Custom Search By Google

Custom Search

วันจันทร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ของประทานที่ยิ่งใหญ่ (ความรัก)


วราพร คงล้วน

สวัสดีค่ะพี่น้องทุกท่าน วันนี้เราจะมาศึกษาถ้อยคำของพระองค์ด้วยกัน มาดูการทำงานของพระเจ้าผ่านทางคริสตจักร เพื่อเป็นบรรทัดฐาน ในการดำเนินชีวิตร่วมกัน ในคริสตจักรของพระเจ้าอย่างมีความสุข

เราจะเปิดไปที่พระธรรม 1 โครินธ์ 12:4-11

“ของประทานนั้นมีต่างๆ กัน แต่มีพระวิญญาณองค์เดียวกัน งานรับใช้มีต่างๆ กัน แต่มีองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวกัน กิจกรรมมีต่างๆ กัน แต่มีพระเจ้าองค์เดียวกันเป็นต้นเหตุแห่งกิจกรรมนั้นๆ ในทุกคน การสำแดงของพระวิญญาณนั้นมีแก่ทุกคนเพื่อประโยชน์ร่วมกัน พระเจ้าทรงโปรดประทานโดยทางพระวิญญาณ ให้คนหนึ่งมีถ้อยคำประกอบด้วยสติปัญญา และให้อีกคนหนึ่งมีถ้อยคำอันประกอบด้วยความรู้ แต่เป็นพระวิญญาณองค์เดียวกัน และให้อีกคนหนึ่งมีความเชื่อ แต่เป็นพระวิญญาณองค์เดียวกัน และให้อีกคนหนึ่งมีความสามารถรักษาคนป่วยได้ แต่เป็นพระวิญญาณองค์เดียวกัน และให้อีกคนหนึ่งทำการอิทธิฤทธิ์ต่างๆ และให้อีกคนหนึ่งเผยพระวจนะได้ และให้อีกคนหนึ่งรู้จักสังเกตวิญญาณต่างๆ และให้อีกคนหนึ่งพูดภาษาแปลกๆ และให้อีกคนหนึ่งแปลภาษานั้นๆ ได้ สิ่งสารพัดเหล่านี้ พระวิญญาณองค์เดียวกันทรงบันดาลและประทานแก่แต่ละคนตามชอบพระทัยพระองค์”




ในพระธรรม 1 โครินธ์ บทที่ 12 จะพูดถึงของประทานต่างๆ ที่พระเจ้าได้ประทานให้คริสตจักร คือผู้เชื่อทุกคน แล้วสิ่งหนึ่งที่เราต้องยอมรับก็คือ พระเจ้าจะประทานตามชอบพระทัยของพระองค์ ไม่ใช่ตามชอบใจเรา

โดยทั่วไปแล้วคนที่เชื่อพระเจ้า ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน และอนาคตข้างหน้าจะเหมือนกัน ทุกคนอยากได้ของประทานแบบเด่นๆ ให้คนได้สามารถสัมผัสจับต้องได้ และมองเห็นว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ มันเท่ห์ดี ไม่อย่างนั้นเราทำอะไร แล้วคนไม่รู้ ไม่เห็น มันไม่เท่ห์ แต่อยากจะหนุนใจพี่น้องทุกคนว่า ของประทานทุกอย่างที่พระเจ้าประทานให้กับพวกเรา พระเจ้าเห็นว่าเหมาะสมสำหรับเรา แล้วคนที่เห็นเราทำคือพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด พระองค์เองจะเป็นผู้ปูนบำเหน็จรางวัลให้กับเรา ฉะนั้นถ้าพระเจ้าประทานของประทานให้กับพวกเรา เป็นอะไรก็ตาม ให้เราทำเต็มที่ ถึงแม้ของประทานนั้นอาจจะไม่ค่อยสะใจเราเท่าไหร่ อยู่เบื้องหลังรายการตลอด คนไม่ค่อยรู้จักด้วยซ้ำไปว่าเราชื่ออะไร ทำอะไร เดินอยู่ในโบสถ์ เฉียดไปเฉียดมา 10 กว่าปี ไม่มีใครรู้จักเราเลย แต่เราทำอะไรเยอะมาก ในคริสตจักรแห่งนี้ เราก็เริ่มรู้สึกไม่สะใจ เราอยากให้คนรู้จักเรามากขึ้น เราอยากจะทำอะไรที่ดูดี ดูดัง แต่ว่าถ้าไม่ใช่เป็นของประทานที่พระเจ้าให้เราทำ แล้วเราดันทุรังไปทำ มันก็เจ็บ สุดท้ายเราก็จะมาถามพระเจ้าว่า “ทำไม”



บทเรียนอย่างนี้จะเกิดขึ้นในคริสตจักรบ่อยๆ วันนี้เรามาย้ำอีกครั้งหนึ่ง ในพระคัมภีร์ตรงนี้บอกว่าพระเจ้าให้บางคนเป็น แต่ละคนจะมีของประทานไม่เหมือนกัน แต่ว่าของประทานต่างๆ เหล่านี้พระเจ้าประทานให้ เพื่อเราจะได้เสริมสร้างซึ่งกันและกัน



ใน 1 โครินธ์ บทที่ 13 จะพูดถึงของประทานแห่งความรัก เป็นของประทานชนิดเดียวที่พระเจ้าให้กับพวกเราทุกคน ไม่ต้องแย่งกัน



แต่ของประทานอันนี้เราต้องออกแรง สำแดงความรักของพระเจ้าให้กับผู้คนรอบข้าง เราเลยไม่ค่อยอยากได้เท่าไหร่ เราอยากให้คนอื่นรักเรามากกว่าที่เราอยากไปรักคนอื่น

แต่ของประทานในการสำแดงอิทธิฤทธิ์ ทุกคนอยากได้ใช่ไหม มีฤทธิ์อำนาจที่จะอธิษฐานชุบคนตายให้เป็นขึ้นมาใหม่ แล้วชื่อเสียงของเราก็จะโด่งดัง ทุกคนก็จะวิ่งเข้ามาหา เป็นของประทานที่เราชอบมาก แต่ว่าพระเจ้าก็ไม่ได้ให้กับทุกคน ฉะนั้นอย่าพยายามที่จะเป็นในสิ่งที่พระเจ้าไม่ต้องการให้เราเป็น แต่ขอพระคุณพระเจ้าช่วยเหลือเรา ที่จะสามารถยอมจำนนต่อพระองค์ในของประทานนั้นๆ ที่พระเจ้าให้กับเรา เพื่อว่าเราจะได้มีสันติสุขและสงบสุข



พี่น้องรู้ไหมว่าถ้าใครได้ของประทานที่ใหญ่โต เขาก็ต้องทำงานเหน็ดเหนื่อย

แล้วคนยิ่งทำเยอะ ยิ่งผิดเยอะ แล้วเมื่อพระเจ้าให้เกียรติเยอะ พระเจ้าก็จะเรียกคืนจากคนนั้นเยอะเช่นเดียวกัน ถ้ามาเปรียบเทียบแล้วทุกคนจะได้เท่ากัน ถ้าใครได้ของประทานน้อย ก็เอเมน เหนื่อยน้อยหน่อย พระเจ้าก็เรียกจากเขาน้อยด้วย



แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น ในพระคัมภีร์บอกเราในข้อที่ 11 ว่าสิ่งสารพัดเหล่านี้ พระวิญญาณองค์เดียวกันทรงบันดาลและประทานแก่แต่ละคนตามชอบพระทัยของพระเจ้า ก็คือในมุมกลับ บางคนพระเจ้าจะให้ไปทำการอิทธิฤทธิ์ ขี้เกียจ ไม่อยากทำ ไม่ชอบอยู่ต่อหน้าคนเยอะๆ ชอบหลบหน้ามากกว่า แต่ถ้าพระเจ้าใช้เราก็หลบไม่ได้ พระเจ้าก็มีวิธีที่จะจัดการกับเรา


ลักษณะเหมือนกับโยนาห์ในพระคัมภีร์

พระเจ้าใช้ให้ไปประกาศที่เมืองนีนะเวห์ เพื่อให้คนกลับใจใหม่ โยนาห์ไม่ชอบ หนีดีกว่า แต่หนีพระเจ้าไม่พ้น ก็ต้องไป ถ้าเรารู้ว่าพระเจ้าให้ของประทานอะไรกับเรา อธิษฐานขอพระคุณให้เรามีสันติสุข มีกำลังที่จะทำได้ แล้วเราก็ทำไป ไม่ต้องใหญ่โตอะไรมากมาย อาจจะของประทานหนุนจิตชูใจคนอื่น แต่ถ้าไม่มีอย่าพยายามไปทำ



เราจะดูว่าเรามีของประทานนี้หรือเปล่า

ก็ดูจากคนรอบข้างที่เราไปหนุนใจ ถ้าพระเจ้าประทาน พอเราไปคุย ไม่ต้องคุยเยอะ แค่ 2 คำ ได้กำลังใจ ขอบคุณพระเจ้า รู้สึกเขารักพระเจ้ามากขึ้น อย่างนี้โอเค ยังสามารถที่จะทำต่อไปได้ แต่ถ้าเราไปหนุนใจคนรอบข้าง แล้วล้มหายตายจากไปเลย รีบหยุดเลย พระเจ้าก็จะบอกเราเองว่าเราควรจะทำอะไร ได้แค่ไหน อย่างไร



เรามาดูลักษณะพระกายของพระเยซูคริสต์ว่าเป็นอย่างไร ตั้งแต่ข้อที่ 12

1 โครินธ์ 12:12-13

“ถึงกายนั้นเป็นกายเดียว ก็ยังมีอวัยวะหลายส่วน และอวัยวะเหล่านั้นแม้จะมีหลายส่วน ก็ยังเป็นกายเดียวกันฉันใด พระคริสต์ก็ทรงเป็นฉันนั้น เพราะว่าถึงเราจะเป็นพวกยิว หรือพวกกรีก เป็นทาสหรือมิใช่ทาสก็ตาม เราทั้งหลายได้รับบัพติศมาโดยพระวิญญาณองค์เดียว เข้าเป็นกายเดียวกัน และพระวิญญาณองค์เดียวนั้นซาบซ่านอยู่”


พระเจ้าเปรียบคริสตจักรเหมือนพระกายของพระเยซูคริสต์ โดยมีพระเยซูเป็นศีรษะของเรา ฉะนั้นร่างกายต้องมีอวัยวะทุกส่วนครบถ้วน จริงไหมคะ สมมติว่าเด็กคนไหนเกิดมาแขนหายไปข้างหนึ่ง ปากแหว่ง จมูกวิ่น หูขาด หรือมีตาเต็มหน้าไปหมดอย่างนี้ เขาเรียกว่าพิการ


พระเจ้าทรงสร้างอวัยวะทุกอย่างเหมาะสมพอดีๆ อวัยวะต่างๆ เหล่านั้นพระเจ้าทรงให้ทำการงาน ที่แตกต่างกัน ตามีไว้ให้มองสิ่งของ อย่าเอาตาไปกินข้าว ปากมีไว้พูดกับทานข้าว จมูกมีไว้หายใจ มือมีไว้หยิบของ ขามีไว้เดิน ถ้าใครมีขาแล้วไม่อยากเดิน อยากนั่งเฉยๆ ไปไหนก็ให้คนเข็นเราไป นานๆ เข้าก็จะเดินไม่ได้ ขาลีบ กลายเป็นพิการ


ดังนั้นอวัยวะแต่ละอย่างที่พระเจ้าให้ไว้ในร่างกายของมนุษย์ ก็เพื่อให้ทำงานตามความเหมาะสม คือแต่ละอย่างจะมีชิ้นงานของตนเอง ที่จะต้องรับผิดชอบ ที่จะต้องทำ แต่ถ้าอวัยวะส่วนไหนอยากจะไปแย่งคนอื่นทำ หรืออวัยวะส่วนไหนวันดีคืนดี โตผิดปกติ หรือไม่ยอมทำงาน ฝ่อลงๆ ร่างกายนั้นก็พิการ

เหมือนกัน ในคริสตจักรของพระเจ้า เราแต่ละคนถูกเรียกมาให้มีงานเฉพาะกิจ คือของประทานที่พระเจ้าประทานให้กับพวกเรา เมื่อเราทุกคนทำหน้าที่ส่วนของเรา โดยไม่ต้องไปมองของคนอื่น ตรงนี้น่าทำ ตรงโน้นก็น่าทำ ขอทำหมดเลยคนเดียว ก็ทำให้ร่างกายเราเสียขบวน


เนื้อที่อยู่ในร่างกายที่โตผิดปกติ เขาเรียกว่าเนื้องอกใช่ไหม

พอมันโตผิดปกติก็ไปเบียดอวัยวะส่วนอื่นของร่างกาย คนอื่นก็ทำงานไม่ได้เบียดๆ เสร็จ ก็ต้องตัดมันทิ้งไป ถ้าในคริสตจักรเราทำงานแก่งแย่งกัน ก็ทำให้งานของพระเจ้าเสียขบวนไป เราต้องรู้ให้ได้ อธิษฐานกับพระเจ้าว่า “พระเจ้า พระองค์ประทานของประทานอะไรให้กับเรา” หรือพระเจ้าให้อยู่เฉยๆ ดูเหมือนไม่มีประโยชน์อะไรเลย แต่พระเจ้าก็ยังอนุญาตให้อยู่ในร่างกายนี้ ก็อยู่เฉยๆ ดีที่สุด แล้วพากันไป ก็จะทำให้ร่างกายอยู่ได้ คริสตจักรก็จะปลอดภัย


