Custom Search By Google

Custom Search

วันเสาร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2551

การทรงเลือกและการทรงฝึกอัครทูต

http://www.eft.or.th/index.php?option=com_content&task=view&id=37&Itemid=1

การทรงเลือกและการทรงฝึกอัครทูต

ศจ.ดร.นันทชัย มีชูธน
จาก นิตยสารพระคริสตธรรมประทีป

( ลูกา 6:12 – 13 และมาระโก 3:14 )

คำนำ
มีคำกล่าวว่า การเริ่มต้นที่ดีก็เท่ากับการสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง หรือ ถ้าเรากลัดกระดุมเม็ดแรกของเสื้อที่ต้นคอให้ถูกต้องแล้ว เม็ดต่อ ๆ ไปก็ย่อมถูกต้องด้วย หรือ บุคคลที่ฝึกฝนตนเองดีแล้ว ย่อมเป็นบุคคลที่ประเสริฐ (The Trained Man Wins)
ในบทเรียนชุดนี้ เราจะได้ศึกษาเกี่ยวกับอัครทูต 12 คน ของพระเยซู แม้ว่าจะมีคนที่มีชื่อเสียงในโลกมากมาย เช่น อเล็กซานเดอร์มหาราช เหมา เจ๋อตุง โยเซฟ สตาลิน หรือ อับราฮัม ลินคอร์น แต่จะมีชื่อใดในโลกที่คนจะคุ้นเคยและมีชื่อเสียงดียาวนานเท่ากับชื่อของอัครทูต 12 คนของพระเยซู คงจะไม่มีอีกแล้ว
ชื่อของอัครทูตเหล่านี้ คนในโลกได้เอาไปเป็นชื่อของตนบ้าง ชื่อเมืองบ้าง ชื่อคนบ้าง ชื่อมหาวิทยาลัย ชื่อของโบสถ์วิหาร ชื่อเพลง และอีกหลาย ๆ อย่างจนนับไม่ถ้วน และเรามักจะคุ้นเคยกับคำว่า โรงเรียนเซนต์จอห์น วิหารเซนต์ปีเตอร์ เจ้าชายแอนดรู โบสถ์เซนต์แมทธิว วงดนตรีที่มีชื่อเสียงของโลก เช่น “ปีเตอร์ พอล แอนด์ แมรี่”
สำหรับคริสเตียนบางคนเมื่อเปลี่ยนศาสนาจากพุทธมาเป็นคริสเตียนแล้ว เขามักจะเปลี่ยนชื่อของตนเป็นชื่อของอัครทูตเสมอ เช่น คริสเตียนเกาหลี ชื่อ Hong Sung Chul พอเป็นคริสเตียนก็จะขอเปลี่ยนชื่อเป็น John Hong
นอกจากชื่อคนแล้ว ภาพรูปปั้น และงานศิลปจำนวนมาก ก็มักจะตั้งชื่อเป็นชื่อของอัครทูตของพระเยซู ทำไมชื่อคน 12 คน นี้จึงดูเหมือนมีอิทธิพลต่อคนในโลกนี้มายาวนานถึง 2000 ปี ในสมัยที่พระเยซูทรงเลือกสาวกของพระองค์ 12 คนนี้ ดูจะไม่ค่อยมีใครสนใจเห็น เห็นความสำคัญหรือแม้แต่อยากจะร่วมทีมงานด้วยเท่าใดนัก และถ้าเราบางคนในที่นี้ไปเกิดในสมัยนั้น ผมเองคิดเอาว่า เราคงไม่ค่อยให้ความสนใจคน 12 คนนี้มากนัก และถ้าเผอิญพระเยซูมาเลือกเราเป็นอัครทูต เราบางคนอาจจะไม่สนใจเลยก็เป็นได้
การทรงเลือกคน 12 คนนี้ เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลกยิ่งกว่าเหตุการณ์ใด ๆ ในประวัติศาสตร์ก็ว่าได้ เพราะโลกในสมัยนั้นคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าพระองค์กำลังทำอะไรอยู่ และนึกไม่ออกจริง ๆ ถึงอิทธิพลที่จะเกิดจากคน 12 คนนี้ แม้ในปัจจุบันนี้คริสเตียนบางคนก็คงจะคาดไม่ถึง หรืออาจไม่เห็นถึงอิทธิพลของคน ๆ หนึ่งซึ่งถ้าพระเยซูทรงเลือกเขาให้ถวายตัวเป็นคริสเตียน และเขาได้ให้ชีวิตทั้งหมดแก่พระองค์แล้วจะเกิดอะไรแก่ชีวิตของเขา และชุมชนสังคมและประเทศชาติที่เขาอยู่

