Custom Search By Google

Custom Search

วันจันทร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ข้าไม่รู้จักพระเยซู

ข้าไม่รู้จักพระเยซู!
มัทธิว ๒๖.๓๐-๓๕

“ฝ่ายเปโตรนั่งอยู่นอกตึกที่ลานบ้าน มีสาวใช้คนหนึ่งมาพูดกับเขาว่า ‘แกได้อยู่กับเยซูชาวกาลิลีด้วยเหมือนกัน’ เปโตรได้ปฏิเสธต่อหน้าคนทั้งปวงว่า ‘ที่เจ้าว่านั้น ข้าไม่รู้เรื่อง’ เมื่อเปโตรได้ออกไปที่ประตูบ้าน สาวใช้อีกคนหนึ่งแลเห็นจึงบอกคนทั้งปวงที่อยู่ที่นั่นว่า ‘คนนี้ได้อยู่กับเยซูชาวนาซาเร็ธด้วย’ เปโตรจึงปฏิเสธอีกทั้งสาบานว่า ‘ข้าไม่รู้จักคนนั้น’
อีกครู่หนึ่ง คนทั้งหลายที่ยืนอยู่ใกล้ๆนั้นก็มาว่าแก่เปโตรว่า ‘เจ้าเป็นคนหนึ่งในพวกนั้นแน่แล้ว ด้วยว่าสำเนียงของเจ้าส่อตัวเอง’ เปโตรจึงสบถสาบานใหญ่ว่า ‘ข้าไม่รู้จักคนนั้น’ ทันใดนั้นไก่ก็ขัน เปโตรจึงระลึกถึงคำที่พระเยซูตรัสว่า ‘ก่อนไก่ขัน เจ้าจะปฏิเสธเราสามครั้ง’”

คำทำนาย
เมื่อเสร็จสิ้นจากอาหารมื้อปัสกาแล้วก็มีการร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า จากนั้นพระเยซูก็พาเหล่าสาวกออกไปที่ภูเขามะกอกเทศ และทรงบอกความจริงแก่พวกเขาว่า พระองค์จะถูกประหารชีวิตอย่างแน่นอน และบรรดาสาวกจะแตกกระจัดกระจายไปแต่พระองค์จะทรงฟื้นคืนพระชนม์ขึ้นมาใหม่ พอเปโตรได้ยินดังนั้นก็พูดสัญญาอย่างมั่นเหมาะว่า แม้คนทั้งปวงจะหนีไป แต่ข้าพระองค์จะไม่ทิ้งพระองค์เลย (ข้อ ๓๓)
แต่พระเยซูทรงล่วงรู้ถึงอนาคต และทราบภายในจิตใจของเปโตรดี จึงตรัสแก่เขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ในคืนวันนี้ก่อนไก่ขัน ท่านจะปฏิเสธเราสามครั้ง” แต่เปโตรก็ยังยืนยันอย่างแข็งขันว่า เป็นไปไม่ได้หรอก แม้ข้าพระองค์จะต้องตายก็ยอม และสาวกคนอื่นๆก็เลยลุยสาบานตามเปโตรด้วย

บทเรียนฝ่ายจิตวิญญาณ
คริสเตียนจะต้องระมัดระวังเกี่ยวกับคำมั่นสัญญา อย่าพูดอะไรพล่อยๆโดยไม่คิดว่ามันจะมีผลอะไรเกิดขึ้นในอนาคต เป็นการง่ายที่เราจะบอกใครต่อใครว่า เราได้มอบกายถวายชีวิตแด่พระเยซูคริสต์ แต่คำพูดจะมีความหมายก็ต่อเมื่อเราได้ผ่านเข้าไปในการทดลอง การกดขี่ข่มเหงและความทุกข์ยาก นั่นแหละจึงจะเป็นการพิสูจน์ว่า เรามีความเชื่อในพระองค์อย่างแท้จริงหรือไม่!
เมื่อไม่กี่ปีมานี้ มีชายคนหนึ่งพร้อมกับภรรยาและลูกสาวอีกสองคน ย้ายจากคริสตจักรอื่น และมาขอร่วมนมัสการที่โบสถ์ของเรา เขาอ้างว่าเคยเป็นนักธุรกิจ และทำบ้านจัดสรรที่ภาคใต้จนประสบความสำเร็จ แต่ยอมได้ถวายตัวเพื่อจะรับใช้พระเจ้า พร้อมกับสัญญากับเราว่า จะใช้ให้เขาทำอะไรก็ได้ ยินดีทำทุกอย่าง หัวหน้าครอบครัวนี้ดูมีแววและหน่วยก้านดี เราจึงติวพระคัมภีร์ชนิดเข้มข้นแก่เขาอยู่ราวสองปี แล้วให้โอกาสในการสอนและเทศนา เป็นผู้นำกลุ่มเซล และพาออกไปเยี่ยมเยียนคริสตจักรต่างๆ นี่เองทำให้เขาหยิ่งทะนงและชอบคุยโม้โอ้อวด(ราคาเกินจริง)ต่อหน้าคนอื่นๆว่า ‘ตนเองเป็นผู้รับใช้พระเจ้า’