คริสตจักรที่มีปัญหาหรือมีความวุ่นวาย ก็เกิดจากแต่ละคนไม่พอใจในสิ่งที่พระเจ้าให้

“ไม่พอใจในของประทานที่พระเจ้าให้ฉัน ทำไมต้องเป็นฉัน ทำไมไม่ให้ฉันมาทำอย่างนี้ ทำไมต้องให้ฉันไปทำโน่น ที่ฉันไม่ชอบเลย” มีปัญหากับพระเจ้าตลอดเวลา เพราะพระเจ้าให้เราทำ แล้วเราไม่อยากทำ ขอพระเจ้าเมตตาเรา อย่ามีปัญหากับพระเจ้าเลย จะเจ็บตัวเปล่าๆ เมื่อพระเจ้าสร้างเราให้มาเป็นมือ ก็จงเป็นมือที่ดี แล้วก็ช่วยกันทำงาน ถ้าพระเจ้าสร้างเราเป็นตับ ไต ไส้ พุง ม้าม อะไรก็ว่าไป เราก็ทำงานของเราเต็มที่ ร่างกายนี้ก็จะไปได้อย่างถูกต้องเหมาะสม แต่เราก็ยังเป็นกายเดียวกัน ต้องจำตรงนี้ให้ได้ ไม่ว่าคนไหนจะเก่งฉกาจฉกรรจ์แค่ไหนก็ตาม ก็หลุดจากกายนี้ไม่ได้ ยังคงอยู่ในร่างกายเดียวกัน แล้วพระคำของพระเจ้าบอกว่าเมื่ออวัยวะส่วนไหนได้รับเกียรติ ทุกส่วนได้รับเกียรติหมดเลย ไปด้วยกัน เป็นขบวน ไม่มีใคร “ข้ามาคนเดียว” ไม่มีใครใหญ่คนเดียว ทุกคนต้องทำงานร่วมกัน พระเจ้าเป็นผู้ได้รับเกียรติยศ ผู้เดียวเท่านั้น นี่คือลักษณะของคริสตจักร แล้วก็ทำให้เรามีสันติสุขในการอยู่ร่วมกัน



1 โครินธ์ 12:14-18

“เพราะว่าร่างกายมิได้ประกอบด้วยอวัยวะเดียว แต่ด้วยหลายอวัยวะ ถ้าเท้าจะพูดว่า "เพราะข้าพเจ้ามิได้เป็นมือ ข้าพเจ้าจึงไม่ได้เป็นอวัยวะของร่างกายนั้น" เท้าจะไม่เป็นอวัยวะของร่างกายเพราะเหตุนั้นก็หามิได้ ถ้าหูจะพูดว่า "เพราะข้าพเจ้ามิได้เป็นตา ข้าพเจ้าจึงมิได้เป็นอวัยวะของร่างกายนั้น" การพูดเช่นนั้นจะทำให้หูไม่เป็นอวัยวะของร่างกายก็หามิได้ ถ้าอวัยวะทั้งหมดในร่างกายเป็นตา การได้ยินจะอยู่ที่ไหน ถ้าทั้งร่างกายเป็นหู การดมกลิ่นจะอยู่ที่ไหน แต่พระเจ้าได้ทรงตั้งอวัยวะไว้ในร่างกาย ตามชอบพระทัยของพระองค์”


อีกครั้งหนึ่งนะคะ “ตามชอบพระทัยของพระองค์”

1 โครินธ์ 12:19-26

“ถ้าอวัยวะทั้งหมดเป็นอวัยวะเดียว ร่างกายจะมีที่ไหน ความจริงมีอวัยวะหลายอย่าง แต่ก็ยังเป็นร่างกายเดียวกัน และตาจะว่าแก่มือว่า "ข้าพเจ้าไม่ต้องการเจ้า" ก็ไม่ได้ หรือศีรษะจะว่าแก่เท้าว่า "ข้าพเจ้าไม่ต้องการเจ้า" ก็ไม่ได้ ที่จริงอวัยวะที่เราเห็นว่าอ่อนแอ เราก็ขาดเสียไม่ได้ และอวัยวะที่เราถือว่ามีเกียรติน้อย เราก็ยังทำให้มีเกียรติยิ่งขึ้น และอวัยวะที่ไม่น่าดูนั้น เราก็ทำให้น่าดูยิ่งขึ้น เพราะว่าอวัยวะที่น่าดูแล้ว ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องตกแต่งอีก แต่พระเจ้าได้ทรงให้อวัยวะของร่างกายเสมอภาคกัน ทรงให้อวัยวะที่ต่ำต้อยเป็นที่นับถือมากขึ้น เพื่อไม่ให้มีการแก่งแย่งกันในร่างกาย แต่ให้อวัยวะทุกส่วนพะวงซึ่งกันและกัน ถ้าอวัยวะอันหนึ่งเจ็บ อวัยวะทั้งหมดก็พลอยเจ็บด้วย ถ้าอวัยวะอันหนึ่งได้รับเกียรติ อวัยวะทั้งหมดก็พลอยชื่นชมยินดีด้วย”


พะวงซึ่งกันและกัน ห่วงใยซึ่งกันและกัน

อย่างที่บอก ถ้าร่างกายมีแต่ลูกตา มันก็จะผิดปกติ หรือเป็นอวัยวะที่ไม่ได้อยู่ในพระกายของพระคริสต์ ก็จะกลายเป็นชิ้นส่วนของอวัยวะที่กระจัดกระจายไป แล้วไม่สามารถทำการงานอะไรให้เกิดผลได้เลย


แล้วในพระคัมภีร์ตรงนี้บอกว่าอวัยวะที่สวยอยู่แล้ว ไม่ต้องตกแต่งเยอะ ก็จะดูเหมือนไม่มีใครต้องไปใส่ใจอะไรมากมาย แต่อวัยวะที่ไม่สวยหรือยังอ่อนแออยู่ เราก็ไปช่วยประคบประหงมให้ดีขึ้น


นี่คือลักษณะการทำงานของคริสตจักร

พี่น้องสังเกตดีๆ นะคะ ถ้าท่านอยู่ดีมีสุข ศิษยาภิบาลก็จะไม่ไปยุ่งกับท่าน แต่ถ้าเมื่อไหร่ท่านอ่อนแอ ท่านมีปัญหาเจ็บป่วย ศิษยาภิบาลก็จะไปช่วยดูแลท่าน นี่คือลักษณะการพะวงซึ่งกันและกัน


ต้องมีถ้อยคำของพระเจ้ารองรับ

อีกอย่างหนึ่งศิยาภิบาลไม่ได้มีหน้าที่ไปยุ่งกับท่านทุกเรื่อง หรือไปแบกรับภาระของท่านทุกเรื่อง แต่ว่าสามารถที่จะแบ่งเบาภาระให้กับพี่น้องได้ สามารถที่จะแนะแนวทางในการดำเนินชีวิตให้กับพวกเราได้ว่า ตอนนี้เราไปถึงไหน อย่างไร เราควรจะปรับตรงไหน เพื่อว่าชีวิตของเรา จะได้สามารถรับพระพรจากพระเจ้ามากขึ้น ผ่านทางถ้อยคำของพระองค์ ไม่ใช่ความคิดของศิษยาภิบาลเอง ถ้าความคิดของศิษยาภิบาลใส่ให้ท่านก็จะรวน เพราะว่ามนุษย์ก็คือมนุษย์ เราจะเอาความคิดของเราไปใส่ให้คนอื่นไม่ได้ ต้องมีถ้อยคำของพระเจ้ารองรับ แล้วเราก็นำไปประพฤติปฏิบัติ เราก็จะได้กำลังซึ่งมาจากพระเจ้า อาจจะปฏิบัติแล้วยังไม่เห็นผลที่เราพอใจ ก็ไม่เป็นไร ถ้าเราได้ดำเนินตามที่พระเจ้าสอนไว้ ก็เอเมน ขอบคุณพระเจ้า