ความหมายของคำว่า “สาวก” และ “อัครทูต”
คำว่า “สาวก” มาจากคำภาษาอังกฤษว่า “disciples” ซึ่งหมายถึงผู้เรียนรู้ (Learners หรือ apprentices) ซึ่งต่อมาได้ถูกเรียกว่า คริสเตียนในกิจการ 11:26
ส่วนคำ “อัครทูต” มาจากคำภาษาอังกฤษว่า “apostles” หมายถึงคนที่ถูกส่งไปเป็นตัวแทนของพระเยซูโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อทำการพิเศษ
พระเยซูทรงมีสาวกจำนวนมาก แต่พระองค์มีอัครทูตอยู่ 12 คน พระเยซูได้เลือกอัครทูต 12 คนด้วยใจอธิษฐาน ในบทนี้จะกล่าวถึงภาพของอัครทูต และชีวิตโดยรวม แต่ในบทต่อ ๆ ไป เราจะศึกษาถึงชีวิตและงานรับใช้ของแต่ละคน
ในบทนี้เราจะมองผ่านสาวกทั้ง 12 คน เพื่อจะเห็นภารกิจและพันธกิจของพระเยซูต่อคนในโลกนี้ เราจะเห็นความหมายและความสำคัญของการสร้างสาวกของพระเยซูอย่างแท้จริง
วันหนึ่งผมได้ขับรถผ่านหน้าร้านแว่นตาแห่งหนึ่งในสหรัฐเขาเขียนป้ายหน้าร้านว่า “Use our spectacles and see the new world” ผมชอบแปลให้เข้ากับร้านแว่นตาของสมาชิกคนหนึ่งในคริสตจักร ซึ่งมีร้านแว่นตาชื่อ โวควิชชั่นว่า “มองผ่านแว่นตาของโวค แล้วจะเห็นโลกสวยงาม” ดังนั้น ในบทนี้เราจะมองลอดแว่นของอัครทูต 12 คน เพื่อเห็นความสำคัญของการสร้างสาวก
ถ้าสาวก 12 คน เข้าใจคำว่า discipleship อย่างไร เราก็อาจะเข้าใจวลีสั้น ๆ ของคำว่า “การสร้างสาวก” อย่างนั้น

การทรงเลือกสาวก
จากพระคริสตธรรมคัมภีร์เราจะพบว่า ไม่ว่าพระเยซูจะทรงกระทำสิ่งใด ๆ ที่สำคัญ เราจะพบว่าพระองค์จะทรงเริ่มด้วยการอธิษฐานเสมอไป (ลูกา 6:12-13) และก่อนที่พระองค์จะทรงเลือกอัครทูต พระเยซูได้อธิษฐานตลอดคืน เหตุที่พระองค์อธิษฐานคืนยังรุ่ง ย่อมแสดงให้เห็นชัดแล้วว่า สิ่งที่พระเยซูจะทำการเลือกสาวกคงจะต้องมีความสำคัญอย่างยิ่ง ว่าไปแล้ว การตัดสินใจของพระเยซูในครั้งนี้ดูจะสำคัญยิ่งกว่าการตัดสินใจยิ่งกว่าครั้งใดๆ ทั้งหมด ในการทำพระราชกิจของพระองค์ ในระยะแรก ๆ ของการรับใช้ของพระเยซูพระองค์ยังไม่ได้เลือกอัครทูต 12 คน แต่พอมีคนเชื่อและติดตามมากขึ้น พระองค์ก็ต้องมีระบบการบริหารงานอีกแบบหนึ่ง เมื่อสิ้นสุดปีแรกของพระราชกิจของพระองค์ พระเยซูจึงทรงเลือกอัครทูต 12 คน และในช่วงชีวิตของครึ่งหลังของพระเยซู พระองค์ทรงใช้เวลาในการฝึกสาวกเหล่านี้เสียเป็นส่วนมาก เพราะสาวกเหล่านี้จะเป็นตัวกลาง หรือเป็นสื่อที่ฤทธานุภาพของพระเจ้าจะทรงทำงานผ่านในการขยายอาณาจักรของพระเจ้าและจะเป็นผู้สถาปนางานของพระเจ้า อีกทั้งจะเป็น ผู้สอน บันทึกพระคำ ตีความ ก่อตั้งคริสตจักร และสืบทอดคำสอนต่อไป ซึ่งพระองค์ก็ยังคงประกอบกิจนั้นผ่านสาวก แม้ในปัจจุบันนี้ มาติน ลูเธอร์กล่าวว่า “อย่าให้พวกเราขาดความเชื่อในข้อที่ว่า พระเจ้าสามารถประกอบกิจที่ยิ่งใหญ่ผ่านชีวิตของคนธรรมดาได้” ในลำดับต่อไปเราก็จะได้เห็นว่า พระเยซูทรงทำอย่างไรบ้างในการทรงเลือกและการทรงฝึกอัครทูต