ยิ่งต่อมาระยะหลังๆนี้ เขากลายเป็นคนที่คดในข้องอในกระดูก ฝักใฝ่การเมือง มีความทะเยอทะยานอยากได้อำนาจในคริสตจักร คิดวางแผนชั่วร้ายเพื่อล้มล้างศิษยาภิบาล งานรับใช้อย่างอื่นไม่ยอมทำ ต้องการแต่จะออกไปยืนอยู่ข้างหน้าที่ประชุม และอยากจะเทศนาสั่งสอนอย่างเดียว เราต้องอดทนต่อครอบครัวนี้อยู่เป็นเวลาหลายปี แต่ในที่สุดพระเจ้าก็ทรงเข้ามาจัดการทำให้เขาลาออกไปเอง

ในสวนเกทเสมนี
พระเยซูทรงรู้ดีว่าวาระสุดท้ายของพระองค์ใกล้เข้ามาถึงแล้ว คืนนั้นพระองค์จึงพาพวกสาวกเข้าไปในสวนเกทเสมนีเพื่ออธิษฐานต่อพระบิดา สวนแห่งนี้เป็นของพ่อค้าที่ร่ำรวยคนหนึ่ง ซึ่งสร้างไว้ให้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ คงจะคล้ายสวนลุมพินีหรือสวนหลวง ร.๙ ของไทยเรานั่นแหละ สวนเกทเสมนีไม่ใหญ่โตเท่าไหร่ กว้าง ๑๔๐ เมตรและยาวแค่ ๑๕๐ เมตรเท่านั้น

ทุกข์พระทัย พระคัมภีร์บันทึกว่า “พระเยซูทรงโศกเศร้าและหนักพระทัยนัก จึงตรัสแก่พวกสาวกว่า ใจเราเป็นทุกแทบจะตาย จงเฝ้าอยู่กับเราที่นี่เถิด” (ข้อ ๓๘) พระองค์ทรงรู้อย่างแน่ชัดว่า
ประการแรก จะได้รับความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสทางด้านร่างกาย
ประการที่สอง พระองค์จะถูกแยกจากพระบิดาเพราะความผิดบาปของมวลมนุษย์ ต้องสิ้นพระชนม์ที่บนไม้กางเขน
จะเห็นว่าพระเยซูทรงรับความกดดันอย่างหนักในฐานะของมนุษย์ มาระโกบันทึกว่า “พระองค์ทรงวิตกยิ่งและหนักพระทัยนัก” (มก. ๑๔.๓๓)
อธิษฐานด้วยน้ำพระเนตรไหล นายแพทย์ลูกาได้อธิบายถึงเหตุการณ์ตอนนี้ชัดเจนยิ่งขึ้นคือ “เมื่อพระองค์ทรงเป็นทุกข์มากนัก พระองค์ยิ่งปลงพระทัยอธิษฐาน พระเสโทของพระองค์เป็นเหมือนโลหิตไหลหยดลงมาถึงดินเป็นเม็ดใหญ่” (ลก. ๒๒.๔๔) “ฝ่ายพระเยซูขณะเมื่อพระองค์ทรงเป็นมนุษย์อยู่นั้น พระองค์ได้ทรงร้องอธิษฐานและทูลวิงวอนด้วยน้ำพระเนตรไหลต่อพระเจ้า ผู้ทรงสามารถช่วยพระองค์ให้พ้นจากความตายได้” (ฮร. ๕.๗)

