Custom Search By Google

Custom Search

วันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

คริสตจักรเอเฟซัส

'www.thaisermons.com'
คริสตจักรเอเฟซัส วว. ๒.๑-๗

คำนำ
ในวิวรณ์บทที่ ๒-๓ เป็นจดหมายจากพระเยซูคริสต์ผ่านทางนิมิตของยอห์น ส่งไปถึงคริสตจักรทั้ง ๗ แห่งในเอเชียไมเนอร์ มลฑลหนึ่งของอาณาจักรโรมัน คริสตจักร ekklesia (เอกคลีเซีย) หมายถึง (๑) ผู้ที่ถูกเรียกออกมาโดยเฉพาะ (๒) ผู้ที่เชื่อในพระเยซูทุกคนซึ่งเป็นพระกายของพระคริสต์ (ไม่ได้หมายถึงตัวอาคารหรือโบสถ์)

มธ. ๑๖.๑๙ คริสตจักร “ตั้งโดยพระเยซูคริสต์” เป็นที่รวมของผู้เชื่อทุกคน ทุกชั้นวรรณะ และไม่มีอะไรทำลายคริสตจักรได้ คริสตจักรไม่ได้ขึ้นอยู่ความสวยของตัวอาคาร มิใช่อยู่ที่ใหญ่หรือเล็ก แต่สำคัญที่จิตวิญญาณของผู้เชื่อที่อยู่ในคริสตจักรนั้น (พระธรรมกิจการคริสตจักรสมัยแรกเริ่มต้นประชุมกันตามบ้าน)

คริสตจักรทั้งเจ็ดแห่ง
คริสตจักรทั้งเจ็ด พระเยซูทรงเขียนจดหมายไปถึงเอเฟซัส, สเมอร์นา, เปอร์กามัม, ธิยาทิรา, ซาร์ดิส, ฟีลาเดลเฟียและเลาดีเซีย บางคนถามว่า “ทำไมเขียนไปถึงแค่เจ็ดแห่งเท่านั้น?”

ประการแรก ตัวเลขในพระธรรมวิวรณ์ เลขสาม-หมายถึงพระเจ้า (๔.๘) เลขสี่-หมายถึงแผ่นดินโลก (๔.๖-๗) ตัวแทนของสิ่งมีชีวิต (๗.๑) เลขหก-หมายถึงมนุษย์และปฏิปักษ์ของพระคริสต์ (๑๓.๑๘) เลขเจ็ด-คือเลขครบบริบูรณ์ (๑.๑๒, ๑๖, ๒๐,๔.๕) เลขสิบสอง-หมายถึงคนของพระเจ้า, มี๑๒เผ่าและสาวกของพระเยซูคริสต์มี ๑๒ คน
ประการที่สอง คริสตจักรทั้งเจ็ดแห่งเป็นตัวแทนของทุกคริสตจักรในโลก วันนี้พระเยซูต้องการตรัสกับพวกเราคริสเตียนโดยตรง โปรดลองอ่านดูว่าเราเป็นคริสตจักรแบบไหน?

เมืองเอเฟซัสศตวรรษที่ ๑
เอเฟซัสเป็นเมืองใหญ่ และเป็นเมืองท่าสำคัญ มีโรงละครจุคนได้ ๒.๕ หมื่นคน มีชื่อเสียงทางด้านศาสนา วิหารพระกรีกอารเทมิส (Artemis) หรือพระโรมันไดอาน่า (Diana) วิหารเป็นสิ่งหนึ่งในเจ็ดมหัศจรรย์ของโลก ผลิตวัตถุมงคลขายนักท่องเที่ยว

ตัวอย่าง : เหมือนกับความเชื่อของคนไทย ที่บางส่วนรับมาจากอินเดีย ฮินดูและพราหมณ์ บางส่วนรับมาจากผี ที่เชื่อในเรื่องของรูปเคารพและเครื่องรางของขลัง เชื่อในเรื่องกษัตริย์เป็นสมมุติเทพ เทพอวตาร และเชื่อว่าเป็นพระรามกลับชาติมาเกิด
กจ. ๑๙.๑๑-๔๑ เปาโลประกาศที่เมืองเอเฟซัส ขับผี รักษาโรค และมีคนรับเชื่อ เผาตำราไสยศาสตร์เวทมนต์ แต่มีพวกค้าวัตถุมงคลต่อต้านอย่างรุนแรง ถึงกับเดินขบวนประท้วงและจับตัวบางคนเป็นประกัน
เจ้าของคริสตจักร
“พระองค์ผู้ทรงถือดาวทั้งเจ็ดไว้ในพระหัตถ์เบื้องขวา และดำเนินอยู่ท่ามกลางคันประทีปทองคำทั้งเจ็ดตรัสว่า...” (๒.๑)
๑.ดาวทั้งเจ็ด หมายถึงทูตสวรรค์ประจำคริสตจักร
๒.คันประทีปหมายถึงคริสตจักร จะต้องมีไฟและจุดสว่างอยู่เสมอ พระเยซูตรัส “เราเป็นความสว่างของโลก” (ยน. ๘.๑๒) บอกคริสเตียนว่า “ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก” (มธ. ๕.๑๔)
๓.ทรงถือ krateo (คราเทโอ) หมายถึงจับ, ถือ,ฉุด,กุมไว้, ติดแน่น, ถือไว้อย่างมั่นคง(ฮร. ๔.๑๔, ๒ ธส. ๒.๑๕) พระเยซูทรงจับผู้เชื่อไว้แน่นไม่ปล่อย (๒.๑) ในขณะเดียวกันขอให้เรายึดพระนามของพระองค์ไว้มั่น(วว. ๒.๑๓)

ข้อคิด : พระเยซูทรงจับผมและคุณไว้แน่น ไม่ยอมปล่อยให้หลุดมือไป

ตัวอย่าง : เหตุที่พระเอกมิตร ชัยบัญชาเสียชีวิตขณะถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องอินทรีทอง เพราะเกาะบันไดเชือกของเฮลิคอปเตอร์ จับไม่แน่นจึงพลัดตกลงมา
๔.พระเยซูทรงดำเนินอยู่ท่ามกลางคริสตจักร แสดงถึงความเป็น “เจ้าของ” คริสตจักรเป็นของพระคริสต์มิใช่ของนายธวัช (หรืออาจารย์คนหนึ่งคนใด) ลวต. ๒๖.๑๒ พระเจ้าตรัสว่า “เราจะดำเนินในหมู่พวกเจ้า และจะเป็นพระเจ้าของเจ้า และเจ้าจะเป็นประชากรของเรา”

คำชมเชยคริสตจักร
“เรารู้แนวการกระทำของเจ้า รู้ความเหนื่อยยากและความอดทนของเจ้า และรู้ว่าเจ้าไม่สามารถทนต่อทุรชนได้ เจ้าได้ลองใจคนเหล่านั้นที่อวดว่าเป็นอัครทูต แต่หาได้เป็นไม่ และเจ้าก็เห็นว่าเขาเป็นคนมุสา เรารู้ว่าพวกเจ้ามีความอดทน เหนื่อยยากเพราะเห็นแก่นามของเรา และมิได้อ่อนระอาไป” (๒.๒-๓)
พระคัมภีร์ตอนนี้บอกว่า พระเยซูทรงรู้อะไรบ้าง?
นี่เป็นคำหนุนใจพวกเราคริสเตียนทุกคน
๑.พระเยซูทรงรู้จักแนวทางวิถีการดำเนินชีวิตประจำวันของเรา
๒.ทรงรู้ถึงความเหนื่อยยากของเรา kopos (คอพอส) การงานอันเหน็ดเหนื่อยที่กระทำเพื่อพระเจ้า ทำแบบสุดจิตสุดใจจนสิ้นเรี่ยวแรง เปาโลบอกว่ามารีย์เป็นตัวอย่างในการรับใช้ (รม. ๑๖.๖) ถ้าเราทำแบบขอไปทีทำเพราะถูกบังคับหรือขอร้อง เราก็จะไม่ได้รับพระพรเลย!
๓.ทรงรู้ถึงความอดทนของเรา hopomone (ฮูโพโมเน) หมายถึงมีความเพียร, สู้ทน, มีความทรหดที่สุด (คส. ๑.๑๑) หนักแน่นมั่นคง พระเยซูตรัสว่าทางของพระเจ้าเป็นทางแคบ มีคนเดินน้อย (คนเหนือพูดว่า “เดินทางเตียนวนลงนรก เดินทางรกวกขึ้นสวรรค์”) พระเยซูตรัสว่า “ผู้ใดทนได้ถึงที่สุด ผู้นั้นจะรอด”
๔.พิสูจน์ผู้สอนเท็จ “ทุรชน” เขาอ้างว่าเป็นอัครทูตแต่ที่จริงเป็นคนมุสา คนเหล่านี้ไม่เพียงโกหกแต่ชอบหลอกลวง เอาเรื่องพระเจ้าไปขายกิน เป็นพวกสุนัขป่าอันร้ายกาจที่ทำลายฝูงแกะของพระเจ้า (กจ. ๒๐.๒๙)
๕.มิได้อ่อนระอาไป “เจ้าทนยากลำบากเพื่อเรา และเจ้าก็ไม่ยอมเลิกราไป” (ประชานิยม)

ข้อต่อว่าคริสตจักร
“แต่เรามีข้อที่จะต่อว่าเจ้าบ้าง คือว่าเจ้าได้ละทิ้งความรักดั้งเดิมของเจ้า” (๒.๔)
หนึ่ง ความรักของคริสเตียนต่อพระเจ้า
สองต่อพี่น้องคริสเตียนก็เยือกเย็นลง
สามความรักต่อเพื่อนร่วมโลก เวย์เม้าท์แปลข้อนี้ว่า “เจ้าไม่ได้รักเราอีกต่อไปแล้ว” แต่มอฟแฟทแปลว่า “เจ้าได้เลิกรักซึ่งกันและกันเสียแล้ว”
ตัวอย่าง
ความรักของยาโคบต่อราเชล “เจ็ดปีเป็นเหมือนน้อยวัน” (ปฐก. ๒๙.๒๐) ความรักของเราต่อพระเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? ไอสไตน์ได้อธิบายทฤษฎีสัมพันธ์ “ถ้าเราอยู่กับคนที่รักห้าชั่วโมงเป็นเหมือนห้านาที แต้ถ้าอยู่กับคนที่เกลียดชัง ห้านาทีก็เหมือนกับห้าชั่วโมง”

สรุป
วว.๒.๕ ให้ระลึกถึงสภาพเดิม, ให้กลับใจเสียใหม่, ให้ประพฤติเหมือนเดิม
วว. ๒.๗ ผู้ใดมีชัยชนะ จะได้กินผลจากต้นไม้แห่งชีวิตในอุทยานของพระเจ้า.

น้ำหนึ่งใจเดียวกัน

'www.thaisermons.com'
ข้อความ:ธวัช เย็นใจ

น้ำหนึ่งใจเดียวกัน
สดด. ๑๓๓.๑-๖

คำนำ
บทประพันธ์ของกษัตริย์ดาวิด หัวข้อของพระคัมภีร์บทนี้คือ “พระพรแห่งความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน”
นี่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคริสเตียน/คริสตจักร/คนของพระเจ้า KJV. Unity นักเทศน์ท่านหนึ่งได้อธิบายเรื่องของ
(๑) Union คือเชื่อมต่อกัน เหมือนท่อเหล็ก หรือท่อประปา
(๒) Unity ความกลมกลืนเป็นเนื้ออันเดียวกัน
(๓) Uniform ใส่ชุดเหมือนกัน (แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน)

พระคัมภีร์บทนี้คนอิสราเอลได้ขับร้องในเทศกาลสำคัญ ขณะเดินจากลานเข้าสู่พระวิหารของพระเจ้าในกรุงเยรูซาเล็ม คนยิว ๑๒ เผ่าจากทุกที่ทุกแห่งมารวมตัวกันแสดงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเพื่อ “นมัสการพระเจ้า”

ตัวอย่าง : สับปะรดนางแลที่เชียงรายนับว่ารสชาติดีอยู่แล้ว แ ต่เมื่อผสมพันธุ์ของสับปะรดภูเก็ตก็ดียิ่งขึ้น เอาทั้งสองพันธุ์มารวมกันเป็นสับปะรด “ภูแล” พี่น้องอยู่ด้วยกัน

“ดูเถิด ซึ่งพี่น้องอาศัยอยู่ด้วยกัน มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ก็เป็นการดีและน่าชื่นใจมากสักเท่าใด”

(ข้อ ๑) นี่เป็นคำชักชวนและโน้มน้าวให้ดูบางสิ่งบางอย่างที่เกิดขึ้นในกลุ่มผู้เชื่อในพระเจ้า (พี่น้อง-God’s people) ที่มิใช่เป็นเหตุการณ์แบบปกติธรรมดาตัวอย่าง : พี่น้องที่รักกันยาก คือคาอินกับอาแบล, เอซาวกับยาโคบ, โยเซฟกับพวกพี่ชายสิบคน

๑.น้ำหนึ่งใจเดียวกัน

ความเป็นเอกภาพ สามัคคีกลมเกลียว ซึ่งรวมกันได้ในท่ามกลางความแตกต่างกันทางด้านเชื้อชาติ ฐานะ ผิวพรรณ การศึกษา และเบื้องหลังชีวิต - พระเยซูอธิษฐานให้สาวกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันถึง ๕ ครั้ง (ยน. ๑๗)
- คริสตจักรสมัยแรกเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็วเพราะมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน (กจ. ๔.๓๒)
- เปาโลขอให้พี่น้องคริสเตียนชาวโรมัน “จงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน” (รม. ๑๒.๑๖)
- ท่านบอกแก่คริสเตียนฟีลิปปีด้วย และดีใจที่เห็นผู้เชื่อมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน (ฟป. ๑.๒๗)

ตัวอย่าง : ห่านป่ามินเนโซต้า จะบินเป็นรูปตัววี ซึ่งสามารถทำให้มันบินได้ไกลขึ้นอีก ๘๐% และจะผลัดเปลี่ยนกันนำการบิน ส่วนตัวที่อยู่ข้างหลังจะร้องเชียร์กันตลอดเวลา

บทเรียนคือ
หนึ่งคริสเตียนทุกคนมีทิศทางเดียวกัน
สองคริสตจักรมีผู้นำหลายระดับ
สามผลัดเปลี่ยนกันนำ
สี่ผู้เชื่อจะสนับสนุนกัน

๒.ผลลัพธ์ความเป็นหนึ่งเดียว

เป็นการดีและน่าชื่นใจ เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า (wonderful and harmony LBI-ช่างอัศจรรย์และสวยงามเหลือเกิน!) “รวมกันเราอยู่ แยกกันเราตาย” (ชาวโลกบอกว่า “รวมกันเราตายหมู่ แยกกันอยู่เราตายเดี่ยว”) มีเพลงไทยลูกกรุงสมัยก่อน เนื้อร้องตอนหนึ่งว่า “รักกันอยู่ขอบฟ้าเขาเขียว เสมือนอยู่หอแห่งเดียวรวมห้อง...”ภาพพจน์ของน้ำหนึ่งใจเดียว

๑.น้ำมันประเสริฐ
น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ในพิธีเจิมบนศีรษะปุโรหิตอาโรน – เล็งถึงชีวิตที่ประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ โดยเริ่มต้นที่ผู้นำฝ่ายวิญญาณก่อน เช่น ศิษยาภิบาล อาจารย์ ผู้ปกครอง และมัคนายก (อฟ. ๕.๑๘) ไหลลงบนหนวดเครา หมายถึงผู้ใหญ่ ผู้มีสติปัญญา น่าเคารพนับถือ ไหลลงบนคอเสื้อ ที่คอเสื้อนั้นมีคำจารึกของคนทั้ง ๑๒ เผ่า
น้ำมันมีกลิ่นหอม : ๒ คร. ๓.๑๕ “เพราะว่าเราเป็นกลิ่นอันหอมหวานที่พระคริสต์ถวายแด่พระเจ้า” ยังจำได้ไหมในพระคัมภีร์ใหม่ มีหญิงชั่วคนหนึ่งเอาน้ำหอมอย่างดีมาชโลมพระบาทพระเยซูและเอาผมเช็ด กลิ่นฟุ้งไปทั้งเรือน
ตัวอย่าง :เมื่อไม่นานมานี้ มีโฆษณาชิ้นหนึ่งทางทีวี ที่มีเต่าตัวหนึ่งเดินตามหญิงสาวคนหนึ่งและเรียกเธอว่า “แม่” เพราะเธอมีกลิ่นรักแร้แรงเหลือเกิน!!

๒.น้ำค้าง
“น้ำค้างของภูเขาเฮอร์โมน ซึ่งตกลงบนเทือกเขาศิโยน” (ข้อ ๓) เฮอร์โมนเป็นภูเขาที่สูงสุดในอิสราเอล ที่มีหิมะปกคลุมอยู่ตลอดปี ความร่วมเย็นเป็นสุขอยู่เบื้องบน ไหลลงมายังเมืองแห่งประชากรของพระเจ้า(ศิโยน)คริสตจักรจึงเต็มด้วยน้ำค้างแห่งพระพร-มิใช่เต็มไปด้วยน้ำลาย!

สรุป พระคัมภีร์กล่าวถึงความเป็นอันหนึ่งเดียวของคริสเตียน- คงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว อฟ. ๔.๓-๖ เปาโลบอกว่า ผู้เชื่อจะต้องรักษาความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันไว้ henotes อฟ. ๔.๑๓ ใช้คำเดียวกัน
(๑) เรามีกายเดียว
(๒) มีพระวิญญาณองค์เดียว
(๓) มีความหวังเดียว
(๔) มีพระเจ้าองค์เดียว
(๕) มีความเชื่อเดียว
(๖) มีบัพติสมาเดียว

๑ ปต. ๓.๘ เปโตรบอกให้พี่น้องคริสเตียนที่ทนทุกข์ยาก “จงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน” (homophron) - พระพรของพระเจ้าจะหลั่งลงมา “เพราะว่าพระเจ้าทรงบังคับบัญชาพระพรที่นั่น คือชีวิตจำเริญเป็นนิตย์” (ข้อ ๓)

ขอพระเจ้าทรงเสริมกำลังทุกท่าน
ไทยเซอร์มอน

วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

Becoming R12 Christian (5)‏

V. Supernaturally Respond to Evil

"14 จงอวยพรแก่คนที่เคี่ยวเข็ญท่าน จงให้พร อย่าแช่งด่าเลย
15 จงชื่นชมยินดีกับผู้ที่มีความชื่นชมยินดี จงร้องไห้กับผู้ที่ร้องไห้
16 จงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน อย่าใฝ่สูง แต่จงถ่อมใจลงยอมทำการต่ำ {หรือ จงคบคนสามัญ} อย่าถือว่าตัวฉลาด
17 อย่าทำชั่วตอบแทนชั่วแก่ผู้หนึ่งผู้ใดเลย แต่จงมุ่งกระทำสิ่งที่ใครๆ ก็เห็นว่าดี
18 ถ้าเป็นได้ คือเท่าที่เรื่องขึ้นอยู่กับท่าน จงอยู่อย่างสงบสุขกับทุกคน
19 ดูก่อน ท่านผู้เป็นที่รักของข้าพเจ้า อย่าทำการแก้แค้น แต่จงมอบการนั้นไว้ แล้วแต่พระเจ้าจะทรงลงอาชญา เพราะมีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า "การแก้แค้นเป็นของเรา เราเองจะตอบสนอง"
20 อย่าแก้แค้นเลย ถ้าศัตรูของท่านหิว จงให้อาหารเขารับประทาน ถ้าเขากระหายน้ำ ก็จงให้น้ำเขาดื่ม เพราะว่าการทำอย่างนั้น เป็นการสุมถ่านที่ลุกโพรงไว้บนศีรษะของเขา
21 อย่าให้ความชั่วชนะเราได้ แต่จงชนะความชั่วด้วยความดี" (โรม 12:14-21)

"43 ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า จงรักคนสนิท และเกลียดชังศัตรู
44 ฝ่ายเราบอกท่านว่า จงรักศัตรูของท่าน และจงอธิษฐานเพื่อผู้ที่ข่มเหงท่าน
45 ทำดังนี้แล้ว ท่านทั้งหลายจะเป็นบุตรของพระบิดาของท่าน ผู้ทรงสถิตในสวรรค์ เพราะว่าพระองค์ทรงให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ ขึ้นส่องสว่างแก่คนดีและคนชั่วเสมอกัน และให้ฝนตก แก่คนชอบธรรมและคนอธรรม
46 แม้ว่าท่านรักผู้ที่รักท่าน จะได้บำเหน็จอะไร ถึงพวกเก็บภาษีก็ยังกระทำอย่างนั้นมิใช่หรือ
47 ถ้าท่านทักทายแต่พี่น้องของตนฝ่ายเดียว ท่านได้กระทำอะไรเป็นพิเศษยิ่งกว่าคนทั้งปวงเล่า ถึงคนต่างชาติก็กระทำอย่างนั้นมิใช่หรือ
48 เหตุฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงเป็นคนดีรอบคอบ เหมือนอย่างพระบิดาของท่าน ผู้ทรงสถิตในสวรรค์ เป็นผู้ดีรอบคอบ" (มัทธิว 5:43-48)

สิ่งเหล่านี้ โดยเฉพาะ "การรักศัตรู" เป็นสิ่งที่ยาก และแท้ที่จริงแล้ว เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่ก็เป็นสิ่งที่พระเจ้าสั่งให้เราทำ

พระเจ้าไม่อยากให้เราแก้แค้นผู้ที่ทำผิดต่อเรา เพราะเมื่อไรก็ตามที่เราทำกลับไป มีโอกาสที่เราจะทำหนักกว่าที่เราถูกกระทำ เพราะเราไม่รู้ขอบเขต และเราก็จะเป็นเหมือนเขา ล่วงเกินเขา ซึ่งเมื่อใดก็ตามที่เราทำกลับเขาเกินกว่าที่เขาทำกับเรา นี่ก็จะเป็นสิ่งที่เราทำผิดต่อเขา

นอกจากนี้ เราไม่มีทางรู้ทั้งหมดในชีวิตของเขา จึงขอที่เราจะไม่ตัดสินเขา

การที่เราจะทำดีสนองการชั่ว ก็เพื่อที่จะเกิดโอกาสที่เขาจะกลับใจจากสิ่งที่เขาทำผิดนั้น

เมื่อเราถูกกระทำ เมื่อมีผู้ที่ทำผิดต่อเรา วิธีที่ดีที่สุด ก็คือ ปลีกตัวอยู่คนเดียว และพูดกับพระเจ้าผู้เดียว อย่าไปพูดกับใคร แล้วเราจะได้เห็นฤทธิ์เดชของพระเจ้าจริง ๆ



คำถาม 5 คำถาม

อยากจะให้เรามีโอกาสที่จะใคร่ครวญคำถามเหล่านี้ในชีวิตของเราเสมอ

เราให้ทั้งหมดกับพระเจ้าแล้วหรือยัง?

เราใกล้พระเจ้า หรือใกล้มนุษย์? มีแค่ 2 คำตอบเท่านั้น

เราเป็นลูกพระเจ้าหรือไม่? เราได้คุยกับคุณพ่อทุกวันหรือไม่?

เรารับใช้ด้วยความรัก ด้วยความรักที่แท้จริงหรือไม่?

มีใครที่เป็นศัตรูของเรา ที่เรารักเขาไม่ได้หรือไม่?



