Custom Search By Google

Custom Search

วันเสาร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ความรัก


โดย: unna ที่ ตุลาคม 22, 2006, 07:53:50 pm

ข่าวดี ลก. 6:27-38

ลก 6:27-35 ความรักศัตรู

(27)"แต่เรากล่าวกับท่านทั้งหลายที่กำลังฟังอยู่ว่า จงรักศัตรู จงทำดีต่อผู้ที่เกลียดชังท่าน (28)จงอวยพรผู้ที่สาปแช่งท่าน จงอธิษฐานภาวนาให้ผู้ที่ทำร้ายท่าน (29)ผู้ใดตบแก้มท่านข้างหนึ่ง จงหันแก้มอีกข้างหนึ่งให้เขาตบด้วย ผู้ใดเอาเสื้อคลุมของท่านไป จงปล่อยให้เขาเอาเสื้อยาวไปด้วย (30)จงให้แก่ทุกคนที่ขอท่าน และอย่าทวงของของท่านคืนจากผู้ที่ได้แย่งไป (31)ท่านอยากให้เขาทำต่อท่านอย่างไร ก็จงทำต่อเขาอย่างนั้นเถิด (32)ถ้าท่านรักเฉพาะผู้ที่รักท่าน ท่านจะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าได้อย่างไร คนบาปก็ยังรักผู้ที่รักเขาด้วย (33)ถ้าท่านทำดีเฉพาะต่อผู้ที่ทำดีต่อท่าน ท่านจะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าได้อย่างไร คนบาปก็ยังทำเช่นนั้นด้วย (34)ถ้าท่านให้ยืมเงินโดยหวังจะได้คืน ท่านจะเป็นที่พอพระทัยพระเจ้าได้อย่างไร

คนบาปก็ให้คนบาปด้วยกันยืมโดยหวังจะได้เงินคืนจำนวนเท่ากัน (35)แต่ท่านจงรักศัตรู จงทำดีต่อเขา จงให้ยืมโดยไม่หวังอะไรกลับคืนแล้วบำเหน็จรางวัลของท่านจะใหญ่ยิ่ง ท่านจะเป็นบุตรของพระผู้สูงสุด เพราะพระองค์ทรงพระกรุณาต่อคนอกตัญญูและต่อคนชั่วร้าย

ลก 6:36-38 ความเมตตากรุณาและความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่

(36)จงเป็นผู้เมตตากรุณาดังที่พระบิดาของท่านทรงพระเมตตากรุณาเถิด (37)อย่าตัดสินเขาแล้วพระเจ้าจะไม่ทรงตัดสินท่าน อย่ากล่าวโทษเขา แล้วพระเจ้าจะไม่ทรงกล่าวโทษท่าน จงให้อภัยเขาแล้วพระเจ้าจะทรงให้อภัยท่าน (38)จงให้ แล้วพระเจ้าจะประทานแก่ท่าน ท่านจะได้รับเต็มสัดเต็มทะนานอัดแน่นจนล้นเพราะว่าท่านใช้ทะนานใดตวงให้เขา พระเจ้าก็จะทรงใช้ทะนานนั้นตวงตอบแทนให้ท่านด้วย"


จงรักศัตรู ความรักศรัตรู

ลำพังให้อภัยศัตรูก็ยากหนักหนาแล้ว แต่พระเยซูเจ้ายังให้ "กฎทอง" แก่เราอีก นั่นคือ "จงรักศัตรู" ของเราด้วย พระองค์กำลังเรียกร้องสิ่งที่ไม่มีทางเป็นไปได้หรือเปล่า ?

