต่ว่าในภาพของฝ่ายวิญญาณก็คือ พระเยซูประทานชัยชนะให้กับเราแล้ว แต่ทางฝ่ายเนื้อหนัง เราต้องทำการบ้านของเรา อธิษฐานขอกำลังจากพระเจ้า สู้กับเนื้อหนังบาป สู้กับมันทุกวัน นี่คือสิ่งที่เราต้องทำ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวพี่น้องตกใจ เราบัพติศมาเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ตอนนี้เรายังทำบาปอยู่ เลยทำอะไรไม่ถูก



ฉะนั้นในพระคัมภีร์บอกเราให้เห็นภาพชัดเจนว่า เรามีทางที่จะต่อสู้กับความบาปได้ พระเจ้าจะประทานกำลังให้กับเรา

ในพระธรรมโรม บทที่ 6 บอกไว้อย่างนี้ว่า “ถ้าเราได้รับพระพร รับพระคุณจากพระเจ้า ได้ทรงชำระเราให้พ้นจากความบาป ควรหรือที่เราจะจมปลักอยู่ในบาปต่อไป อย่ากระนั้นเลย ช่วยกันนิดหนึ่ง ขอกำลังจากพระเจ้า ให้เราทำบาปน้อยลงๆ” นั่นคือการตัดสินใจ ตัดสินใจไม่ทำบาปกับการที่เราทำบาป ต้องแยกกันคนละเรื่อง เมื่อเราตัดสินใจไม่ทำ กว่าเราจะทำบาปลงไป ยากมากเลย พี่น้องว่าไหม ถ้าเราไม่ตัดสินใจอะไรเลย ปล่อยชีวิตตามยถากรรม จะเป็นอะไรก็เป็นไป ถ้าอย่างนั้นรับรอง พี่น้องทำบาปทุกวัน วันละหลายรอบด้วย ตรงนี้เราต้องเข้าใจจริงๆ ขอพระคุณจากพระเจ้า เพื่อว่าพิธีบัพติศมาจะได้เป็นพร สำหรับชีวิตของพวกเรา



เปิดดูในโรม 6:5-11

“เพราะว่าถ้าเราเข้าสนิทกับพระองค์แล้ว ในการตายอย่างพระองค์ เราก็จะเข้าสนิทกับพระองค์ในการเป็นขึ้นมาอย่างพระองค์ ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายด้วย เราทั้งหลายรู้แล้วว่า ตัวเก่าของเรานั้นได้ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อตัวที่บาปนั้นจะถูกทำลายให้สิ้นไป และเราจะไม่เป็นทาสของบาปอีกต่อไป เพราะว่าผู้ที่ตายแล้วก็พ้นจากบาป แต่ถ้าเราตายแล้วกับพระคริสต์ เราเชื่อว่าเราจะมีชีวิตอยู่กับพระองค์ด้วย เราทั้งหลายรู้อยู่ว่าพระคริสต์ที่ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากตายนั้นแล้วจะหาตายอีกไม่ ความตายหาครอบงำพระองค์ต่อไปไม่ ด้วยว่าซึ่งพระองค์ได้ทรงตายนั้นพระองค์ได้ทรงตายต่อบาปหนเดียวเป็นพอ แต่ซึ่งพระองค์ทรงชีวิตอยู่นั้น พระองค์ทรงชีวิตสนิทกับพระเจ้า เหมือนกันเช่นนั้นแหละ ท่านทั้งหลายจงถือว่าท่านได้ตายต่อบาป และมีชีวิตสนิทกับพระเจ้าในพระเยซูคริสต์”



เมื่อเราทำพิธีนี้ ต้องให้ตามข้อพระคัมภีร์นี้ คือความบาปของเราได้ตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว และเราพร้อมจะมีชีวิตใหม่ ร่วมกับพระองค์ เราเปิดไปที่โคโลสี 2:8-15