ขอถามหน่อยได้ไหมครับ อยากรู้จริงๆ ว่าทำไมแม่จึงสามารถขอบคุณพระเจ้าได้ตลอดเวลา

ในหนังเรื่องหนึ่ง ก็มีครอบครัวหนึ่ง เป็นครอบครัวคริสเตียน เชื่อพระเจ้ามานานมาก แล้วลูกบ้านนี้ก็มองชีวิตของคุณพ่อคุณแม่มาตลอด คุณพ่อเขาไม่ได้พูดถึง แต่เขาเน้นคุณแม่เป็นพิเศษ ว่าทำไมคุณแม่ถึงมีชีวิตที่ดีนัก เวลามีปัญหา เจออะไรก็ไม่เห็นบ่นว่าพระเจ้าสักที เจอปัญหาก็ “ขอบคุณพระเจ้า” เจออะไรก็ “ขอบคุณพระเจ้า” หมด จนวันหนึ่งทนไม่ไหว ลูกก็เข้าไปถามคุณแม่ เพราะข้องใจมาหลายปี “แม่ๆ ขอถามหน่อยได้ไหมครับ อยากรู้จริงๆ ว่าทำไมแม่จึงสามารถขอบคุณพระเจ้าได้ตลอดเวลา ไม่บ่นพระเจ้าเลยสักครั้งหนึ่ง” แม่ก็ตอบว่า “อ้าว! ทำไมเราต้องบ่น ต้องถามพระเจ้าเวลาเรามีปัญหาว่า “ทำไมต้องเป็นฉัน” เวลาเรามีพระพร ตอนมีความสุข ตอนพระเจ้าอวยพรเราเยอะๆ ทำไมเราไม่ถามพระเจ้าล่ะ “พระเจ้าทำไมต้องเป็นลูกที่มีสุขภาพแข็งแรง พระเจ้าทำไมต้องเป็นลูกที่มีครอบครัวดีๆ ไม่เคยมีคำถามใช่ไหม ฉะนั้น ถ้าเจอปัญหาก็ไม่ต้องถามพระเจ้าเช่นกันว่า “ทำไม”


นี่คือเหตุผลทำไมคุณแม่ถึงไม่พูดต่อว่าพระเจ้า

แม่บอกว่า “ถ้าลูกอยากจะบ่นต่อว่าพระเจ้าเมื่อไหร่ ก็คือเวลาพระเจ้าอวยพรก็บ่นด้วย ถามพระเจ้าด้วยว่า “ทำไม” ถ้าสามารถทำตรงนั้นได้ ก็บ่นได้เลย” แต่ไม่มีใครสามารถทำตรงนั้นได้ใช่ไหม พอพระเจ้าอวยพร “ขอบคุณพระเจ้า ดีใจจังเลย เงินเดือนขึ้น เอเมน ขอบคุณพระเจ้า สุขภาพดี เอเมน ขอบคุณพระเจ้า” อะไรดีๆ เข้ามา “ขอบคุณพระเจ้า” ยังไม่เคยมีปรากฏการณ์ที่ว่าใครได้รับพระพรเยอะๆ แล้วก็ถามพระเจ้าว่า “ทำไม” “ทำไมพระเจ้าต้องอวยพรเยอะอย่างนี้ เบื่อแล้วนะ ไม่เอา ไม่อยากได้รับพระพรแล้ว” ไม่มีแน่นอน ทุกคนอยากได้พระพร แต่ว่าในขณะเดียวกัน เราต้องยอมรับความจริงในชีวิต ว่าเราไม่สามารถที่จะรับพระพรตลอด แล้วพระเจ้าไม่ให้เราตลอดด้วย เพราะเราจะเสียคน พระเจ้าก็จะสอนเราลักษณะอย่างนี้แหละ มีพระพรมาให้บ้าง เพื่อให้เรารู้สึกว่า “ขอบคุณพระเจ้า ค่อยยังชั่ว” มีการสอนเข้ามา มีความทุกข์ยากลำบากเข้ามา เพื่อเราจะได้พึ่งพระเจ้ามากขึ้น นี่คือสิ่งที่ชีวิตคริสเตียนจะเจอตลอด ไม่มีข้อแม้


ฉะนั้นขอพระคุณพระเจ้าช่วยเหลือเรา ที่เราจะสามารถขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณี ไม่ว่าเราจะเจอสิ่งดีหรือไม่ดีก็ตาม เพราะเรารู้ว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วยกับเรา พระเจ้าไม่ทิ้งเรา พระเจ้าจะพาเราไปถึงจุดหมายปลายทางแน่นอน


ในร่างกายของพระเจ้าเช่นเดียวกัน อวัยวะต่างๆ ต้องร่วมกันทำงาน ไปด้วยกัน โดยมีพระเยซูคริสต์ทรงเป็นศีรษะ มีข้อต่อที่เกี่ยวเราให้ติดสนิทร่วมกัน ไม่หลุดไป โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า มีสาเหตุที่ทำให้เราหลุดจากข้อต่อได้เยอะ อย่างเช่น “ไม่ชอบหน้าคนนี้เลย ชอบขัดใจเรา ชอบมาเตือนเรา” ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นสิ่งดี เราจะได้แก้ไข ถ้าเราทำอะไรที่ไม่ถูกต้อง แล้วมีคนมาเตือน เราก็ขอบคุณพระเจ้าอย่างน้อยยังมีคนรัก คอยบอกและคอยเตือนสอนเรา


มีแต่ลูกไม่มีพ่อเท่านั้นที่ถูกทิ้งขว้าง ไม่มีใครใส่ใจ

อยากเป็นอะไรก็เป็น อยากทำอะไรก็ทำ อยากจะชั่วก็ชั่วไปเลย ไม่มีใครว่าอะไร แต่ว่าเมื่อไหร่ที่เรายังเป็นลูกมีพ่อ หรือยังเป็นคนของพระเจ้าที่พระเจ้าดูแลอยู่ พระเจ้าก็จะจัดการกับเราอย่างนี้ตลอด จะมีไม้เรียวของพระเจ้า ผ่านทางผู้คนของพระองค์มาคอยตี ตอนเจอเราก็จะเจ็บ แต่ถ้าเจ็บอย่างชอบพระทัยพระเจ้า ก็จะแก้ไข รู้ว่าเจ็บนะ แล้วไปตรึกตรอง ไปพินิจพิจารณา “เราเป็นอย่างนี้จริงๆ” แต่ตอนที่เขาว่า เราเสียหน้ามากเลย เรายอมไม่ได้หรอก เรากลับไปคิดอีกสัก 3 ตลบสุดท้ายก็ไปขอโทษพระเจ้า แล้วก็กลับใจใหม่