ก่อนอื่นเราจำต้องเข้าใจความหมายของคำศัพท์ที่พระเยซูเจ้าทรงใช้เสียก่อน คำว่า "รัก" ในภาษากรีกมีอยู่ 3 คำคือ

1)eranหมายถึงความรักแบบเนื้อหนัง เช่น ชายรักหญิง

2)phileinหมายถึงความรักอันอบอุ่นแบบมิตรภาพ เช่น ความรักที่มีต่อญาติสนิทมิตรสหาย

3)agapan หมายถึงความรักแบบปรารถนาดีต่อผู้อื่น ไม่ว่าผู้นั้นจะสบประมาทเรา ทำร้ายเรามากสักเพียงใด เราก็ไม่ปรารถนาสิ่งอื่นใดนอกจากความดีสูงสุดในตัวเขา

และคำศัพท์ที่พระเยซูเจ้าทรงใช้คือ "apapate (พวกท่านจงรัก)" ซึ่งเป็นความรักแบบที่สาม

หมายความว่าพระเยซูเจ้ามิได้สั่งให้เรารักศัตรูแบบเดียวกับที่เรารักพ่อแม่ สามีภรรยา บุตรหลาน หรือเพื่อน ๆ ซึ่งความรักแบบนี้หลั่งไหลออกมาเองจากหัวใจของเรา เราจึงมักเรียกว่า "ตกหลุมรัก" หรือ Fall in love

แต่พระองค์สั่งให้เรารักด้วย"น้ำใจ" ที่ปรารถนาสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผู้ที่เราไม่ชอบ หรือเขาเองก็ไม่ชอบเรา ซึ่งเป็นไปได้ก็โดยอาศัยพระหรรษทานและความช่วยเหลือของพระเยซูเจ้าเท่านั้น

เพราะฉะนั้น พระเยซูเจ้าไม่ได้สั่งให้เราทำในสิ่งที่ฝืนธรรมชาติ หรือเป็นไปไม่ได้ !

พร้อมกันนี้พระองค์ได้ยกตัวอย่างของสิ่งที่ดีที่สุดที่เราต้องปฏิบัติต่อศัตรู เช่น อวยพรเขา อธิษฐานภาวนาแก่เขา ให้สิ่งของช่วยเหลือเขา และให้อภัยเขา เป็นต้น


แก่นแท้ของจริยธรรมคริสต์

1.จงทำดี
มีคนเคยขอให้รับบีฮิลเลลซึ่งมีชื่อเสียงมาก ช่วยสอนบทบัญญัติทั้งหมดขณะที่ยืนอยู่บนขาข้างเดียว เขาตอบว่า "สิ่งใดที่ท่านรังเกียจ จงอย่าทำแก่คนอื่น"

พวกสโตอิก (Stoics) มีกฎว่า "สิ่งใดที่ท่านไม่ปรารถนาให้ผู้อื่นทำแก่ท่าน จงอย่าทำแก่คนอื่น"

ขงจื้อก็สอนเช่นเดียวกับพวกสโตอิก

คำสอนที่ยกมาล้วนเป็นเชิงปฏิเสธ กล่าวคือ "อย่าทำ" ซึ่งไม่ยากเกินควรที่เราจะหลีกเลี่ยงกิจการเหล่านั้น

แต่สำหรับพระเยซูเจ้า "ไม่ทำ" ไม่พอ เราต้องสลัดน้ำใจและตัวตนของเราทิ้งไปเพื่อ "ทำ" สิ่งที่เราอยากให้คนอื่นทำแก่เรา พระองค์สอนว่า "ท่านอยากให้เขาทำต่อท่านอย่างไร ก็จงทำต่อเขาอย่างนั้นเถิด"

เพราะฉะนั้น แก่นแท้ของจริยธรรมแบบพระเยซูเจ้าคือ "การละเว้นไม่ประพฤติชั่ว" ยังไม่พอ เราต้อง " ประพฤติดีอย่างแข็งขัน" อีกด้วย

2.ทำให้ดีกว่า

หลายครั้งเราชอบเปรียบเทียบความดีของเรากับเพื่อนบ้านหรือกับคนอื่น แล้วเราก็อดภูมิอกภูมิใจไม่ได้ที่เราดีไม่แพ้หรือบางทีดีกว่าคนอื่นเสียอีก

แต่พระเยซูเจ้าเรียกร้องเรามากกว่านั้น "เราดีกว่าคนอื่นมากแค่ไหน ?"