ข้อคิด : พระเยซูทรงโศกเศร้า วิตกกังวล หนักพระทัย และเหงื่อไหลออกมาสีเหมือนเลือดเพราะใคร?
มิใช่เพราะความผิดบาปของพวกเราดอกหรือ?
ขอให้ถ้วยเลื่อนไป “พระองค์ซบพระพักตร์ลงถึงดินอธิษฐานว่า โอ พระบิดาของข้าพระองค์ ถ้าเป็นได้ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์เถิด แต่ถึงอย่างไรก็ดี อย่าให้เป็นตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์” (ข้อ ๓๙) มิใช่ว่าพระองค์พยายามจะหลีกเลี่ยง แต่ในฐานะที่พระองค์ทรงเป็นมนุษย์ถ้าสามารถที่จะปฏิเสธได้ก็เป็นการดี แต่ในอีกด้านหนึ่งพระองค์ก็ทรงพร้อมที่จะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า (เหมือนที่พระองค์ทรงเคยสอนไว้ในมัทธิว ๖.๑๐)
“ถ้วย” นั้นหมายถึงความทุกข์ ความเจ็บปวดรวดร้าวอย่างแสนสาหัส และการถูกพรากไปจากพระบิดา จะเห็นว่าความทรมานทางกายนั้นมันร้ายกาจยิ่งกว่าความตายเสียอีก นี่เป็นความจริง เพราะมีคริสเตียนหลายคนพร้อมที่จะตายเพื่อพระคริสต์ แต่เขาไม่พร้อมที่จะมีทนทุกข์เพื่อพระองค์ (ความตายเกิดขึ้นได้ในเวลาเพียงไม่กี่วินาที แต่การทนทุกข์ทรมานนั้นมันยาวนาน)
จงเฝ้าอธิษฐาน พระเยซูทรงเตือนบรรดาสาวกว่า “ท่านทั้งหลายจงเฝ้าระวังและอธิษฐาน เพื่อท่านจะไม่ต้องถูกทดลอง จิตใจพร้อมแล้วก็จริง แต่กายยังอ่อนกำลัง” (ข้อ ๔๑) เพราะก่อนหน้านี้พวกเขาเอาแต่ง่วงเหงาหาวนอน ซึ่งเราจะเห็นถึงสภาพจิตใจของซีโมนเปโตรที่ไม่พร้อมรับสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน (ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ได้พูดยืนยันอย่างแข็งขันว่า ยินดีที่จะตายกับพระองค์) เมื่อพวกศัตรูกรูกันเข้ามาจับกุมพระเยซูคริสต์ เปโตรคว้าดาบฟันฉับเข้าที่หูขวาของมัสคัสซึ่งเป็นทาสของมหาปุโรหิตประจำการ (ยน. ๑๘.๑๐)คริสเตียนที่รัก การอธิษฐานต่อพระเจ้าจะทำให้จิตใจของเราเข้มแข็งและเผชิญกับการทดลองได้!
พระเยซูตรัส “ด้วยว่าบรรดาผู้ถือดาบจะต้องพินาศเพราะดาบ” (ข้อ ๕๒) ในปัจจุบันก็เช่นกัน คนที่ถือปืนและนิวเคลียร์ จะต้องพินาศด้วยสิ่งเหล่านั้น แต่คนที่พึ่งพาอาศัยพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะประกอบด้วยความรักเมตตาและสันติสุข
ข้าไม่รู้จักคนนั้น
เมื่อพระเยซูถูกจับกุมและถูกสอบสวนที่บ้านของมหาปุโรหิตคายาฟาส เปโตรก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย เขาคิดว่าคงไม่มีใครสังเกตเห็น บังเอิญพวกสาวใช้ของบ้านนั้นและผู้คนจำเขาได้จึงทักว่า “แกได้อยู่กับเยซูชาวนาซาเร็ธนั้นด้วย” เปโตรถึงกับสะดุ้งเฮือกและปฏิเสธเสียงแข็งว่า “ที่เจ้าพูดนั้นข้าไม่รู้เรื่อง...ข้าไม่รู้จักคนนั้น!” (ข้อ ๗๐-๗๔)
เปโตรบอกถึงสามครั้งว่า
ไม่รู้จักพระเยซู!มันเป็นไปได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ที่คนบอกว่ารักพระเยซูและพร้อมที่จะพลีชีวิตเพื่อพระองค์ พอเอาเข้าจริงกลับบอกว่าไม่รู้จักเอาดื้อๆ อะไรเป็นเหตุทำให้เปโตรที่ได้ฉายาว่ามั่นคงดังศิลา กลับกลายเป็นไม้หลักปักเลนไปเสียแล้ว