มน. จรียา ทวีแสงสกุลไทย

คำแบ่งปันคณะเพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 26/04/2009

เรื่อง Becoming R12 Christian

Becoming R12 Christian (4)‏

IV. Serve in Love

"9 จงรักด้วยใจจริง จงเกลียดชังสิ่งที่ชั่ว จงยึดมั่นในสิ่งที่ดี
10 จงรักกันฉันพี่น้อง ส่วนการที่ให้เกียรติแก่กันและกันนั้น จงถือว่าผู้อื่นดีกว่าตัว
11 อย่าอ่อนระอา จงมีจิตใจกระตือรือร้นด้วยพระวิญญาณ จงปรนนิบัติองค์พระผู้เป็นเจ้า
12 จงชื่นชมยินดีในความหวัง จงอดทนต่อความยากลำบาก จงขะมักเขม้นอธิษฐาน
13 จงเห็นอกเห็นใจช่วยธรรมิกชน เมื่อเขาขัดสน จงมีน้ำใจอัธยาศัยไมตรี" (โรม 12:9-13)

จากพระธรรมตอนนี้ ได้สอนเราว่าท่าทีในการรับใช้ของเราจะต้องเป็นอย่างไร

9 --> The real you คือ ไม่มีหน้ากาก รักกันและกัน ให้เกียรติกันและกัน

10 --> Meets real needs รักกันฉันพี่น้อง ให้เกียรติซึ่งกันและกัน ถือ

11 --> For the right reason เราต้องทำ คือ เพื่อปรนนิบัติพระเจ้า

12 --> In the right way เราจะต้องทำด้วยความชื่นชมยินดี

สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนยาก ซึ่งถ้าหากเราใช้กำลังของเรา ก็จะเป็นสิ่งที่ยาก เพราะเราจะกระทำด้วยกำลังของตัวเองไม่ได้ แต่เมื่อเราเชื่อฟังพระเจ้า พึ่งพากำลังจากพระเจ้า สิ่งนี้ก็เป็นสิ่งที่ง่าย

เรารับใช้พระเจ้า ถ้าหากเรารับใช้พระเจ้าแล้วได้คำชม ก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าได้รับคำติ ก็ยิ่งดี เพราะว่าเราได้รับใช้พระเจ้า และการรับใช้เราถวายเกียรติแด่พระเจ้า ผู้อื่นจะรับหรือไม่ ไม่เป็นไร แต่ถ้าเราให้เต็มที่กับพระเจ้าแล้ว พระเจ้าก็ได้รับเกียรติ

ความรักที่สมบูรณ์ คือ การที่เราจะให้สิ่งที่ผู้รับต้องการมากที่สุด แต่ผู้รับไม่สมควรที่จะได้รับ และเราจะต้องเสียสละสิ่งสำคัญของเราให้แก่เขา

พระเยซูคริสต์ทรงเป็นแบบอย่างของความรักเช่นนี้ พระองค์ทรงยอมสละพระชนม์ของพระองค์ เพื่อประทานความรอดแก่เรา แม้ว่าเราจะไม่สมควรที่จะได้รับ

ถ้าเราไม่ทำในสิ่งที่ควรทำ ในเวลาที่เราจะต้องทำ นี่แหละ ที่เรียกว่า "ความขี้เกียจ" สิ่งนี้เป็นบาปเช่นกัน

มีเรื่องเล่าว่า อาของซาตาน สอนหลานซาตาน ถึงวิธีที่ขัดขวางผู้ที่สนใจ ไม่ให้มาเชื่อในพระเยซูคริสต์เจ้า และก็ได้สอนถึงเคล็ดลับ วิธีที่จะทำให้ผู้สนใจ ออกจากทางของพระเจ้า ก็คือ การทำให้ชีวิตของเขาราบเรียบ แต่ว่าค่อย ๆ slope ลง นี่แหละ จะทำให้เขาไม่สนใจเรื่องพระเจ้า และในที่สุด ชีวิตของเขาก็จะตกต่ำ สิ่งนี้จะทำให้มนุษย์ไม่ต้องการพระเจ้า



มน. จรียา ทวีแสงสกุลไทย

คำแบ่งปันคณะเพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 26/04/2009

เรื่อง Becoming R12 Christian

Becoming R12 Christian (3)‏

III. Sober in Self-assessment

"3 ข้าพเจ้าขอกล่าวแก่ท่านทั้งหลายทุกคนโดยพระคุณ ซึ่งทรงประทานแก่ข้าพเจ้าแล้วว่า อย่าคิดถือตัวเกินที่ตนควรจะคิดนั้น แต่จงคิดให้ถ่อมสุขุมสมกับขนาดความเชื่อ ที่พระเจ้าได้ทรงโปรดประทานแก่ท่าน
4 เพราะว่า ในร่างกายอันเดียวนั้น เรามีอวัยวะหลายอย่าง และอวัยวะนั้นๆ มิได้มีหน้าที่เหมือนกันฉันใด
5 พวกเราผู้เป็นหลายคนยังเป็นกายอันเดียวในพระคริสต์ และเป็นอัวยวะแก่กันและกันฉันนั้น
6 และเราทุกคนมีของประทานที่ต่างกัน ตามพระคุณที่ได้ประทานให้แก่เรา คือถ้าเป็นการเผยพระวจนะ ก็จงเผยตามกำลังความเชื่อ
7 ถ้าเป็นการปรนนิบัติก็จงปรนนิบัติ ถ้าเป็นการสั่งสอนก็จงสั่งสอน
8 ถ้าเป็นการเตือนสติก็จงเตือนสติ ถ้าเป็นการบริจาคก็จงให้ด้วยใจกว้างขวาง ผู้ที่ครอบครองก็จงครอบครองด้วยเอาใจใส่ ผู้ที่แสดงความเมตตา ก็จงแสดงด้วยใจยินดี" (โรม 12:3-8)

สิ่งที่เราควรจะถามตัวเอง ก็คือ

เราเป็นใคร? เราเป็นลูกของพระเจ้า

เราเป็นของสิ่งใด? พระเจ้าสร้างเราให้อยู่ในชุมชนในคริสตจักร อยู่เป็นครอบครัว มีส่วนร่วมในชุมชนนั้น

สิ่งใดที่เราควรจะทำ? เราควรจะเป็นผู้ให้ เพราะการให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ

เราทุกคนมีของประทานที่แตกต่างกัน ของประทานเหล่านี้ เป็นสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทรงประทานให้แก่มนุษย์ เป็นฤทธิ์เดช เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ อัศจรรย์ ไม่ใช่กำลังของเรา แต่เป็นกำลังที่มาจากพระเจ้า เป็นสิ่งที่เราจะต้องรับ และพัฒนาและใช้ตามน้ำพระทัยของพระเจ้า แต่ถ้าเราทำในสิ่งที่ไม่ใช่ตามของประทานที่พระเจ้าให้ เรากำลังจะทำงานของคนอื่น เพราะทุกคนมีของประทานของตัวเอง ขอที่เราจะรับใช้ตามของประทานที่เราได้รับ

สิ่งที่อยากจะให้เข้าใจ ก็คือ

เราทุกคน พระเจ้าสร้างมา ไม่มีใครแทนใครได้ ทุกคนถูกสร้างมาเป็นพิเศษ ไม่เหมือนใคร

พระเจ้าให้เราแต่ละคนอยู่ร่วมกัน เพื่อเป็นครอบครัวเดียวกัน

พระเจ้าให้ของประทานเพื่อเราจะสามารถทำให้พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จ



มน. จรียา ทวีแสงสกุลไทย

คำแบ่งปันคณะเพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 26/04/2009

เรื่อง Becoming R12 Christian

มิตรภาพกับคนรอบกาย

มิตรภาพกับคนรอบกาย
draft2 นพ.สุทิตต์ กุลสรรค์ศุภกิจ 250509

• ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับผู้อื่น เป็นสิ่งที่น่าเรียนรู้ น่าศึกษาเป็นอย่างยิ่ง
• เราไม่สามารถอยู่คนเดียวได้ในโลกนี้
• การอยู่ร่วมกันอย่างเหมาะสม จึง ควรจะ
o ไม่ก่อปัญหา ทั้งกับตัวเราและกับผู้อื่น
o เสริมสร้าง เกื้อกูล หนุนใจ
o มีความสุข
• เมื่อรู้จักพระเจ้า พระองค์เข้ามาเปลี่ยนความคิดของเรา ในความสัมพันธ์ และการอยู่ร่วมกับคนอื่น
• ดูจากต้นแบบในชีวิตของพระเยซู ทรงเป็นแบบอย่าง ในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น
• ดูแบบอย่างจากพฤติการณ์ ย้อนกลับไปที่ท่าที ความคิดที่ถูกต้องต่อผู้อื่น ทั้งคนที่เรารู้จักและไม่รู้จัก
• เราจะเรียนรู้ประพฤติปฏิบัติตามได้อย่างเป็นพร หากมีพระเยซูคริสต์เป็นศูนย์กลางก่อน มอบถวายชีวิตก่อน แล้วนำมาประพฤติปฏิบัติจริงในชีวิต เหมือนกับที่พระองค์เป็นแบบให้กับเรา

1. เรียนรู้ที่จะรักผู้อื่น
• คนปกติรักตัวเองอยู่แล้ว เรื่องรักตัวเองจึงไม่จำเป็นต้องสอน
• แต่การรู้จักรักผู้อื่น จึงเป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้
• ความรักเป็นพลังขับเคลื่อนแท้ ในความสัมพันธ์กับคนอื่น
• แสดงออกทั้งคำพูดและการกระทำ
• ถ้าทำโดยไม่มีรากที่ความรัก จะทำให้ความสัมพันธ์นั้น
o ทำได้ไม่นาน
o ทำแล้วทุกข์
• ถ้าทำด้วยรักจะทำอย่างมีความสุข
• ความรักเป็นคุณธรรมเบื้องต้น แรกที่สุดในทุกความสัมพันธ์
• บัญญัติใหญ่ที่สุดคือให้รัก
• ท่าทีแห่งรัก จึงเป็นท่าทีที่ชนะอุปสรรค ปัญหาทั้งปวง
• หลายครั้งเพราะรักไม่พอ หรือ ไม่ได้รัก ทำให้ทำไม่ได้
• รักอย่างถูกต้อง ไม่ใช้หลับหูหลับตา รักไม่ได้เริ่มต้นจากตัวเอง หลายครั้งบอกว่ารักคนอื่น แต่แท้ที่จริงรักตัวเอง
• ท่าที่แห่งรัก ต้องถูกต้อง กว้างขวาง ถูกบริบท ไม่ผิดบาป ไม่เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง
• คนที่ไม่มีความรัก ไม่ผ่านด่านแรก ไม่ได้มาจากพระเจ้าจริง
1ยอห์น 4:7-16 7 ท่านที่รักทั้งหลาย ขอให้เรารักซึ่งกันและกัน เพราะว่าความรักมาจากพระเจ้า และทุกคนที่รักก็บังเกิดมาจากพระเจ้า และรู้จักพระเจ้า
8 ผู้ที่ไม่รักก็ไม่รู้จักพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นความรัก
• พระเจ้าเป็นแบบอย่างก่อน
9 โดยข้อนี้ความรักของพระเจ้าก็เป็นที่ประจักษ์แก่เราทั้งหลาย คือพระเจ้าทรงใช้พระบุตรองค์เดียวของพระองค์เข้ามาในโลกเพื่อเราทั้งหลายจะได้ดำรงชีวิตโดยพระบุตร
10 ความรักที่ข้าพเจ้าพูดถึงนี้มิใช่ที่เรารักพระเจ้า แต่ที่พระองค์ทรงรักเรา และทรงใช้พระบุตรของพระองค์มา ทรงเป็นผู้ลบล้างพระอาชญาที่ตกกับเราทั้งหลายเพราะบาปของเรา
• เราควรเรียนแบบพระเจ้า
11 ท่านที่รักทั้งหลาย ถ้าพระเจ้าทรงรักเราทั้งหลายเช่นนั้น เราก็ควรจะรักซึ่งกันและกันด้วย
12 ไม่มีผู้ใดเคยเห็นพระเจ้า ถ้าเราทั้งหลายรักซึ่งกันและกัน พระเจ้าก็ทรงสถิตอยู่ในเราทั้งหลาย และความรักของพระองค์ก็สมบูรณ์อยู่ในเรา
13 ดังนี้แหละเราทั้งหลายจึงรู้ว่า เราอยู่ในพระองค์และพระองค์ทรงสถิตอยู่ในเรา เพราะพระองค์ได้ทรงโปรดประทานพระวิญญาณของพระองค์เองแก่เรา
14 และเราทั้งหลายได้เห็นและเป็นพยานว่า พระบิดาได้ทรงใช้พระบุตรมาเป็นผู้ช่วยมนุษย์โลกให้รอด
• เป็นการยืนยันความเป็นลูกของพระองค์
15 ผู้ใดยอมรับว่า พระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระเจ้าก็จะทรงสถิตอยู่ในคนนั้น และคนนั้นอยู่ในพระเจ้า
16 ฉะนั้นเราทั้งหลายจึงรู้ และเชื่อในความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อเรา พระเจ้าทรงเป็นความรัก และผู้ใดที่อยู่ในความรักก็อยู่ในพระเจ้า และพระเจ้าก็ทรงสถิตอยู่ในผู้นั้น

2. เรียนรู้ที่จะเป็นผู้ให้

• อยากสัมพันธ์กับคนอื่น ต้องเริ่มต้นก่อน ไม่ใช่รอคอยให้เกิดขึ้นเอง จะรอถึงเมื่อไหร่
• สัมพันธ์กับผู้อื่น ต้องให้เขา ไม่ใช่เอาแต่ตัวเอง
• ให้ความช่วยเหลือ เอาใจเขามาใส่ใจเรา
• ในโลกปัจจุบันที่ความช่วยเหลือจากคนนอกกลุ่มหายากเต็มที
• มีแต่แก่งแย่ง หาประโยชน์ใส่ตัว หลอกลวง
• ระวังตัวแจใครจะมาช่วงชิง หลอกเรา ตัดแข้งตัดขาตลอดเวลา
• ต้องเป็นผู้ให้อย่างมีสติปัญญา แต่ไม่เป็นเหตุที่ไม่ให้อะไรเลย
• เราให้อะไรใครบ้าง มากน้อยแค่ไหน
• คนที่เราให้เป็นใคร รู้จักกันหรือไม่ ให้บ่อยแค่ไหน ปีละครั้ง เมื่อวานนี้
• เรียนรู้พระคัมภีร์อย่างถูกต้อง เพื่อให้สามารถให้ได้อย่างถูกต้องไม่ใช่ค้นหาแต่ข้อตำหนิเพื่อจะไม่ให้เขา
• ท่าทีในการให้ต้องปรับ นำมาใช้ให้ถูกต้อง จึงจะเติบโตได้ในความเชื่อ มิเช่นนั้นเป็นอุปสรรคในการเติบโต

• การให้เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และทรงพลังมาก
• เริ่มจากมีผู้หนึ่งที่ให้ สร้างบรรยากาศความรักเอื้ออาทรต่อกัน ทำให้ทั้งชุมชนกลายเป็นชุมชนที่มีน้ำใจต่อกัน
• ชีวิต คริสเตียน เกิดขึ้นได้จากการที่พระเยซูคริสต์ทรงให้เราก่อน โดยทรงยอมตายเพื่อเรา
• อย่าให้การให้ของพระองค์หยุดอยู่เพียงชีวิตของเรา

รม5:6-8 6 ขณะเมื่อเรายังขาดกำลัง พระคริสต์ก็ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อช่วยคนบาปในเวลาที่เหมาะสม
7 ไม่ใคร่จะมีใครตายเพื่อคนตรง แต่บางทีจะมีคนอาจตายเพื่อคนดีก็ได้
8 แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา

1ยน3:16 ดังนี้แหละเราจึงรู้จักความรัก โดยที่พระองค์ได้ทรงยอมสละพระชนม์ของพระองค์เพื่อเราทั้งหลาย และเราทั้งหลายก็ควรจะสละชีวิตของเราเพื่อพี่น้อง

• การให้ที่แท้จริง จะเป็นเหตุให้เกิดสุขทั้งต่อผู้ให้และผู้รับ

กจ20:35 ข้าพเจ้าได้วางแบบอย่างไว้ให้ท่านทุกอย่างแล้ว ให้เห็นว่าโดยทำงานเช่นนี้ควรจะช่วยคนที่มีกำลังน้อย ระลึกถึงพระวาทะของพระเยซูเจ้า ซึ่งพระองค์ตรัสว่า 'การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ'



3. เรียนรู้ที่จะปฏิเสธ

• คนส่วนใหญ่ปฏิเสธแต่สิ่งที่ตนไม่ชอบ
• การปฏิเสธที่ถูกต้อง คือ
o ปฏิเสธสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะทำความเสียหาย ทั้งตัวเขา และตัวเราที่มีส่วนร่วม
o ปฏิเสธความสัมพันธ์ที่ไม่ถูกต้อง เพราะจะไม่ยั่งยืนนาน

1คร13:6 ความรักไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด แต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ

• พระเจ้าปรารถนาให้เราปฏิเสธสิ่งที่เป็นภัยต่อตัวเรา ต่อพี่น้อง ต่อคริสจักร
• ปฏิเสธ ลัทธิเทียมเท็จ สอนผิด ทั้งในและนอก คริสจักร ค่านิยมโลกต่างๆ

กิจการของอัครทูต 4:18-20
18 เขาจึงเรียกเปโตรและยอห์นมาแล้วห้ามปรามเด็ดขาดไม่ให้พูด หรือสอนออกพระนามของพระเยซูอีกเลย
19 ฝ่ายเปโตรกับยอห์นตอบเขาว่า "จำเพาะพระพักตร์พระเจ้าข้าพเจ้าควรจะเชื่อฟังท่าน หรือควรจะเชื่อฟังพระเจ้าขอท่านทั้งหลายพิจารณาดู
20 ซึ่งข้าพเจ้าจะไม่พูดตามที่เห็นและได้ยินนั้นก็ไม่ได้"

กาลาเทีย 2:11-14 11 แต่เมื่อเคฟาสมาถึงอันทิโอกแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้คัดค้านท่านซึ่งๆหน้า เพราะว่าท่านทำผิดแน่
12 ด้วยว่าก่อนที่คนของยากอบมาถึงนั้น ท่านได้กินอยู่ด้วยกันกับคนต่างชาติ แต่พอคนพวกนั้นมาถึง ท่านก็ปลีกตัวออกไปอยู่เสียต่างหาก เพราะกลัวพวกที่ถือพิธีเข้าสุหนัต
13 และพวกยิวคนอื่นๆก็ได้แสร้งทำตามท่าน แม้แต่บารนาบัสก็หลงแสร้งทำตามคนเหล่านั้นไปด้วย
14 แต่เมื่อข้าพเจ้าเห็นว่า เขาไม่ได้ประพฤติตรงตามความจริงของข่าวประเสริฐนั้น ข้าพเจ้าจึงว่าแก่เคฟาสต่อหน้าคนทั้งปวงว่า "ถ้าท่านเองซึ่งเป็นพวกยิว ประพฤติตามอย่างคนต่างชาติ ไม่ใช่ตามอย่างพวกยิว เหตุไฉนท่านจึงบังคับคนต่างชาติ ให้ประพฤติตามอย่างพวกยิวเล่า"

2ทิโมธี 2:22-25 22 ดังนั้นท่านจงหลีกหนีเสียจากราคะตัณหาของคนหนุ่ม และจงใฝ่ในทางธรรม ในความเชื่อ ความรัก และสันติสุขร่วมกับผู้ที่ออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยใจบริสุทธิ์
23 อย่าข้องแวะกับปัญหาอันโง่เขลาและไม่เป็นสาระ ด้วยรู้แล้วว่าปัญหาเหล่านั้นก่อให้เกิดการทะเลาะวิวาทกัน
24 ฝ่ายผู้รับใช้ขององค์พระผู้เป็นเจ้าต้องไม่เป็นคนที่ชอบการทะเลาะวิวาท แต่ต้องมีใจเมตตาต่อทุกคน เป็นครูที่เหมาะสมและมีความอดทน
25 ชี้แจงให้ฝ่ายตรงกันข้ามเข้าใจด้วยความสุภาพ ว่าพระเจ้าอาจจะทรงโปรดให้เขากลับใจ และมาถึงซึ่งความจริง

2ทิโมธี 3:1-6 1 แต่จงเข้าใจข้อนี้ คือว่าในสมัยจะสิ้นยุคนั้น จะเกิดเหตุการณ์กลียุค
2 เพราะมนุษย์จะเห็นแก่ตัว เห็นแก่เงิน เย่อหยิ่ง ยโส ชอบด่าว่า ไม่เชื่อฟังคำบิดามารดา อกตัญญู ไร้ศีลธรรม
3 ไร้มนุษยธรรม ไม่ให้อภัยกัน ใส่ร้ายกัน ไม่ยับยั้งชั่งใจ ดุร้าย เกลียดชังความดี
4 ทรยศมุทะลุ หัวสูง รักความสนุกยิ่งกว่ารักพระเจ้า
5 ถือศาสนาแต่เปลือกนอก ส่วนแก่นแท้ของศาสนาเขาไม่ยอมรับ คนเช่นนั้นท่านอย่าคบ
6 เพราะในบรรดาคนเหล่านั้น มีคนที่แอบไปตามบ้าน แล้วลวงหญิงที่เบาปัญญาหนาด้วยบาป และหลงใหลไปด้วยตัณหาต่างๆไปเป็นเชลย

4. เรียนรู้ที่จะขอ

• ไม่มีใครอยู่ได้คนเดียว โดยไม่ต้องพึ่งพาใครเลย ต้องมีคนปลูกข้าว คนสร้างถนน ผลิตไฟฟ้าให้เราใช้
• เราจึงต้องเรียนรู้ที่จะขอ
o ในสิ่งที่ถูกต้อง
o ในทางที่ถูกต้อง ด้วยวิธีการที่ถูกต้อง
o พอเหมาะพอสม
• ไม่ใช่ อยากได้แต่ใช้เวิธีการผิด ๆ เช่น โต้เถียง หาเหตุผล ทำให้อาย แบล็คเมล์ วิจารณ์ ข่มขู่จะแฉ ซึ่งคริสเตียนทำไม่ได้

• พระเจ้าสอนให้เราเรียนรู้ ขอสิ่งที่ถูกต้อง ด้วยท่าทีที่ถูกต้อง ไม่ใช่ด้วยแรงจูงใจอื่น ไม่ใช่ด้วยแรงจูงใจที่ผิด

มัทธิว 6:5-8 5 "เมื่อท่านทั้งหลายอธิษฐาน อย่าเป็นเหมือนคนหน้าซื่อใจคด เพราะเขาชอบยืนอธิษฐานในธรรมศาลาและตามถนน เพื่อจะให้คนทั้งปวงได้เห็น เราบอกความจริงแก่ท่านว่าเขาได้รับบำเหน็จของเขาแล้ว
6 ฝ่ายท่านเมื่ออธิษฐานจงเข้าในห้องชั้นใน และเมื่อปิดประตูแล้ว จงอธิษฐานต่อพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในที่ลี้ลับ และพระบิดาของท่านผู้ทรงเห็นในที่ลี้ลับจะทรงโปรดประทานบำเหน็จแก่ท่าน
7 "แต่เมื่อท่านอธิษฐานอย่าพูดพล่อยๆซ้ำซาก เหมือนคนต่างชาติกระทำเพราะเขาคิดว่าพูดมากหลายคำ พระจึงจะทรงโปรดฟัง
8 อย่าทำเหมือนเขาเลย เพราะว่าสิ่งไรซึ่งท่านต้องการ พระบิดาของท่านทรงทราบก่อนที่ท่านทูลขอแล้ว

ยก4:3 ท่านขอและไม่ได้รับ เพราะท่านขอผิด หวังได้ไปเพื่อสนองกิเลสตัณหาของท่าน

• ในสัมพันธภาพกับเพื่อน ต้องเรียนรู้จักขออย่างพอเหมะ ไม่ใช่ ขอทุกอย่างที่ขวางหน้า ขอทุกสิ่งที่ต้องการ แม้พระเจ้าให้เราขอแล้วจะได้ แต่เพื่อนของเราไม่ใช่พระเจ้า
• หากจะขอทุกเรื่องให้ขอจากพระเจ้าเอง เป็นบริบทการร้องทูลต่อพระองค์

มัทธิว 7:7 "จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่ท่าน
8 เพราะว่าทุกคนที่ขอก็ได้ ทุกคนที่แสวงหาก็พบ ทุกคนที่เคาะก็จะเปิดให้เขา
9 ในพวกท่านมีใครบ้างที่จะเอาก้อนหินให้บุตร เมื่อเขาขอขนมปัง
10 หรือให้งูเมื่อบุตรขอปลา
11 เหตุฉะนั้น ถ้าท่านทั้งหลายเองผู้เป็นคนบาป ยังรู้จักให้ของดีแก่บุตรของตน ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใดพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ จะประทานของดีแก่ผู้ที่ขอต่อพระองค์
12 จงปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างที่ท่านปรารถนาให้เขาปฏิบัติต่อท่าน นั่นคือธรรมบัญญัติ และคำสั่งสอนของบรรดาผู้เผยพระวจนะ

• บางคนไม่ขอ กลัว หยิ่ง อาย
• ต้องเรียนรู้ในการแก้ปัญหา รู้จักขออย่างเหมาะสม
• เรียนรู้จักรับอย่างเหมาะสม เพื่อคนจะสามารถให้ได้
• หากไม่มีผู้รับ คนให้ก็ไม่สามารถให้ได้
• หากไม่มีผู้ให้ก็ไม่มีผู้รับเช่นกัน
• จึงต้องเรียนรู้ เป็นเรื่องละเอียดอ่อน เริ่มต้นจากท่าทีที่รักปรารถนาดี อยากสร้างมิตรภาพเป็นหลัก
• การขอจึงไม่ใช่เพื่อตอบสนองตัวเอง แต่เพื่อเราจะพออยู่ได้ และสามารถช่วยคนอื่นเหมือนอย่างที่เราได้รับการช่วยเหลือมา

