เทศนาฟื้นฟู 1, ค่าย Youth Challenge 2009

ตลอดเวลาพระเจ้าของเราแสนดี จงดู แล้วจะรู้ว่าพระเจ้าของเราประเสริฐ ผู้ที่ประเสริฐมีแต่พระเจ้าองค์เดียว

วันนี้ จะขอนำพระวจนะของพระเจ้าตอนสำคัญตอนหนึ่ง ซึ่งเป็นประโยชน์ในชีวิตของเรา ดังเช่นกับพระคัมภีร์ตอนอื่น ๆ


--------------------------------------------------------------------------------

"14 ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก นครซึ่งอยู่บนภูเขาจะปิดบังไว้ไม่ได้
15 เมื่อจุดตะเกียงแล้ว ไม่มีผู้ใดเอาถังครอบไว้ ย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง จะได้ส่องสว่างแก่ทุกคนที่อยู่ในเรือนนั้น
16 ท่านทั้งหลายก็เหมือนกับตะเกียง จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์" (มัทธิว 5:14-16)


--------------------------------------------------------------------------------

"อีกครั้งหนึ่งพระเยซูตรัสกับเขาทั้งหลายว่า 'เราเป็นความสว่างของโลก ผู้ที่ตามเรามาจะไม่เดินในความมืด แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต' " (ยอห์น 8:12)

เมื่อเราอยู่ในโลก จะเป็นความสว่างของโลก ผู้ที่ดำเนินตามพระองค์จะดำเนินอยู่ในความสว่าง

พระองค์ได้ตรัสกับสาวกว่า เขาทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก พระเยซูคริสต์ทรงให้เกียรติแก่เราทั้งหลายที่จะเป็นตัวแทนพระองค์ กระทำแบบเดียวกับพระองค์ เหมือนกับที่พระองค์ได้เคยได้ทำในโลกนี้ นี่เป็นเกียรติสูงสุด เพราะแม้ว่าเราจะเป็นคนบาป แต่พระเจ้าทรงรักเราที่เป็นคนบาป และยอมให้พระเยซูคริสต์มาตายเรา และทรงยกระดับเราให้เท่าเทียมกับองค์พระเยซูคริสต์

คนมากมาย หูไม่ดี แต่ตาดี แม้จะพูดมากมาย คนอาจจะไม่ฟัง แต่ถ้าหากว่าเราที่เป็นคริสเตียนได้ทำบางสิ่งบางอย่างที่ไม่คาดว่าคริสเตียนจะทำ เขาก็จะพูดว่า "นี่หรือ คริสเตียน" คนมากมายไม่อยากเป็นคริสเตียนก็เพราะคริสเตียนไม่ได้แสดงความสว่างให้แก่เขา

ความสว่างมีความหมาย มีความสำคัญอย่างมากมาย ความสว่าง มีความหมายถึง ความดีทั้งมวล เพราะเมื่อเขาเห็นความสว่าง เห็นความดีทั้งมวลเหล่านี้ ก็จะสรรเสริญองค์พระเจ้า

นอกจากนี้ ความสว่าง ยังมีความหมายถึง ชีวิตที่เป็นแบบ ซึ่งถ้าคุณและผมกระทำได้สำเร็จ ก็จะไม่มีใครจะดูถูกเราได้เลย

"อย่าให้ผู้ใดหมิ่นประมาทความหนุ่มแน่นของท่าน แต่จงเป็นแบบอย่างแก่คนที่เชื่อทั้งปวง ทั้งในทางวาจา และการประพฤติ ในความรัก ในความเชื่อ และในความบริสุทธิ์" (1 ทิโมธี 4:12)

ถ้าคุณและผมมีชีวิตเช่นนี้ จะไม่มีใครดูถูกดูหมิ่นได้ แต่ต่างจะพากันยกย่องให้เกียรติบิดามารดาของเรา และพระเจ้าของเรา

แต่ถ้าเรามิได้เป็นเช่นนี้ ชีวิตของเราก็จะถูกดูถูกดูหมิ่น พระเจ้าเราก็จะเสียเกียรติได้



ความสำคัญของความสว่าง
1. ทำให้คนที่อยู่ในความมืดเห็นทาง

ทุกคนที่เกิดจากอาดัม เกิดจากเชื้อของความบาป มีวิญญาณที่เป็นบริวารของซาตานอยู่ในชีวิตของเขา ถูกครอบครองโดยวิญญาณชั่ว ถูกครอบครองโดยเจ้าโลก อยู่ใต้อำนาจของซาตาน ใต้อำนาจของความมืด ถ้าชีวิตของเราเป็นความสว่าง เมื่อเขาเห็นชีวิตของคุณและผม ซึ่งอยู่เหมือนเขา แต่ไม่เหมือนเขา เขาจะมีคำถามในชีวิต และเขาจะอยากได้คำตอบในชีวิตเหล่านั้น ที่เราได้รับผ่านทางองค์พระเยซูคริสต์เจ้า เขาก็จะได้รู้จักทางขององค์พระเยซูคริสต์ ผ่านทางชีวิตของเรา