ทีมอัครทูต
เมื่อพิจารณาดูให้ดี เราก็จะพบว่าเป็นเรื่องแปลกที่พระเยซูเลือกคนเหล่านี้ ซึ่งผสมกลมกลืนกันอย่างที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ศาสนาคริสต์ได้ก่อกำเนิดจากทีมอัครทูต 12 คนนี้ พระเยซูทรงเดินผ่านคนที่เฉลียวฉลาดคนที่มีหน่วยก้านดี คนรวย คนมีไอคิวสูง พระองค์ทรงเลือกคนธรรมดาเพียง 12 คน
อับราฮาม ลินคอร์น อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา เขียนไว้ว่า “พระเจ้าคงจะรักคนธรรมดามากจริง ๆ เพราะพระองค์ทรงสร้างคนธรรมดาไว้มากมายในโลก” และพระเยซูของเราก็คงจะรักคนธรรมดามาก เพราะพระองค์ทรงนั่งฟังคนพวกนี้อย่างตั้งอกตั้งใจ ศาสนาทั้งหลายในโลก ผู้นำของโลก และนักการเมืองมักจะเลือกคนในระดับเดียวกับตนมาทำงานด้วย
โสเครตีส (Socrates) นักปรัชญาเมธีเอกของโลก ก็ได้เลือกสานุศิษย์ระดับเดียวกับตน เขายอมรับว่าเขาไม่สามารถสอนคนบางกลุ่มให้เข้าใจหลักปรัชญาเมธีของเขาได้
พระพุทธเจ้าก็ทรงตรัสว่า คนนั้นเหมือนดอกบัว มี 4 ชนิด บัวใต้น้ำใต้โคลนย่อมเข้าใจธรรมะของพระองค์ได้ยาก
ผู้เผยพระวจนะในพระคัมภีร์เดิมก็เช่นกันเขาจะเลือกคนเฉพาะกลุ่มที่จะมาติดตามเขา
แต่สำหรับพระเยซูแล้ว พระองค์ทรงเลือกคนหลายประเภท หลายวัฒธรรม หลายอาชีพ มีพื้นเพและพื้นฐานของชีวิตต่างกัน
บางคนเลือกมาจากคนที่ถูกเกลียดชังของคนเลือกจากคนเก็บภาษี
บ้างก็มาจากชาวประมงที่มือหยาบกร้าน พูดห้วน ๆ เป็นคนมีโทษะจริต
บ้างก็มาจากนักการเมือง
บ้างก็มาจากคนที่เงียบ ๆ ขรึม ๆ
และบ้างก็มาจากคนที่มักใหญ่ใฝ่สูง
จึงมีคำกล่าวว่า “คนกลุ่มนี้ถือได้ว่าเป็นคนที่ดีที่สุดเท่าที่โลกนี้มีมา” (They were the best that could be had) ปกติแล้วในการทำงานใด ๆ ให้สำเร็จ เรามักต้องใช้ผู้ชำนาญการเฉพาะทาง (specialists) เช่น แพทย์เฉพาะทาง หรือช่างเฉพาะทาง ในงานทุกชนิดเราต้องการคนที่รู้จริงเพื่อจะทำงานนั้น ๆ ให้สำเร็จ
แต่เป็นเรื่องแปลกที่เมื่อมาถึงเรื่องที่จะต้องนำคนทั้งโลกมาเป็นคริสเตียน มารับการเปลี่ยนแปลงชีวิต มาเปลี่ยนสังคมใหม่ พระองค์กลับไม่ใช้คนที่มีความชำนาญ แต่ใช้คนธรรมดา ด้วยเหตุนี้ เราจึงน่าที่จะมาดูลักษณะความหลากหลายของทีมอัครทูตอย่างละเอียด