5. เรียนรู้ที่จะขอบคุณ

• เป็นคำสั้นๆที่ช่วยกู้จิตวิญญาณให้พ้นจากความหยิ่ง
• คนที่ไม่ขอบพระคุณ อาจคิดว่าเป็นการเหมาะสมแล้วที่คนอื่นต้องทำดีกับเรา
• หากไม่รู้จักขอบคุณ คนอื่นคงทำดีกับเราได้ไม่นาน
• ต้องมีจิตวิญญาณที่ขอบคุณเสมอ
• พระคัมภีร์สอนเราว่า ในสิบคนที่พระเยซูช่วยให้หายโรคร้าย ที่น่ารังเกียจ มีคนคิดสนองพระคุณเพียงคนเดียว อีกเก้าคนหายหมด

ลูกา 17:15-18 15 ฝ่ายคนหนึ่งในพวกนั้นเมื่อเห็นว่าตัวหายโรคแล้ว จึงกลับมาสรรเสริญพระเจ้าด้วยเสียงดัง
16 และกราบลงที่พระบาทของพระเยซู โมทนาพระคุณของพระองค์ คนนั้นเป็นชาวสะมาเรีย
17 ฝ่ายพระเยซูตรัสว่า “มีสิบคนหายสะอาดมิใช่หรือ แต่เก้าคนนั้นอยู่ที่ไหน
18 ไม่เห็นผู้ใดกลับมาสรรเสริญพระเจ้าเว้นไว้แต่คนต่างชาติคนนี้"

1เธสะโลนิกา 5:18 จงขอบพระคุณในทุกกรณี เพราะนี่แหละเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า ซึ่งปรากฏอยู่ในพระเยซูคริสต์เพื่อท่านทั้งหลาย

6. เรียนรู้ที่จะขอโทษ

• เรื่องที่คนสะดุดมีมากมาย อย่าทำให้กลายเป็นเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง ขอโทษได้รีบขอโทษ
• คนที่บาดเจ็บ ผูกใจเจ็บ ขม ขุ่นเคือง ครุ่นคิด คับแค้น ไม่ดีแต่ โดยเฉพาะคนใกล้ตัว
• ขอโทษไม่ได้ทำให้เสียอะไร ดอกพิกุลไม่ร่วงออกจากปาก
• หลายครั้ง แทนที่จะขอโทษง่ายๆ กลับอ้างเหตุผลร้อยแปดพันประการ ยิ่งเร้าการวิวาทเข้าไปใหญ่

สุภาษิต 15:1 คำตอบอ่อนหวานช่วยละลายความโกรธเกรี้ยวให้หายไป แต่คำกักขฬะเร้าโทสะ

7. เรียนรู้ที่จะให้อภัย

เอเฟซัส 4:32 และท่านจงเมตตาต่อกัน มีใจเอ็นดูต่อกัน และอภัยโทษให้กัน เหมือนดังที่พระเจ้าได้ทรงโปรดอภัยโทษให้แก่ท่านในพระคริสต์นั้น

โคโลสี 3:13 จงผ่อนหนักผ่อนเบาซึ่งกันและกัน และถ้าแม้ว่าผู้ใดมีเรื่องราวต่อกัน ก็จงยกโทษให้กันและกัน องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงโปรดยกโทษให้ท่านฉันใด ท่านจงกระทำอย่างนั้นเหมือนกัน

• หากไม่ให้อภัยก็กลับคืนดีกันไม่ได้ ความสัมพันธ์แตกสลาย
• คนอ่อนแอไม่รู้จักให้อภัย คนเข็มแข็งเท่านั้นที่ให้อภัยเป็น
• การให้อภัยทำให้เราโตเป็นผู้ใหญ่
• เรื่องที่พระเจ้าทดสอบเรา และทำให้เราเติบโตขึ้น จึงเป็นเรื่องที่เราคิดว่าเราจะไม่มีทางให้อภัยได้ เมื่อเราให้อภัย เราจึงจะเติบโตขึ้น

• หากแต่การไม่ให้อภัย กลับจะมีผลร้ายทำลายตนเอง
• จะมีรากขมขื่นงอกขึ้นมาและทำลายชีวิตของเรา

ฮีบรู 12:15 จงระวังให้ดีอย่าให้ใครเพิกเฉยต่อพระคุณของพระเจ้า และอย่าให้มีรากขมขื่นงอกขึ้นมา ทำความยุ่งยากให้ ซึ่งจะเป็นเหตุให้คนเป็นอันมากเสียไป

ยากอบ 3:14 แต่ถ้าท่านรู้สึกขมขื่นเพราะมีใจริษยาและมักใหญ่ใฝ่สูง ก็อย่าโอ้อวดและอย่าทรยศต่อความจริง

• การไม่ให้อภัยเป็นการทำร้ายตัวเอง จะกลายเป็นคนอมทุกข์
• คนอมทุกข์กับคนอมสุข หน้าตาจะบ่งบอก
• เราอาจคิดว่าทำให้คนเห็นใจ แต่บรรยากาศเขม็งเกลียวสู่คนรอบข้าง ทำให้คนหนีไกลจากเรา

• การไม่ให้อภัย จะเป็นต้นกำเนิดของวงจรการแก้แค้น ที่ไม่มีที่สิ้นสุด เหมือนในหนังจีน เลือดต้องล้างด้วยเลือด
• เราอยู่ในยุคพระคุณ ไม่ใช่ตาต่อตา ฟันต่อฟัน
• ตวงให้เขาด้วนทะนานใด ก็จะได้รับอย่างนั้นคืนกลับมาไม่มีที่สิ้นสุด

• เราจะเป็นคนแรกที่เริ่มต้นให้อภัย หรือจะเป็นตนสุดท้ายที่ต่อให้คนให้อภัยกันหมดทั้งโลก เราก็ยังจะเก็บเอาไว้อยู่

วันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

Becoming R12 Christian (2)‏

II. Separate from the World

"อย่าประพฤติตามอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบน้ำพระทัยของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัย และอะไรดียอดเยี่ยม" (โรม 12:2)

ตามอย่างคนยุคนี้ พระเจ้าหมายถึงอะไร? ก็คือ การเห็นแก่ตัว

แต่สำหรับพระเจ้า พระองค์ทรงมีพระประสงค์ที่เราจะให้พระเจ้าเป็นที่หนึ่ง คนอื่นเป็นที่สอง และตัวเราเป็นที่สาม

อย่าให้โลกเปลี่ยนเราให้เป็นอย่างโลก ถ้าเราไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ทุกวัน เราจะโดนสังคมโลกเปลี่ยนชีวิตของเราให้เป็นแบบโลก เพราะโลกจะพยายามเปลี่ยนชีวิตประจำวันของเราให้เป็นแบบโลก โลกให้ค่านิยมว่าจะต้องใช้ของที่มียี่ห้อ มีราคา ขับรถหรู ๆ ถือกระเป๋าสวย ๆ จึงจะได้รับการยอมรับ แต่ขอที่เราจะสวนกระแส ที่เราจะเป็นคนใหม่ สิ่งเหล่านี้เราทำด้วยตัวเองไม่ได้ จะต้องพึ่งพาพระเจ้า

หลายคน รับเชื่อ แต่ไม่ยอมที่กระทำตาม โรม 12:2 นี้

การทดลองที่มีในสังคมโลกปัจจุบัน มีอยู่ 3 อย่าง ได้แก่ ตัณหาของเนื้อหนัง ตัณหาของตา และความทะนงในลาภยศ

"15 อย่ารักโลก หรือสิ่งของในโลก ถ้าผู้ใดรักโลก ความรักต่อพระบิดาไม่ได้อยู่ในผู้นั้น
16 เพราะว่า สารพัดซึ่งมีอยู่ในโลก คือ ตัณหาของเนื้อหนัง และตัณหาของตา และความทะนงในลาภยศไม่ได้เกิดมาจากพระบิดา แต่เกิดมาจากโลก
17 และโลกกับสิ่งที่ยั่วยวนของโลกกำลังล่วงไป แต่ผู้ที่ประพฤติตามพระทัยของพระเจ้าจะดำรงอยู่เป็นนิตย์" (1ยอห์น 2:15-17)

พระเจ้าไม่อยากให้เรารักโลกนี้ เพราะว่า สิ่งของในโลกนี้ ไม่ใช่สิ่งที่แน่นอน เป็นสิ่งที่ล่มสลายได้ เสื่อมสลายไปได้ ไม่ยั่งยืนถาวร แต่พระวจนะคำของพระเจ้ามั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่สูญหาย และเมื่อชีวิตของเรามีพระวจนะคำของพระเจ้า ความรักในโลกของเราก็จะหายไป

การได้รับการเปลี่ยนใหม่ หรือ Transformed เราจะต้องเปลี่ยนแปลง เราจะต้องแตกต่าง ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราจะได้รับจากพระเจ้า โดยเริ่มจากการที่ยอมให้พระเจ้าเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วพระองค์จะเปลี่ยนอุปนิสัย เปลี่ยนชีวิตของเราได้

เราจะต้องรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ เพราะซึ่งนี่เป็นคำสั่ง คือ "จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ" เราจะต้องได้รับการเปลี่ยนแปลงทุกวัน ตลอดเวลา

เราอยู่ใกล้สิ่งใด เราก็จะเป็นเหมือนสิ่งนั่นมากขึ้น พระเจ้าได้ทรงเรียกร้องให้เราเข้าใกล้พระองค์ เข้าใกล้พระวจนะคำของพระองค์ เพื่อที่จะมีชีวิตเหมือนพระองค์มากขึ้น แล้วชีวิตเราจะสำแดงพระเจ้า

สิ่งที่อยากเน้นย้ำเสมอ ๆ คือ

เราเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิต (โรม 12:1)

"อย่าประพฤติตามอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบน้ำพระทัยของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัย และอะไรดียอดเยี่ยม" (โรม 12:2)

ให้รับเปลี่ยนแปลงจิตใจอย่างเสมอ

"4 เพราะว่าศาสตราวุธของเราไม่เป็นฝ่ายโลกียวิสัย แต่มีฤทธิ์เดชจากพระเจ้า อาจทำลายป้อมได้
5 คือทำลายความคิดที่มีเหตุผลจอมปลอม และทิฐิมานะทุกประการที่ตั้งตัวขึ้นขัดขวางความรู้ของพระเจ้า และน้อมนำความคิดทุกประการให้เข้าอยู่ใต้บังคับจนถึงรับฟังพระคริสต์" (2โครินธ์ 10:4-5)

การเปลี่ยนแปลงนี้ เป็นงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่เหนือธรรมชาติ

"5 เพราะว่าคนทั้งหลายที่อยู่ฝ่ายเนื้อหนัง ก็ปักใจในสิ่งซึ่งเป็นของของเนื้อหนัง แต่คนทั้งหลายที่อยู่ฝ่ายพระวิญญาณ ก็สนใจในสิ่งซึ่งเป็นของพระวิญญาณ
6 ด้วยว่าซึ่งปักใจอยู่กับเนื้อหนัง ก็คือความตาย และซึ่งปักใจอยู่กับพระวิญญาณ ก็คือชีวิตและสันติสุข" (โรม 8:5-6)

สิ่งเหล่านี้จะทำได้อย่างไร? มีวิธีเดียว คือ โดยฤทธิ์เดชของพระวจนะคำของพระเจ้า ไม่มีทางลัด พระวจนะคำของพระเจ้าเป็นเหมือนดาบ ที่เราจะใช้ขับไล่มาร

เราจะต้องได้รับการเปลี่ยนแปลง เพื่อที่เราจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุด และเพื่อเราจะทำตามที่พระเจ้าทรงปรารถนาให้เราทำ ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ดียอดเยี่ยม สิ่งเหล่านี้ พระวจนะคำของพระเจ้าจะบอกเรา ว่าสิ่งใดเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

พระเจ้าอยากให้เราพบพระองค์ ไม่ใช่ว่าพระเจ้าจะได้รับอะไรเมื่อเราเข้าเฝ้าพระองค์ แต่ว่าเราจะขาดสิ่งที่ดีถ้าหากว่าเราไม่เข้าเฝ้าพระเจ้า



มน. จรียา ทวีแสงสกุลไทย

คำแบ่งปันคณะเพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 26/04/2009

เรื่อง Becoming R12 Christian

Becoming R12 Christian (1)‏

R12ในที่นี้ ย่อมาจาก "Romans 12" หรือ พระธรรมโรม บทที่ 12 นั่นเอง

ในพระธรรมโรม อาจารย์เปาโลได้เขียนถึงหลักข้อเชื่อสำคัญของคริสเตียน ท่านเขียนเป็นระบบ และในโรมบทที่ 12 อาจารย์เปาโลเรียกร้องให้เรารับการเปลี่ยนแปลง

สิ่งที่ต้องการให้ชีวิตของเราเป็น (God's Dream for Your Life) คือชีวิตที่มีลักษณะ 5 "S" ได้แก่

Surrender to God (โรม 12:1)

Separate from the World (โรม 12:2)

Sober in Self-assessment (โรม 12:3-8)

Serve in Love (โรม 12:9-13)

Supernaturally Respond to Evil (โรม 12:14-21)



I. Surrender to God

"พี่น้องทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้ โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้ถวายตัวของท่านแด่พระองค์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอันบริสุทธิ์ และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการโดยวิญญาณจิตของท่านทั้งหลาย" (โรม 12:1)

ขั้นตอนแรก อาจารย์เปาโลเรียกร้องให้เราถวายชีวิตให้แก่พระเจ้า

อยากให้เราถามตัวเองว่า ตลอดเวลาที่เราเป็นคริสเตียน ชีวิตเราเป็นอย่างไร? และเราได้รับการเปลี่ยนแปลงอย่างไร? สิ่งที่พระเจ้าต้องการจากเรามากที่สุด คือ ตัวของเราเอง ไม่ใช่สิ่งของของเรา ไม่ใช่สิ่งอื่นใดทั้งสิ้น

จากโรม บทที่ 1-9 อาจารย์เปาโลได้แสดงถึงความเมตตากรุณาของพระเจ้า

คำว่า "พระเจ้า" คือคนที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต และสิ่งที่เราจะต้องตอบสนองต่อพระองค์ก็คือ "Total Commitment"

ในงานแต่งงาน ทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง ต่างฝ่ายก็ต่างมี total commitment ต่อกัน ก็คือ แต่ละฝ่าย จะมีอีกฝ่ายหนึ่งเพียงคนเดียวเท่านั้น

เช่นเดียวกัน ชีวิตของเราก็จะต้องทำ total commitment กับพระเจ้า ชีวิตของเราได้ทำ total commitment กับพระเจ้าหรือยัง? เราได้จะมอบชีวิตของเราให้กับพระเจ้าทั้งหมดแล้วหรือยัง?

การทำ total commitment เป็นการให้ทุกสิ่งทุกอย่าง ความรู้ความสามารถ กำลัง สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต มอบแด่พระเจ้า ยอมที่จะใช้สิ่งเหล่านี้ที่จะเป็นไปตามพระทัยของพระเจ้า

คำว่า "surrender" ในทางการงานทั่วไป แต่ละคนจะไม่ค่อยชอบ เพราะว่าจะรู้สึกว่าเป็นผู้ที่เสียเปรียบ แต่พระเจ้าได้ทรงเรียกร้องให้เรายอมจำนนต่อพระเจ้า การที่เรายอมให้กับพระเจ้า ก็คือ ยอมให้พระเจ้าทรงใช้เรา เพื่อที่เราจะพูดได้เต็มปากว่า นี่แหละเป็นแผนการของพระเจ้า

ถ้าเรามีความรู้ รู้ว่าสิ่งใดที่ดี เราก็จะทุ่มสุดตัวเพื่อจะได้สิ่งเหล่านั้น เช่นเดียวกัน พระคำของพระองค์เป็นจริง เราทุ่มสุดตัวรึไม่ เพื่อที่เราจะได้ตามพระสัญญาของพระเจ้า ที่ทรงประทานแก่เราตามพระคัมภีร์?

มุมมองของคำว่า total commitment เราสามารถมองได้ทั้งสองด้าน คือ ด้านบวกและด้านลบ

ในแง่บวก wise, logical, chrewd, re-evolution

ในแง่ลบ sacrifice, self-denial, noble, martyr, renunciation

เรามีมุมมองเกี่ยวกับ total commitment ที่เรามีให้แก่พระเจ้าอย่างไร?

พระเยซูคริสต์ทรงยอมตามเพื่อไถ่บาปของเรา เราสมควรได้รับโทษ แต่พระเจ้าทรงยอมรับโทษแทนเรา เราได้กลายเป็นคนชอบธรรม พระเจ้าทรงจ่ายหนี้แทนเราเรียบร้อยแล้ว แล้วพระองค์ทรงประทานเงินในธนาคารให้แก่เรา ขอที่เราจะเบิกออกมาใช้ นั่นคือ การที่เราจะขอพระเจ้า การที่เราจะใช้ของพระทานต่าง ๆ พระเจ้าทรงประทานแก่เราแล้ว เพียงแค่เราจะนำสิ่งเหล่านั้นออกมาใช้

ถ้าเราไม่ให้ทั้งหมดในชีวิตของเราให้แก่พระเจ้า เราก็จะไม่ได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าในชีวิตของเรา แต่ตรงกันข้าม ถ้าหากเราให้พระเจ้าทั้งหมด เชื่อในพระเจ้าของเรา เชื่อว่าพระเจ้าจะทรงดูแล แล้วเราจะได้เห็นถึงการดูแลของพระเจ้า เราจะได้รับการปลดปล่อย เราจะได้รับสันติสุขอย่างแท้จริง

"เพราะพระเจ้าทรงเป็นดวงอาทิตย์ และเป็นโล่ พระองค์ทรงปูนความชอบ และเกียรติ พระเจ้ามิได้ทรงหวงของดีอันใดไว้เลย จากบุคคลผู้เดินอย่างเที่ยงธรรม" (สดุดี 84:11)

พระเจ้าของเรายิ่งใหญ่ พระเจ้าทรงพร้อมที่จะให้ของดีแก่เราเสมอ พระองค์มิได้หวงสิ่งดีไว้เลย และพระเจ้าทรงรักเราจริง ๆ พระองค์สามารถให้ในสิ่งดีที่สุดสำหรับทุกคนได้



มน. จรียา ทวีแสงสกุลไทย

คำแบ่งปันคณะเพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 26/04/2009

เรื่อง Becoming R12 Christian

ศึกษาพระธรรมมัทธิว 25: การพิพากษาประชาชาติทั้งหลาย‏

การพิพากษาประชาชาติทั้งหลาย


--------------------------------------------------------------------------------

"31 เมื่อบุตรมนุษย์ทรงพระสิริเสด็จมากับทั้งหมู่ทูตสวรรค์ เมื่อนั้นพระองค์จะประทับบนพระที่นั่งอันรุ่งเรืองของพระองค์
32 บรรดาประชาชาติต่างๆ จะประชุมพร้อมกันต่อพระพักตร์พระองค์ และพระองค์จะทรงแยกมนุษย์ทั้งหลายออกเป็นสองพวก เหมือนอย่างผู้เลี้ยงแกะจะแยกแกะออกจากแพะ
33 ส่วนฝูงแกะนั้นจะทรงจัดให้อยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ แต่ฝูงแพะนั้นจะทรงจัดให้อยู่เบื้องซ้าย
34 ขณะนั้น พระมหากษัตริย์จะตรัสแก่บรรดาผู้ที่อยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ว่า 'ท่านทั้งหลายที่ได้รับพระพรจากพระบิดาของเรา จงมารับเอาราชอาณาจักร ซึ่งได้ตระเตรียมไว้สำหรับท่านทั้งหลายตั้งแต่แรกสร้างโลก
35 เพราะว่าเมื่อเราหิว ท่านทั้งหลายก็ได้จัดหาให้เรากิน เรากระหายน้ำ ท่านก็ให้เราดื่ม เราเป็นแขกแปลกหน้า ท่านก็ได้ต้อนรับเราไว้
36 เราเปลือยกายท่านก็ได้ให้เสื้อผ้าเรานุ่งห่ม เมื่อเราเจ็บป่วยท่านก็ได้มาเยี่ยมเอาใจใส่เรา เมื่อเราต้องจำอยู่ในพันธนาคาร ท่านก็ได้มาเยี่ยมเรา'
37 เวลานั้นบรรดาผู้ชอบธรรมจะกราบทูลว่า 'พระองค์เจ้าข้า ที่ข้าพระองค์เห็นพระองค์ทรงหิวหรือทรงกระหายน้ำ และได้จัดมาถวายแด่พระองค์แต่เมื่อไร
38 ที่ข้าพระองค์ได้เห็นพระองค์ทรงเป็นแขกแปลกหน้า และได้ต้อนรับไว้ หรือเปลือยพระกาย และได้สวมฉลองพระองค์ให้แต่เมื่อไร
39 ที่ข้าพระองค์เห็นพระองค์ประชวรหรือต้องจำอยู่ในพันธนาคาร และได้มาเฝ้าพระองค์นั้นแต่เมื่อไร'
40 แล้วพระมหากษัตริย์จะตรัสกับเขาว่า 'เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ซึ่งท่านได้กระทำแก่คนใดคนหนึ่งในพวกพี่น้องของเรานี้ ถึงแม้จะต่ำต้อยเพียงไร ก็เหมือนได้กระทำแก่เราด้วย'
41 พระองค์จะตรัสกับบรรดาผู้ที่อยู่เบื้องซ้ายพระหัตถ์ของพระองค์ว่า 'ท่านทั้งหลายผู้ต้องแช่งสาปจงถอยไปจากเรา เข้าไปอยู่ในไฟซึ่งไหม้อยู่เป็นนิตย์ ซึ่งเตรียมไว้สำหรับมารร้ายและสมุนของมันนั้น
42 เพราะว่าเมื่อเราหิวท่านก็มิได้ให้เรากิน เรากระหายน้ำท่านก็มิได้ให้เราดื่ม
43 เราเป็นแขกแปลกหน้า ท่านก็ไม่ได้ต้อนรับเราไว้ เราเปลือยกาย ท่านก็ไม่ได้ให้เสื้อผ้าเรานุ่งห่ม เราเจ็บป่วยและต้องจำอยู่ในพันธนาคาร ท่านไม่ได้เยี่ยมเรา'
44 เขาทั้งหลายจะทูลว่า 'พระองค์เจ้าข้า ที่ข้าพระองค์ได้เห็นพระองค์ทรงหิวหรือทรงกระหายน้ำ หรือทรงเป็นแขกแปลกหน้าหรือเปลือยพระกาย หรือประชวร หรือต้องจำอยู่ในพันธนาคาร และข้าพระองค์มิได้ปรนนิบัติพระองค์นั้นแต่เมื่อไร'
45 เมื่อนั้นพระองค์จะตรัสกับเขาว่า 'เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ซึ่งท่านมิได้กระทำแก่ผู้ต่ำต้อยที่สุดสักคนหนึ่งในพวกนี้ ก็เหมือนท่านมิได้กระทำแก่เราด้วย'
46 และพวกเหล่านี้จะต้องออกไปรับโทษอยู่เป็นนิตย์ แต่ผู้ชอบธรรมจะเข้าสู่ชีวิตนิรันดร์'' (มัทธิว 25:31-46)


--------------------------------------------------------------------------------

พระเยซูคริสต์ทรงขยายความเพิ่มเติมจากคำอุปมาต่าง ๆ ในมัทธิวบทที่ 13 โดยทรงให้เราทราบถึงเงื่อนไขของพระองค์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราจะต้องเพิ่มเติมเข้าในชีวิตของเรา สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้พระเจ้าต้องการที่จะให้เกิดในชีวิตของเรา พระองค์จึงทรงบอกว่า แกะซึ่งอยู่ทางด้านขวานั้น ได้ทำสิ่งใดบ้าง และแพะที่อยู่ด้านซ้าย ไม่ได้ทำสิ่งใด

สิ่งเหล่านี้สอดคล้องกับที่พระองค์ทรงสอนให้เรารักซึ่งกันและกัน เราจะต้องไม่ลืมในสิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่มัวแต่มุ่งรับใช้แล้วไม่ใส่ใจพี่น้องเลย

"34 เราให้บัญญัติใหม่ไว้แก่เจ้าทั้งหลาย คือให้เจ้ารักซึ่งกันและกัน เรารักเจ้าทั้งหลายมาแล้วอย่างไร เจ้าจงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น
35 ถ้าเจ้าทั้งหลายรักกันและกัน ดังนี้แหละคนทั้งปวงก็จะรู้ได้ว่าเจ้าทั้งหลายเป็นสาวกของเรา" (ยอห์น 13:34-35)