ประการแรก เพราะเตรียมจิตใจไม่พร้อม ลืมตา(ฝ่ายจิตวิญญาณ)ไม่ขึ้น ซึ่งจะสังเกตได้ง่ายขณะที่พระองค์พาพวกสาวกไปที่สวนเกทเสมนีและบอกให้ใช้เวลาในการอธิษฐาน แต่พวกเขากลับพากันหลับใหล “เพราะลืมตาไม่ขึ้น” (ข้อ ๔๓) เปาโลได้บอกแก่ผู้เชื่อว่า จงอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ (๑ ธส. ๕.๑๘) อาจกล่าวได้ว่าไม่มีอะไรในชีวิตของคริสเตียนที่ยากเท่ากับการอธิษฐานเป็นประจำ ประการที่สอง เพราะไม่ติดตามพระเยซูไปอย่างใกล้ชิด แต่ ตามไปห่างๆ พระคัมภีร์บันทึกว่า “เปโตรได้ติดตามพระองค์ไปห่างๆ” (ข้อ ๕๘) จะเห็นว่าเขาไม่เหมือนกับพวกสาวกคนอื่นๆที่วิ่งหนีเตลิดและทิ้ง พระองค์ไป (ข้อ ๕๖) แต่ในขณะ เดียวกันเขาก็ไม่ได้ติดตามพระเยซูไปแบบก้าวต่อก้าว ก่อนหน้านี้พระเยซูได้บอกพวกสาวกว่า “เราเป็นเถาองุ่น ท่านทั้งหลายเป็นแขนง ผู้ที่เข้าสนิทอยู่ในเราและเราเข้าสนิทอยู่ในเขา ผู้นั้นจะเกิดผลมาก เพราะถ้าแยกจากเราแล้ว ท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย” (ยน. ๑๕.๕)คริสเตียนที่มักหลงทาง คือ พวกที่ตามพระเยซูไปห่างๆ!
ประการที่สาม เปโตรเป็นคริสเตียนอีแอบ นับตั้งวินาทีแรกที่พระเยซูถูกจับกุมไปสอบสวนที่บ้านของคายาฟาส เปโตรก็ซุ่มเงียบไม่เปิดเผยตัวและติดตามไป “...จนถึงลานบ้านของท่านมหาปุโรหิต และเข้าไปในลานบ้านกับคนใช้ของท่านมหาปุโรหิต จะคอยดูว่าเรื่องจะจบอย่างไร” (ข้อ ๕๘)
มีผู้เชื่อพระเจ้าจำนวนมากในปัจจุบันที่มีพฤติกรรมเหมือนเปโตร เขาอ้างว่าเชื่อในพระเจ้า แต่อาจจะเป็นเพราะความกลัว จึงไม่ยอมเปิดเผยตัวตนต่อสาธารณะชน เขาจะแอบอ่านพระคัมภีร์ แอบอธิษฐาน (เวลารับ ประทานอาหารนอกบ้าน) แอบมาโบสถ์ และแอบไปค่ายหรือร่วมกิจกรรมกับพี่น้องคริสเตียน
คุณคิดอย่างไรกับนักศึกษาหญิงระดับมหาวิทยาลัยคนหนึ่ง ที่รับเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว แต่ถูกทางบ้านต่อต้านและยื่นคำขาดเธอละทิ้งความเชื่อ เธอจึงฝากพระคัมภีร์ไว้ที่โบสถ์ และเวลาที่จะมานมัสการพระเจ้าในเช้าวันอาทิตย์ ก็จะบอกคุณแม่ว่าไปเรียนวิชาพิเศษ?
พระเยซูตรัสว่า ทุกคนที่ยอมรับเราต่อมนุษย์ บุตรมนุษย์จะยอมรับเขาต่อหน้าเหล่าทูตสวรรค์ของพระเจ้า แต่ถ้าผู้ใดไม่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราจะไม่ยอมรับผู้นั้นต่อหน้าเหล่าทูตสวรรค์ของพระเจ้า” (ลก. ๑๒.๘-๙) พระองค์ทรงหนุนใจว่า เมื่อคริสเตียนถูกจับกุมและถูกสอบสวน อย่าวิตกกังวลจะตอบว่าอย่างไร “เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงโปรดสอนท่านในเวลาโมงนั้นเองว่า ควรพูดอะไรบ้าง”
สรุป
หนังสืออธิบายพระคัมภีร์ บอกว่า การปฏิเสธของเปโตรมีสามขั้นตอน ขั้นแรกเขาวางตัวสับสนและพยายามจะเบี่ยงเบนความสนใจจากตัวเขาโดยเปลี่ยนเรื่อง ขั้นที่สองเขาสาบานว่า ไม่รู้จักพระเยซู ขั้นที่สามเขาปฏิเสธพระเยซูโดยคำสบถสาบาน
ผู้เชื่อที่ปฏิเสธพระเยซูมักจะเริ่มต้นด้วยการปฏิเสธอย่างแยบยลโดยทำเป็นไม่รู้จักพระองค์ เมื่อมีโอกาสถกเถียงกันเรื่องของศาสนาในประเด็นต่างๆ พวกเขาจะเลี่ยงเสียหรือแสร้งทำเป็นไม่รู้คำตอบ หากมีความกดดันเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย เขาก็จะสามารถถูกชักจูงให้ปฏิเสธความสัมพันธ์กับพระคริสต์เอาดื้อๆ หากคุณพบว่าตนเองมักจะหลีกเลี่ยงโอกาสที่จะพูดเรื่องพระคริสต์ ขอให้ระวังให้ดี คุณอาจจะอยู่บนเส้นทางที่จะปฏิเสธพระองค์
ผู้อ่านครับ คุณคิดว่าคริสเตียนที่ไม่ยอมอ่านพระคัมภีร์ ไม่อธิษฐาน ไม่เป็นพยานและประกาศข่าวประเสริฐ อยู่ในกลุ่มคนที่ปฏิเสธพระเยซูด้วยหรือไม่?.