ความหลากหลายในการทรงเลือก
ปกติแล้วเวลาเราจะเลือกใครมาทำงานกับเรา เรามักจะเลือกคนที่เหมือน ๆ กับเรา พูด คิด หรือทำอะไรคล้าย ๆ กับเรา คนที่เราเลือกมักจะมีบุคลิกภาพเข้ากับเราได้ดี แต่พระเยซูไม่ได้เลือกคนเช่นนั้นเลย เมื่อเราดูสาวกแต่ละคนแล้วเราก็จะพบว่า แต่ละคนไม่เหมือนกันสักคน บุคลิกภาพก็ต่างกัน การศึกษาและอาชีพก็ต่างกัน พื้นฐานสังคมก็ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ให้เรามาดูตัวอย่างสักเล็กน้อย

เปโตร
เป็นผู้มีความว่องไวในทุกสิ่ง กระตือรือร้นในทุกเรื่อง ปากไว เพราะเป็นคนแรกที่พูดที่ตอบคำถามในหมู่สาวก มือไว เพราะเป็นคนเลือดร้อน ฟันหูทหารจนขาด เรียกว่าเป็นคนปากว่ามือถึง เท้าก็ไวด้วย เขาเป็นคนที่วิ่งมาที่อุโมงค์ฝังศพของพระเยซู และเป็นคนแรกที่กระโจนลงน้ำว่ายมาหาพระเยซู คริสตจักรขององค์พระเยซูต้องการคนที่ว่องไวกระตือรือร้นเช่นกัน

ยอห์น
เป็นอัครทูตที่ต่างจากเปโตรมาก เป็นคนคิดลึก คิดแหวกแนว เป็นคนเข้าใจอะไรดูจะลึกซึ้งกว่าคนอื่น เป็นคนมีนิมิต ดูข้อเขียนของยอห์นแล้ว จะต่างจากข้อเขียนของอัครทูตคนอื่นอย่างมาก คริสตจักรก็ต้องการคนที่เข้าใจลึกซึ้ง มีนิมิต ไวในการทรงนำของการเปิดเผยที่มาจากพระเจ้า คริสตจักรต้องการคนประเภทนี้เท่ากับคนที่กระตือรือร้น

แอนดรู
เป็นอัครทูตที่มีเสน่ห์ (personal touch) เขานำเด็ก นำคนต่างชาติ นำพี่ชายมารู้จักพระเยซูได้ง่าย ๆ เขาเป็นคนเงียบ ๆ พระคัมภีร์พูดถึงเขา 3 ครั้ง ( ยอห์น 1,6 และ 12) เขาชอบอยู่หลังฉาก สนับสนุนให้คนอื่นทำงานให้บรรลุผล เป็นคนเงียบ ๆ แต่เต็มไปด้วยเสน่ห์ คริสตจักรของพระเยซูต้องการคนประเภทนี้ด้วย