จะสังเกตว่า ใน 1โครินธ์ 12 อาจารย์เปาโลได้กล่าวถึงของประทาน ท่านได้คั่นด้วย 1โครินธ์ 13 ซึ่งเกี่ยวข้องกับความรักโดยตรง ก่อนที่จะเข้าสู่ 1โครินธ์ 14 ซึ่งกล่าวว่า

"จงมุ่งหาความรัก และขวนขวายของประทานฝ่ายพระวิญญาณด้วยความจริงใจ เฉพาะอย่างยิ่งการเผยพระวจนะ" (1โครินธ์ 14:1)

ถ้าเรามีของประทาน แต่เราขาดความรัก ก็เป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์ เราก็จะกลายเป็นแพะ เพราะไม่มีความรักแก่พี่น้อง

"7 ท่านที่รักทั้งหลาย ขอให้เรารักซึ่งกันและกัน เพราะว่าความรักมาจากพระเจ้า และทุกคนที่รักก็บังเกิดมาจากพระเจ้า และรู้จักพระเจ้า
8 ผู้ที่ไม่รักก็ไม่รู้จักพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นความรัก" (1ยอห์น 4:7-8)

"1 แม้ข้าพเจ้าพูดภาษาแปลกๆได้ เป็นภาษามนุษย์ก็ดี เป็นภาษาทูตสวรรค์ก็ดี แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าเป็นเหมือนฆ้องหรือฉาบที่กำลังส่งเสียง
2 แม้ข้าพเจ้าจะเผยพระวจนะได้ และเข้าใจในความล้ำลึกทั้งปวงและมีความรู้ทั้งสิ้น และมีความเชื่อมากยิ่งที่สุดพอจะยกภูเขาไปได้ แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็ไม่มีค่าอะไรเลย
3 แม้ข้าพเจ้าจะสละของสารพัดหรือยอมให้เอาตัวข้าพเจ้าไปเผาไฟเสีย แต่ไม่มีความรัก จะหาเป็นประโยชน์แก่ข้าพเจ้าไม่" (1โครินธ์ 13:1-3)

พระเจ้าของเรา ถ้าหากเรายิ่งศึกษา เราจะยิ่งรู้ว่าทรงเข้มงวดอย่างมาก เราจะละเลยสิ่งที่พระองค์ทรงสอนไม่ได้เลย ขอที่เราจะระมัดระวังในการดำเนินชีวิต เพื่อที่เราจะไม่พลาดที่จะได้เข้าในแผ่นดินของพระเจ้า

"กระทำให้ใจของสาวกทั้งหลายถือมั่นขึ้น เตือนเขาให้ดำรงอยู่ในพระศาสนา และสอนให้เขาเข้าใจว่า เราทั้งหลายจำต้องทนความยากลำบากมาก จึงจะได้เข้าในแผ่นดินของพระเจ้า" (กิจการ 14:22)



อ.ประดิษฐ์ พรกีรติกุล

คำแบ่งปันกลุ่มเซลล์เพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 15/05/2009

เรื่อง ศึกษาพระกิตติคุณมัทธิว

วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

คริสเตียนฝ่าวิกฤติ

คริสเตียนฝ่าวิกฤติ
นพ. สุทิตต์ กุลสรรค์ศุภกิจ 200509

• มนุษย์เผชิญการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เป็นความจริงที่ไม่สามารถหลบหลีกได้ ไม่มีใครสามารถแช่แข็งตัวเองไว้ในอดีตได้
• แต่มนุษย์มักไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง ในใจลึกๆอาจกลัวและต่อต้านการเปลี่ยนแปลง
• การเปลี่ยนแปลงบางอย่างพอรับได้ การเปลี่ยนแปลงบางอย่างไม่ยอมรับเด็ดขาด
• การเปลี่ยนแปลงนั้น บางครั้งเป็นการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ของชีวิต เป็นวิกฤติการณ์ ที่ทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบายตัว ไม่สบายใจ กระอักกระอวล กลัวไปหมด
• ตัวอย่างวิกฤติการณ์ในชีวิต เช่น
• ถูกคนใกล้ชิดหักหลัง
• ถูกฟ้องร้อง เป็นความขึ้นโรงพัก ขึ้นศาล
• สูญเสียคนรัก พ่อแม่ พี่น้อง
• ถูกใส่ร้าย ถูกประจาน
• ตกงาน ไม่มีเงินกินข้าว
• อุบัติเหตุ พิการกะทันหัน
• เจ็บป่วยรุนแรง ใกล้เสียชีวิต
• สูญเสียทรัพย์สินจำนวนมาก ไฟไหม้บ้าน ถูกโกงหมดตัว
• เรื่องเล็กน้อยสำหรับคนบางคนอาจถือเป็นวิกฤติในชีวิตของเขา เช่น ไม่ได้ดังใจ น้อยใจ ท้อใจ ฯลฯ
• ทุกคนคงเคยผ่านวิกฤติมาบ้างแล้ว มีประสบการณ์มาแล้ว
• แม้ว่าผ่านมาได้ แต่อาจเจออีกในอนาคต ถ้าเรายังไม่หมดลมไป
• เราจะเผชิญกับวิกฤติการณ์อย่างไร ในวิกฤติการณ์นั้น เราจำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงนั้น

อับราฮัม ตัดสินใจรับการทรงเรียก พาครอบครัวออกเดินทางไปในที่ที่ยังไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน
โมเสส เผชิญการไล่ล่าของฟาโรห์ เผชิญกบฏโคราห์
เอลียาห์ หนีนางเยเซเบล
ดาวิด ถูกซาอูลไล่ล่า ถูกลูกในไส้ทรยศ
โยบ สูญเสียทุกอย่างในชีวิต ยกเว้นเพียงลมหายใจ
• วิกฤติการณ์ทำให้เราไม่กล้าสู้ชีวิตเพราะเราเกิดความกลัว

1. กลัวอะไรบ้าง

1.1 กลัวสิ่งที่ไม่รู้

• สิ่งที่ไม่รู้ สร้างความประหวั่นพรั่นพรึงได้ไม่น้อย
• ความไม่แน่ใจ ทำให้ขาดเสถียรภาพในชีวิต โดยเฉพาะในจิตใจ

• ความเชื่อวางใจในพระเจ้า แก้ปัญหานี้ได้
• ชีวิตคริสเตียนเป็นชีวิตที่ดำเนินในความเชื่อ ไม่ได้ดำเนินตามที่ตามองเห็นอยู่แล้ว

รม11:1 ความเชื่อคือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ เป็นความรู้สึกมั่นใจว่า สิ่งที่ยังไม่ได้เห็นนั้นมีจริง

• เมื่อความกลัวมาเคาะประตู ให้ส่งความเชื่อไปเปิด จะพบว่าไม่มีอะไรในความกลัว
• หลายครั้ง ความกลัวสภาพการณ์ที่ควบคุมไม่ได้ เนื่องจากเกินการควบคุมของเราเอง เป็นเหตุให้เราต้องหันมาพึ่งพาพระเจ้าและคนอื่นๆมากขึ้น

1.2 กลัวเสียสวัสดิภาพ
• กลัวทุกขภาพ
• กลัวความเสียหายที่เกิดขึ้น

มธ.6:25-33 25 “เหตุฉะนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่ากระวนกระวายถึงชีวิตของตนว่า จะเอาอะไรกิน หรือจะเอาอะไรดื่ม และอย่ากระวนกระวายถึงร่างกายของตนว่า จะเอาอะไรนุ่งห่ม ชีวิตสำคัญยิ่งกว่าอาหารมิใช่หรือ และร่างกายสำคัญยิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่มมิใช่หรือ 26จงดูนกในอากาศ มันมิได้หว่าน มิได้เกี่ยว มิได้ส่ำสมไว้ในยุ้งฉาง แต่พระบิดาของท่านทั้งหลาย ผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงเลี้ยงนกไว้ ท่านทั้งหลายมิประเสริฐกว่านกหรือ 27มีใครในพวกท่านโดยความกระวนกระวาย อาจต่อชีวิตให้ยาวออกไปอีกสักศอกหนึ่งได้หรือ 28ท่านกระวนกระวายถึงเครื่องนุ่งห่มทำไม จงพิจารณาดอกไม้ที่ทุ่งนาว่า มันงอกงามเจริญขึ้นได้อย่างไร มันไม่ทำงาน มันไม่ปั่นด้าย 29แต่เราบอกท่านทั้งหลายว่ากษัตริย์ซาโลมอนเมื่อบริบูรณ์ด้วยสง่าราศี ก็มิได้ทรงเครื่องงามเท่าดอกไม้นี้ดอกหนึ่ง 30แม้ว่าพระเจ้าทรงตกแต่งหญ้าที่ทุ่งนาอย่างนั้น ซึ่งเป็นอยู่วันนี้และรุ่งขึ้นต้องทิ้งในเตาไฟ โอ ผู้มีความเชื่อน้อย พระองค์จะไม่ทรงตกแต่งท่านมากยิ่งกว่านั้นหรือ 31เหตุฉะนั้นอย่ากระวนกระวายว่า จะเอาอะไรกิน หรือจะเอาอะไรดื่ม หรือจะเอาอะไรนุ่งห่ม 32เพราะว่าพวกต่างชาติแสวงหาสิ่งของทั้งปวงนี้ แต่ว่าพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงทราบแล้วว่า ท่านต้องการสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ 33แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้ 34“เหตุฉะนั้น อย่ากระวนกระวายถึงพรุ่งนี้ เพราะว่าพรุ่งนี้คงมีการกระวนกระวายสำหรับพรุ่งนี้เอง แต่ละวันก็มีทุกข์พออยู่แล้ว

ยรม 29:11 พระเจ้าตรัสว่า เพราะเรารู้แผนงานที่เรามีไว้สำหรับเจ้า เป็นแผนงานเพื่อสวัสดิภาพ ไม่ใช่เพื่อทุกขภาพ เพื่อจะให้อนาคตและความหวังใจแก่เจ้า

• หลายครั้งเพื่อให้เราหันกลับมาพึ่งพระคุณความรักของพระเจ้า เพราะห่างหายไปนาน

สดด119:71 ดีแล้วที่ข้าพระองค์ทุกข์ยาก เพื่อข้าพระองค์จะเรียนรู้ถึงกฎเกณฑ์ของพระองค์

1.3 กลัวความล้มเหลว
• ยอมรับความล้มเหลวไม่ไหว
• โดยเฉพาะเรื่องที่ไม่คิดว่าจะผิดพลาด ไม่สามารถยอมรับความล้มเหลวของตัวเอง
• ทำให้ดูเหมือนเป็นคนไร้สมรรถภาพ ไร้ความสามารถ
• ทำลายความมั่นใจในความสามารถส่วนตัว เราจะวางใจในพระเจ้ามากขึ้น

เปโตร

มธ26:33 ฝ่ายเปโตรทูลตอบพระองค์ว่า “แม้คนทั้งปวงจะทิ้งพระองค์ ข้าพระองค์จะทิ้งก็หามิได้เลย

• เปโตรปฏิเสธพระเยซู 3 ครั้ง

ยน13:37-38 37 เปโตรทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า เหตุใดข้าพระองค์จึงตามพระองค์ไปเดี๋ยวนี้ไม่ได้ ข้าพระองค์จะสละชีวิตเพื่อพระองค์”
38 พระเยซูตรัสตอบว่า “ท่านจะสละชีวิตของท่านเพื่อเราหรือ เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ก่อนไก่ขันท่านจะปฏิเสธเราสามครั้ง”

• หลังจากปฏิเสธพระเยซู ผิดพลาดครั้งใหญ่ เปโตรไม่หยิ่งอีกเลย

1.4 กลัวการผูกมัดตัวเอง
• ไม่อยากรับผิดชอบ
• ไม่อยากร่วมหัวจมท้าย
• ไม่อยากเหนื่อย เจ็บตัว จ่ายราคา
• จริงๆแล้วผู้เชื่อทุกคนถวายทั้งหมดแด่พระเจ้าไปแล้ว ให้พระองค์เป็นจอมเจ้านาย ต้องกลัวผูกมัดกับอะไรอีก
• ชีวิตเราผูกไว้กับพระเจ้าแล้วมิใช่หรือ

กท2:20 ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว ข้าพเจ้าเองไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตซึ่งข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้ ข้าพเจ้าดำเนินอยู่โดยศรัทธาในพระบุตรของพระเจ้า ผู้ได้ทรงรักข้าพเจ้า และได้ทรงสละพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า

1.5 กลัวถูกปฏิเสธ
• กลัวคนไม่ยอมรับ กลัวคนเข้าใจผิด
• กลัวคนเห็นเราเป็นคนเลว ไร้สามารถ ไม่มีปัญญา

โยบ
โยบ 19:18 13 “พระองค์ทรงให้พี่น้องของข้าห่างไกลจากข้า ผู้ที่คุ้นเคยของข้าก็หันไปจากข้าเสีย
14 ญาติของข้าและเพื่อนสนิทของข้าได้ละลืมข้าเสียแล้ว
15 บรรดาแขกในบ้านของข้า และสาวใช้ของข้า นับข้าเป็นคนต่างถิ่น ข้ากลายเป็นคนต่างด้าวในสายตาของเขา
16 ข้าเรียกคนใช้ของข้า แต่เขาไม่ตอบข้า ข้าต้องวิงวอนเขาด้วยปากของข้า
17 ข้าเป็นที่ขยะแขยงแก่ภรรยาของข้า เป็นที่น่าเกลียดแก่ลูกชายแห่งมารดาของข้าเอง
18 แม้เด็กๆดูหมิ่นข้า เมื่อข้าลุกขึ้นเขาก็ว่าข้า
19 สหายสนิททั้งสิ้นของข้ารังเกียจข้า และคนเหล่านั้นที่ข้ารักเขาหันหลังให้ข้า

ดาวิด
สดด22:6-10 6 ข้าพระองค์เป็นดุจตัวหนอน มิใช่คน คนก็ด่า ประชาก็ดูหมิ่น
7 ผู้ที่เห็นข้าพระองค์ก็เย้ยหยัน เขาบุ้ยปากและสั่นศีรษะใส่ข้าพระองค์กล่าวว่า
8 เขามอบตัวไว้กับพระเจ้า ให้พระองค์ทรงช่วยเขาสิ ให้พระองค์ช่วยเขา เพราะพระองค์ทรงพอพระทัยในเขา
9 ถึงกระนั้นพระองค์ก็ทรงเป็นผู้นำ ข้าพระองค์ออกมาจากครรภ์มารดา และทรงให้ข้าพระองค์ปลอดภัยอยู่ที่อกแม่
10 ตั้งแต่คลอด ข้าพระองค์ก็ต้องพึ่งพระองค์ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของข้าพระองค์ ตั้งแต่ข้าพระองค์ยังอยู่ในครรภ์มารดา

• พระเยซูไม่ได้ไว้ใจในมนุษย์ เพราะพระองค์รู้ว่าในมนุษย์มีอะไร
• มีพระเจ้าเพียงองค์เดียวที่ไว้ใจได้จริงๆ

ยน2:24-25 24 แต่พระเยซูมิได้ทรงวางพระทัยในคนเหล่านั้น 25เพราะพระองค์ทรงรู้จักมวลมนุษย์ และสำหรับพระองค์ไม่มีความจำเป็นที่จะมีพยานในเรื่องมนุษย์ ด้วยพระองค์เองทรงทราบว่าอะไรมีอยู่ในมนุษย์

ฮบ10:23 ขอให้เรายึดมั่นในความหวังที่เราทั้งหลายเชื่อและรับไว้นั้น โดยไม่หวั่นไหว เพราะว่าพระองค์ผู้ทรงประทานพระสัญญานั้นทรงสัตย์ซื่อ

1.6 กลัวหนทางสู่จุดหมาย
• ไม่มีสิ่งใดได้มาโดยไม่จ่ายราคา โดยเฉพาะในโลกแห่งความบาป ระหว่างทางสู่ความสำเร็จ ต้องต่อสู้ เสียเลือดเนื้อ
• หากทำผิดพลาด เสียหายมาก จะฟ้องผิดมาก
• ไม่กล้ารับผิดชอบ

2ทธ1:11-12 11 สำหรับข่าวประเสริฐนั้น ข้าพเจ้าได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ประกาศ เป็นอัครทูตและเป็นครู
12 เพราะเหตุนั้นเองข้าพเจ้าจึงได้ทนทุกข์ลำบากเช่นนี้ ถึงกระนั้นข้าพเจ้าก็ไม่ละอาย เพราะว่าข้าพเจ้ารู้จักพระองค์ที่ข้าพเจ้าได้เชื่อ และข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า พระองค์ทรงสามารถรักษาซึ่งข้าพเจ้าได้มอบไว้กับพระองค์ จนถึงวันพิพากษาได้
• ต้องมีจิตสำนึกอันบริสุทธิ์ที่ถูกต้องกับพระเจ้าจึงสามารถทำการที่ยิ่งใหญ่ได้

2ทธ1:3 เมื่อข้าพเจ้าระลึกถึงท่านในการอธิษฐานอยู่เสมอนั้น ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้าซึ่งข้าพเจ้าได้รับใช้ด้วยจิตสำนึกอันบริสุทธิ์เช่นบรรพบุรุษของข้าพเจ้า

• โมเสส และ เยเรมีย์ก็กลัวความรับผิดชอบในตอนแรก และไม่อยากทำเลย
• พระเจ้าทรงสอนเขาทีละก้าว

2. ผลของความกลัววิกฤติการณ์

• ส่งผลต่อชีวิตทั้ง 3 ด้าน ร่างกาย จิตใจ วิญญาณ
• ถูกความกลัวผูกมัดไว้หมด
• ความกลัวช่วยใครไม่ได้เลย รังแต่จะสร้างความเสียหาย และเสียหาย

เอลียาห์

1พกษ19:1-5 1อาหับจึงบอกเยเซเบลตามการทั้งสิ้น ซึ่งเอลียาห์ได้กระทำและเรื่องที่ท่านได้ฆ่าผู้เผย พระวจนะเสียด้วยดาบ 2แล้วเยเซเบลก็รับสั่งให้ผู้สื่อสารไปหาเอลียาห์ว่า “ถ้าพรุ่งนี้เวลานี้ เรามิได้กระทำชีวิตของเจ้าให้เหมือนอย่างชีวิตของคน เหล่านั้นแล้ว ก็ให้พระทั้งหลายลงโทษเรา และยิ่งหนักกว่า” 3 แล้วท่านก็กลัวและลุกขึ้นหนีไปเอาชีวิตรอด และมาถึงเบเออร์เชบาเขตประเทศยูดาห์ และละคนใช้ของท่านไว้ที่นั่น 4 แต่ตัวท่านเองก็เดินเข้าถิ่นทุรกันดารไปเป็นระยะทางวันหนึ่ง มานั่งอยู่ที่ใต้ต้นซากและท่านทูลขอให้ตัวท่านตายเสียทีว่า “พอแล้วพระองค์เจ้าข้า ข้าแต่พระเจ้า บัดนี้ขอเอาชีวิตของข้าพระองค์ไปเสีย เพราะข้าพระองค์ก็ไม่ดีไปกว่าบรรพบุรุษของข้าพระองค์” 5 และท่านก็นอนลงหลับอยู่ใต้ต้นซาก ดูเถิด มีทูตสวรรค์องค์หนึ่งมาถูกต้องท่าน และพูดกับท่านว่า “ลุกขึ้นรับประทานซี

3. ก้าวย่างของการเผชิญการเปลี่ยนแปลง

3.1 เริ่มจากการเผชิญภาวะวิกฤติ

• ภาวะวิกฤติ เป็นตัวกระตุ้นให้หาทางออก หาทางแก้ไข หาทางเปลี่ยนแปลงสิ่งเก่าๆ
• ตั้งสติให้ได้ก่อน

โมเสส

• โมเสสตั้งสติได้ดีจริงๆ แม้ว่ายังไม่รู้ว่าพระเจ้าจะช่วยอย่างไร แต่บอกคนให้มั่นคงไว้

อพย14:12-14 12 พวกเราบอกท่านในอียิปต์แล้วมิใช่หรือว่า ปล่อยพวกเราแต่ลำพัง ให้พวกเรารับใช้ชาวอียิปต์เถิด เพราะการรับใช้ชาวอียิปต์นั้น ก็ยังดีกว่าที่จะมาตายในถิ่นทุรกันดาร”
13 โมเสสจึงเตือนประชากรว่า “อย่ากลัวเลย มั่นคงไว้ คอยดูความรอดที่จะมาจากพระเจ้า ซึ่งพระองค์จะประทานให้แก่ท่านทั้งหลายในวันนี้ด้วยคนอียิปต์ ซึ่งท่านทั้งหลายเห็นในวันนี้ แต่นี้ไปจะไม่ได้เห็นอีกเลย
14พระเจ้าจะทรงรบแทนท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงสงบอยู่เถิด”
โยบ

• โยบตั้งสติได้ดีจริงๆ แม้เจอเหตุร้ายต่อเนื่องแต่สติยังดีอยู่

โยบ1:13-19 13 อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อบุตรชายหญิงของท่านกำลังรับประทานและดื่มเหล้าองุ่นอยู่ในเรือนของพี่ชายหัวปีของเขา 14มีผู้สื่อสารมาหาโยบเรียนว่า “วัวกำลังไถนาอยู่ และลากำลังกินหญ้าในที่ข้างๆ 15 และคนเสบามาโจมตีเอามันไป และฆ่าคนใช้เสียด้วยคมดาบ และข้าพเจ้าผู้เดียวได้หนีรอดมาเรียนท่าน” 16ขณะที่เขากำลังพูดอยู่ก็มีอีกคนหนึ่งมาเรียนว่า “เพลิงของพระเจ้าตกลงมาจากฟ้าสวรรค์ไหม้แกะ และคนใช้และเผาผลาญเสียหมด และข้าพเจ้าแต่ผู้เดียวได้หนีรอดมาเรียนท่าน” 17 ขณะที่เขากำลังพูดอยู่ มีอีกคนหนึ่งมาเรียนว่า “ชาวเคลเดียจัดเป็นสามกองทำการปล้นเอาอูฐไป และฆ่าคนใช้เสียด้วยคมดาบ และข้าพเจ้าผู้เดียวได้ หนีรอดมาเรียนท่าน” 18ขณะที่เขากำลังพูดอยู่ มีอีกคนหนึ่งมาเรียนว่า “บุตรชายหญิงของท่านกำลังรับประทานและดื่ม เหล้าองุ่นอยู่ในเรือนของพี่ชายหัวปีของเขา 19 และดูเถิด มีพายุใหญ่ข้ามถิ่นทุรกันดาร มากระทบเรือนทั้งสี่มุม และเรือนนั้นพังทับคนหนุ่มสาว และเขาก็ตาย และข้าพเจ้าผู้เดียวได้หนีรอดมาเรียนท่าน”

โยบ1:20-21 20 แล้วโยบก็ลุกขึ้น ฉีกเสื้อคลุมของตน โกนศีรษะ กราบลงถึงดินนมัสการ
21ท่านว่า “ข้าพเจ้ามาจากครรภ์มารดาของข้าพเจ้าตัวเปล่า และข้าพเจ้าจะกลับไปตัวเปล่า พระเจ้าประทาน และพระเจ้าทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระเจ้า”

โยบ2:7-10 7 ซาตานจึงออกไปจากเบื้องพระพักตร์ของพระเจ้า และได้ให้โยบเป็นฝีร้าย ตั้งแต่ฝ่าเท้าของท่านจนถึงกระหม่อมที่ศีรษะ
8 และท่านก็เอาชิ้นหม้อแตกขูดตัวของท่าน และนั่งอยู่ในกองขี้เถ้า
9 แล้วภรรยาท่านเรียนว่า “ท่านยังจะยึดมั่นในความซื่อสัตย์ของท่านอีกหรือ จงแช่งพระเจ้าและตายเสียเถอะ”
10 แต่ท่านตอบนางว่า “เธอพูดอย่างหญิงโฉดจะพึงพูด เราจะรับสิ่งดีจากพระหัตถ์ของพระเจ้า และจะไม่รับของไม่ดีบ้างหรือ” ในเหตุการณ์นี้ทั้งสิ้นโยบมิได้กระทำผิดด้วยริมฝีปากของตน

3.2 หาทางเปลี่ยนแปลง แก้ไข

• หากไม่แก้ไขจะยิ่งอันตราย

สุภาษิต 22:3 คนหยั่งรู้เห็นอันตรายและซ่อนตัวของเขาเสียแต่คนเขลาเดินเรื่อยไป และรับอันตรายนั้น

• คิด
o ทำปัญหาใหญ่ให้เป็นปัญหาย่อย
 คิดแก้ไปทีละอัน
 คิดแก้ไขที่ทำได้ก่อน
 คิดแก้ตามลำดับความสำคัญ
 คิดแก้ไขในระยะยาว
• ปรึกษา
• พระเจ้าไม่ได้ให้เราอยู่คนเดียว
• เรามีพี่น้องและผู้นำ
• เราอาจเก่งบางด้าน แต่คนอื่นๆเก่งในด้านที่เราไม่มี สามารถช่วยเราได้