ขอพระเจ้าอวยพระพรพี่น้องทุกท่านครับ

'www.thaisermons.com'

ไม่มีความคิดเห็น:

My Blog

  • วินัยของน้องหมา (ข้างถนน) - วันที่ 18/8/2011 เช้านี้ขณะที่รถติดไฟแดงอยู่บริเวณสี่แยกสามย่าน ซึ่งเบื้องหน้าเป็นจามจุรีสแควร์นั้น พลันก็เหลือบเห็นน้องหมาตัวหนึ่งเดินข้ามทางม้าลายด้วยอ...
    12 ปีที่ผ่านมา
  • บทความคริสเตียน - บทความคริสเตียน http://www.gracezone.org/index.php/christian-articles บทความทางด้านจิตวิญญาณ หลักข้อเชื่อ พระเจ้า พระคัมภีร์ พระเจ้า พระคัมภีร์ แนวทางในการ...
    15 ปีที่ผ่านมา
  • คริสเตียนกับการรับใช้พระเยซู - คริสเตียนกับการรับใช้พระเยซู วัน พุธ 08 ต.ค. 08@ 17:47:37 ICT หัวข้อ: สรุปคำเทศนาประจำอาทิตย์ ดร.ทะนุ วงค์ธนานุกุล วัน อาทิตย์ ที่ 21 กันยายน 2008 พระธร...
    15 ปีที่ผ่านมา
  • - แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้องจะนมัสการพระบิดา ด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้...
    15 ปีที่ผ่านมา

Christian Blog

บล็อกวาไรตี้

เทคโนโลยี

ดาวน์โหลดโปรแกรมมาใหม่ล่าสุด |

วาไรตี้

ข่าวประจำวัน

สารบัญเว็บไทย

กินลม ชมทะเล ที่มาร์คเฮ้าส์บังกะโล เกาะกูด จ.ตราด

Thailand Map