โธมา
อัครทูตที่เป็นคนคิดคำนวณ เป็นคนที่จะเชื่ออะไรสักอย่างต้องเชื่อเฉพาะสิ่งที่ตาเห็นได้ เป็นคนที่สงสัยไว้ก่อน เข้าทำนองว่า “ใครว่าให้เอาห้าหาร” คริสตจักรก็คงจะมีสมาชิกประเภทนี้ในหลาย ๆ คริสตจักร
นอกจากอัครทูตแต่ละคนจะต่างกันแล้ว เรายังพบอีกว่าบางคู่มีอะไรต่อมิอะไรตรงกันข้ามกันอีกด้วย เช่น เปโตร เป็นคนทำก่อนคิด ทำด้วยแรงเร้า และแรงกระตุ้นจากภายนอก เป็นคนชอบแสดงออก แต่แอนดรูกลับเป็นคนที่อยู่หลังฉาก เป็นคนเงียบ ๆ ไม่ค่อยออกนอกหน้ามัทธิว เคยเป็นคนเก็บภาษีให้โรม รักโรม ในสายตาของคนยิว มัทธิวเป็นคนมีชื่อเสียงไม่ดี แต่ซีโมนพรรคชาตินิยม เป็นคนมีเลือดรักชาติยิวอย่างรุนแรง เป็นศัตรูกับคนที่รักโรมและเกลียดคนเก็บภาษี
มีคนกล่าวว่า ถ้ามัทธิวและซีโมนไม่ได้มาเป็นอัครทูตและไปพบกันตามถนนมัทธิวอาจถูกซีโมนทำร้ายเอาได้ ยากอบเป็นลูกฟ้าร้อง มีอารมณ์เหมือนภูเขาไฟ แต่นาธันเอล เป็นคนขี้อาย เขิน ๆ หงิมเสงี่ยม ยูดาส อุบายมาก นาธันเอล ไม่มีอุบาย ฟิลิป คิดก่อนทำ แต่เปโตรชอบทำก่อนคิด โธมัสไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ ในขณะที่สาวกบางคนเชื่อได้ทุกอย่าง
จากบทเรียนนี้ทำให้เราเรียนรู้ว่า พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้มีความแตกต่างกัน และก็ยังคงเอกลักษณ์ของตนเองไว้ ซึ่งทำให้พระเจ้ายังทรงใช้คนเหล่านี้ได้เสมอ ว่าไปแล้วคนเราก็ไม่เคยมีหน้าตาเหมือนกัน น้ำเสียงของคนก็ไม่เคยเหมือนกัน ลายมือก็ไม่เหมือนกัน เราแต่ละคนมีความเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวเอง ซึ่งอาจจะพูดได้ว่า มีคนอย่างเราคนเดียวในโลก
เมื่อเรามาเป็นคริสเตียน เรามีความสามารถ และของประทานไม่เหมือนกัน เราคิดต่างกัน บางคนเทศนาและอธิษฐานต่อหน้าคนได้ แต่บางคนก็ทำไม่ได้ บางคนเล่นดนตรีได้โดยไม่มีความลำบาก บางคนชอบบริหารงานเก่ง แต่บางคนก็ทำได้แต่งานบริการ เช่น เปิดประตู ต้อนรับ เช็ดหน้าต่าง ทำกับข้าว บางคนเป็นคนเคร่งขรึม และบางคนเป็นคนมีอารมณ์ขัน บางคนเปิดเผยตัวเอง ในขณะที่บางคนเป็นคนเก็บกด บางคนเป็นนักคิด ไม่ค่อยลงมือทำ แต่บางคนชอบทำแต่ไม่ค่อยช่างคิด บางคนเป็นนักพูด แต่ทำอะไรไม่เป็น บางคนทำเป็นแต่ไม่พูด บางคนชอบศิลป แต่บางคนเป็นนักวิทยาศาสตร์ บางคนชอบเงียบ ๆ บางคนชอบออกงาน บางคนชอบปฏิบัติ บางคนชอบพูดแต่ทฤษฎี แต่เมื่อคนเหล่านี้มาเป็นคริสเตียน เขาจะมีสิ่งเดียวที่เหมือนกัน คือ พระเยซู เขาจะมีชีวิตที่พระเยซูทรงเปลี่ยนแปลง
เมื่อความต่างเหล่านี้มาอยู่แทบพระบาทของพระเยซู เขาก็จะถูกประสานกันอย่างสนิทโดยพระองค์ ความรักเชื่อมความต่างเหล่านี้ให้นำมาทำงานร่วมกันได้อย่างประหลาด สาวกแต่ละคนยังคงรักษาเอกลักษณ์ของตนเองซึ่งต่างกันนั้นไว้เสมอ มีคนถามเด็กผู้ชายอายุ 8 ขวบ คนหนึ่งว่า เมื่อเขาโตขึ้นเขาอยากจะเป็นอะไร เด็กคนนั้นตอบว่า เขาอยากเป็นตัวของเขาเอง เด็กคนนั้นเมื่อเติบโตขึ้นเขาคือ โมสาท เราเองก็เช่นกัน เราควรจะเป็นตัวของเราเอง นี่เป็นบทเรียนที่สำคัญและเป็นบทเรียนที่คริสเตียนควรจะเรียนรู้
คริสเตียนหลายคนลืมบทเรียนที่สำคัญนี้ไป คือบางครั้งเรานึกอยากจะเป็นเหมือนคนโน้นคนนี้ เพื่อว่าเขาคิดว่าพระเจ้าจะทรงใช้เขาได้มากขึ้น ผมคิดว่าคนเราต้องต่างกัน ถ้าเราจะเหมือนกันเราต้องเหมือนพระเยซู เพราะพระเจ้าทรงสร้างใบไม้แต่ละใบไม่เหมือนกัน นกทุกตัวก็ไม่เหมือนกันเกร็ดหิมะทุกเกร็ดก็ไม่เหมือนกัน สิ่งที่ไม่เหมือนกันเสริมให้โลกนี้ดูงดงาม