สภษ11:14 ที่ไหนที่ไม่มีการนำ ประชาชนก็ล้มลงแต่ในที่ซึ่งมีที่ปรึกษามากย่อมมีความปลอดภัย
สุภาษิต 24:6 เพราะว่าโดยการนำที่ฉลาด เจ้าก็เข้าสงครามได้ และด้วยมีที่ปรึกษามากๆ ก็มีชัยชนะ

3.3 ลงมือฝ่าวิกฤติ

• เมื่อเห็นทางออก
• เห็นแนวทางการเปลี่ยนแปลงแก้ไข จะทำให้เรามีกำลังใจลงมือกระทำ
• ต้องมีวินัย ควบคุม ตามกรอบที่คิดไว้

3.4 ตัดสินใจผ่านวิกฤติไปให้ได้

• ในทุกปัญหา มีปัญหาย่อยซ่อนอยู่
• ต้องตัดสินใจให้รอบคอบ ทบทวนและแก้ปัญหาให้สำเร็จ

3.5 รับรู้ผลแห่งการเปลี่ยนแปลง

• ผลจะค่อยๆปรากฏให้เห็น
• ไม่มีใครคุมได้ทุกอย่าง เราไม่ใช่พระเจ้า
• ต้องประเมินผล ประเมินตัวเอง
• การประเมินผล จะช่วยให้เราปรับสภาพชีวิตให้เข้ากับบริบทแวดล้อมได้สมจริงยิ่งขึ้น
• รับรู้สิ่งสูญเสียไปบางอย่าง โอกาส เงิน เวลา
• รับรู้ว่าได้อะไรกลับมาเช่นกัน
• อะไรเปลี่ยนไปบ้าง จะปรับตัวอย่างไร

3.6 ก้าวข้ามวิกฤติสู่สภาพปกติ

• ปัญหาและความทุกข์ยากไม่ได้อยู่กับเราตลอดไป
• จะให้ผ่านไปอย่างผู้แพ้หรือผู้ชนะ
• หากเราเรียนรู้ว่าได้อะไรมาบ้าง จะเติบโตขึ้น เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ไม่ผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำอีก
• หากไม่ก้าวข้ามมา ไม่เรียนรู้
o จะดำเนินชีวิตแบบเดิม ไม่ได้พัฒนาขึ้น
o เผชิญปัญหาในวังวนแบบเดิมๆ
o และแก้วิกฤติไม่ได้เหมือนเดิม
• วิธีการตอบสนองของแต่ละคน จะเป็นบ่งบอกชีวิตคน
• เป็นตัวบ่งชี้ถึงชีวิตของเขาว่าเป็นอย่างไร มีค่านิยมอย่างไร เป็นผู้ใหญ่ไหม เห็นแก่ตัวไหม เอาตัวรอดไหม สนใจใครไหม ชิ่งไหม ความดีใส่ตัว ความชั่วเอาให้คนอื่นไหม กล้าหาญไหม มีความรู้ความเข้าใจไหม รู้เรื่องไหม ฯลฯ

4. การตอบสนองต่อวิกฤติการณ์

4.1 ยอมรับความจริงของวิกฤตการณ์

• หนีไปคงไม่ได้ช่วยให้ทุกสิ่งดีขึ้น นอกจากหนีความจริง ทุกความจริงยังตามหลอกหลอน
• ต้องดำเนินชีวิตตามอุคมคติ แต่อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง

ปญจ.1:4-9 4 ชาตพันธุ์หนึ่งล่วงไป และอีกชาตพันธุ์หนึ่งก็มา แต่แผ่นดินโลกคงเดิมอยู่เป็นนิตย์
5 ดวงอาทิตย์ขึ้น และดวงอาทิตย์ตก แล้วรีบไปถึงที่ซึ่งขึ้นมานั้น
6 ลมพัดไปทางใต้แล้วเวียนกลับไปทางเหนือ ลมพัดเวียนไปเวียนมา แล้วลมพัดกลับตามทางเวียนของมัน
7 แม่น้ำทั้งหลายไหลไปสู่ทะเล แต่ทะเลก็ไม่เต็ม แม่น้ำไหลไปสู่ที่ใด ก็ไหลไปสู่ที่นั่นอีก
8 สารพัดเหนื่อยกันหมด คนใดๆก็พูดไม่ออก นัยน์ตาก็ดูไม่อิ่ม หรือหูก็ฟังไม่เต็ม
9 สิ่งที่เป็นขึ้นแล้วคือสิ่งที่จะเป็นขึ้นอีกสิ่งที่ทำกันแล้ว คือสิ่งที่จะต้องทำกันอีก

• ไม่มีใครยื้อสิ่งที่ต้องการไว้ได้นาน ทุกอย่างมีวิถีของมันที่พระเจ้ากำหนด แต่มนุษย์จะดำเนินตามหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ปัญญาจารย์ 3:1-81 มีฤดูกาลสำหรับทุกสิ่ง และมีวารสำหรับเรื่องราวทุกอย่างภายใต้ฟ้าสวรรค์
2 มีวารเกิด และวารตาย มีวารปลูก และวารถอนสิ่งที่ปลูกทิ้ง
3 มีวารฆ่า และวารรักษาให้หาย มีวารรื้อทลายลง และวารก่อสร้างขึ้น
4 มีวารร้องไห้ และวารหัวเราะ มีวารไว้ทุกข์ และวารเต้นรำ
5 มีวารโยนหินทิ้ง และวารเก็บรวบรวมหิน มีวารสวมกอด และวารงดเว้นการสวมกอด
6 มีวารแสวงหา และวารทำหาย วารเก็บรักษาไว้ และวารโยนทิ้งไป
7 มีวารฉีกขาด และวารเย็บ วารนิ่งเงียบ และวารพูด
8 มีวารรัก และวารเกลียด วารสงคราม และวารสันติ

4.2 ตอบสนองโดยริเริ่มแก้ไข

• หากไม่รู้ ต้องพึ่งพา และ ขอการช่วยเหลือ จากพระเจ้า จาก มนุษย์ จากผู้นำ จากพี่น้อง
• กุญแจของการเปลี่ยนแปลงเริ่มต้นจากตัวเรา ไม่ใช่ผู้อื่น
• พระเจ้าอนุญาตให้เราเผชิญวิกฤติการณ์ เพื่อคนของพระเจ้าจะชนะ
• เพื่อคนของพระเจ้าจะเปลี่ยนแปลงและแก้ไขบางสิ่งที่ยังบกพร่องอยู่
• เพื่อคนของพระเจ้าจะเติบโตขึ้นในความเชื่อ
• วางใจในพระเจ้าก่อน พระเจ้าไม่เคยทิ้งคนของพระองค์

รม8:28 เรารู้ว่า พระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง คือคนทั้งปวงที่พระองค์ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์

ฟิลิปปี 3:15-16 15 เราซึ่งเป็นผู้ใหญ่แล้วจึงคิดอย่างนั้น และถ้าท่านคิดอย่างอื่น พระเจ้าก็จะทรงโปรดให้เรื่องนั้นประจักษ์แก่ท่านด้วย
16 แต่เราได้แค่ไหนแล้ว ก็ให้เราดำเนินตรงตามนั้นต่อไป

• พระเจ้าทรงอนุญาตให้ทุกเหตุการณ์เกิดขึ้น มีพระประสงค์บางอย่าง อย่าปล่อยให้ผ่านเลยพระประสงค์ของพระองค์ไป

4.3 แก้ไขโดยมีหลักยึดในพระเจ้า

• มีหลักยึดและเข็มทิศนำทาง ในสภาวการณ์ต่างๆที่เปลี่ยนแปลงไป
• มีทั้งหลักยึด และ มีทั้งทิศทางที่ตอบสนองในเรื่องนั้นๆด้วย
• ให้พระเจ้าเข้ามามีส่วนเกี่ยวด้วยหรือไม่ มากน้อยขนาดไหน
• เต็มที่ แบบมีพระเจ้า หรือ แบบไม่มีพระเจ้า

สดุดี 127:1 ถ้าพระเจ้ามิได้ทรงสร้างบ้าน บรรดาผู้ที่สร้างก็เหนื่อยเปล่า ถ้าพระเจ้ามิได้ทรงเฝ้าอยู่เหนือนคร คนยามตื่นอยู่ก็เหนื่อยเปล่า

• ถ้ามีพระเจ้าอยู่ ไม่ว่าอะไรพระเจ้าจะให้เกิดผลดีได้เสมอ

5. หลักอะไรบ้างที่ช่วยให้เราไม่สับสน

5.1 โลกนี้ไม่ใช่บ้านถาวร

• ชีวิตในโลกนี้สั้นนัก
• ไม่มีใครเอาอะไรเข้ามาหรือเอาออกไปจากโลกนี้ได้
• เป็นหลักหนึ่งที่โยบใช้ยึดในเวลาที่เจอมรสุมชีวิต

โยบ1:21ท่านว่า “ข้าพเจ้ามาจากครรภ์มารดาของข้าพเจ้าตัวเปล่า และข้าพเจ้าจะกลับไปตัวเปล่า พระเจ้าประทาน และพระเจ้าทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระเจ้า”

สดด39:4-7 4 “ข้าแต่พระเจ้า ขอให้ข้าพระองค์ทราบถึงบั้นปลาย ของข้าพระองค์ และวันเวลาของข้าพระองค์ จะนานสักเท่าใด ขอให้ข้าพระองค์ทราบว่า ชีวิตข้าพระองค์ไม่เที่ยงอย่างไร
5 ดูเถิด พระองค์ทรงกระทำให้วันเวลาของข้าพระองค์ ยาวสองสามฝ่ามือเท่านั้น ชั่วชีวิตของข้าพระองค์ไม่เท่าไรเลย เฉพาะพระพักตร์พระองค์มนุษย์ทุกคนดำรงอยู่อย่างลมหายใจแน่ทีเดียว
6 มนุษย์ไปๆมาๆอย่างเงาแน่ทีเดียว เขาทั้งหลายยุ่งอยู่เปล่าๆแน่ทีเดียว มนุษย์โกยกองไว้ และไม่ทราบว่าใครจะเก็บไป”
7“ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า บัดนี้ข้าพระองค์จะรอคอยอะไร ความหวังของข้าพระองค์อยู่ในพระองค์

1ทธ6:7 เพราะว่าเราไม่ได้เอาอะไรเข้ามาในโลกฉันใด เราก็เอาอะไรออกไปจากโลกไม่ได้ฉันนั้น

5.2 เราดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ มิใช่ที่ตามองเห็น

2โครินธ์ 4:16-18 16 เหตุฉะนั้นเราจึงไม่ย่อท้อ ถึงแม้ว่ากายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป แต่จิตใจภายในนั้นก็ยังคงจำเริญขึ้นใหม่ทุกวัน
17 เพราะว่าการทุกข์ยากเล็กๆน้อยๆของเรา ซึ่งเรารับอยู่ประเดี๋ยวเดียวนั้น จะทำให้เรามีศักดิ์ศรีถาวรมากหาที่เปรียบมิได้
18 เพราะว่าเราไม่ได้เห็นแก่สิ่งของที่เรามองเห็นอยู่ แต่เห็นแก่สิ่งของที่มองไม่เห็น เพราะว่าสิ่งของซึ่งมองเห็นอยู่นั้นเป็นของไม่ยั่งยืน แต่สิ่งซึ่งมองไม่เห็นนั้นก็ถาวรนิรันดร์

2โครินธ์ 5:6 6 เหตุฉะนั้นเรามั่นใจอยู่เสมอ รู้อยู่แล้วว่า ขณะที่เราอยู่ในร่างกายนี้ เราอยู่ห่างจากองค์พระผู้เป็นเจ้า
7 เพราะเราดำเนินโดยความเชื่อ มิใช่ตามที่ตามองเห็น
8 เรามีความมั่นใจ และเราปรารถนาจะอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้ามากกว่าอยู่ในร่างกายนี้
9 เหตุฉะนั้นเราตั้งเป้าของเราว่า จะอยู่ในกายนี้ก็ดีหรือไม่อยู่ก็ดี เราก็จะทำตัวให้เป็นที่พอพระทัยของพระองค์
10 เพราะว่าจำเป็นที่เราทุกคนจะต้องปรากฏตัวที่หน้าบัลลังก์ของพระคริสต์ เพื่อทุกคนจะได้รับสมกับการที่ได้ประพฤติในร่างกายนี้ แล้วแต่จะดีหรือชั่ว

• ละวางจากโลกได้ ชีวิตจะสบายขึ้นเยอะ
• ไม่ถูกผูกมัดด้วยโลกและความกังวลตามธรรมดาโลก

5.3 พระเจ้าทรงควบคุมทุกอย่างเสมอ

สุภาษิต 16:1-3 1 แผนงานของดวงความคิดเป็นของมนุษย์ แต่คำตอบของลิ้นมาจากพระเจ้า
2 ทางทั้งสิ้นของมนุษย์ก็บริสุทธิ์ในสายตาของเขาแต่พระเจ้าทรงชั่งจิตใจ
3 จงมอบงานของเจ้าไว้กับพระเจ้า และแผนงานของเจ้าจะได้รับการสถาปนาไว้

อสย43:13 เราเป็นพระเจ้า มิหนำซ้ำตั้งแต่นี้ไป เราก็เป็นพระองค์นั้นอยู่ ไม่มีผู้ใดช่วยกู้จากมือของเราได้ เราประกอบกิจใดๆ ใครจะขัดขวางกิจการนั้นได้”

• พระองค์ทรงสัตย์จริง หากเราไม่ได้ทำผิด และ อยู่ฝ่ายพระเจ้าอย่างแท้จริง พระเจ้าจะทรงช่วยเราอย่างแน่นอน จึงก็ไม่ต้องกลัวสิ่งใด

สดด145:13 ราชอาณาจักรของพระองค์เป็นราชอาณาจักรนิรันดร์ และแผ่นดินของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดทุกชั่วชาติพันธุ์ พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อตามพระวจนะทั้งสิ้นของพระองค์ และทรงพระเมตตาตามกิจการทั้งสิ้นของพระองค์

ฮบ10:23 ขอให้เรายึดมั่นในความหวังที่เราทั้งหลายเชื่อและรับไว้นั้น โดยไม่หวั่นไหว เพราะว่าพระองค์ผู้ทรงประทานพระสัญญานั้นทรงสัตย์ซื่อ

5.4 พระเจ้าเป็นผู้เดียวที่ให้สันติสุขแท้

• เป็นสันติสุขที่โลกไม่สามารถให้ได้
• จงวางภาระลงและไว้วางใจในพระเจ้า และพระอง์จะเป็นผู้กระทำให้สำเร็จ

ยอห์น 14:27 เรามอบสันติสุขไว้ให้แก่ท่านทั้งหลาย สันติสุขของเราที่ให้แก่ท่านนั้น เราให้ท่านไม่เหมือนโลกให้ อย่าให้ใจของท่านวิตก และอย่ากลัวเลย

ฟป4:4-7 4 จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกเวลา ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่า จงชื่นชมยินดีเถิด 5จงให้จิตใจที่อ่อนสุภาพของท่านประจักษ์แก่คนทั้งปวง องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ใกล้แล้ว 6อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆเลย แต่จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน กับการขอบพระคุณ 7 แล้วสันติสุขแห่งพระเจ้าซึ่งเกินความเข้าใจ จะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์

1คร10:13 ไม่มีการทดลองใดๆเกิดขึ้นกับท่าน นอกเหนือจากการทดลองซึ่งเคยเกิดกับมนุษย์ทั้งหลาย พระเจ้าทรงสัตย์ธรรม พระองค์จะไม่ทรงให้ท่านต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้ และเมื่อท่านถูกทดลองนั้น พระองค์จะทรงโปรดให้ท่านมีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้ด้วย เพื่อท่านจะมีกำลังทนได้

• อ่านสดุดีบทที่ 46 บ่งบอกถึงหัตถกิจแห่งการช่วยกู้ของพระเจ้า

สดุดี 46:1-11 1 พระเจ้าทรงเป็นที่ลี้ภัยและเป็นกำลังของ ข้าพระองค์ทั้งหลาย เป็นความช่วยเหลือที่พร้อมอยู่ในยามยากลำบาก
2 ฉะนั้นเราจะไม่กลัว แม้ว่าแผ่นดินโลกจะเปลี่ยนแปลงไป แม้ว่าภูเขาทั้งหลายจะโคลงเคลงลงสู่สะดือทะเล
3 แม้ว่าน้ำทะเลคึกคะนอง และฟองฟู แม้ว่าภูเขาสั่นสะเทือนเพราะทะเลอลวนนั้น
4 มีแม่น้ำสายหนึ่ง ที่คลองระบายกระทำให้พระมหานครของพระเจ้ายินดี คือที่ประทับบริสุทธิ์ขององค์ผู้สูงสุด
5 พระเจ้าทรงสถิตกลางพระมหานคร เธอจะไม่โคลงเคลงย้ายไป พอรุ่งอรุณพระเจ้าก็ทรงช่วยเธอไว้
6 บรรดาประชาชาติก็อลหม่าน และราชอาณาจักร ทั้งหลายก็คลอนแคลน พระองค์ทรงเปล่งพระสุรเสียงแผ่นดินโลกก็ละลายไป
7 พระเจ้าจอมโยธาสถิตกับเราทั้งหลาย พระเจ้าของยาโคบทรงเป็นที่ลี้ภัยของเรา
8 มาเถิด มาดูพระราชกิจของพระเจ้า ว่าพระองค์ทรงกระทำให้เริศร้างในแผ่นดินโลกอย่างไร
9 พระองค์ทรงให้สงครามสงบถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก พระองค์ทรงหักคันธนูและฟันหอกเสีย พระองค์ทรงเผารถรบเสียด้วยไฟ
10 “จงนิ่งเสีย และรู้เถอะว่า เราคือพระเจ้า เราเป็นที่ยกย่องท่ามกลางประชาชาติ เราเป็นที่ยกย่องในแผ่นดินโลก”
11 พระเจ้าจอมโยธาทรงสถิตกับเราทั้งหลาย พระเจ้าของยาโคบทรงเป็นที่ลี้ภัยของพวกเรา

------------------------------

วันพุธที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ศึกษาพระธรรมมัทธิว 25: คำอุปมาเรื่องเงินตะลันต์‏

คำอุปมาเรื่องเงินตะลันต์


--------------------------------------------------------------------------------

"14 และยังเปรียบเหมือน ชายผู้หนึ่งจะออกเดินทางไป จึงเรียกพวกทาสของตนมาฝากทรัพย์สมบัติไว้
15 คนหนึ่งท่านให้ห้าตะลันต์ คนหนึ่งสองตะลันต์ และอีกคนหนึ่งตะลันต์เดียว ตามความสามารถของแต่ละคน แล้วท่านก็ไป
16 คนที่ได้รับห้าตะลันต์นั้นก็เอาเงินนั้นไปค้าขายทันที ได้กำไรเท่าตัว
17 คนที่ได้รับสองตะลันต์นั้นก็ได้กำไรเท่าตัวเหมือนกัน
18 แต่คนที่ได้รับตะลันต์เดียวได้ขุดหลุมซ่อนเงินของนายไว้
19 ครั้นอยู่มาช้านานนายจึงมาคิดบัญชีกับทาสเหล่านั้น
20 คนที่ได้รับห้าตะลันต์ก็เอาเงินกำไรอีกห้าตะลันต์มาชี้แจงว่า 'นายเจ้าข้า ท่านได้มอบเงินห้าตะลันต์ไว้กับข้าพเจ้า ดูเถิด ข้าพเจ้าได้กำไรมาอีกห้าตะลันต์'
21 นายจึงตอบว่า 'ดีแล้ว เจ้าเป็นทาสดีและสัตย์ซื่อ เจ้าสัตย์ซื่อในของเล็กน้อย เราจะตั้งเจ้าให้ดูแลของมาก เจ้าจงปรีดีร่วมสุขกับนายของเจ้าเถิด'
22 คนที่ได้รับสองตะลันต์มาชี้แจงด้วยว่า 'นายเจ้าข้า ท่านได้มอบเงินสองตะลันต์ไว้กับข้าพเจ้า ดูเถิด ข้าพเจ้าได้กำไรมาอีกสองตะลันต์'
23 นายจึงตอบว่า 'ดีแล้ว เจ้าเป็นทาสดีและสัตย์ซื่อ เจ้าสัตย์ซื่อในของเล็กน้อย เราจะตั้งเจ้าให้ดูแลของมาก เจ้าจงปรีดีร่วมสุขกับนายของเจ้าเถิด'
24 ฝ่ายคนที่ได้รับตะลันต์เดียวมาชี้แจงด้วยว่า 'นายเจ้าข้า ข้าพเจ้ารู้อยู่ว่าท่านเป็นคนใจแข็ง เกี่ยวผลที่ท่านมิได้หว่าน เก็บส่ำสมที่ท่านมิได้โปรย
25 ข้าพเจ้ากลัวจึงเอาเงินตะลันต์ของท่านไปซ่อนไว้ใต้ดิน ดูเถิด นี่แหละเงินของท่าน'
26 นายจึงตอบว่า 'อ้ายข้าชั่วช้าและเกียจคร้าน เจ้าก็รู้หรือว่าเราเกี่ยวที่เรามิได้หว่าน เก็บส่ำสมที่เรามิได้โปรย
27 เหตุฉะนั้นเจ้าควรเอาเงินของเราไปฝากไว้ที่ธนาคาร เมื่อเรามาจะได้รับเงินของเราทั้งดอกเบี้ยด้วย
28 เพราะฉะนั้น จงเอาเงินตะลันต์เดียวนั้นจากเขาไปให้คนที่มีสิบตะลันต์
29 ด้วยว่าผู้ใดมีอยู่แล้วจะเพิ่มเติมให้ผู้นั้นจนมีเหลือเฟือ แต่ผู้ที่ไม่มี แม้ว่าซึ่งเขามีอยู่ก็จะต้องเอาไปจากเขา
30 เอาอ้ายข้าชาติชั่วช้าไปทิ้งเสียที่มืดภายนอก ซึ่งที่นั่นจะมีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน' " (มัทธิว 25:14-30)


--------------------------------------------------------------------------------

ผู้จะเข้าในแผ่นดินสวรรค์ จะต้องมีอุปสรรคเช่นเดียวกับที่ทั้งสามคนได้เผชิญ และเราก็ได้พบว่า มีเพียงแค่ 2 คนที่จะได้เข้าแผ่นดินสวรรค์ อีกคนหนึ่งจะเข้าไม่ได้

สิ่งที่นายมอบให้ คือ "เงินตะลันต์" ซึ่งท่านได้ให้ "ตามความสามารถของแต่ละคน" ซึ่งปริมาณที่นายให้แก่ทาส จะมากหรือน้อยขึ้นกับความสามารถที่บุคคลที่ได้รับ ถ้ามีความสามารถมาก เขาก็ให้มาก แต่ถ้ามีความสามารถน้อย เขาก็ให้น้อย

เช่นเดียวกัน พระเจ้าจะทรงประทานตะลันต์ให้แก่เรา ตามความสามารถที่เรามี ถ้าหากเรามีความสามารถมาก เราก็จะได้รับตะลันต์มาก แต่ถ้ามีน้อย ก็จะได้รับน้อย เพื่อที่เราแต่ละคนจะได้รับภาระที่เหมาะกับตนเอง

อยากให้เราทำความเข้าใจ และแยกสิ่งที่ได้มาจากพระเจ้า ที่พระคัมภีร์ใช้คำว่า "ของประทาน" ออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่

ของประทานที่เกี่ยวข้องกับความสามารถ ที่ขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละคน (ซึ่งมีลักษณะเช่นเดียวกับในพระคัมภีร์ตอนนี้) ซึ่งโดยส่วนตัว มักจะใช้คำว่า "ตะลันต์" เพื่อที่จะไม่สับสน

ของประทานฝ่ายพระวิญญาณ ซึ่งไม่ได้ขึ้นกับความสามารถที่เรามีอยู่ (1โครินธ์ 12) ซึ่งขึ้นกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งเป็นผู้ประทานให้ เป็นของประทานพิเศษ

"4 ของประทานนั้นมีต่างๆกัน แต่มีพระวิญญาณองค์เดียวกัน
5 งานรับใช้มีต่างๆกัน แต่มีองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวกัน
6 กิจกรรมมีต่างๆกัน แต่มีพระเจ้าองค์เดียวกันเป็นต้นเหตุแห่งกิจกรรมนั้นๆในทุกคน
7 การสำแดงของพระวิญญาณนั้นมีแก่ทุกคนเพื่อประโยชน์ร่วมกัน
8 พระเจ้าทรงโปรดประทานโดยทางพระวิญญาณ ให้คนหนึ่งมีถ้อยคำประกอบด้วยสติปัญญา และให้อีกคนหนึ่งมีถ้อยคำอันประกอบด้วยความรู้ แต่เป็นพระวิญญาณองค์เดียวกัน
9 และให้อีกคนหนึ่งมีความเชื่อ แต่เป็นพระวิญญาณองค์เดียวกัน และให้อีกคนหนึ่งมีความสามารถรักษาคนป่วยได้ แต่เป็นพระวิญญาณองค์เดียวกัน
10 และให้อีกคนหนึ่งทำการอิทธิฤทธิ์ต่างๆ และให้อีกคนหนึ่งเผยพระวจนะได้ และให้อีกคนหนึ่งรู้จักสังเกตวิญญาณต่างๆ และให้อีกคนหนึ่งพูดภาษาแปลกๆ และให้อีกคนหนึ่งแปลภาษานั้นๆได้
11 สิ่งสารพัดเหล่านี้ พระวิญญาณองค์เดียวกันทรงบันดาลและประทานแก่แต่ละคนตามชอบพระทัยพระองค์" (1โครินธ์ 12:4-11)

เราต้องแยกแยะให้ถูกต้อง เพื่อที่เราจะสามารถอธิษฐานได้อย่างถูกต้อง เราจะต้องระมัดระวังที่จะไม่นำมาปนกัน

เมื่อพระเจ้าตะลันต์ให้แก่เรา พระองค์ประทานความสามารถในด้านต่าง ๆ ประทานทรัพย์สมบัติต่าง ๆ ให้แก่เรา เราจะต้องทำความเข้าใจว่า สิ่งเหล่านี้พระเจ้าทรงประทานให้แก่เราเพื่ออะไร?