โคโลสี 2:8-15

“จงระวังให้ดี อย่าให้ผู้ใดทำให้ท่านตกเป็นเหยื่อด้วยหลักปรัชญา และด้วยคำล่อลวงอันเหลวไหลตามตำนานของมนุษย์ ตามวิญญาณต่างๆแห่งสากลจักรวาล ไม่ใช่ตามพระคริสต์ เพราะว่าในพระองค์นั้น สภาพของพระเจ้าดำรงอยู่อย่างบริบูรณ์ และท่านได้บรรลุถึงความครบบริบูรณ์ในพระองค์ ผู้เป็นศีรษะแห่งปวงเทพผู้ครองและศักดิเทพ ในพระองค์นั้น ท่านได้รับพิธีเข้าสุหนัตที่มือมนุษย์มิได้กระทำ โดยที่ท่านได้สละกายเนื้อหนังเสียในการเข้าสุหนัตแห่งพระคริสต์ และได้ถูกฝังไว้กับพระองค์ในพิธีบัพติศมาแล้ว และในพิธีนั้นท่านได้ฟื้นขึ้นมาจากตายกับพระองค์ด้วย โดยเชื่อในการกระทำของพระเจ้า ผู้ได้ทรงชุบพระองค์ให้เป็นขึ้นมา และท่านที่ตายแล้วด้วยการละเมิดทั้งหลายของท่าน และด้วยเหตุที่เนื้อหนังของท่านมิได้เข้าสุหนัต พระองค์ได้ทรงให้ท่านมีชีวิตร่วมกับพระองค์ และทรงโปรดยกโทษการละเมิดทั้งหลายของท่าน พระองค์ทรงฉีกกรมธรรม์ซึ่งได้ผูกมัดเราด้วยบัญญัติต่างๆ ซึ่งขัดขวางเรา และได้ทรงหยิบเอาไปเสียให้พ้นโดยทรงตรึงไว้ที่กางเขน พระองค์ทรงปลดเทพผู้ครองและศักดิเทพเสีย พระองค์ได้ทรงประจานเขา และชนะเขาโดยกางเขนนั้น”


เป็นพันธสัญญาระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ตลอดไป

จากถ้อยคำตรงนี้ สมัยที่อับราฮัมยังมีชีวิตอยู่ พระเจ้ามาหาอับราฮัม บอกว่าจะทำพันธสัญญากับอับราฮัม ให้อับราฮัมเข้าสุหนัต ตอนนั้นอับราฮัมน่าจะอายุ 100 ปี ถ้าจำไม่ผิดนะ พี่น้องนึกภาพออกไหม อายุ 100 ปีให้ทำพิธีเข้าสุหนัต เป็นพันธสัญญาระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ตลอดไป การทำพิธีเข้าสุหนัต คือการตัดหนังปลายองคชาตของผู้ชาย คนอิสราเอลที่เชื่อวางใจในพระเจ้า ที่เกิดมาอายุ 8 วัน เขาก็จะพาไปที่พระวิหารของพระเจ้า ทำพิธีเข้าสุหนัต เพื่อแสดงว่าได้ทำพันธสัญญากับพระองค์ จนกระทั่งพระเยซูเสด็จมาเกิดในโลกใบนี้ และทำสิ่งนี้ให้กับพวกเรา คือยอมตายแทนเราบนไม้กางเขน อันนี้พระเยซูได้ทำพิธีเข้าสุหนัตฝ่ายวิญญาณ ให้กับพวกเราทั้งหลาย จากนี้ไป คนยิวก็ไม่จำเป็นจะต้องเข้าสุหนัตทางเนื้อหนังอีกต่อไป เมื่อเขาเชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำ เขาก็ได้รับตามพระสัญญาแล้ว



เป็นกฎหมายใหม่ของพระเจ้า

เราจะอ่านจากพระคัมภีร์ใหม่ในจดหมายฝาก บางคนก็จะบอกกับคนยิวว่า “ถ้าเธอไม่เข้าสุหนัต เธอก็ไม่ได้รับความรอด” ซึ่งจริงๆ แล้วมันไม่ใช่ เป็นการโกหก พระเยซูทำเพื่อเขาเรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้นพิธีเข้าสุหนัตฝ่ายวิญญาณคือใช้เลือดของพระเยซูคริสต์เอง มาถวายเป็นเครื่องบูชา เป็นการทำพันธสัญญาที่ยิ่งใหญ่ และในพระคัมภีร์บอกว่าทำแค่ครั้งเดียวเป็นพอ พระเยซูไม่ต้องเสด็จมาเกิดทุกเวลา ตายจากไป แล้วพออีก 5 ปี 10 ปี พระเยซูมาเกิดอีก มาตายที่ไม้กางเขนอีก ไม่ต้อง พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า มาทำเที่ยวเดียว

เป็นกฎหมายใหม่ของพระเจ้าที่ได้ประทับตราลงไปว่า สิ่งที่พระเยซูได้กระทำลงไปแล้วเมื่อ 2,000 กว่าปีที่ผ่านมา มีผลตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคตข้างหน้า ใครก็ตามที่เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เขาได้กระทำพันธสัญญากับพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว


เมื่อพระเยซูถูกตรึงบนไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาจากความตาย ในพระธรรมโคโลสีบอกว่าพระเยซูได้ปลดเทพผู้ครอง ศักดิเทพ อิทธิเทพ เทพอาณาจักร เทพอะไรก็ตามที่มนุษย์ได้กล่าวอ้างขึ้นมา ที่มนุษย์ตั้งขึ้นมา อยากตั้งก็ตั้งไป แต่ทุกเทพถูกปลดหมดแล้ว ไม่มีอำนาจใดๆ เหนือมนุษย์หรือเหนือคนที่พระเจ้าได้ไถ่ไว้แล้ว หรือเหนือคนที่ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว ในพระคัมภีร์บอกว่าผู้ที่อยู่ในเรา คือพระเจ้า พระเยซูคริสต์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ อยู่ในวิญญาณของเรา เป็นใหญ่กว่าผู้นั้นที่อยู่ในโลก ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นใครก็ตาม ในนามของมนุษย์ที่กล่าวอ้างถึง เทพอะไรก็ตาม พระเยซูที่อยู่ในเรา เป็นใหญ่กว่า ฉะนั้นเราจึงไม่จำเป็นต้องกลัวเทพอะไรทั้งหมด



ถ้าคริสเตียนยังตกอยู่ในความกลัวตรงนี้อยู่ วันนี้ให้ถ้อยคำนี้ปลดปล่อยพี่น้องให้เป็นไท

เป็นอิสระ เพราะถ้อยคำนี้ พระเยซูบอกว่าพระองค์ได้ทรงฉีกกรมธรรม์ที่ผูกมัดเรา ด้วยกฎต่างๆ พระเยซูได้ปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระจากกฎต่างๆ เหล่านี้ โดยการตายของพระองค์บนไม้กางเขน ใครก็ตามที่พระเจ้าเลือกสรรไว้แล้ว มีชื่อจดไว้ในสมุดแห่งชีวิตแล้ว เราไม่ได้เป็นทาสของผีมารซาตาน หรือเป็นทาสบาปอีกแล้ว หนี้ทั้งหมดของเรา พระเยซูได้จ่ายให้แล้ว ชดใช้ให้แล้ว เอาชีวิตของพระองค์ไปแลกกับชีวิตของพวกเราทุกๆ คนกลับมาเรียบร้อยแล้ว

นี่คือความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า พี่น้องจำเป็นจะต้องรู้ความจริงตรงนี้ เพื่อชีวิตของเราที่มีอยู่ต่อไป ไม่ว่าจะเหลือมากหรือน้อยแค่ไหน เราจะได้อยู่อย่างผู้มีชัยชนะ



เราเปิดไปที่มัทธิว 10:32-33

"เหตุดังนั้นทุกคนที่จะรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราจะรับผู้นั้นต่อพระพักตร์พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ แต่ผู้ใดจะไม่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราจะไม่ยอมรับผู้นั้นต่อพระพักตร์พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ด้วย”


พิธีนี้เป็นการยอมรับพระองค์ต่อหน้ามนุษย์

ต่อให้ไม่มีใครอยู่ฉลองความยินดีกับเรา ก็จะมีผู้ให้บัพติศมาเรา ท่านผู้นั้นแหละเป็นพยานให้กับเรา ว่าเรายอมรับพระเยซูต่อหน้ามนุษย์ และในนี้พระเยซูบอกว่า ใครก็ตามที่ยอมรับพระเยซูคริสต์ต่อหน้ามนุษย์ทั้งหลาย พระองค์จะยอมรับเราต่อหน้าพระเจ้าพระบิดาบนสวรรค์ แต่ใครก็ตามเป็นคริสเตียนไม่กล้าบอกใครเลย ไม่กล้าประกาศตัวเลยว่าเราเป็นคริสเตียน อายมนุษย์ พระเยซูคริสต์ก็บอกว่าพระองค์ก็อายเราเหมือนกัน ต่อหน้าพระบิดา ไม่รู้จักเหมือนกัน คนนี้ เป็นใครก็ไม่รู้

ฉะนั้นเป็นพิธีหนึ่งที่จะสำแดงออกถึงการประกาศ ให้ทุกคนจ้องเราไว้ มองเราไว้ เราชื่อ นาย ก. นาย ข. นาย ค. ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป เราจะเดินติดตามพระเจ้าตลอดชีวิต


ดิฉันก็บอกเขาว่าไม่มีใครดีพอ โดยกำลังของเราเอง แต่เราสามารถดีพอในสายพระเนตรของพระเจ้า