นี่แหละคือลักษณะการจัดการของพระเจ้า เราแต่ละคนต้องอยู่และถูไถอย่างนี้ จนกว่าเราจะตายจากกันไปทีละคน

ใครไปก่อนไปหลังไม่รู้ ถ้าตราบใดที่เรายังอยู่ในครอบครัวของพระเจ้า จะหนีไปสุดขอบฟ้าก็ไม่พ้น แต่ถ้าไม่เจอกัน ก็ต้องมีเครื่องหมายคำถามว่า “ใครอยู่ตรงไหน” เราอาจจะไม่เจอเพื่อนคนหนึ่ง เพราะว่าเพื่อนเขาไปอยู่สวรรค์ แต่เราไปอยู่นรก ไม่เจอแน่นอน แต่ถ้าเราเป็นของพระเจ้าจริงๆ ยังไงเราต้องไปเจอกันบนสวรรค์ เพราะนั่นคือพระสัญญาของพระเจ้า ขอพระคุณพระเจ้าช่วยเหลือเรา ที่เราจะสามารถมีชีวิตที่อยู่ในน้ำพระทัยของพระองค์ ทำน้ำพระทัยของพระเจ้าให้สำเร็จ ค่อยๆ ทีละขั้นทีละตอน อาจจะไม่ได้หรูหราอย่างที่เราคิด แต่พระเจ้าจะช่วยเรา ถ้าเราทำส่วนของเราเต็มที่ พระกายของพระคริสต์ก็จะเจริญเติบโตขึ้น


1 โครินธ์ 12:27-31

“ฝ่ายท่านทั้งหลายเป็นกายของพระคริสต์ และต่างก็เป็นอวัยวะของพระกายนั้น และพระเจ้าได้ทรงโปรดตั้งบางคนไว้ในคริสตจักร คือหนึ่งอัครทูต สองผู้เผยพระวจนะ สามครูบาอาจารย์ แล้วต่อจากนั้นก็มีผู้กระทำการอันเป็นอิทธิฤทธิ์ ผู้รักษาโรค ผู้อุปการะ ผู้ครอบครอง และผู้รู้ภาษาแปลกๆ ทุกคนเป็นอัครทูตหรือทุกคนเป็นผู้เผยพระวจนะหรือ! (นี่เป็นประโยคคำถาม) ทุกคนเป็นครูบาอาจารย์หรือ! ทุกคนกระทำการอันเป็นอิทธิฤทธิ์หรือ! ทุกคนได้รับของประทานให้รักษาโรคหรือ! ทุกคนพูดภาษาแปลกๆ หรือ! ทุกคนแปลได้หรือ! แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาของประทานอันใหญ่ยิ่งกว่านั้น และข้าพเจ้าจะแสดงทางดีที่สุดแก่ท่านทั้งหลาย”


“แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาของประทานอันใหญ่ยิ่งกว่านั้น” ตามที่ใน 1 โครินธ์ บทที่ 13 คือของประทานแห่งความรัก


อย่าโตเร็วจนไปเบียดคนอื่น หรืออย่าฝ่อจนต้องให้คนอื่นมาดึง

ฉะนั้น ไม่ใช่ทุกคนที่พระเจ้าจะเรียก มายืนอยู่ตรงจุดที่คนจะเห็นหน้าเห็นตาเป็นจุดเด่น แต่ว่าทั้งนี้และทั้งนั้น ไม่ว่าพระเจ้าจะเรียกเราไปยืนอยู่จุดไหน ขอพระคุณพระเจ้าช่วยเรา ให้เราเต็มอกเต็มใจที่จะยืนอยู่ตรงนั้น แล้วก็เป็นสมาชิกที่ดีในร่างกาย ช่วยกันคนละไม้คนละมือ อย่าโตเร็วจนไปเบียดคนอื่น หรืออย่าฝ่อจนต้องให้คนอื่นมาดึงๆ ทึ้งๆ ให้ทุกอย่างไปอย่างสวยงาม ตามที่พระเจ้าได้จัดเตรียมไว้


เราเปิดไปที่เอเฟซัส 4:11 พูดถึงของประทานเหมือนกัน

เอเฟซัส 4:11-13

“ของประทานของพระองค์ ก็คือให้บางคนเป็นอัครทูต บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ บางคนเป็นผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ บางคนเป็นศิษยาภิบาลและอาจารย์ เพื่อเตรียมธรรมิกชน ให้เป็นคนที่จะรับใช้ เพื่อเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์ให้จำเริญขึ้น จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อ และในความรู้กึงพระบุตรของพระเจ้า จนกว่าจะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ คือเต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์”


เรื่องของพระเยซูคริสต์ เราต้องมีความรู้แบบชัดเจน แจ่มแจ้ง

ของประทานต่างๆ เหล่านี้ มีไว้เพื่อเตรียมธรรมิกชน คือผู้เชื่อ เพื่อที่จะปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าร่วมกัน เพื่อพระกายของพระเยซูคริสต์จะได้จำเริญขึ้น เมื่อเราทุกคนโตเต็มที่ เต็มความไพบูลย์ของพระเจ้า คือไม่มีใครไปเบียดเบียนใคร ไม่ต้องคอยให้ใครมาดึงมาทึ้ง ร่างกายของพระเจ้าก็จำเริญขึ้น จนกว่าเราทุกคน จะบรรลุถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อ เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงกระทำเพื่อเราบนไม้กางเขน ในการรู้เรื่องราวของพระเจ้า เรื่องของพระเยซูคริสต์ เราต้องมีความรู้แบบชัดเจน แจ่มแจ้ง เพราะในยุคสุดท้ายนี้จะมีเรื่องราวเยอะแยะมากมาย ที่มาเนียนๆ ฟังดูแล้วเหมือนเป็นของพระเจ้า แต่ไม่ใช่ ถ้าเราไม่ชัดเจนเรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ว่าเป็นอย่างไร โอกาสที่เราจะหลงไปทางนั้น ก็มีนะคะ


นี่คือลักษณะของผู้ใหญ่

ฉะนั้นเราต้องมีความรู้ในเรื่องของพระบุตรของพระเจ้า จนกว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ เวลาเราเป็นผู้ใหญ่ก็มีความรับผิดชอบ มีการงานที่จะต้องดูแล ผู้ใหญ่ก็จะเป็นคนหนักแน่นมั่นคง รู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดีว่าอะไรใช่อะไรไม่ใช่ เป็นคนที่สามารถตัดสินใจอย่างฉับพลัน ในวิกฤตการณ์ที่มาทันที โดยที่เราสามารถบอกเลยว่าจะซ้ายหรือขวา นี่คือลักษณะของผู้ใหญ่ ถ้าชีวิตส่วนตัวเราไม่ได้ให้ถ้อยคำของพระเจ้าเข้ามา เป็นบรรทัดฐานในการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน พอถึงวาระวิกฤตจริงๆ เราอาจจะไม่สามารถใช้ออกมาได้ เราก็จะใช้ความคิดของเราเอง หรือพฤติกรรมของเราเองออกมา เรื่องมันก็จะออกมาแบบถูลู่ถูกัง มันไม่ได้เป็นไปอย่างที่พระเจ้าต้องการ