ตามคำอุปมานี้ พบว่า ในที่สุดแล้ว นายจะกลับมาเพื่อคิดบัญชี และคนที่ได้ 5 ตะลันต์และ 2 ตะลันต์นั้น เขาได้เพิ่มเติม ทำการค้าขาย จนได้เพิ่มอีกเท่าตัว และก็นำมามอบให้แก่นายของเขา

เช่นเดียวกัน พระเจ้าทรงประทานตะลันต์ให้แก่เรา เพื่อที่จะให้เรานำไปใช้ให้เกิดผล และในวันที่พระเยซูคริสต์เสด็จกลับมานั้น พระองค์จะทรงคิดบัญชีกับเราทุกคน เราจะต้องนำสิ่งนี้มอบถวายแด่พระองค์ นำส่วนที่กำไรนั้นมอบถวายแด่พระองค์

เราใช้ความสามารถเหล่านั้นเพื่อตัวเราเอง หรือให้แก่สิ่งอื่นที่ไม่ใช่พระเจ้าหรือไม่? เราจะต้องใคร่ครวญให้ดี เพื่อที่เราจะไม่พลาดไปเหมือนกับคนที่ได้ 1 ตะลันต์ เพราะเขาไม่ได้ทำเพื่อพระเจ้าเลย เขาไม่ได้ทำให้สิ่งที่พระเจ้าประทานให้นั้นเพิ่มพูนขึ้นเลย ความสามารถที่เขามีเขาไม่ได้นำมาใช้เพื่อพระเจ้า และให้สังเกตว่า การฝังดินนั้น เขานำเงินไปฝัง แต่ไม่ได้นำความสามารถไปฝัง และเขาก็คงใช้ความสามารถของเขาเพื่อสิ่งอื่น ๆ ซึ่งไม่ได้ทำให้ตะลันต์ที่เขาได้รับนั้นเพิ่มขึ้นเลย

ให้สังเกตว่า คนที่ได้รับ 5 ตะลันต์ และ 2 ตะลันต์นั้น เมื่อได้รับแล้ว เขาก็เอาเงินนั้นไปทำการค้าขาว "ทันที" เขารีบทำเมื่อได้รับตะลันต์ ทำเพื่อนายของเขา จนเกิดผลเท่าตัว และนำทั้งหมดมอบคืนให้กับนายของเขา

เช่นกัน เมื่อเราได้รับตะลันต์ของเรานั้น เราควรที่จะมีท่าทีที่ถูกต้อง ก็คือ สัตย์ซื่อ และเร่งใช้ความสามารถของเราทันที เพื่อให้ตะลันต์นั้นเพิ่มพูนขึ้นมา แล้วเราก็จะได้รับพระพรเช่นเดียวกับทาสผู้สัตย์ซื่อสองคนนั้น

พระเจ้าของเราทรงไว้ซึ่งความยุติธรรม การที่เราจะทำเต็มความสามารถของเราเพื่อพระเจ้านั้น จึงเป็นสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัยแน่นอน ไม่ว่าเราจะมีความสามารถมากหรือน้อย เพียงแค่สัตย์ซื่อเท่านั้น พระเจ้าก็ทรงพอพระทัยเช่นกัน

คนที่ได้ 1 ตะลันต์นั้น เป็นคนเดียวที่แสดงตนให้เห็นว่าเขารู้จักนายดี เขาคิดว่าเขารู้จักนายดีและอ้างตัวขึ้นมา เขาอ้างว่า นายของเขาเป็นคนใจแข็ง ที่เก็บเกี่ยวในสิ่งที่ตนไม่ได้หว่าน

ให้เราระวังให้ดี เพราะเราเห็นได้ว่าข้อแก้ตัวของทาสที่ได้ 1 ตะลันต์นั้น กลับเป็นสิ่งที่ย้อนกลับมาหาเขาเอง และในที่สุด เขาก็ได้ข้อหา 2 ข้อหา คือ "อ้ายข้าชั่วช้า" และ "เกียจคร้าน"

สิ่งที่พระเจ้าใส่ในชีวิตของเราทุกคน จะเป็นสิ่งที่พระเจ้าจะมาทวงถามจากพวกเรา เพราะผู้ที่จะเข้าในแผ่นดินสวรรค์ ก็คือ ผู้ที่จะกระทำตามพระทัย

"มิใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า 'พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า' จะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้" (มัทธิว 7:21)

ดังนั้นเราจะเกียจคร้านไม่ได้ เพราะถ้าเรารู้พระทัยพระเจ้าแล้วไม่เชื่อฟัง เราก็เป็นคนชั่วช้าและเกียจคร้านในสายพระเนตรของพระเจ้า และพระเจ้าก็จะมิทรงพอพระทัยในตัวเรา

จากคำอุปมานี้ จะพบว่า ถ้าหากไม่นำไปลงทุน เขาก็ยังสามารถนำเงินไปฝากธนาคาร การนำเงินไปฝากธนาคารมีความหมายเช่นไร?

เมื่อเรานำเงินไปฝากธนาคาร เราก็ได้รับผลจากดอกเบี้ย และดอกเบี้ยที่เราได้รับ เกิดจากธุรกิจของธนาคาร

เช่นกัน พระเจ้าทรงเปิดช่องทางให้แก่เรา แม้ว่าเราจะไม่ได้รับใช้พระเจ้าโดยตรง อาจจะเพราะความกลัว หรือเพราะความคิดอะไรก็ตาม แต่เรายังสามารถเข้าไปร่วมอยู่ในส่วนของผู้ที่รับใช้พระเจ้าโดยตรงก็ได้ เพื่อเราจะได้รับดอกเบี้ย เป็นผลกำไรที่พระเจ้าทรงรับได้

การถวายทรัพย์ ก็เป็นตัวอย่างที่ดี เมื่อเรานำเงินมาถวายให้แก่ผู้รับใช้ คริสตจักร หรือองค์กรคริสเตียน เราก็มีส่วนในการรับใช้นั้น เป็นเหมือนการฝากธนาคาร เพื่อที่เราจะได้ผลที่จะถวายแด่พระเจ้า เป็นผลกำไรที่ผู้รับใช้พระเจ้ากระทำให้เกิดผล

แต่อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าทรงพอพระทัยที่สุด เพราะเพียงแค่นี้ ชีวิตเราก็จะไม่สามารถเกิดผลได้มาก แต่หากเรารับใช้ด้วยความสามารถของเราเต็มที่ เราก็จะเกิดผลได้มาก และผู้ที่เกิดผลมาก พระเจ้าก็จะยิ่งเพิ่มเติมให้มากด้วย อย่าให้เราพอใจแค่จะฝากธนาคารเท่านั้น แต่ให้เราปรารถนาสิ่งที่ดีที่สุด ให้เราฝึกฝนที่จะรับใช้ ไม่ละเลยที่จะเรียนรู้การประกาศ ไม่เลี่ยงอ้างว่าทำไม่ได้และฝากธนาคารอย่างเดียว แม้จะเป็นสิ่งที่พระเจ้าเปิดทางให้ แต่พระเจ้าไม่ได้ต้องการให้เราเป็นเพียงแค่นั้น สำหรับพระเจ้า พระองค์ทรงต้องการให้เราเกิดผลมาก ไม่ใช่เพียง 30 เท่า หรือ 60 เท่าเท่านั้น แต่เป็น 100 เท่า

"เราเป็นเถาองุ่น ท่านทั้งหลายเป็นแขนง ผู้ที่เข้าสนิทอยู่ในเราและเราเข้าสนิทอยู่ในเขา ผู้นั้นก็จะเกิดผลมาก เพราะถ้าแยกจากเราแล้วท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย" (ยอห์น 15:5)

ขอที่เราอย่าเป็นเหมือนคนที่ได้ 1 ตะลันต์นั้น เพราะคนเช่นนี้ไม่เคยนำตะลันต์ที่ได้รับมาใช้ให้เกิดประโยชน์แด่แผ่นดินของพระเจ้าเลย และก็ไม่นำเงินไปฝากธนาคารเพื่อให้เกิดผลเลย ซึ่งคนเช่นนี้ พระเจ้าคงจะไม่อนุญาตให้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ได้เลย คนเช่นนี้จะไม่มีสิทธิ์ในแผ่นดินของพระองค์ จะถูกขับไล่ออกให้อยู่ภายนอก ให้ไปอยู่ในที่ที่จะมีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน และพระองค์จะนำสิ่งที่เขามีไปให้แก่ผู้ที่มีเหลือเฟือ ตัวของเขาเองจะไม่มีอะไรเหลือเลย พระองค์ทรงทราบว่า แม้ว่าเขามี ก็จะไม่เป็นประโยชน์อะไรเลย

คำอุปมาต่าง ๆ เหล่านี้ ทำให้เราเข้าใจถึงคุณสมบัติของผู้ที่จะได้เข้าไปอยู่ในแผ่นดินของพระเจ้า เพื่อเราจะได้เตรียมชีวิตของเราให้มีคุณสมบัติพร้อมสำหรับแผ่นดินของพระเจ้า

เราจำเป็นต้องใคร่ครวญว่า ความสามารถที่เรามีอยู่แล้ว เรานำมาทุ่มเทให้กับพระเจ้าแล้วหรือยัง? เราได้กระทำ "ทันที" ดังเช่นกับคนที่ได้ 5 ตะลันต์ และ 2 ตะลันต์หรือไม่? เราเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือไม่?

เราไม่จำเป็นจะต้องรอให้มีฐานะมั่นคง หรือไว้เกษียณก่อนแล้วจึงจะรับใช้ แต่ให้เราสะสมสิ่งเหล่านี้ ให้เรารับใช้ทันที และเมื่อพระองค์เสด็จมาเพื่อคิดบัญชี เราจะมีสิ่งที่จะมอบถวายแด่พระองค์

ถ้าหากว่า เราไม่คิดที่จะใช้ความสามารถของเรา ใช้ตะลันต์ที่พระองค์ทรงประทานแก่เราอย่างสัตย์ซื่อ ไม่ปรารถนาที่จะรับใช้พระเจ้าแล้ว เราก็ไม่ต้องคิดจะขอของประทานฝ่ายพระวิญญาณเลย เพราะของประทานฝ่ายพระวิญญาณนั้น มีเพื่อเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์ แต่ถ้าหากเราใช้ตะลันต์อย่างสัตย์ซื่อแล้ว พระเจ้าจะทรงประทานของประทานฝ่ายพระวิญญาณนั้นให้แก่เราอย่างแน่นอน เป็นสิ่งที่ไม่ใช่จากความสามารถของเรา แต่พระเจ้าจะเพิ่มเติมในสิ่งที่เรามีแล้ว ให้มีมากขึ้นอีก เพราะของประทานฝ่ายพระวิญญาณนั้น พระเจ้าทรงประทานให้ทุกคนที่ทำตามพระทัยของพระเจ้า และพระองค์จะทรงประทานเพื่อประโยชน์ร่วมกัน

"จงมุ่งหาความรัก และขวนขวายของประทานฝ่ายพระวิญญาณด้วยความจริงใจ เฉพาะอย่างยิ่งการเผยพระวจนะ" (1โครินธ์ 14:1)

ขอที่เราจะมุ่งใช้ความสามารถของเรา ใช้ตะลันต์ที่เราได้รับเต็มที่ แล้วเมื่อนั้น ของประทานฝ่ายวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงประทานให้แก่เราอย่างอัตโนมัติ

สำหรับคนคนหนึ่ง พระเจ้าทรงประทานของประทานให้แบบพิเศษ เป็นสิ่งมีค่าอย่างมาก พระเจ้าจะประทานแก่เขาเพื่อที่เขาจะใช้สิ่งนั้นเป็นประโยชน์ และถ้าเขาสัตย์ซื่อกับพระเจ้าเต็มที่ พระเจ้าก็จะประทานให้แก่เขาตลอดชั่วชีวิตของเขา พระเจ้าทรงทราบชีวิตของเขา พระองค์ทรงทราบว่าชีวิตของเขาจะเป็นอย่างไร พระองค์ไม่ทรงประทานอย่างพร่ำเพรื่อแน่นอน เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งล้ำค่า พระเจ้าของเรายิ่งใหญ่ และทรงรอบคอบอย่างมาก



อ.ประดิษฐ์ พรกีรติกุล

คำแบ่งปันกลุ่มเซลล์เพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 15/05/2009

เรื่อง ศึกษาพระกิตติคุณมัทธิว

วันอังคารที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ศึกษาพระกิตติคุณมัทธิว

"1 เมื่อถึงวันนั้น แผ่นดินสวรรค์จะเปรียบเหมือนหญิงพรหมจารีสิบคนถือตะเกียงของตน ออกไปรับเจ้าบ่าว
2 เป็นคนโง่ห้าคน เป็นหญิงมีปัญญาห้าคน
3 ฝ่ายคนโง่นั้นเอาตะเกียงของตนไป แต่หาได้เอาน้ำมันไปด้วยไม่
4 คนที่มีปัญญานั้น ได้เอาน้ำมันใส่กาไปกับตะเกียงของตนด้วย
5 เมื่อเจ้าบ่าวยังช้าอยู่ ก็พากันง่วงเหงาและหลับไป
6 ครั้นเวลาเที่ยงคืนก็มีเสียงร้องมาว่า 'เจ้าบ่าวมาแล้ว จงออกมารับท่านเถิด'
7 พวกหญิงพรหมจารีเหล่านั้นก็ลุกขึ้นตกแต่งตะเกียงของตน
8 พวกที่โง่นั้นก็พูดกับพวกที่มีปัญญาว่า 'ขอแบ่งน้ำมันของท่านให้เราบ้าง ตะเกียงของเราจวนจะดับอยู่แล้ว'
9 พวกที่มีปัญญาจึงตอบว่า 'น่ากลัวน้ำมันจะไม่พอสำหรับเราและเจ้า จงไปหาคนขาย ซื้อสำหรับตัวเองจะดีกว่า'
10 เมื่อกำลังไปซื้อนั้น เจ้าบ่าวก็มาถึง ผู้ที่พร้อมอยู่แล้ว ก็ได้ไปกับท่านในการเลี้ยงเนื่องในงานสมรสแล้วประตูก็ปิด
11 ภายหลังหญิงพรหมจารีอีกห้าคน ก็มาร้องว่า 'ท่านเจ้าข้าๆ ขอเปิดให้ข้าพเจ้าเข้าไปด้วย'
12 ฝ่ายท่านตอบว่า 'เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า เราไม่รู้จักท่าน'
13 เหตุฉะนั้น จงเฝ้าระวังรอยู่ เพราะท่านทั้งหลายไม่รู้กำหนดวันหรือโมงนั้น" (มัทธิว 25:1-13)


--------------------------------------------------------------------------------

พระเยซูคริสต์ทรงห่วงใยเราทุกคน จึงได้ทรงเปิดเผยให้แก่พวกเราทราบถึงเหตุการที่จะต้องเกิดขึ้นในมัทธิวบทที่ 24 เพื่อที่เราจะเตรียมตัว เตรียมพร้อม และไม่ตกใจกลัวเมื่อสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น

ในบทนี้ พระองค์ก็ได้ตรัสคำอุปมาถึงเรื่องหญิงพรหมจารย์ 10 คน ซึ่งเป็นเรื่องที่มีรายละเอียดที่เราจะได้คิดใคร่ครวญ

เราควรจะทำความเข้าใจภาพรวมเสียก่อน ว่าประเด็นสำคัญในการเตือนสติจากคำอุปมาเรื่องนี้คืออะไร เพื่อที่เราจะได้ไม่หลงทางเมื่อจะตีความพระคัมภีร์ตอนนี้

ข้อสรุปจากพระคัมภีร์ตอนนี้ ก็คือ

"เหตุฉะนั้น จงเฝ้าระวังรอยู่ เพราะท่านทั้งหลายไม่รู้กำหนดวันหรือโมงนั้น" (มัทธิว 25:13)

เราจะต้องเอาข้อสรุปนี้มาตั้งเป็นประเด็นสำคัญ ว่าสิ่งที่เรากำลังจะทำความเข้าใจในเหตุการณ์นี้ มีประเด็นสำคัญคือ เพื่อเตือนสติเราให้เฝ้าระวัง ให้เราพร้อมตลอด ไม่ว่าเวลาไหนหรือโมงไหน เพื่อที่เราจะได้ไม่หลงประเด็นในการตีความ

หญิงสิบคนนี้ มีฉลาด 5 คน และโง่ 5 คน คนโง่ มีตะเกียง มีน้ำมันในตะเกียง แต่ไม่มีน้ำมันสำรอง แต่คนฉลาด มีตะเกียงเหมือนกัน มีน้ำมันในตะเกียงเหมือนกัน แต่มีน้ำมันสำรองด้วย

เหตุการณ์ต่อมา คือ เจ้าบ่าวมาช้า พวกเขาพากันง่วงเหงาและหลับไป จนเที่ยงคืน มีเสียงร้องบอกว่าเจ้าบ่าวมาแล้ว ให้ออกมารับท่าน ก็เกิดปัญหาขึ้นมา เพราะทั้ง 10 คนตื่นหมด และเริ่มสำรวจว่าน้ำมันในตะเกียงของตน คนโง่ก็พบว่าน้ำมันในตะเกียงของตนมีน้อย ไม่เพียงพอ จึงไปขอแบ่งจากผู้หญิงฉลาด 5 คน แต่หญิงฉลาดไม่ให้ บอกให้ไปหาซื้อเอง

ขณะที่หญิงโง่เหล่านั้นไปหาซื้อ เจ้าบ่าวมาถึง และหญิงโง่ 5 คนนั้นเมื่อกลับมาก็พบว่าประตูก็ได้ปิดเสียแล้ว จึงเคาะประตูเรียก และเจ้าบ่าวก็ปฏิเสธว่า "เราไม่รู้จักท่าน"

เรื่องนี้ได้สอนเราถึงการเฝ้าระวังที่จะรอคอยโมงนั้น เวลานั้น สอนว่าเราจะต้องทำอย่างไรบ้าง

หญิงพรหมจารีย์ คือ หญิงที่บริสุทธิ์ ซึ่งเล็งถึงผู้ที่เชื่อในพระเจ้า ผู้ที่เป็นคริสเตียน เพราะว่าหญิงเหล่านี้เป็นผู้ที่ได้รับเชิญให้เข้าแผ่นดินสวรรค์ และคริสเตียนก็จะได้รับการเลือกให้เป็นเจ้าสาวของพระองค์ ดังนั้น คำอุปมานี้ เกี่ยวข้องกับคริสเตียนโดยเฉพาะ ไม่ได้พูดถึงผู้ที่ยังไม่เชื่อ

คริสเตียนทุกคนรู้ว่า จะต้องมีชีวิตที่สำแดงออก

"15 เมื่อจุดตะเกียงแล้ว ไม่มีผู้ใดเอาถังครอบไว้ ย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง จะได้ส่องสว่างแก่ทุกคนที่อยู่ในเรือนนั้น
16 ท่านทั้งหลายก็เหมือนกับตะเกียง จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์" (มัทธิว 5:15-16)

หญิงทั้งสิบคน ทั้งฉลาดและโง่ ก็มีตะเกียงทั้งสิ้น เมื่อมีตะเกียง ก็จำเป็นต้องมีน้ำมัน จึงจะจุดติด และหญิงเหล่านี้ก็มีน้ำมันทุกคน พร้อมที่จะจุดไฟ และเขาทั้งสิบคนก็จุดไฟอยู่แล้ว ซึ่งก็แปลว่า หญิงเหล่านี้มิได้เล็งถึงคริสเตียนที่เป็นแต่ชื่อ แต่เป็นคริสเตียนจริง ๆ เป็นคริสเตียนที่มีแสงสว่าง และเป็นคริสเตียนที่กำลังส่องสว่างอยู่ ซึ่งต่างจากคำอุปมาในบทที่ 24 ที่มิได้เจาะจงว่าเป็นคริสเตียนหรือไม่

"40 เมื่อนั้นชายสองคนอยู่ที่ทุ่งนา จะทรงรับคนหนึ่ง ทรงละคนหนึ่ง
41 หญิงสองคนโม่แป้งอยู่ที่โรงโม่ จะทรงรับคนหนึ่ง ทรงละคนหนึ่ง" (มัทธิว 24:40-41)

ดังนั้น จึงไม่ควรตีความว่า น้ำมันเปรียบเป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพราะว่า พระองค์คงจะไม่สามารถซื้อขายได้ เราคงจะไม่ต้องกลัวว่าจะไม่พอถ้าแบ่งให้ผู้อื่น และไม่ต้องกลัวว่าจะหมด

ในพระคัมภีร์ตอนอื่น ๆ ถ้าหากมีความหมายที่เกี่ยวข้องกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเยซูคริสต์จะทรงอธิบายให้เราเข้าใจด้วย

"37 ในวันสุดท้ายของงานเทศกาล ซึ่งเป็นวันใหญ่นั้น พระเยซูทรงยืน และประกาศว่า "ถ้าผู้ใดกระหาย ผู้นั้นจงมาหาเรา และดื่ม
38 ผู้ที่วางใจในเราตามที่มีคำเขียนไว้แล้วว่า 'แม่น้ำที่มีน้ำธำรงชีวิต จะไหลออกมาจากภายในผู้นั้น' "
39 สิ่งที่พระเยซูตรัสนั้นหมายถึงพระวิญญาณ ซึ่งผู้ที่วางใจในพระองค์จะได้รับ เหตุว่ายังไม่ได้ประทานพระวิญญาณให้ เพราะพระเยซูยังมิได้ประสบเกียรติกิจ" (ยอห์น 7:37-39)

แต่ถ้าหากว่าพระองค์ไม่ได้ตีความหมายให้เราเข้าใจ เราก็จะต้องระมัดระวังอย่างมากที่จะตีความหมาย

ประเด็นสำคัญของพระคัมภีร์ในตอนนี้ คือ ให้เราเป็นคนที่ดีรอบคอบ เฝ้าระวัง ที่จะไม่ให้น้ำมันหมด เตรียมพร้อมอยู่เสมอ เตรียมให้พร้อมที่สุดแม้ว่าพระเจ้าจะเสด็จมาช้า เพื่อที่เราจะไม่ต้องประสบกับปัญหาเมื่อพระเยซูคริสต์ทรงเสด็จกลับมา เพื่อที่เราจะไม่พลาด ถูกขับไล่เมื่อเจ้าบ่าวเสด็จมา

"เหตุฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงเป็นคนดีรอบคอบ เหมือนอย่างพระบิดาของท่าน ผู้ทรงสถิตในสวรรค์ เป็นผู้ดีรอบคอบ" (มัทธิว 5:48)

หญิงโง่ 5 คนนี้ แท้จริงแล้วเราจะเห็นได้ว่า เขาพลาดเพียงนิดเดียวเท่านั้นเอง แต่ความผิดพลาดของเขาเหล่านั้น ทำให้เขาเหล่านั้นพลาดที่จะเข้าแผ่นดินของพระเจ้า และเจ้าบ่าวก็บอกว่า "ไม่รู้จัก"

เมื่อเวลานั้น เจ้าบ่าวจะไม่ไว้หน้าผู้ใดเลย แม้ว่าหญิงโง่เหล่านั้นจะได้รับการเลือกและแต่งตั้งแล้ว แต่เจ้าบ่าวก็ปฏิเสธอย่างแข็งขันว่าไม่รู้จักพวกเขา

"เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าผู้ใดฟังคำของเรา และวางใจในพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา ผู้นั้นก็มีชีวิตนิรันดร์ และไม่ถูกพิพากษา แต่ได้ผ่านพ้นความตายไปสู่ชีวิตแล้ว" (ยอห์น 5:24)

เราจะต้องใคร่ครวญว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นสำหรับเหตุการณ์นี้ ว่าหญิงโง่ห้าคนนั้นมีข้อบกพร่องในสิ่งใด เพื่อที่เราจะได้ใคร่ครวญตัวเอง และจะไม่เป็นแบบเขา

เมื่อเจ้าบ่าวยังช้าอยู่ ทั้ง 10 คนก็หลับหมดเลย ทั้งคนฉลาดและโง่ต่างก็หลับเช่นกัน คำว่าหลับในตอนนี้มีความหมายว่าอะไร ? จะเป็นการหลับเดียวกันกับที่กล่าวใน 1เธสะโลนิกา 5 หรือไม่ ?