แม้แต่คนบาปก็ยังรู้จักรักคนที่รักเขา รู้จักทำดีแก่คนที่รักเขา ให้คนที่รักเขายืมเงิน ฯลฯ

เมื่อคนบาปยังรู้จักทำเช่นนี้ เราจะไปเปรียบเทียบความดีกับเพื่อนบ้านหรือกับคนอื่นซึ่งต่อหน้าพระพักตร์ของพระเป็นเจ้าล้วนเป็นคนบาปทั้งนั้นได้อย่างไร ?

ผู้เดียวที่เราต้องเปรียบเทียบด้วยคือ "พระเป็นเจ้า" และเมื่อเปรียบเทียบกับ "พระเป็นเจ้า" แล้ว เราไม่เพียงต้อง "ทำดีกว่า" มนุษย์ธรรมดาทั่วไปเท่านั้น แต่เรายังต้องเพียรพยายามอย่างน้อยทำให้เท่าหรือ "ทำให้ดีกว่า" บรรดานักบุญในสวรรค์อีกด้วย

3.ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน

น่ายินดีที่พระเป็นเจ้ามิได้ตัดสินเราตามมาตรฐานของพระองค์ แต่ตามมาตรฐานของเราแต่ละคนเอง

ถ้าเราไม่ตัดสินผู้อื่น พระเป็นเจ้าก็ไม่ตัดสินเรา

ถ้าเราไม่กล่าวโทษผู้อื่น พระองค์ก็ไม่กล่าวโทษเรา

ถ้าเราให้อภัยผู้อื่น พระองค์ก็ให้อภัยเรา

ยิ่งเราให้อภัยผู้อื่นมาก พระองค์ก็ยิ่งให้อภัยเรามาก

หากเรา "ทำดี" และ "ทำดีกว่า" (เช่น รักแม้กระทั่งศัตรู) เราจะได้เป็นบุตรของพระเป็นเจ้า ได้ทำเหมือนพระองค์ ผู้ทรงพระเมตตากรุณาและรักเราทุกคน ไม่ว่าจะดีหรือเลว ไม่ว่าจะทำให้พระองค์พอพระทัยหรือทำให้ช้ำพระทัยสักเพียงใดก็ตาม !

ในโลกนี้ จะมีใครมีอภิสิทธิ์มากเท่าเรา ที่ได้ทำเหมือนองค์พระผู้เป็นเจ้า !

ความรักสี่แบบ และความรักของคริสเตียน
ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ ซึ่งบันทึกด้วยภาษากรีก ปรากฏคำเกี่ยวกับความรักอยู่ถึง 4 คำด้วยกัน ใช้บรรยาย ความรักที่แยกย่อยได้ถึง 4 ประเภท

1. ฟิเลียส (Philios)

ยอห์น 16:19 "ถ้าท่านทั้งหลายเป็นของโลก โลกก็จะ รัก (Phileõ) ท่านซึ่งเป็นของโลก แต่เพราะท่านไม่ใช่ของโลก เพราะเราได้เลือกท่านออกจากโลก เหตุฉะนั้น โลกจึงเกลียดชังท่าน"

เป็นความรักอย่างแรกของความรักสี่แบบที่กรีกค้นพบและได้ตั้งชื่อไว้ ฟีเลียสเป็นรักง่ายๆ เป็นความรักกึ่งๆ ระหว่าง อีรอส และอากาเป้ เป็นมิตรภาพที่มีต่อเพื่อนฝูง เป็นรากฐานของความจำเป็นในสังคมมนุษย์ เราเกิดมา โดยสันดาน มนุษย์ต้องการความรักและการยอมรับ
พระเจ้าได้สร้างสัตว์กลุ่มต่างๆ และเราก็ต้องมีสังคมเพื่อจะดำรงอยู่ได้ เพราะมนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างให้อยู่คนเดียว พระเจ้าตรัสว่า "ไม่ควรที่ชายผู้นี้จะอยู่คนเดียว เราจะสร้างคู่อุปถัมภ์ ที่สมกับเขาขึ้น" พระเจ้าจึงทรงปั้นบรรดาสัตว์ ในท้องทุ่ง และนกในท้องฟ้า ให้เกิดขึ้นจากดิน แล้วทรงนำมายังชายนั้น เพื่อดูว่าเขาจะเรียกชื่อมันว่าอะไร...แต่ชายนั้น ยังหามีคู่อุปถัมป์ที่สมกับตนไม่ [ปฐมกาล 2:18-20]