เอเฟซัส 4:14

“เพื่อเราจะไม่เป็นเด็กอีกต่อไป ถูกซัดไปซัดมาและหันไปเหมาด้วยลมปากแห่งคำสั่งสอนทุกอย่าง และด้วยเล่ห์กลของมนุษย์ ตามอุบายฉลาดอันเป็นการล่อลวง”


ไม่ใช่ทุกคำสอนที่เราจะรับมาหมด คำสอนทุกครั้งที่พี่น้องได้ฟัง กลับไปอ่านถ้อยคำ แล้วก็ทบทวนว่าสิ่งนี้ใช่ไหม

ผู้รับใช้ทุกคนที่สอนพี่น้อง ต้องมีบรรทัดฐานที่ถูกต้อง คืออยู่ในพื้นฐานของถ้อยคำของพระเจ้า ถ้าเมื่อไหร่ที่สอนเกินจากนั้น มันไม่ใช่ มันคือความต้องการของเราเอง หรืออะไรก็แล้วแต่ ฉะนั้นสมาชิกทุกคนมีสิทธิ์ที่ฟังแล้วเก็บเอาไปใคร่ครวญ แล้วก็อธิษฐานกับพระเจ้า แล้วให้ถ้อยคำเหล่านั้น บทเรียนเหล่านั้นสอนใจเรา ทำให้เราเจริญเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ สามารถที่จะรับสถานการณ์รอบข้างได้ เพื่อเราจะได้ไม่เป็นเด็ก เวลาเราฟังถ้อยคำเยอะๆ เราจะเริ่มโตขึ้น ในพระคัมภีร์บอกเราอย่างนี้นะคะ ได้กินถ้อยคำ แล้วโตขึ้น ความคิดเราโตขึ้น การกระทำเราโตขึ้น คำพูดเราโตขึ้น เราไม่ใช่เหมือนเด็ก เวลาไม่ชอบใจ ก็ไม่คุยด้วยแล้ว อะไรอย่างนี้ ไม่ใช่นะคะ แต่เด็กจริงๆ น่ารักกว่าผู้ใหญ่ เด็กงอน แป๊บเดียว ไม่ถึง 5 นาที เขาดีกันแล้ว เห็นทะเลาะกันอยู่ แป๊บเดียว ดีกันแล้ว ฉะนั้นเวลาเด็กทะเลาะกัน ผู้ใหญ่อย่าเข้าไปยุ่ง ปล่อยเขา มันเป็นธรรมชาติของเด็ก ทะเลาะกัน ตีกัน เดี๋ยวเขาก็ดีกัน ถ้าผู้ใหญ่เข้าไปยุ่ง จะกลายเป็นผู้ใหญ่ตีกันเอง “ลูกฉัน” “ลูกเธอ” ก็มีเรื่องกัน


เราต้องสอนเขาด้วยหลักคำสอนที่เป็นของพระเจ้า ให้เขาสามารถแยกแยะผิดชอบชั่วดี

เวลาเราโตขึ้น เราก็ไม่มีนิสัยที่เอาแต่ใจตัวเอง พี่น้องลองคิดดูว่าถ้าบ้านไหนมีคุณพ่อคุณแม่ที่เอาแต่ใจตัวเอง “ฉันใหญ่ที่สุดในบ้าน ฉันต้องมีสิทธิ์ขาดที่จะตัดสินใจทุกเรื่อง เธอต้องตามฉันอย่างเดียว ฉันจะซ้าย เธอต้องซ้าย ฉันจะขวา เธอต้องขวา” ลูกบ้านนั้นก็น่าสงสาร ฉะนั้นพ่อแม่ที่โตเต็มที่ ก็จะเรียนรู้ว่าลูกคนนี้เป็นอย่างไร เราควรจะจัดการกับเขาอย่างไร จัดการด้วยความรักซึ่งมาจากพระเจ้า เวลาเราสอน เราตี เขาจะรู้ว่าเรารักเขา ไม่ใช่วันไหนอารมณ์ไม่ดี ก็เอากระบวยตีหัว วันไหนอารมณ์ดี ทำผิดมหันต์ ก็ “ลูกรัก ไม่เป็นไร” ไม่ใช่ ถ้าวันนี้มีพ่อแม่คนไหนอยู่ในลักษณะแบบนี้ ให้กลับใจใหม่ เราต้องสอนเขาด้วยหลักคำสอนที่เป็นของพระเจ้า ให้เขาสามารถแยกแยะผิดชอบชั่วดี เด็กๆ จริงๆ เขาสามารถเรียนรู้ได้ ซึมซับสิ่งดีๆ ได้ ถ้าเราไม่สอนเขาตอนเด็ก เมื่อไหร่เราจะสอน แล้วเด็กถ้าเขาไม่ได้ซึมสิ่งดี ท่านคิดหรือว่าโตขึ้นเขาจะสามารถซึมสิ่งดีได้ แล้วคนที่จะเจ็บใจที่สุดก็คือพ่อแม่ น้ำตาเช็ดหัวเข่า เพราะเดี๋ยวนี้เขาโตจนเราเตะเขาก็ไม่ได้แล้ว ไล่ตีเขา เราก็หมดแรงแล้ว แล้วเขาก็ไม่สามารถได้ดังใจเราด้วย


นี่คือหลักการง่ายๆ ในชีวิตครอบครัว

เราต้องพึ่งพระคุณพระเจ้า สอนเขาด้วยถ้อยคำพระเจ้า คอยดูแลห่วงใย ให้เขารู้ว่าเรารักเขา เวลาที่เขาจะไปทำอะไรที่ไม่ดี เขาก็จะคิดถึงเรา และไม่กล้าทำ นี่คือหลักการง่ายๆ ในชีวิตครอบครัว เพื่อว่าครอบครัวดีคริสตจักรก็จะดี คริสตจักรดีสังคมก็จะดี สังคมดีประเทศก็จะดี ทุกอย่างมันจะเป็นผลกระทบไปหมด เราไม่สามารถคาดหวังให้ประเทศดีได้ ถ้าจุดเริ่มต้นไม่ดี มันเป็นไปไม่ได้ แล้วเราคาดหวังให้คริสตจักรดี โดยที่เราไม่ช่วยกันในครอบครัว ก็เป็นไปไม่ได้อีก บ้านมีปัญหา เขาก็ต้องนำปัญหามาที่โบสถ์พันกันหมดเลย