เล่าเรื่องหนึ่งให้ฟัง เมื่อหลายปีก่อน ตอนที่รับใช้พระเจ้าใหม่ๆ ที่โบสถ์ใจสมาน เขาก็จะมีพิธีบัพติศมาในน้ำ ก่อนรับก็ให้มีการเรียนพระคัมภีร์อย่างต่อเนื่องทุกอาทิตย์ 6 เดือน จึงจะรับบัพติศมาได้ แล้วก็มีสมาชิกคนหนึ่งเป็นผู้ชาย เขาเรียนต่อเนื่องแล้วล่ะ 6 เดือน ใกล้ถึงเวลาบัพติศมาแล้ว เขาก็เดินมาบอกว่า “ขอโทษนะครับ ผมคงบัพติศมาไม่ได้” ดิฉันก็ถาม “ทำไมล่ะ” อุตสาห์เรียนมาแล้วนะตั้ง 6 เดือน “ผมรู้สึก ผมไม่ดีพอ 6 เดือนผ่านมาแล้ว ผมยังทำบาปอยู่เลย ผมยังไม่ดีพอแน่ๆ เลย ผมคงบัพติศมาไม่ได้ พระเจ้าคงไม่รับผม” มีอย่างนี้ด้วยหรือ ดิฉันก็บอกเขาว่าไม่มีใครดีพอ โดยกำลังของเราเอง แต่เราสามารถดีพอในสายพระเนตรของพระเจ้า ต่อให้วันนี้เขาไม่รับบัพติศมา อีก 10 ปีข้างหน้า เขาก็รู้สึกไม่ดีพออยู่นั่นแหละ เพราะว่ามนุษย์ยังเป็นคนบาปอยู่ แต่ขึ้นอยู่ที่ว่าเขาตั้งใจที่จะตามพระเจ้าหรือเปล่า ตรงนั้นต่างหาก คือสิ่งสำคัญ เป็นประเด็นหลักว่า เขาตัดสินใจที่จะมีชีวิตที่อยู่ในน้ำพระทัยพระเจ้าหรือเปล่า มีชีวิตที่เชื่อฟังหรือเปล่า ถ้าเขาตัดสินใจอย่างนี้ เขาเป็นคนดีพอในสายพระเนตรของพระเจ้าแล้ว อาจจะไม่ดีพอในสายตาของตัวเอง หรือสำหรับมนุษย์รอบข้าง แล้วดิฉันก็บอกเขาว่าเอาอย่างนี้แล้วกัน ดิฉันก็ฝากข้อคิดไว้อย่างนี้นะ กลับไปอธิษฐานดู แล้วถ้าคุณตัดสินใจอย่างไร ไม่เป็นไร อาจจะไม่ลงวันนี้ เป็นวันหลังก็ได้ อาจจะไม่อยากลงตลอดชีวิตก็เรื่องของคุณ การตัดสินใจก็อยู่ที่คุณกับพระเจ้า ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

My Blog

  • วินัยของน้องหมา (ข้างถนน) - วันที่ 18/8/2011 เช้านี้ขณะที่รถติดไฟแดงอยู่บริเวณสี่แยกสามย่าน ซึ่งเบื้องหน้าเป็นจามจุรีสแควร์นั้น พลันก็เหลือบเห็นน้องหมาตัวหนึ่งเดินข้ามทางม้าลายด้วยอ...
    12 ปีที่ผ่านมา
  • บทความคริสเตียน - บทความคริสเตียน http://www.gracezone.org/index.php/christian-articles บทความทางด้านจิตวิญญาณ หลักข้อเชื่อ พระเจ้า พระคัมภีร์ พระเจ้า พระคัมภีร์ แนวทางในการ...
    15 ปีที่ผ่านมา
  • คริสเตียนกับการรับใช้พระเยซู - คริสเตียนกับการรับใช้พระเยซู วัน พุธ 08 ต.ค. 08@ 17:47:37 ICT หัวข้อ: สรุปคำเทศนาประจำอาทิตย์ ดร.ทะนุ วงค์ธนานุกุล วัน อาทิตย์ ที่ 21 กันยายน 2008 พระธร...
    15 ปีที่ผ่านมา
  • - แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้องจะนมัสการพระบิดา ด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้...
    15 ปีที่ผ่านมา

Christian Blog

บล็อกวาไรตี้

เทคโนโลยี

ดาวน์โหลดโปรแกรมมาใหม่ล่าสุด |

วาไรตี้

ข่าวประจำวัน

สารบัญเว็บไทย

กินลม ชมทะเล ที่มาร์คเฮ้าส์บังกะโล เกาะกูด จ.ตราด

Thailand Map