ครอบครัวจึงเป็นสังคมแรก และมนุษย์ต้องอยู่อาศัยด้วยกัน เพื่อมีชีวิตรอด เป็นการเอื้อเฟื้อให้แก่กันโดยพื้นฐาน ซึ่งเป็นรักชนิดหนึ่งที่พูดได้ว่า "ฉันต้องการเธอ ฉันจะเป็นเพื่อนกับเธอ เธอต้องการฉัน เธอก็จะเป็นเพื่อนกับฉัน" แต่โดยธรรมชาติของมนุษย์ ไม่ยืนยาว ทุกคนต้องตาย ความรักแบบฟีเลียส จึงเป็นรักที่เห็นแก่ตัว เช่น "ฉันชอบเธอ ถ้าเธอชอบฉัน" ฟีเลียสไม่ค่อยให้อะไรใครเพื่อความรัก แต่เป็นมิตรภาพที่ลึกซึ้ง ซึ่งพัฒนาเป็นรักที่ลึกซึ้งต่อไปได้
ถ้าเกิดอันตรายขึ้นกับใครซักคน ฟีเลียสมักจะ "มีผลอะไรกับฉันบ้าง" รักแบบนี้จึงเอาตัวเองเป็นหลัก ให้และตอบแทนกัน เมื่อมีเรื่องของผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง แม้จะเป็นรักแบบเพื่อน แต่ก็ไม่สามารถตายแทนกันได้ นอกจากจะใช้ อากาเป้แทนความรักนี้
[ http://members.tripod.com/~ALM4Ever/philios.html ]


--------------------------------------------------------------------------------

2. สตอรเก้ (Storge)

เป็นความรักญาติพี่น้อง เกิดขึ้นในคนทุกคน สตอรเก้ เป็นรักที่พัฒนาขึ้นมา ตามกระบวนการบางอย่าง ชีวิตของคนเรา มีความเกี่ยวพันกันในการเลี้ยงดู พ่อแม่ ดูแลลูกที่เกิดมา ในสัตว์ประเภทเดียวกัน เกิดมาก็รวมกลุ่มกันเพื่อความอยู่รอด คือ รักกันตามสัญชาตญาณ ไม่ต้องบอกผู้เป็นแม่ ว่าให้ปกป้องลูกน้อย เพราะมันเป็นไปโดยอัตโนมัติ แม่รักลูกตัวเอง ได้อย่างง่ายดาย เพราะนั่นเป็นลูกของแม่ แต่ความรักแบบ สตอรเก้ก็ยังเป็นความรักที่เห็นแก่ตัว เพราะมีเรื่องการหวัง ผลตอบแทนทางอารมณ์ มาเกี่ยวข้อง การแสดงออกแบบ สตอรเก้ พ่อแม่เรียนรู้ความรักแบบนี้ได้ พอเด็กโต เด็กก็จะ เรียนรู้ความรักนี้โดยอัตโนมัติ


ความรักในแบบฟีเลียสจะเป็นในลักษณะที่ว่า ฉันจะรักคุณ ถ้า..... แต่ในแบบ สตอรเก้ คือ ฉันจะรักคุณ เพราะฉันควรรักคุณ อย่างเมื่อเด็กโตขึ้นมา มีการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ระหว่างเครือญาติ เป็นรักแบบมีเงื่อนไข หวังการตอบแทน จึงยังเป็นความรักแบบมนุษย์ ความรักแบบสตอรเก้ เรายังคงรักกันอย่างที่เราเป็น หรืออย่างที่ทุกคนเป็น
[ http://members.tripod.com/~ALM4Ever/storge.html ]


--------------------------------------------------------------------------------

3. อีรอส (Eros)