ฉะนั้นให้พวกเราทุกคนช่วยกันคนละไม้คนละมือ ต่างคนต่างทำคนละนิด มันก็ไม่เหนื่อย

เอเฟซัส 4:15-16

“แต่ให้เรายึดความจริงด้วยใจรัก เพื่อจะจำเริญขึ้นทุกอย่างสู่พระองค์ผู้เป็นศีรษะ คือพระคริสต์ คือเนื่องจากพระองค์นั้น ร่างกายทั้งสิ้นที่ติดต่อสนิทและประสานกัน โดยทุกๆ ข้อต่อที่ทรงประทาน ได้จำเริญเติบโตขึ้นด้วยความรัก เมื่ออวัยวะทุกอย่างทำงานตามความเหมาะสมแล้ว”




ก็คือยึดความจริงด้วยใจรัก ความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า ไม่ใช่ความจริงในความคิดของเรา

ยึดความจริงด้วยใจรักและต้องการจะกระทำ เวลาเราทำอะไรให้ใครสักอย่างหนึ่ง ด้วยความรัก คนจะสัมผัสได้ กับทำด้วยมีเจตนาอย่างอื่นแอบแฝง คนก็จะสัมผัสได้เหมือนกัน ฉะนั้นให้เรายึดความจริงของพระเจ้า และกระทำตัวของเราเองให้เจริญเติบโตขึ้น โดยมีพระเยซูคริสต์ทรงเป็นศีรษะของเรา



พี่น้องอย่าพุ่งความสนใจมาที่ศิษยาภิบาล ถ้าพี่น้องพุ่งเป้าผิด ชีวิตท่านรวนแน่นอน เพราะว่าไม่มีใครสามารถช่วยท่านได้ นอกจากพระเจ้าผู้เดียว


เมื่อเรามีใจพุ่งไปที่พระเจ้าเมื่อไหร่ ผลมันจะเกิดออกมาโดยอัตโนมัติ โดยที่เราก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอย่างไร แต่ถ้อยคำพระเจ้าบอกอย่างนั้น “เมื่อท่านติดสนิทกับเรา แล้วถ้อยคำของเราฝังอยู่ในท่านแล้ว ไม่ว่าท่านทูลขอสิ่งใด ท่านก็จะได้รับสิ่งนั้น ตามที่ท่านปรารถนา” เมื่อเราติดกับพระเจ้า เราคงไม่ไปคิดขอพระเจ้าว่า “พระเจ้าช่วยไปตีหัวคนนั้นที ดูแล้วมันรำคาญใจ” เราคงไม่เป็นอย่างนั้น ถ้าใครทำได้ก็คงแปลก ถ้าเราติดสนิทกับพระเจ้ามากเท่าไหร่ บุคลิกลักษณะของพระเจ้า จะถูกซึมเข้ามาในชีวิตของเรามากเท่านั้น ความคิดความอ่านแบบเป็นของพระเจ้า ก็จะมีมากขึ้นในชีวิตของเรา เมื่อมันเป็นอย่างนั้น ทุกข้อต่อทำงานตามความเหมาะสมแล้ว ร่างกายนี้ ที่พระเจ้าประทานให้ก็จะจำเริญขึ้น ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ แข็งแรงสุขสบายดี เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ







พูดถึงเรื่องของประทาน คนบางคนมี คนบางคนไม่มี แต่ส่วนที่ต้องมีทุกคนก็คือความรัก เพราะฉะนั้นทุกคนสามารถเป็นผู้รับใช้ คือรับใช้โดยของประทานที่มีอยู่ในตัวแน่นอนเลย ไม่ต้องไปหาที่ไหน ไม่ต้องไปถามใครว่าเรามีของประทานอะไร เพราะเรามีของประทานแห่งความรักทุกคน ตามที่พระคัมภีร์บอก และทำยากที่สุดเลย รับใช้ยากที่สุด


ในนี้บอกว่าอย่างไร ใน 1 โครินธ์ บทที่ 12 ข้อ 29-30 ถึงสุดท้ายเลยบอกว่า


1 โครินธ์ 12:29-30

“ทุกคนเป็นอัครทูตหรือทุกคนเป็นผู้เผยพระวจนะหรือ! (นี่เป็นประโยคคำถาม) ทุกคนเป็นครูบาอาจารย์หรือ! ทุกคนกระทำการอันเป็นอิทธิฤทธิ์หรือ! ทุกคนได้รับของประทานให้รักษาโรคหรือ! ทุกคนพูดภาษาแปลกๆ หรือ! ทุกคนแปลได้หรือ!”


พูดง่ายๆ ว่าไม่ใช่ทุกคน บางคนที่ได้ น้อยคนด้วย แล้วได้พวกนี้แล้ว ทำไม่ยาก

1 โครินธ์ 12:31

“แต่ท่านทั้งหลาย จงแสวงหาของประทานอันใหญ่ยิ่งกว่านั้น และข้าพเจ้าจะแสดงทางดีที่สุดแก่ท่านทั้งหลาย”


อาจารย์เปาโลก็บอกว่า มีของประทานอีกอันหนึ่งที่ใหญ่กว่านั้นอีก แล้วจะบอกให้ว่าของประทานนั้นคืออะไร ก็เริ่มพูดในข้อต่อมา คือ 1 โครินธ์ บทที่ 13 บอกว่า.-

1 โครินธ์ 13:1-3

“แม้ข้าพเจ้าพูดภาษาแปลกๆได้ เป็นภาษามนุษย์ก็ดี เป็นภาษาทูตสวรรค์ก็ดี แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าเป็นเหมือนฆ้องหรือฉาบที่กำลังส่งเสียง แม้ข้าพเจ้าจะเผยพระวจนะได้ และเข้าใจในความล้ำลึกทั้งปวงและมีความรู้ทั้งสิ้น และมีความเชื่อมากยิ่งที่สุดพอจะยกภูเขาไปได้ แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็ไม่มีค่าอะไรเลย แม้ข้าพเจ้าจะสละของสารพัด หรือยอมให้เอาตัวข้าพเจ้าไปเผาไฟเสีย แต่ไม่มีความรัก จะหาเป็นประโยชน์แก่ข้าพเจ้าไม่”


พูดง่ายๆ สิ่งสำคัญที่สุดคือความรักนั่นเอง คำว่า “ความรัก” ของประทานอันนี้ใช้อย่างไร ดูใน 1 โครินธ์ 13:4-13

1 โครินธ์ 13:4-13

“ความรักนั้นก็อดทนนานและกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด แต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ ความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ และทนต่อทุกอย่าง ความรักไม่มีวันสูญสิ้น แม้การเผยพระวจนะก็จะเสื่อมสูญไป แม้การพูดภาษาแปลกๆ นั้น ก็จะมีเวลาเลิกกัน แม้วิชาความรู้ก็จะเสื่อมสูญไป เพราะความรู้ของเรานั้นไม่สมบูรณ์ และการเผยพระวจนะนั้นก็ไม่สมบูรณ์ แต่เมื่อความสมบูรณ์มาถึงแล้ว ความบกพร่องนั้นก็จะสูญไป เมื่อข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก ข้าพเจ้าพูดอย่างเด็ก คิดอย่างเด็ก ใคร่ครวญหาเหตุผลอย่างเด็ก แต่เมื่อข้าพเจ้าเป็นผู้ใหญ่ ข้าพเจ้าก็เลิกอาการเด็กเสีย เพราะว่าบัดนี้เราเห็นสลัวๆ เหมือนดูในกระจก แต่เวลานั้นจะได้เห็นพระพักตร์ชัดเจน เดี๋ยวนี้ความรู้ของข้าพเจ้าไม่สมบูรณ์ เวลานั้นข้าพเจ้าจะรู้แจ้งเหมือนพระองค์ทรงรู้จักข้าพเจ้า ดังนั้นยังตั้งอยู่สามสิ่ง คือความเชื่อ ความหวังใจและความรัก แต่ความรักใหญ่ที่สุด”