อัครทูตไม่ใช่คนที่สมบูรณ์พร้อม
สิ่งที่อยากจะพูดในอันดับต่อไปก็คือ สาวกเหล่านี้เป็นคนไม่สมบูรณ์เพียบพร้อม เขาเป็นคนบกพร่อง เป็นคนธรรมดา ถ้าเราจะสังเกตดูชีวิตของสาวกแต่ละคน เราก็จะพบความจริงอย่างนั้น
จิตรกรบางคนเวลาวาด เปโตร ยอห์น ยากอบ ก็จะพยายามวาดรัศมีภาพให้ส่องสว่างออกจากศีรษะ เขาพยายามจะทำให้อัครทูตดูไม่ใช่คนธรรมดา
บทเรียนนี้สอนใจเราว่า คริสเตียนบางคนพยายามจะทำตัวเป็นมนุษย์ฝ่ายวิญญาณมากเกินไป จนลืมไปว่าเราก็ยังเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง
พระคัมภีร์เองก็กล่าวว่า “ท่านเอลียาห์ก็เป็นมนุษย์ที่มีสภาพเหมือนกับเราทั้งหลาย” (ยากอบ 5:17) สาวกก็มีบาป ผิดพลาด มีจุดอ่อนในตัวเหมือนกับเรา บางครั้งอัครทูตก็ล้มเหลว เหมือนกับเราที่ล้มเหลวได้ แม้เราจะรอดจากบาปแล้ว แต่เราเองก็ยังมีส่วนผสมระหว่างจุดด้อย และจุดดี จุดแข็ง และจุดอ่อน พระคัมภีร์ถามว่า มนุษย์เป็นผู้ใด 4 ครั้ง
พระคัมภีร์เอง พูดถึงมนุษย์ทั้งในแง่บวกและแง่ลบ ทั้งการล้มลงในบาปและทั้งการเป็นพระพร แม้มนุษย์จะล้มลงในบาป มนุษย์ก็ยังมีพระฉายาของพระเจ้าในตัว มนุษย์มีศักดิ์ศรี เพราะเขาถูกสร้างตามพระฉายาของพระเจ้า ดังนั้นมนุษย์จึงมีธรรมชาติที่ขัดกันเองอยู่ในตัว
ตัวอย่างที่สนับสนุนเรื่องนี้คือ นายพลมอนโกเมอรี่ ซึ่งเป็นนายพลที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง สมัยเด็ก ๆ เขาเป็นผู้นำอนุชนในคริสตจักร เป็นนักศิลปะในนิวซีแลนด์ เป็นครู เป็นนักรบที่กล้าหาญ สัตย์ซื่อ เขาต้อนรับพระเยซูต่อหน้ากองทหาร เขาบันทึกในสมุดส่วนตัวของเขาว่า บางครั้งเขาก็รู้สึกอ่อนแอ หมดแรง ไม่รู้จะนำกองทัพให้ดีได้อย่างไร แต่บางครั้งเขาก็องอาจ กล้าหาญ เด็ดเดี่ยว นายพลมอนโกเมอรี่ เป็นคนที่ยิ่งใหญ่ เพราะเขายอมรับว่าเขามีทั้งจุดดี และจุดด้อยในตัวบางครั้งเราเองก็เป็นเช่นนั้น บางครั้งเราก็ฮึกเหิม สู้ตาย เอาจริง บางครั้งก็เหนื่อย ล้าไม่ไหว หมดแรง
สาวกก็มี 2 สิ่งนี้เช่นกัน บางครั้งสาวกก็ล้มเหลวบ่อย ๆ แต่เขาก็เข้ามาให้พระเยซูทรงเปลี่ยน สาวกนั้นก็เป็นคนธรรมดาอย่างคุณและผม แต่สิ่งที่ต่างกันก็คือ เขาเดินใกล้ชิดพระเยซูมาก จนกระทั่งได้รับสิทธิอำนาจจากพระองค์ไว้มาก