อีรอส เป็นความรักที่ต้องการให้ได้มา (Acquisitive) บนพื้นฐานความเห็นแก่ตัว (Egocentric/Selfish) เป็นรักที่ไม่แน่นแฟ้นหรือถาวร เป็นความรักที่เกี่ยวข้องกับความใคร่ เกี่ยวพันกับเรื่องทางเพศ อีรอส เป็นความรัก ที่ตอบสนองความงามของวัตถุ และการใช้อีรอส ในทางที่ผิดจะนำไปสู่ความเสื่อม สำหรับเพลโต อีรอสเป็นความรัก ในความงาม และรักในวัตถุแห่งความงาม ซึ่งสะท้อนให้เราเห็น ถึงความงามที่สมบูรณ์แบบ ที่มีอยู่ในโลกแห่งแบบ เพลโตจึงกล่าวว่า คนรัก (Lover) หมายถึง คนที่รักในความสวยงาม

ปฐมกาล 1:27 "พระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้น ตามพระฉายาของพระองค์ ตามพระฉายาของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้น และได้ทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง พระเจ้าทรงอวยพระพรแก่มนุษย์ ตรัสแก่เขาว่า จงมีลูกดกทวีมากขึ้นจนเต็มแผ่นดิน จงมีอำนาจเหนือแผ่นดิน จงครอบครองฝูงปลาในทะเล และฝูงนกในอากาศ กับบรรดาสัตว์ที่เคลื่อนไหวบนแผ่นดิน"



พระเจ้าสร้างผู้ชายและผู้หญิงเพื่อมีสเน่ห์ต่อกันและกัน พระเจ้าตั้งใจให้ผู้ชาย และผู้หญิงรวมกัน เป็นหนึ่งเดียว เพื่อให้กำเนิดลูกหลานบนแผ่นดิน ในสวนเอเดน พระเจ้าได้ให้อำนาจมนุษย์ในการควบคุม
อีรอส มีอารมณ์ดึงดูดทางเพศของผู้ชายกับผู้หญิง ทำให้ทั้งสองประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน (One Body) อีรอส จึงเป็นความรักของมนุษย์ ที่ไม่ใช่ "ความต้องการ" ของพระเจ้า ไม่ว่าเราจะไปที่ไหน ในที่ต่างๆ นั้น ก็มักจะมีเรื่องของ Sex ปรากฎ ไม่ว่าจะเป็นแมกกาซีน หรือสื่อต่างๆ จึงบอกได้ว่า อีรอสยังคงมีอยู่อย่างปกติ แม้ว่า พระเจ้าจะไม่ได้เข้าไป ยุ่งเกี่ยวก็ตาม อีรอส คล้ายๆ กับ ฟีเลียส คือมีตัวเองเป็นใหญ่ และเหมือนสตอรจ ที่ต้องการสิ่งตอบแทน จริงๆ แล้ว ความรักแบบอีรอส ก็เป็นกิเลสตัณหาฝ่ายเนื้อหนัง กลายเป็นเกมแห่งการ เอาชนะ เพื่อให้ได้มา ไม่ได้คิดถึงผู้อื่น มากกว่าตน แต่อีรอสก็เป็นมากกว่าลักษณะกายภาพอย่างเดียว มันเป็นเรื่องจิตใจด้วย มันได้รับการออกแบบจากผู้สร้าง ที่จะทำให้เราสังเกตุกันและกัน เพื่อจะตกหลุมรัก ก้าวไปสู่ความรักที่แท้จริง ที่ไม่ใช่แค่ตัณหา แต่เป็นความรักที่งดงาม มีการจีบ คบกัน และแต่งงาน ซึ่ง ความรักแบบมนุษย์ทั้ง 3 ประเภทนี้ ไม่ต้องให้พระเจ้าช่วยให้เกิดขึ้น
[ http://members.tripod.com/~ALM4Ever/eros.html ]


--------------------------------------------------------------------------------

4. อกาเป้ (Agape)

ยอห์น 3:16 "เพราะว่าพระเจ้าทรง รัก (Agape) โลก จึงได้ประทาน พระบุตรองค์เดียว ของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจ ในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์"