ของประทานการทำอัศจรรย์ การเผยพระวจนะ หรืออะไรอื่นๆ ซึ่งนอกเหนือจากความรักแล้ว เมื่อเราไปอยู่ในสวรรค์ ซึ่งอยู่นิรันดร์กาล ถึงเวลานั้นไม่ต้องใช้แล้ว แต่สิ่งที่ต้องใช้อยู่ ตอนที่เราไปอยู่ในสวรรค์แล้ว ก็คือของประทานแห่งความรักนั่นเอง



เพราะฉะนั้นอาจารย์เปาโลจึงบอกทางที่ดีที่สุดให้กับเรา ให้เราหมั่นฝึกฝน หมั่นแสวงหาของประทานอันนี้

หมั่นใช้ของประทานนี้ออกมา เพื่อรับใช้พระเจ้า ถวายเกียรติแด่พระเจ้า ทุกคนทำได้หมด แต่ทำได้ขนาดไหนเท่านั้นเอง ถ้าพระคัมภีร์บอกอย่างนี้ ทุกคนมีทางที่จะสามารถปรับปรุงตัวเองได้ จะยอมปรับปรุงตัวเองไหม จะหันมา เพื่อที่จะพัฒนาของประทานตรงนี้ไหม อย่างเช่นที่บอกว่า “ความรักก็อดทนนาน” นานไหม หรืออย่างนี้อดทนไม่ได้แล้ว ความอดทนฝึกฝนได้ “และกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่คิดเห็นแต่ตนเองอย่างเดียว ไม่ฉุนเฉียว” นี่ชัดเจนเลย อยู่ในชีวิตของพวกเราทุกคนเป็นประจำวันเลย ที่จะสามารถพัฒนาความรักนี้ได้ ตั้งแต่เดินออกไปจากคริสตจักร ก็สามารถพัฒนาความรักนี้ได้แล้ว
ส่วนใหญ่เราจะรู้ พระคัมภีร์บอก เรามีฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า คือของประทานแห่งความรักที่อยู่ในตัว หมั่นฝึกฝน ไม่ได้มาก ได้น้อยก็ยังดี ได้พัฒนาตัวเอง ยิ่งอายุมากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มเจริญเติบโตฝ่ายวิญญาณมากขึ้นเรื่อยๆ ความรักก็จะมีมากขึ้นเรื่อยๆ ความอดทนก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ ความเข้าใจที่จะอภัยให้คนอื่นได้ ก็จะต้องมีมากขึ้นด้วย ไม่ใช่เชื่อพระเจ้ามาตั้งนานแล้ว ก็ยังอดทนได้แค่นี้เหมือนเดิม เห็นแก่ตัวอยู่เหมือนเดิม อย่างนี้เป็นต้น


เพราะฉะนั้นก็ฝากไว้ตรงนี้ ว่าของประทานที่ทุกคนมีแน่นอนเลย ไม่ต้องไปพยายามดูอันอื่นเลย ถ้าเรามีของประทานอื่นจริงๆ ไม่ต้องห่วง พระเจ้านำพาเราได้ แต่พระเจ้าบอกเราเดี๋ยวนี้แล้วว่า เรามีของประทานแห่งความรัก

หมั่นฝึกฝน หมั่นเอาใจใส่ และใช้ของประทานความรักนี้ จนกระทั่งถึงวันสุดท้ายที่เราจะอยู่บนโลกใบนี้ ในพระคัมภีร์นี้บอก ความรักไม่มีสูญสิ้น ความรักยิ่งใหญ่ที่สุด วันหนึ่งเราก็ต้องใช้ความรักนี้ในสวรรค์สถาน วันนั้นไม่จำเป็นต้องพูดภาษาแปลกๆ แล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้ความเชื่อแล้ว ไม่ต้องมีความหวังแล้ว เพราะเราเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้าแล้ว แต่ข้างบนนั้นเขาอยู่ด้วยกันด้วยความรัก เราต้องพัฒนาตั้งแต่เดี๋ยวนี้

ให้จิตใจเต็มไปด้วยความรัก เต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี เต็มไปด้วยความหวังใจในความประพฤติของเรา ข้อแตกต่างกันของคนที่มีพระเจ้าและไม่มีพระเจ้า ก็คือข้อนี้แหละ คือมีความรักที่สำแดงในชีวิตประจำวันของเรา


ความรักนั้นก็อดทนนาน และกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด แต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ ความรักทนได้ทุกอย่าง แม้ความผิดของคนอื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ และทนต่อทุกอย่าง ความรักไม่มีวันสูญสิ้น เอเมน” ขอพระเจ้าอวยพรครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

My Blog

  • วินัยของน้องหมา (ข้างถนน) - วันที่ 18/8/2011 เช้านี้ขณะที่รถติดไฟแดงอยู่บริเวณสี่แยกสามย่าน ซึ่งเบื้องหน้าเป็นจามจุรีสแควร์นั้น พลันก็เหลือบเห็นน้องหมาตัวหนึ่งเดินข้ามทางม้าลายด้วยอ...
    12 ปีที่ผ่านมา
  • บทความคริสเตียน - บทความคริสเตียน http://www.gracezone.org/index.php/christian-articles บทความทางด้านจิตวิญญาณ หลักข้อเชื่อ พระเจ้า พระคัมภีร์ พระเจ้า พระคัมภีร์ แนวทางในการ...
    15 ปีที่ผ่านมา
  • คริสเตียนกับการรับใช้พระเยซู - คริสเตียนกับการรับใช้พระเยซู วัน พุธ 08 ต.ค. 08@ 17:47:37 ICT หัวข้อ: สรุปคำเทศนาประจำอาทิตย์ ดร.ทะนุ วงค์ธนานุกุล วัน อาทิตย์ ที่ 21 กันยายน 2008 พระธร...
    15 ปีที่ผ่านมา
  • - แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้องจะนมัสการพระบิดา ด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้...
    15 ปีที่ผ่านมา

Christian Blog

บล็อกวาไรตี้

เทคโนโลยี

ดาวน์โหลดโปรแกรมมาใหม่ล่าสุด |

วาไรตี้

ข่าวประจำวัน

สารบัญเว็บไทย

กินลม ชมทะเล ที่มาร์คเฮ้าส์บังกะโล เกาะกูด จ.ตราด

Thailand Map