พระประสงค์ในการทรงเลือกอัครทูต
ในพระธรรมมาระโก บทที่ 3 ข้อ 14 เปิดเผยให้เราเห็นพระประสงค์ขั้นพื้นฐาน 2 สิ่งคือ :
(1) อยู่กับพระองค์ (To be with Him)
และ (2) ออกไปเทศนาข่าวประเสริฐ (To preach the gospel) พระธรรมตอนนี้ทำให้เราเห็นชีวิตของอัครทูตรอยู่ 2 สิ่ง คือ :
(1) ชีวิตภายใน และ
(2) การรับใช้ภายนอก
หรือจะพูดอีกนัยหนึ่งคือ :
(1) ชีวิตที่มีสามัคคีธรรมกับพระองค์ (Fellowship) และ
(2) ชีวิตแห่งการรับใช้ (service)
สิ่งแรกคือ การได้อยู่ร่วมกัน (communions)
และสิ่งที่สองคือ การออกไปปฏิบัติงาน (commission)
ศาสนาในโลกนี้ บ้างก็สอนให้แยกตัวออกจากโลก ไม่ยุ่งเกี่ยวกับโลก ไม่ประกาศเผยแพร่ ไม่ช่วยเหลือโลกและสังคม เอาแต่ใช้เวลาแสวงหาสิ่งดีสำหรับตน บ้างก็ออกไปปฏิบัติการจนลืมหูลืมตาไม่ขึ้น แต่ไม่มีโอกาสใช้เวลาเงียบ ๆ ส่วนตัวที่จะขัดเกลาความไม่รู้ให้ออกจากตัว
ศาสนาคริสต์สอนให้สมดุลย์ และคริสเตียนต้องรักษาชีวิตคริสเตียนให้สมดุลย์เอาไว้ให้ได้
ประการแรก พระเยซูไม่มีพระประสงค์ให้สาวกของพระองค์ออกไปทำการใด ๆ แต่เลือกเขาก็เพื่อเขาจะอยู่ใกล้ ๆ กับพระองค์ มีสามัคคีธรรมใกล้ชิดกับพระองค์ ขั้นนี้สำคัญ เพราะสาวกจะทำขั้นที่ออกไปรับใช้ในการประกาศไม่ได้เลยถ้าเขาไม่ผ่านขั้นแรก
พระเยซูมักจะพูดให้สาวกฟังเสมอว่า พวกเขาอย่าเพิ่งออกไปทำการสิ่งใดเพื่อพระองค์ แต่สาวกจะต้องมาอยู่กับพระองค์ เรียนจากพระองค์เสียก่อน ก่อนที่จะรู้ขั้นต่อไปว่าจะต้องทำประการใด พระองค์ตรัสว่า
จงเรียนจากเรา (มัทธิว 11:28)
จงมีสามัคคีธรรมกับเรา (มาระโก 3:14)
จงฟังเรา จงเฝ้ามองเรา แล้วเราจะทำให้ท่านเป็นผู้หาคนดังหาปลา (มัทธิว 4:19)
ชีวิตการรับใช้ตลอดชีวิตจึงดูเหมือนจะขึ้นกับ 3 ปีแรกที่อยู่กับพระเยซูนั้นเอง พระองค์ปรารถนาให้เรารักพระองค์และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระองค์ (มาระโก 3:14 a) เป็นประการแรกมากยิ่งกว่าการออกห่างจากพระองค์ แล้วเอาแต่รับใช้
ประการที่สองก็คือ สามัคคีธรรมหาใช่จุดจบในตัวของมันไม่ เรามีสามัคคีธรรมก็เพื่อออกไปประกาศ สามัคคีธรรมกับพระเยซูเป็นวิถีที่มีเป้าหมายปลายทาง คือการประกาศ พระพรที่รับไว้ในชีวิต ต้องแสดงออกเป็นการรับใช้ และสิ่งที่เราทำให้กับพระเยซู ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม อาจจะมีความหมายน้อยมาก นอกเสียแต่ว่าเราได้มีสามัคคีธรรมใกล้ชิดกับพระองค์
คริสเตียนบางคนทำงานของพระเยซู (busy for Christ) เสียจนไม่มีเวลาจะอยู่กับพระเยซู ( being with Christ) เราทุกคนต้องระวังชีวิตที่เอาแต่ทำงาน โดยไม่มีเวลาอยู่กับพระองค์ คือ ทำแล้วไม่เคยรู้ว่าพระองค์สถิตอยู่ด้วย หรือ ไม่เคยรู้สึกว่าพระองค์ใกล้ชิดกับเรา ในที่สุดเราจะเหนื่อย ล้มเหลว คับข้องใจ ในงานทั้งหมดที่เราลงทุนไป ลูกที่เราให้กำเนิดมาไม่สามารถจะเติบโตและประกอบกิจการงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถ้าไม่ได้อยู่ใกล้ชิดกับพ่อแม่ ในเวลาเดียวกัน เด็กที่อยู่ติดกับพ่อแม่เสมอโดยไม่ยอมออกไปทำกิจการงานใด ๆ ก็จะไม่ถูกต้อง
คริสเตียนไม่เพียงสักแต่เรียนรวี ฟัง เทศน์ อธิษฐาน แต่ต้องหาช่องทางที่จะแปรสภาพไปเป็นชีวิตที่มีอิทธิพล เป็นเกลือ และเป็นความสว่างต่อคนรอบข้างการเทศนาข่าวประเสริฐ หมายถึงการประกาศให้รู้ ไม่ใช่ไปโต้แย้งกับเขา เพราะถ้าเราไปโต้แย้งคนจะไม่เชื่อ ไม่ใช่ไปพูดใส่หน้าเขา แต่จะต้องเป็นพยาน ไปเล่าให้ฟัง เราเป็นผู้สื่อสาร เรามีข่าวสารที่จะสื่อ เราถูกเรียกให้เป็นพยานด้วยคำพูด ด้วยชีวิต ด้วยอาชีพต่อคนรอบข้าง
พระเจ้าทรงเรียกอัครทูต 12 คน อย่างไร พระองค์ก็ทรงเรียกเราทุกคนจากคนทุกชนิด ทุกประเภท ทุกอาชีพ ทุกเพศ และทุกวัยได้ เพื่อให้เป็นสาวกของพระเยซู ถ้าเช่นนั้น ทำไมจะเรียกคุณไม่ได้เล่า อย่าลืมว่า เมื่อพระองค์ทรงเรียกเรานั้น พระองค์มีพระประสงค์ ให้เราได้มีสามัคคีธรรมกับพระองค์ หลังจากนั้นจึงออกไปปรนนิบัติรับใช้ เราอาจมีข้อแก้ตัวได้หลายอย่าง เมื่อเราไม่พร้อมที่จะรับการทรงเรียก ไม่ว่าเราจะพร้อมหรือไม่ก็ตาม พระองค์สามารถเรียกเราได้ พระองค์ไม่ใช่คนธรรมดา พระองค์เป็นเจ้านาย เป็นองค์พระผู้ช่วยให้รอดของเราทรงเรียกเรา
ถ้าคริสตจักรเรียก หรือ ศิษยาภิบาลเรียกคุณอาจปฏิเสธได้ แต่พระองค์ผู้สละเลือดและชีวิตของพระองค์ให้พระเจ้าทรงเรียกคุณ เพื่อให้มาอยู่กับพระองค์ และเพื่อที่จะออกไปประกาศ
ถ้าท่านปฏิเสธการทรงเรียกนี้ เราอาจจะพลาดสิ่งที่สำคัญของชีวิตก็ได้
ดังนั้นให้เราสงบใจเพื่อการอธิษฐาน ถ้าพระองค์ยังทำกับอัครทูตได้ขนาดนี้ พระองค์จะทำกับเราได้เพียงใด