"5 ท่านเป็นบุตรของความสว่าง และเป็นบุตรของกลางวัน เราทั้งหลายไม่ได้เป็นของกลางคืน หรือของความมืด
6 เหตุฉะนั้น เราอย่าหลับเหมือนอย่างคนอื่น แต่ให้เราเฝ้าระวัง และไม่เมามาย
7 เพราะว่า คนนอนหลับก็ย่อมหลับในเวลากลางคืน และคนเมาก็ย่อมเมาในเวลากลางคืน" (1เธสะโลนิกา 5:5-7)

ถ้าเราโยงว่าสองสิ่งเหมือนกัน ก็จะดูว่าขัดแย้งกัน แต่ให้เราสังเกตว่า ใน 1 เธสะโลนิกา ได้เน้นถึงกลางวันและกลางคน ความสว่างหรือความมืด ดังนั้น การหลับใน 1เธสะโลนิกา แตกต่างจากการหลับของหญิงพรหมจารย์ 10 คน เพราะการหลับใน 1เธสะโลนิกานี้ เป็นการหลับ กลับไปสู่ชีวิตในความมืด แต่สำหรับหญิงพรหมจารีย์นี้ มิได้เป็นการหลับเช่นนั้น เพราะทั้ง 10 คนก็ยังคงมีตะเกียง มีน้ำมัน และไฟก็ยังติดอยู่ เมื่อเขาหลับอยู่ พวกเขามิได้กลับไปสู่ความมืด และก็ยังมีผู้ที่สามารถที่จะเข้าร่วมพิธีสมรสได้ด้วย การหลับของหญิงเหล่านี้เป็นการหลับฝ่ายร่างกายจริง ๆ ไม่มีผลต่อความสว่างที่เขามีอยู่

หญิงโง่ห้าคน เมื่อขอแบ่งน้ำมัน หญิงฉลาดมิได้ให้ แสดงให้เห็นว่า ในเวลานั้น การเฝ้าระวัง ไม่สามารถที่จะฝากฝังกับใคร ไม่สามารถเอื้อให้ใครได้ แต่ละคนจะต้องเฝ้าระวังเอง ต้องรอบคอบเอง แม้ว่าเราจะอยู่ในกลุ่มคริสเตียนที่ร้อนรน แต่เมื่อถึงเวลานั้น พระเจ้าจะทรงพิจารณาอย่างยุติธรรม เป็นเรื่องส่วนตัวของเราว่าเราจะรอบคอบเพื่อพระเจ้าหรือไม่

เมื่อหญิงโง่รู้ตัวแล้ว พวกเขาก็ไปหาซื้อน้ำมัน เพื่อที่จะเติมในตะเกียง แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว ฉะนั้น การเฝ้าระวังจะประมาทไม่ได้ พระเยซูคริสต์จึงทรงสรุปว่า ให้เราเฝ้าระวังตลอดเวลา ถ้าเราไม่เฝ้าระวังเช่นนี้ เราจะถูกปฏิเสธ

จากคำอุปมาตอนนี้ ทำให้เราเข้าใจถึงบุคลิกของพระเจ้าว่า พระองค์ทรงดีพร้อม ทรงจริงจัง ทรงเข้มงวด ทรงใส่พระทัย ทรงพิถีพิถันในการคัดสรรคนของพระองค์ และจะไม่ทรงอะลุ้มอล่วย

เมื่อเราทราบถึงพระลักษณะของพระองค์เช่นนี้ ก็ขอที่เราจะใคร่ครวญพิจารณาชีวิตเรา ว่าชีวิตของเราเหมาะสมที่จะเข้าในแผ่นดินของพระองค์หรือไม่ ขอพระเจ้าทรงช่วยเรา ที่เราจะได้เห็นว่า เราจะต้องเตรียมพร้อมเตรียมตัวมากขนาดไหน ที่เราจะเข้าใจว่ามาตรฐานของพระองค์เป็นเช่นไร และที่เราจะทำตัวเราให้ถึงมาตรฐานของพระองค์ แล้วเราก็จะปลอดภัย

อย่ามองว่า สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนว่ายาก แต่ให้เรามองว่า สิ่งที่เราจะได้นั้น มีคุณค่าเพียงไร แผ่นดินสวรรค์มีเพียงที่เดียว คือ แผ่นดินของพระเจ้า ถ้าเราพลาดจากที่แห่งนี้ เราก็จะลงนรกทันที พระเจ้าจึงทรงบอกกับเราว่า ให้เราต่อสู้ ไขว่คว้าให้ได้

ตะเกียงจะต้องเป็นความสว่างอยู่ตลอดเวลา ถ้าหากมิได้เป็นเช่นนี้ เวลาที่ตะเกียงไม่ได้เป็นความสว่าง ถ้าหากว่าพระเยซูคริสต์ทรงเสด็จกลับมาเมื่อนั้น เราก็จะไม่มีข้ออ้างได้เลย แสงสว่างจะต้องส่องตลอดเวลา จนกระทั่งถึงวันนั้น เวลานั้น โมงนั้น

ถ้าหากว่าน้ำมันของเราไม่พอ ให้เรารีบไปหามาให้พอ อย่าให้ตะเกียงดับ และถ้าหากตะเกียงเราดับอยู่ ให้เราเติมน้ำมัน รีบจุดไฟ ส่องสว่าง ก่อนที่จะสายเกินไป



อ.ประดิษฐ์ พรกีรติกุล

คำแบ่งปันกลุ่มเซลล์เพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง

เมื่อวันที่ 25/04/2009

เรื่อง ศึกษาพระกิตติคุณมัทธิว

อัลฟา-โอเมกา

อัลฟา-โอเมกา
วว.๑.๔-๘

คำนำ
ยอห์นได้เขียนวิวรณ์ไปยังคริสตจักรเจ็ดแห่งในเอเชียไมเนอร์(Asia miner) เพื่อบอกว่า
หนึ่ง-พระเจ้ายังคงครอบครองอยู่ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในที่สุดพระองค์ก็จะชนะมารซาตาน (๑๙.๒๐, ๒๐.๑๐)
สอง-คริสเตียนจะมีชัยชนะในท่ามกลางความทุกข์นั้น (ยน.๑๖.๓๓, วว. ๑๒.๑๐-๑๑)
สาม-ยอห์นหนุนใจผู้เชื่อที่กำลังถูกกดขี่ข่มเหง
สี่-ตักเตือนคริสเตียนมิให้หลงไป
ห้า-เปิดเผยโลกในอนาคต
หก-เพื่อให้คริสเตียนปรับปรุงชีวิตให้ดียิ่งขึ้น ให้เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า
เจ็ด-เตรียมพร้อมที่จะไปอยู่กับพระเยซูคริสต์

วิวรณ์เป็นนิมิตและภาพเปรียบเทียบ ทำให้เข้าใจยากและคริสเตียนก็เลยไม่อยากอ่าน เช่น “พญานาคใหญ่สีแดงตัวหนึ่งเจ็ดหัวและสิบเขา และที่หัวนั้นมีมงกฎเจ็ดอัน” (๑๒.๓) พญานาคตัวนี้ได้แก่มารซาตาน ปัจจุบันมันปรากฏอยู่ตามสถานที่ต่างๆทางศาสนา
คำอวยพร
๑.ข่าวถึงคริสตจักรทั้งเจ็ด“ยอห์นขอเรียนคริสตจักรทั้งเจ็ดที่อยู่ในแคว้นเอเชียให้ทราบดังนี้” (ข้อ ๔) บางคนถามว่าทำไมแค่เจ็ดแห่ง? คำตอบก็คือเป็นคริสตจักรตัวแทนของคริสตจักรในโลกนี้ เลขแห่งความสมบูรณ์แบบ เลขสามคือพระเจ้า(๔.๘) เลขที่คือแผ่นดินโลก(๔.๖-๗ ผู้มีชีวิตอยู่ทั้งสี่ตัวแทนของสรรสิ่งที่พระเจ้าสร้าง (๗.๑) เลขหกคือมนุษย์ (๑๓.๑๘) มารซาตานคือ ๖๖๖ เลขเจ็ดคือความบริบูรณ์ (๑.๑๒,๑๖.๒๐,๔.๕) เลขสิบสองคือคนของพระเจ้า (๒๑.๑๒-๑๔)

๒.คริสเตียนรับพระคุณและสันติสุข (ข้อ ๔)
คำอวยพร : มีพระพรสองอย่างจากพระเยซูคริสต์ คือ
หนึ่ง-พระคุณ charisma (คาริสมา) “ของประทาน” ของขวัญที่ให้โดยคิดมูลค่า ไม่หวังสิ่งตอบแทน (ผมถือกฎว่า ให้ของขวัญแก่ใครต้องเอาป้ายราคาออก และเมื่อพบเขาภายหลังจะไม่ถามว่าชอบของขวัญนั้นไหม?) คือความรอดในพระเยซูคริสต์ (อฟ. ๒.๘-๙)
สอง-สันติสุข แปลตรงตัวว่า “การกลับคืนดีกับพระเจ้าทางพระเยซูคริสต์ (รม.๕.๑, ยน. ๑๔.๒๗)พระเยซูคริสต์ข้อ ๔-๘ ยอห์นได้บอกให้เราทราบถึงพระลักษณะและพระราชกิจของพระเยซูคริสต์

๑.พระเยซูทรงเป็นอยู่ “จากพระองค์ผู้ทรงดำรงอยู่ในปัจจุบัน และผู้ทรงดำรงอยู่ในอดีต และผู้ที่จะเสด็จมาในอนาคต” (ข้อ ๔) “พระเจ้าผู้ทรงอยู่เดี๋ยวนี้ ผู้ได้ทรงเป็นอยู่ในกาลก่อน ผู้ที่จะเสด็จมานั้น และผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด เราเป็นอัลฟาและโอเมกา” (ข้อ ๘) Alpha (อาลฟา) เป็นอักษรตัวแรกในภาษากรีก กล่าวย้ำถึงสามครั้ง (๑.๘, ๒๑.๖,๒๒.๑๓)Omega(โอเมกา) อักษรตัวสุดท้าย เป็นเบื้องต้นและเป็นเบื้องปลาย คงเหมือนกับภาษาไทยมี ก.ไก่ เป็นตัวแรก และมี ฮ.นกฮูก เป็นตัวสุดท้าย
ความจริง : พระเยซูคริสต์ทรงมีชีวิตอยู่จึงช่วยเราได้ แต่พระที่ตายแล้วย่อมช่วยเหลือมนุษย์ไม่ได้
๒.วิญญาณทั้งเจ็ด (ข้อ ๔) ในพระธรรมวิวรณ์เราจะพบเกี่ยวกับวิญญาณทั้งเจ็ดหลายครั้ง หมายถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่มีฤทธิ์อำนาจเพียบพร้อม(เลข ๗) ที่จะทำงานในโลกนี้ตามคำสั่งของของพระเจ้า (๔.๕,๕.๖) อิสยาห์บอกถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์มีพระลักษณะ ๗ ประการ คือ “มีปัญญา มีความเข้าใจ สามารถวินิจฉัย มีอานุภาพ มีความรู้ มีความพึงพอใจ และมีความยำเกรงพระเจ้า”
๓.ผู้เป็นพยานซื่อสัตย์ “จากพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นพยานที่ซื่อสัตย์” (ข้อ ๕) กล่าวแก่คริสตจักรเลาดีเซียเช่นกัน(๓.๑๔) ทำนายถึงเชื้อสายของดาวิดว่า จะเป็นสักขีพยานในท้องฟ้า (สดด. ๘๙.๗) martus (มาร์ทูส) แปลอีกอย่างว่าพลีชีพเพื่อพระคริสต์ (๑๗.๖) ตัวอย่าง : นักรบตาลีบันในตะวันออกกลาง จะได้รับการสอนและฝึกอบรมให้สามารถที่จะ “ระเบิดพลีชีพ” ตนเองได้ทุกเวลา คริสเตียนควรจะเป็นคนที่พลีชีวิตเพื่อพระเยซูได้ตลอดเวลาด้วย
๔.ทรงเป็นผู้แรกที่ฟื้นจากความตาย (ข้อ ๕) ในสมัยของยอห์นมีหนังสือเล่มหนึ่งที่กล่าวถึงกษัตริย์นีโรได้เป็นขึ้นมาจากความตาย (Nero redivivus)นั่นเป็นเพียงนิยาย แต่เรื่องจริงคือพระเยซูทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย “ทรงเป็นผู้แรกที่ฟื้นขึ้นมาจากความตาย” (ข้อ ๕) ต่างจากคนที่เป็นขึ้นมาแล้วตายอีก หรือเป็นขึ้นมาแบบผีดิบ (แดรกคิวลา)
๕.ผู้ทรงครอบครองโลก“พระเยซูผู้ทรงครอบครองกษัตริย์ทั้งปวงในโลก” (ข้อ ๕) พระองค์ทรงเป็นจอมเจ้านายและจอมกษัตริย์ (๑๘.๑๔, ๑๙.๑๖) ทุกเข่าจะคุกลงกราบ ทุกลิ้นจะยกย่องพระองค์เป็นพระเจ้า (ฟป. ๒.๙-๑๑)

คริสเตียน
วว. ๑.๕-๗ เป็นบทเพลงสรรเสริญ ยอห์นได้กล่าวถึงว่าพระเยซูคริสต์ได้ทรงกระทำอะไรเพื่อผู้เชื่อ
๑.พระเยซูทรงรัก : ขอให้สังเกตว่า พระเยซูไม่ได้รักบางคน แต่ “พระองค์ทรงรักเราทั้งหลาย” (ข้อ ๕)
๒.ไถ่โทษบาป : พระเยซูทรงรักเราอย่างไรและขนาดไหน? “ปลดเปลื้องบาปของเราโดยพระโลหิตของพระองค์” (ข้อ ๕) “พระเยซูรับแบกบาปของเราไว้ในพระกายของพระองค์ที่ต้นไม้นั้น” (๑ ปต. ๒.๒๔)
๓.ตั้งไว้ในอาณาจักร : “และทรงตั้งเราไว้ให้เป็นอาณาจักรและปุโรหิตของพระเจ้าพระบิดาของพระ องค์” (ข้อ ๖) ปุโรหิต(hiereus-ฮิเอรีส)คือคนกลางที่นำมนุษย์เข้าถึงพระเจ้า “เราเป็นปุโรหิตหลวง” (๑ ปต. ๒.๙) เพื่อประกาศพระบารมีของพระองค์ เป็นสิทธิพิเศษของคริสเตียนทุกคน
๔.เสด็จกลับมารับเรา : “ดูเถิด พระองค์จะเสด็จมาในเมฆ ตาทุกดวงจะเห็นพระองค์” (ข้อ ๗) ทั้งคนที่เป็นมิตรและศัตรู พวกหนึ่งจะดีใจอีกพวกหนึ่งจะเสียใจ พวกหนึ่งจะร้องเพลงอีกพวกจะร้องไห้ พวกหนึ่งชื่นชมยินดีอีกพวกจะโศกเศร้า พวกหนึ่งเตรียมพร้อมขึ้นสวรรค์อีกพวกพร้อมที่จะลงนรก – คุณเป็นพวกไหน?

สรุปพระเยซูเสด็จมาเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด โดยสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อไถ่โทษบาป ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย และทรงพระชนม์อยู่ จะเสด็จมาในอนาคตเพื่อรับผู้เชื่อไปอยู่กับพระองค์.

3. พี่เลี้ยง-น้องเลี้ยงฝ่ายวิญญาณ (ค่าย 3 in 1 คริสตจักรสะพานเหลือง)‏

เมื่อคืน ตอนที่ได้ชมการแสดงในคืน fun night ได้พบว่าน้อง ๆ มีศักยภาพเยอะแยะมาก สามารถทำอะไรได้มากมาย ทำให้นึกถึงพระคัมภีร์ข้อหนึ่ง คือ

"แล้วพระเจ้าตรัสว่า 'ดูเถิด คนเหล่านี้เป็นชนชาติเดียว มีภาษาเดียว นี่เป็นเพียงเบื้องต้นของสิ่งที่เขาจะทำ และเขาตั้งใจจะทำอะไรก็ทำได้ทั้งนั้น' " (ปฐมกาล 11:6)

แต่อยากจะขอเน้นว่า ศักยภาพของเรา จะต้องใช้เพื่อแผ่นดินของพระเจ้า อย่าใช้ไปกับกิจการงานของโลกนี้จนละเลยที่จะใช้ในแผ่นดินของพระเจ้า เช่นเดียวกับพลังงานปรมาณู ถ้าใช้ในทางที่ดี สามารถทำประโยชน์ได้มหาศาลมากทีเดียว สามารถใช้เพื่อสร้างไฟฟ้าได้ ใช้เป็นแหล่งพลังงานได้ แต่เมื่อนำไปใช้ในทางที่ผิด ก็จะสามารถทำอันตรายอย่างมากได้เช่นกัน

"1 ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงพิทักษ์ข้าพระองค์ไว้ เพราะข้าพระองค์ลี้ภัยอยู่ในพระองค์
2 ข้าพเจ้าทูลพระเจ้าว่า 'พระองค์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ นอกเหนือพระองค์แล้ว ข้าพระองค์ไม่มีดีเลย' " (สดุดี 16:1-2)

เมื่อเวลามีปัญหา ขอที่เราจะเพ่งดูที่พระเจ้า แล้วเราจะได้รับสันติสุขที่พระเจ้าเท่านั้นที่สามารถให้เราได้ และโลกก็ไม่สามารถแย่งไปจากเราได้ พระวิญญาณของพระเจ้าอยู่ท่ามกลางเรา ทรงเคลื่อนไหว ทำงานในจิตใจของพวกเราที่นี่

วันนี้ อยากจะให้เราได้เห็นภาพของ พี่เลี้ยงน้องเลี้ยง และ เพื่อนฝ่ายวิญญาณ

สมัยที่ข้าพเจ้าเป็นอนุชน ก็มีเพื่อนฝ่ายวิญญาณ เวลามีปัญหาก็จะโทรหาเพื่อน ให้เพื่อนช่วยอธิษฐานเผื่อ คุยกับเขา ปรึกษากัน ซึ่งจะได้เห็นภาพของ "เตี้ยอุ้มค่อม" แต่ทำให้ได้ข้อคิดที่ดี ได้รับการอธิษฐานเผื่อ ได้กำลังใจมากขึ้น แต่ส่วนที่จะช่วยเราจริง ๆ ในการที่จะเติบโตกับพระเจ้า ก็คือ ส่วนของ "พี่เลี้ยง"

แม้ว่าในตอนนั้นข้าพเจ้าไม่มีพี่เลี้ยงเป็นตัวเป็นตน แต่มีพี่ ๆ หลายคนที่ให้คำปรึกษาที่ดี และทำให้ข้าพเจ้าได้เติบโตมาถึงจนทุกวันนี้ พี่เหล่านี้ มีใจอยากเห็นข้าพเจ้าเติบโตขึ้นกับพระเจ้า เขาช่วยข้าพเจ้าได้อย่างมากให้ผ่านเหตุการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตมาได้

ครั้งหนึ่ง มีรุ่นพี่ท่านหนึ่ง ขับรถมาแต่ไกล เพียงเพื่อแค่เพื่อเอาการ์ดหนุนใจมาให้ข้าพเจ้า สิ่งที่เขาทำเป็นกำลังใจให้ข้าพเจ้าอย่างมาก แม้ว่าข้าพเจ้าจะจำไม่ได้ว่าข้อความนั้นกล่าวว่าอย่างไร แต่สิ่งที่เขาได้ทำนั้น ข้าพเจ้าไม่มีทางลืมได้เลย

แท้จริงแล้ว บทบาทของการเป็นพี่เลี้ยงเป็นสิ่งที่เข้มข้น เรามีความจำเป็นที่จะต้องมีพี่เลี้ยงแม้ว่าเราจะโตแล้ว ข้าพเจ้าเองก็ยังมีพี่เลี้ยง

ตอนที่ข้าพเจ้ากำลังจะไปเรียนต่อที่ประเทศแคนาดา แม้ว่าพี่เลี้ยงของข้าพเจ้าไม่ได้เป็นคนที่มีฐานะร่ำรวย แต่เขาก็ได้ทำงานพิเศษเพื่อที่จะหาเงินทุนให้ข้าพเจ้าในการไปเรียนต่อ เขามีอิทธิผลฝ่ายวิญญาณแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเรียนรู้การอดอาหารอธิษฐานจากเขา เขาสอนข้าพเจ้าเสมอว่า เราจะต้องลงทุน เพราะเราลงทุนในสิ่งใด เราก็จะได้เก็บเกี่ยวในสิ่งนั้น ดังนั้น ถ้าหากเราต้องการเติบโตฝ่ายวิญญาณ เราก็ต้องลงทุนในด้านฝ่ายวิญญาณ

เมื่อข้าพเจ้ามีปัญหาอะไร จะเล่าให้เขาฟังเสมอ และเขาก็จะอธิษฐานเผื่อเสมอ แม้แต่ตอนที่ข้าพเจ้ากำลังจะเลือกคู่ครอง ข้าพเจ้าก็พาแฟนไปรู้จักกับเขา ไปคุยกับเขา และเวลาที่เขาห้ามอะไรข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะฟังเสมอ จะเชื่อฟัง และเมื่อเขาทักท้วงในสิ่งใด ข้าพเจ้าจะพิจารณาอย่างจริงจัง ข้าพเจ้าต้องการเติบโตฝ่ายวิญญาณโดยผ่านทางชีวิตของเขา ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าต้องการเวลา เขาก็พร้อมที่จะให้เขาเสมอ เขาเป็นแบบอย่างที่สามารถเห็นได้จากชีวิตของเขา ทำให้เห็นภาพของพี่เลี้ยงน้องเลี้ยงได้อย่างดี

บางครั้งเพื่อนไม่สามารถช่วยเราได้ เพราะว่าจิตวิญญาณระดับเดียวกัน ความรู้ในพระคัมภีร์เท่ากัน ถ้าหากเราต้องการพัฒนาในฝ่ายวิญญาณ เราจำเป็นต้องหาคนที่มีประสบการณ์มากกว่าเรา มีความเป็นผู้ใหญ่ทางฝ่ายวิญญาณมากกว่าเรา เป็นผู้ที่จะสามารถช่วยเราให้เติบโตขึ้นได้ ช่วยในปัญหาของเราได้ แม้เป็นปัญหาที่เราไม่สามารถบอกใครได้

บทบาทของการเป็นพี่เลี้ยงน้องเลี้ยง เป็นบทบาทของการฟูมฟัก เลี้ยงดู เพื่อที่น้องเลี้ยงจะเติบโต และในที่สุดแล้ว น้องเลี้ยงเองก็จะมีประสบการณ์มากกว่าพี่เลียง มีความรู้ทางพระคัมภีร์มกากว่าพี่ และเติบโต มีอิทธิพลต่อคนรอบข้างมากพี่เลี้ยงเสียอีก เพราะพี่เลี้ยงทุกคนย่อมอยากจะเห็นน้องเลี้ยงเป็นเช่นนั้น อยากเห็นน้องเลี้ยงได้เติบโตมากกว่าพี่เลี้ยงอย่างแน่นอน

พระคัมภีร์ได้ให้ภาพของการเป็นพี่เลี้ยงน้องเลี้ยงอย่างมากมาย เช่น เอลียาห์และเอลีชา และในพระคัมภีร์ใหม่ ก็ได้ให้ภาพที่ชัดเจน คือ บารนาบัส และเปาโล