รักในระดับสูงสุด รักที่ให้แก่กัน ไม่คิดถึงตัวเอง และสละได้ทุกสิ่งเพื่อสิ่งที่รัก ไม่มีเปลี่ยนแปลง และให้ได้เสมอ แม้เป็นศัตรู ความรักแบบอกาเป้อาจหมายถึง การรักในชื่อเสียง รักในเงินทอง หรือรักในอะไรก็ตาม ที่คนเรายอมตายถวายชีวิตให้ การที่พระเยซูคริสต์ยอมตาย เพื่อคนอื่นเรียกได้ว่า เป็นความรักแบบอกาเป้ จนกระทั่งมีคำพูดเขียนไว้ว่า

"Not that God is Eros or Stroge or Philia, but Agape"
อกาเป้เป็นความรัก แบบไม่มีเงื่อนไข อาจกล่าวได้ว่า ในบรรดาความรักทั้งหมด อกาเป้สำคัญที่สุด เพราะความรัก สามแบบแรก Eros, Storge และ Philia ล้วนแต่เกิดขึ้นในใจคนเราได้ โดยไม่ต้องพยายาม เราย่อมจะรักพ่อแม่ของเรา และย่อมรักเพื่อนฝูงเพราะเขาดีกับเรา และบ้างก็คิดเหมือนเรา แต่อกาเป้ เป็นความรักชนิดเดียว ที่สิ่งมีชีวิตที่มีเหตุผล จะสร้างไว้ในใจตัวเองได้ เพราะเป็นความรัก ที่ต้องมีให้ แม้แต่คนที่เกลียดชัง

1 ยอห์น 4:16 "พระเจ้าทรงเป็นความรัก และผู้ใดที่อยู่ในความรัก ก็อยู่ในพระเจ้า และพระเจ้าก็ทรงสถิตย์อยู่ในผู้นั้น"

ความรักทุกอย่างอยู่บนพื้นฐานของพระเจ้า เพราะพระเจ้าเป็นความรัก บริสุทธิ์ สมบูรณ์แบบ แต่รักทุกแบบ ไม่ได้ต้องการพระเจ้า เว้นแต่อากาเป้ เป็นรักที่ต้องให้พระเจ้าเข้ามาช่วย เป็นรักในแบบที่พระเจ้าต้องการ [นิยามความรัก]
[ http://members.tripod.com/~ALM4Ever/agape.html ]


AGAPE (อากาเป) คือ ความรักแบบพระเจ้า รักที่บริสุทธิ์ ไม่มีเงื่อนไข ไม่หวังสิ่งตอบแทน รักที่ให้คุณค่าและเห็นแก่ประโยชน์ของคนอื่น ขอนำ คำว่า “AGAPE” ในภาษาอังกฤษ มาใช้เป็น หลัก 5 ประการเพื่อการดำเนินชีวิตตามวิธีของพระเจ้า ซึ่งครอบคุม ความคิด อารมณ์และการกระทำที่จะช่วยทำให้ครอบครัวเราเป็นอิสระจากความทุกข์เพราะความกังวล และทำให้ชีวิตมีความสมดุล


A = Acknowledge คือ การรับรู้ ถึงคุณค่ายิ่งใหญ่ของพระเจ้าเสมอ ไม่ว่าเราจะคิดหรือทำอะไรอยู่ เราต้องรับรู้ว่าพระเจ้าทรงคุณค่ายิ่งใหญ่ ทรงพระชนม์อยู่และทรงอยู่กับเราเสมอ เราควรจำนนชีวิตให้พระองค์เข้ามามีส่วนร่วมในครอบครัวทุกด้าน เพื่อ เราจะดำรงชีวิตอยู่ในน้ำพระทัยพระเจ้าเหมือนอย่างพระเยซู ดังที่พระองค์ทรงอธิษฐานต่อพระบิดาว่า “....ถ้าพระองค์พอพระทัย..อย่าให้เป็นไปตามใจข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์เถิด ” ( ลก.22:42 )