ไม่มีความคิดเห็น:

My Blog

  • วินัยของน้องหมา (ข้างถนน) - วันที่ 18/8/2011 เช้านี้ขณะที่รถติดไฟแดงอยู่บริเวณสี่แยกสามย่าน ซึ่งเบื้องหน้าเป็นจามจุรีสแควร์นั้น พลันก็เหลือบเห็นน้องหมาตัวหนึ่งเดินข้ามทางม้าลายด้วยอ...
    12 ปีที่ผ่านมา
  • บทความคริสเตียน - บทความคริสเตียน http://www.gracezone.org/index.php/christian-articles บทความทางด้านจิตวิญญาณ หลักข้อเชื่อ พระเจ้า พระคัมภีร์ พระเจ้า พระคัมภีร์ แนวทางในการ...
    15 ปีที่ผ่านมา
  • คริสเตียนกับการรับใช้พระเยซู - คริสเตียนกับการรับใช้พระเยซู วัน พุธ 08 ต.ค. 08@ 17:47:37 ICT หัวข้อ: สรุปคำเทศนาประจำอาทิตย์ ดร.ทะนุ วงค์ธนานุกุล วัน อาทิตย์ ที่ 21 กันยายน 2008 พระธร...
    15 ปีที่ผ่านมา
  • - แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้องจะนมัสการพระบิดา ด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้...
    15 ปีที่ผ่านมา

Christian Blog

บล็อกวาไรตี้

เทคโนโลยี

ดาวน์โหลดโปรแกรมมาใหม่ล่าสุด |

วาไรตี้

ข่าวประจำวัน

สารบัญเว็บไทย

กินลม ชมทะเล ที่มาร์คเฮ้าส์บังกะโล เกาะกูด จ.ตราด

Thailand Map