แม้ว่าเซาโลจะมีชื่อเสียงในเรื่องการข่มเหงคริสเตียนอย่างมาก แต่เขาก็ได้มีประสบการณ์กับพระเจ้า ได้กลับใจเป็นคริสเตียน ได้รับการเปลี่ยนชื่อเป็นเปาโล หลังจากเปาโลกลับใจเป็นคริสเตียน เขากระตือรือร้นอย่างมาก แต่ว่าก็ไม่มีใครไว้ใจเขา อย่างไรก็ตาม มีผู้หนึ่งที่วางใจเขา และรับรองของเขา นั่นก็คือ บารนาบัส

บารนาบัสเป็นคนที่กอปรด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นคนที่ใกล้ชิดพระเจ้า เขามีลักษณะบางอย่างที่ทำให้คนรอบข้างสัมผัสได้

ช่วงหนึ่งที่อันทิโอก บารนาบัสพาเปาโลไปด้วย และรับใช้ด้วยกัน เวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่บารนาบัสสร้างเปาโล และหลังจากนั้น เปาโลก็ได้มีโอกาสที่ได้เลี้ยงดูผู้อื่นเช่นกันในบริบทของการรับใช้

การที่เรามีโอกาสได้ออกไปรับใช้ด้วยกัน โดยเฉพาะถ้าได้ไปกับพี่เลี้ยง จะเป็นโอกาสที่เราจะได้สร้างชีวิตอย่างมากมาย ช่วงเวลาเหล่านั้นจะเป็นช่วงเวลาที่สนุกมาก แม้อาจจะยากลำบาก แต่ก็ได้รับใช้ และได้เห็นถึงการอัศจรรย์ของพระเจ้า ได้เห็นคนกลับใจมารู้จักกับพระเจ้า ได้เห็นคนรับการรักษาโรค ทำให้เราได้รับกำลังอย่างมากมาย ได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ จากพี่เลี้ยงอย่างมาก ได้เห็นถึงการตอบสนองต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้เห็นการตอบคำถาม การแก้ปัญหาต่าง ๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราสามารถเรียนรู้ได้ผ่านทางการรับใช้

ในพระธรรมกิจการ จะเห็นได้ว่า นอกจากจะมีการอธิษฐาน นมัสการร่วมกันแล้ว เรายังได้เห็นภาพของการร่วมกันออกไปรับใช้ด้วย และได้เห็นภาพของพี่เลี้ยงน้องเลี้ยงอย่างชัดเจน

เอลียาห์และเอลีชา เป็นพี่เลี้ยงน้องเลี้ยงกัน เอลีชารับใช้เอลียาห์ เอลีชาติดตามเอลียาห์ เรียนรู้จากชีวิตของท่าน รับใช้ร่วมกัน จนกระทั่งวันที่เอลียาห์จะถูกรับขึ้นไป เอลีชาได้ขอสิ่งหนึ่งจากเอลียาห์

"และอยู่มาเมื่อท่านทั้งสองข้ามไปแล้ว เอลียาห์จึงพูดกับเอลีชาว่า 'จงขอสิ่งที่อยากให้ข้าพเจ้าทำเพื่อท่านก่อนที่ข้าพเจ้าจะถูกรับไปจากท่าน' และเอลีชาตอบว่า 'ขอให้ฤทธิ์เดชของท่านอยู่กับข้าพเจ้าตามส่วนสิทธิบุตรหัวปี' " (2พงษ์กษัตริย์ 2:9)

สิทธิบุตรหัวปี หมายถึงพรที่เป็นสองเท่า แล้วในที่สุดเขาก็ได้ตามที่ปรารถนา

เช่นเดียวกัน น้องเลี้ยง ถ้าหากอยากจะได้เติบโต จะต้องทำอะไรบางอย่าง จะต้องยอมรับใช้พี่เลี้ยง จะต้องติดตามพี่เลี้ยงไปตลอด

ถ้าหากเราไม่อยากได้ ถ้าหากเราไม่ลงทุน เราก็จะไม่ได้รับในสิ่งที่ต้องการ แม้ว่าเราจะได้พี่เลี้ยงที่ดีขนาดไหนก็ตาม น้องเลี้ยงก็จะไม่ได้เติบโตถ้าหากไม่มีใจที่จะเรียนรู้และลงทุนในทางฝ่ายวิญญาณ

ชีวิตของน้องเลี้ยงจะได้รับพรอย่างมากมาย จะได้เติบโตขึ้นทางฝ่ายวิญญาณ จะไม่จำเป็นต้องเรียนในหลายสิ่งที่พี่เลี้ยงของเราเรียนมาแล้ว แต่จะได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ มากขึ้น มีประสบการณ์ที่ลึกซึ้งมากกว่าพี่ เพื่อแผ่นดินของพระเจ้าจะได้ขยายออก

พระเยซูคริสต์ทรงอธิษฐานเพื่อสาวกของพระองค์ ในช่วงที่ใกล้ที่พระองค์จะต้องถูกตรึงที่กางเขน

"บัดนี้ข้าพระองค์จะไม่อยู่ในโลกนี้อีก แต่พวกเขายังอยู่ในโลกนี้ และข้าพระองค์กำลังจะไปหาพระองค์ ข้าแต่พระบิดาผู้บริสุทธิ์ ขอพระองค์ทรงโปรดพิทักษ์รักษาบรรดาผู้ที่พระองค์ได้ประทานแก่ข้าพระองค์ไว้โดยพระนามของพระองค์ เพื่อเขาจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เหมือนดังข้าพระองค์กับพระองค์" (ยอห์น 17:11)

พระเยซูคริสต์ทรงห่วงเราทั้งหลาย ทรงอธิษฐานเพื่อเราทั้งหลาย เพื่อที่เราจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพื่อที่เราจะรักกัน ซึ่งไม่ได้หมายความว่าจะต้องคิดเหมือนกันทุกอย่าง ทำอะไรเหมือนกันทุกอย่าง เราสามารถที่จะมีความแตกต่างกันได้ แต่อยู่ร่วมกัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ในความแตกต่างของเรา เราจะรู้ว่าเราเป็นกายเดียวกัน อวัยวะแต่ละส่วนก็รับใช้ซึ่งกันและกัน

โดยปกติแล้ว อวัยวะแต่ละส่วนจะไม่มีการอิจฉาซึ่งกันและกัน เพราะเมื่ออวัยวะส่วนใดได้ดี ทั้งร่างกายก็ชื่นชมยินดี เพราะเราเป็นกายเดียวกัน

คริสตจักรไม่ใช่อาคาร แค่คริสตจักรคือเราทั้งหลายซึ่งเป็นผู้เชื่อ

เมื่อเราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เราจะมีพลังที่จะต่อต้านกระแสของโลกนี้ จะเป็นภาพของคริสตจักรที่พระเจ้าใฝ่ฝันให้เราเป็น เป็นสิ่งที่จะทำให้เราปลอดภัย

เราไม่ใช่ของโลกนี้ เราแตกต่างจากโลก กระแสของโลกนี้แรงมาก และเราจะต้องต้านกระแสโลก ถ้าหากเราดำเนินตามกระแสโลก เราจะไม่สามารถที่จะมีอิทธิพลที่จะนำแผ่นดินของพระเจ้ามาในโลกนี้ได้

เปรียบเทียบกับฝูงสัตว์และกอหญ้า คือ บรรดาสิงโตจะล่าเหยื่อที่หลงออกจากฝูง และกอหญ้าที่เมื่ออยู่ด้วยกันในแม่น้ำ มันจะมีแรงที่จะยึดกันและกัน และสามารถอยู่ต้านกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวได้

เราทุกคนเป็นส่วนของกันและกัน มีกายเดียวกัน ที่มีพระเยซูคริสต์เป็นศีรษะ ขอที่เราจะพิจารณาคำอธิษฐานของพระเยซูคริสต์ เพื่อที่เราจะเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เพื่อที่เราจะมีชีวิตที่เป็นแบบอย่าง มีอิทธิพล เป็นพรแก่สังคมไทย

อยากให้เรามีภาพที่ไกล มีผลต่อการขยายของแผ่นดินของพระเจ้า อยากให้เราเอาตัวของเราเข้ามาในพระกายที่มีพระคริสต์เป็นศีรษะ

คนที่อยากมีพี่เลี้ยง ก็ขอหนุนใจที่จะอธิษฐานขอพระเจ้าที่จะจัดเตรียม ส่วนคนที่จะต้องเป็นพี่เลี้ยงก็ขอให้อธิษฐานที่จะมีกำลัง

สิ่งที่งดงามที่สุด คือ การทำงานในชีวิตของคน ทำให้คนได้เกิดผล ได้รับการเปลี่ยนแปลง ชีวิตของเขางดงาม มีผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ต่อสังคม แม้จะเป็นงานที่ไม่มีใครเห็น แต่มนุษย์เป็นทรัพยากรที่มีคุณค่ามากที่สุด

ถ้าเราเติบโตขึ้นกับพระเจ้า ได้รับการแนะนำในทิศทางที่ถูกต้อง ในทางที่เป็นประโยชน์ เราก็จะได้เห็นภาพอันยิ่งใหญ่เกิดในท่ามกลางเรา



อ. ตรูจิตต์ นีเดอร์เรอร์

สรุปคำเทศนาในค่ายสามคณะ "3 in 1" คริสตจักรสะพานเหลือง

ที่บ้านไร่ริมแควรีสอร์ท

เมื่อวันที่ 10/05/2009

เรื่อง พี่เลี้ยง-น้องเลี้ยงฝ่ายวิญญาณ

วันจันทร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

2. การเลี้ยงดูตามอย่างพระเยซูคริสต์

สิ่งที่อยากให้ลองคิดดู ก็คือ ภาพสัญลักษณ์ที่สื่อความเป็นตัวตนที่เราอยากจะเป็น คืออะไร?

สิ่งนี้อยากให้คิด เพื่อที่เราจะได้รู้ว่าเรามีสิ่งที่ดีอยู่ในตัว

นักจิตวิทยาบอกว่า เมื่อคนหนึ่งอยากจะเป็นอะไร แท้จริงแล้ว คนนั้นจะมีสิ่งที่เป็นความใฝ่ฝันของตนอยู่ในตัวอยู่แล้ว และสิ่งนั้นเป็นเหมือนขุมทรัพย์ที่อยู่ในชีวิตของเขา

ถ้าเราไม่รู้ว่าเรามีคุณค่า เราจะไม่สามารถนำคุณสมบัติที่เรามีอยู่ออกมาใช้ได้ ไม่สามารถนำขุมทรัพย์ในตัวออกมาใช้ได้

ทุกคนมีดีอยู่ในตัว มีมากกว่าที่เราจะสามารถคิดได้เสียอีก และทุกคนมีสิ่งที่จะสามารถแบ่งปันให้แก่คนอื่น ๆ ได้ และรับสิ่งดี ๆ จากคนอื่นได้ เพราะคนอื่น ๆ ก็มีขุมทรัพย์อยู่ในตัวเช่นกัน นี่แหละ เป็นภาพของพระกายของพระคริสต์ ที่มีการแลกเปลี่ยนกัน พี่สามารถให้น้องได้ และในทางกลับกันน้องก็สามารถให้แก่พี่ด้วยเช่นกัน

พระเจ้าสามารถสำแดงแก่เราอย่างอัศจรรย์แบบทันทีทันใด แบบเกิดผลทันตาเห็น แต่ในอีกทางหนึ่ง เรื่องของวินัย พระเจ้าต้องการให้เราพัฒนาความสัมพันธ์กับพระเจ้า ตลอดวันคืนชีวิตของเรา ความสนิทสนมกับพระเจ้าเป็นสิ่งที่เราสามารถปลูก ค่อย ๆ พัฒนาในชีวิตของเรา ค่อย ๆ พัฒนาทีละวัน จนเรามีความสนิทกับพระเยซูคริสต์มากขึ้นทุกวัน ๆ

ธรรมชาติเราต้องโตขึ้นทุกวัน วันนี้เป็นน้อง แต่วันหน้าก็ต้องเป็นพี่

เปโตรเป็นคนใจร้อน มักจะตอบคำถามที่พระเยซูถามก่อนคนอื่นเสมอ เป็นชาวประมง ชื่อเดิมของเขาคือ ซีโมน

วันหนึ่ง พระเยซูคริสต์ทรงบอกว่า

"ฝ่ายเราบอกท่านว่าท่านคือเปโตร และบนศิลานี้ เราจะสร้างคริสตจักรของเราไว้ และพลังแห่งความตายจะมีชัยต่อคริสตจักรนั้นหามิได้" (มัทธิว 16:18)

พระเยซูคริสต์ทรงเห็นขุมทรัพย์ในตัวของเปโตร (และรวมถึงสาวกคนอื่น ๆ ด้วย) พระองค์จึงทรงลงทุนในชีวิตของท่าน

พี่ ๆ ผู้เลี้ยงฝ่ายวิญญาณทุกคน จะต้องรู้ว่าเราแต่ละคนมีขุมทรัพย์ในตัวเขา จะต้องเห็นขุมทรัพย์ในตัวเขา เห็นศักยภาพในตัวเขา และมีความหวังในตัวเขา จึงจะรู้สึกว่าอยากลงทุนในชีวิตของเขาเหล่านั้น

มีชายคนหนึ่ง อายุ 18 ปี ได้มาอยู่ที่บ้านของข้าพเจ้า (ซึ่งเป็นสถานที่ในการรักษาการติดอบายมุขทุกประเภท รวมถึงเกม และยาเสพติดต่าง ๆ) ชายคนนี้ติดเกมอย่างมาก ติดมากจนเรียนหนังสือไม่จบ เขาเป็นเด็กกำพร้า ไม่มีพ่อ พ่อของเขาเคยเป็นผู้รับใช้พระเจ้า แต่กลับติดยา และติดเอดส์จนเสียชีวิตในที่สุด

ในช่วงแรกที่เขาได้มาอยู่บ้านของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องใช้เวลา 2 ปีในการดูแลเขา เขาจึงเริ่มดีขึ้น ช่วงเวลาสองปีนี้ ข้าพเจ้าต้องดูแลเขาอย่างดี เลี้ยงดูเขาเหมือนลูก แต่พอเมื่อเขาดีขึ้น แม่ของเขาอยากจะเอาเขากลับไปเลี้ยงอีกครั้งหนึ่ง

แต่ในที่สุด แม่ของเขาก็มีปัญหากับสามีใหม่ แม่ของเขาจึงไม่เลี้ยงดูลูก และเด็กคนนี้ก็กลับมามีปัญหาอีกครั้งหนึ่ง กลับกลายเป็นคนที่ตกมือถือของคนอื่น ถูกจับหลายครั้ง จนในที่สุดก็ได้กลับมาอยู่ที่บ้านของข้าพเจ้าอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งชีวิตของเขาต่างจากเดิมมากทีเดียว เขาเป็นคนที่อยากจะเอาอะไรก็หยิบมาใช้เลย เพราะเป็นสิ่งที่เขาเคยชิน

แต่ข้าพเจ้าสัมผัสว่า พระเจ้าสัตย์ซื่อที่จะดูแลลูกของผู้รับใช้ของพระองค์ แม้ข้าพเจ้าจะไม่รู้จักพ่อของเขา แต่ข้าพเจ้าก็ทำดีกับเขา

ที่บ้านของข้าพเจ้า ทุกวันศุกร์จะเป็นวันครอบครัว จะเป็นเวลาที่สมาชิกในบ้านจะได้อธิษฐานกับพระเจ้าร่วมกัน ปรากฎว่าเด็กคนนี้ก็อธิษฐาน ขณะนมัสการ เขาร้องไห้เสียงดัง

เขาได้เล่าให้ฟังว่า เขาเคยอธิษฐานกับพระเจ้าว่า ชีวิตเขาไม่เหลืออะไรแล้ว พระเจ้าจะทำอย่างไรกับเขาก็ได้ แต่ตอนนี้ พระเจ้าตรัสกับเขาว่า "พระองค์จะทรงใช้เขาให้เป็นผู้ประกาศข่าวประเสริฐ" เมื่อเขาได้ยินเช่นนี้ เขาร้องไห้ออกมาเสียงดัง ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากมากสำหรับผู้ชาย แต่เขาได้สัมผัสกับพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำงานในชีวิตของเขา

หลังจากนั้น ชีวิตของเขาเปลี่ยนแปลงมากทีเดียว เขาเลิกการที่ถือวิสาสะนำของผู้อื่นมาใช้โดยไม่ขอ แต่เขาจะขอก่อนที่จะนำมาใช้ทุกครั้ง เมื่อฝนตกเขาก็มีน้ำใจที่จะเก็บผ้าให้ผู้อื่นด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยทำ

นี่แหละ เป็นสมบัติที่อยู่ในตัวเขา เป็นขุมทรัพย์ในตัวเขา เพียงแต่ถ้าเราเห็นสิ่งนี้ในตัวเขา เราจะมีกำลังใจที่จะดูแลเขา มีความหวังในตัวเขา มองว่าเมื่อพระเจ้ารักษาเขา เขาจะเป็นอย่างไร ชีวิตของเขาจะได้รับการเปลี่ยนแปลงอย่างไร

ถ้าเราไม่เห็นขุมทรัพย์ในตัวน้อง ๆ ในตัวเพื่อน ๆ เราก็จะไม่มีแรงในการลงทุน แต่ตรงกันข้าม ถ้าเราเห็น ถ้าเราทราบความจริงว่าแต่ละคนมีขุมทรัพย์ เราก็จะมีแรงในการลงทุนฝ่ายวิญญาณในชิวิตของเขา และในขณะเดียวกัน เราก็จำเป็นต้องรู้เช่นกันว่า ชีวิตของเราก็มีขุมทรัพย์เช่นกัน เรามีสิ่งที่เราจะให้แก่คนอื่นได้ และเราสามารถพัฒนาสิ่งเหล่านี้ได้

พระเยซูคริสต์ทรงเป็นแบบอย่างของการเลี้ยงดู

"12 พระบัญญัติของเรา คือให้ท่านทั้งหลายรักกัน เหมือนดังที่เราได้รักท่าน
13 ไม่มีผู้ใดมีความรักที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ คือการที่ผู้หนึ่งผู้ใดจะสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหายของตน" (ยอห์น 15:12-13)

พระเยซูทรงให้เรารักกันและกันดังที่พระองค์ทรงเป็นแบบอย่าง และแบบอย่างที่สำคัญสุด คือ ทรงสละพระชนม์ของพระองค์ให้แก่เรา

พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างของการเป็นพี่เลี้ยง พระองค์ทรงเลี้ยงดูบรรดาสาวก ทรงอยู่ใกล้ชิดกับเขาเหล่านั้นตลอดเวลา

จากแบบอย่างของการเป็นพี่เลี้ยง ตามอย่างของพระเยซู จะพบได้ว่า พี่เลี้ยงจำเป็นจะต้องให้สิ่งเหล่านี้กับน้องเลี้ยง

1. ให้เวลา พระองค์ทรงให้เวลา แม้ในข่วงเวลาที่ยุ่งที่สุด พระองค์ก็ยังทรงให้เวลากับสาวกเสมอ ตัวอย่างเหตุการณ์เช่น ขณะที่ยอห์นผู้ให้บัพติสมาเสียชีวิต พระเยซูคริสต์ทรงเศร้า และทรงต้องการปลีกตัวไปตามลำพัง แต่ฝูงชนก็ยังติดตามพระองค์ไป ท่าทีที่พระองค์มีก็คือ พระองค์ก็ยังทรงเลือกที่จะให้เวลากับฝูงชน ยิ่งเราโต เวลายิ่งแพง เป็นสิ่งที่ให้ยาก

2. ให้แรง ดังที่พระองค์ทรงล้างเท้าให้เหล่าสาวก และพระองค์ก็ได้ทรงสั่งให้เราปรนนิบัติพี่น้อง

"เพราะว่าบุตรมนุษย์มิได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ แต่ท่านมาเพื่อจะปรนนิบัติเขา และประทานชีวิตของท่านให้เป็นค่าไถ่คนเป็นอันมาก" (มาระโก 10:45)

3. ให้เงิน มีคนหนึ่งในสาวกเป็นเหรัญญิก ในท่ามกลางทีมของพระองค์มีเงินเป็นเงินกองกลาง มีครั้งหนึ่ง มีคนให้พระองค์และเหล่าสาวกจ่ายค่าบำรุงพระวิหาร พระองค์ก็ทรงให้เปโตรไปนำมาจากปากของปลา เพื่อที่จะชำระค่าบำรุงเหล่านั้น มีผู้ที่กล่าวว่าเงินเป็นสิ่งที่ให้ง่ายที่สุด

4. ให้คำสอน พระองค์ทรงสอนด้วยสิทธิอำนาจ ทรงสอนเตือนแก่เหล่าสาวก

5. ให้อารมณ์ร่วม พระองค์ทรงทรงร้องไห้ที่สวนเกเศมณี เมื่อลาซารัสตาย เมื่อพระองค์ทรงกล่าวถึงอนาคตของเยรูซาเล็ม เช่นเดียวกัน บรรดาพี่เลี้ยงจะต้องมีอารมณ์ร่วมกับน้อง ๆ ความรู้สึกร่วมเป็นสิ่งที่สำคัญ เราไม่สามารถบังคับตัวเองได้ แต่จะเป็นสิ่งที่จะออกมาจากใจของเรา เป็นสิ่งที่ออกมาโดยอัตโนมัติเมื่อเราร่วมทนทุกข์กับเขา

"จงชื่นชมยินดีกับผู้ที่มีความชื่นชมยินดี จงร้องไห้กับผู้ที่ร้องไห้" (โรม 12:15)

6. ให้คำอธิษฐาน ในช่วงเวลาที่พระเยซูคริสต์ทรงอธิษฐานใน ยอห์น บทที่ 17 เป็นช่วงเวลาที่สำคัญมาก เพราะเป็นเวลาที่พระองค์ใกล้จะต้องทนทุกข์ และโดนตรึงที่กางเขนแล้ว แต่ก็ทรงใช้เวลาในการอธิษฐานเพื่อสาวกของพระองค์ เพื่อเราทั้งหลาย

7. ให้ชีวิต พระองค์ทรงสละชีวิตของพระองค์เพื่อเรา

ลักษณะเหล่านี้ เป็นภาพของราคาในการลงทุนดูแลจิตวิญญาณ ให้เรารู้ว่าต้นทุนที่เราจ่ายจะประมาณเท่าใด? แต่ขณะเดียวกัน ก็มีผล มีความชื่นบานที่รอเราอยู่ เพราะขุมทรัพย์ที่อยู่ในตัวของเขาเหล่านั้น จะได้รับการพัฒนา จะได้รับการนำออกมา ผลที่เกิดขึ้นจะนำมาซึ่งความชื่นบาน ความชื่นชมยินดีอย่างมหาศาล

ขณะเดียวกัน ก็จะเป็นโอกาสที่ดีที่เราจะได้ซาบซึ้งถึงสิ่งเหล่านี้ที่บรรดาพี่เลี้ยงของเราได้จ่ายเพื่อที่จะดูแลเรา



อ. ตรูจิตต์ นีเดอร์เรอร์

สรุปคำเทศนาในค่ายสามคณะ "3 in 1" คริสตจักรสะพานเหลือง

ที่บ้านไร่ริมแควรีสอร์ท

เมื่อวันที่ 09/05/2009

เรื่อง การเลี้ยงดูตามอย่างพระเยซูคริสต์

My Blog

  • วินัยของน้องหมา (ข้างถนน) - วันที่ 18/8/2011 เช้านี้ขณะที่รถติดไฟแดงอยู่บริเวณสี่แยกสามย่าน ซึ่งเบื้องหน้าเป็นจามจุรีสแควร์นั้น พลันก็เหลือบเห็นน้องหมาตัวหนึ่งเดินข้ามทางม้าลายด้วยอ...
    12 ปีที่ผ่านมา
  • บทความคริสเตียน - บทความคริสเตียน http://www.gracezone.org/index.php/christian-articles บทความทางด้านจิตวิญญาณ หลักข้อเชื่อ พระเจ้า พระคัมภีร์ พระเจ้า พระคัมภีร์ แนวทางในการ...
    15 ปีที่ผ่านมา
  • คริสเตียนกับการรับใช้พระเยซู - คริสเตียนกับการรับใช้พระเยซู วัน พุธ 08 ต.ค. 08@ 17:47:37 ICT หัวข้อ: สรุปคำเทศนาประจำอาทิตย์ ดร.ทะนุ วงค์ธนานุกุล วัน อาทิตย์ ที่ 21 กันยายน 2008 พระธร...
    15 ปีที่ผ่านมา
  • - แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้องจะนมัสการพระบิดา ด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้...
    15 ปีที่ผ่านมา

Christian Blog

บล็อกวาไรตี้

เทคโนโลยี

ดาวน์โหลดโปรแกรมมาใหม่ล่าสุด |

วาไรตี้

ข่าวประจำวัน

สารบัญเว็บไทย

กินลม ชมทะเล ที่มาร์คเฮ้าส์บังกะโล เกาะกูด จ.ตราด

Thailand Map