G = Give คือ การให้ ดังที่พระเยซูทรงให้เพราะรัก แต่ในยุคแห่งการเห็นแก่ตัว การให้เป็นสิ่งที่เห็นได้น้อยมากโดยเฉพาะการให้โดยไม่มีเงื่อนไข หรือการให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน เช่นกันในครอบครัวเราควรให้ชีวิตและสิ่งที่ดีแก่กันเสมอซึ่งเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นที่จะขาดไม่ได้เลย


A = Act คือ การกระทำ บนพื้นฐานของความรักและความจริงมากกว่าความรู้สึก หากพระเยซูกระทำบนฐานของความรู้สึก พระองค์คงเดินออกไปจากสวนเกธเซมาเนไปแล้ว เพราะความกดดัน และความทรมานนั้นเจ็บปวดสุดจะเกินทนได้ แต่ขอบพระคุณพระเจ้า พระองค์กระทำบนฐานของความรักและความจริง พระองค์ทรงรู้ว่าอะไรเป็นน้ำพระทัยของพระบิดา และอะไรเป็นประโยชน์สูงสุดแก่เรา ซึ่งพระองค์ได้ทรงเลือกกระทำตามนั้นเพื่อเราทุกคน ดังนั้นขอให้เรากระทำดีต่อคนในครอบครัวของเรา โดยตั้งอยู่บนฐานของความรักและความจริงเสมอไป (1 ยน.3:18) นะครับ

P = Pray คือ การอธิษฐาน แม้พระเยซูทรงได้รับความทุกข์ทรมานแต่ยังทุ่มเทในการอธิษฐานโดยไม่หยุดยั้งแม้ในเวลาที่เหล่าสาวกของพระองค์ล้มเหลวที่จะมีส่วนร่วมกับพระองค์ เราเองอาจทำไม่ได้เท่าพระเยซู แต่การอธิษฐานอย่างทุ่มเทก็จำเป็นยิ่งในการดำเนินชีวิตครอบครัวของเราด้วย


E = Emphatize คือ การเข้าร่วมความรู้สึก เมื่อพระเยซูทรงมองดูผู้คน พระองค์ทรงเข้าถึงจิตใจและรู้สึกสงสารพวกเขา เช่นเดียวกันทุกคนในครอบครัวควรมีความรู้สึกร่วมและเห็นใจซึ่งกันและกันให้มาก เหมือนกับที่พระเยซูทรงเป็นแบบอย่างแก่เราเพราะรักและเข้าใจเรานั่นเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

My Blog

  • วินัยของน้องหมา (ข้างถนน) - วันที่ 18/8/2011 เช้านี้ขณะที่รถติดไฟแดงอยู่บริเวณสี่แยกสามย่าน ซึ่งเบื้องหน้าเป็นจามจุรีสแควร์นั้น พลันก็เหลือบเห็นน้องหมาตัวหนึ่งเดินข้ามทางม้าลายด้วยอ...
    12 ปีที่ผ่านมา
  • บทความคริสเตียน - บทความคริสเตียน http://www.gracezone.org/index.php/christian-articles บทความทางด้านจิตวิญญาณ หลักข้อเชื่อ พระเจ้า พระคัมภีร์ พระเจ้า พระคัมภีร์ แนวทางในการ...
    15 ปีที่ผ่านมา
  • คริสเตียนกับการรับใช้พระเยซู - คริสเตียนกับการรับใช้พระเยซู วัน พุธ 08 ต.ค. 08@ 17:47:37 ICT หัวข้อ: สรุปคำเทศนาประจำอาทิตย์ ดร.ทะนุ วงค์ธนานุกุล วัน อาทิตย์ ที่ 21 กันยายน 2008 พระธร...
    15 ปีที่ผ่านมา
  • - แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้องจะนมัสการพระบิดา ด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้...
    15 ปีที่ผ่านมา

Christian Blog

บล็อกวาไรตี้

เทคโนโลยี

ดาวน์โหลดโปรแกรมมาใหม่ล่าสุด |

วาไรตี้

ข่าวประจำวัน

สารบัญเว็บไทย

กินลม ชมทะเล ที่มาร์คเฮ้าส์บังกะโล เกาะกูด จ.ตราด

Thailand Map