แม้ว่าชีวิตของเราจะขาดบางสิ่งบางอย่าง แต่การขาดของเรานั้นจะไม่ทำให้ชีวิตของเราต้องทุกข์เศร้า ดังเช่นที่อาจารย์เปโตร ไม่มีเงินให้คนขอทานที่เป็นง่อย แต่เขามีพระนามของพระเยซูที่เป็นคำตอบของชีวิต ความสว่างนี้ทำให้คนที่อยู่ในที่มืด เห็นทางได้

"6 เปโตรกล่าวว่า "เงิน และทองเราไม่มี แต่ที่เรามีอยู่เราจะให้ท่าน คือในพระนามแห่งพระเยซูคริสซ์ชาวนาซาเร็ธ จงเดินเถิด"
7 แล้วเปโตรจับมือขวาของเขาพยุงขึ้น และในทันใดนั้น เท้า และข้อเท้าของเขาก็มีกำลัง" (กิจการ 3:6-7)

2.ความสว่าง มีอิทธิพลเหนือความมืด

วิญญาณที่อยู่ในคุณและผม เป็นใหญ่กว่าวิญญาณที่อยู่ในโลก และวิญญาณชั่วในโลกนี้ก็จะไม่กล้าทำอะไรเรา แต่วิญญาณชั่วเหล่านั้นจะกลัวเรา

ถ้าเพียงเราจะใส่ฟืน ให้ไฟแห่งความสว่างลุกโชกช่วง วิญญาณชั่วจะอยู่ใกล้เราไม่ได้

มีเด็กหญิงคนหนึ่ง ได้บังเกิดใหม่ รู้จักพระเจ้าได้แค่ 3 อาทิตย์ เขาได้ทำ 4 อย่างครบถ้วน ได้แก่

1. อ่านพระคัมภีร์

2. พึ่งพาอาศัยองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์

3. ฉวยโอกาสที่จะนำคนเข้ามาในคริสตจักรของพระเจ้า

4. ไม่ขาดการประชุม

เขามีชีวิตร้อนรนมาก แจกใบปลิวทุก ๆ วัน โดยบอกคนที่ได้รับว่า "อย่าเพิ่งอ่านนะ จนกว่าจะมีปัญหาในชีวิตจึงค่อยเปิดอ่าน" ซึ่งได้ผลมากทีเดียว เพราะว่าคนที่ได้รับก็อ่านทันที

ขณะที่แจกใบปลิว มีชายร่างทรงคนหนึ่งมารับใบปลิว เมื่อเขารับใบปลิว ยังไม่ทันพูดอะไรเลย เขาก็วิ่งหนีไปเลย

หญิงคนนี้จึงได้มาปรึกษาอาจารย์ อาจารย์ก็ตอบง่าย ๆ ว่า "แสดงว่าคนนี้เกี่ยวข้องกับความชั่ว วิญญาณชั่ว และวิญญาณเหล่านั้นไม่สามารถทนพระวิญญาณที่อยู่ในหญิงเหล่านี้ได้"

หญิงคนนี้ก็อยากที่จะปลดปล่อยชีวิตของชายคนนี้

ต่อมา ชายคนนี้ได้โทรศัพท์มาหาอาจารย์ เพราะว่าวิญญาณนั้นปลดเขาออกจากร่างทรง โดยจะเข้าทรงลูกเขาแทน เขาอยากจะได้รับการปลดปล่อยจากวิญญาณชั่วนั้น อาจารย์จึงแนะนำให้ไปโบสถ์ในวันอาทิตย์

เมื่อได้ไปในวันอาทิตย์ เขาจึงได้รับการปลดปล่อย โดยข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูคริสต์ และได้อธิษฐานรับเชื่อ หลังจากนั้น เมื่อเขาถูกรบกวน เขาก็สั่งในนามของพระเยซูคริสต์ชาวนาซาเร็ธ วิญญาณชั่วก็ทำอะไรไม่ได้เลย

ชายคนนั้นจึงรีบวิ่งไปบอกภรรยาให้มารับเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์

ภรรยาของเขาได้รับโทรศัพท์จากอาจารย์สมศักดิ์ที่จะให้ไปโบสถ์ในวันอาทิตย์ บอกว่าอาจารย์สมศักดิ์จะไปเทศนาที่โบสถ์ และเขาก็ได้ไปโบสถ์ มาขอบคุณอาจารย์ที่ได้เชิญเขามาโบสถ์ ปรากฏว่าจริง ๆ แล้วอาจารย์ไม่ได้โทรไป นี่แหละ เพราะจริง ๆ แล้วเป็นทูตสวรรค์ประจำตัวของอาจารย์ที่โทรไป

พี่น้องที่รัก วิญญาณชั่วไม่สามารถอยู่ได้ ถ้าหากคุณและผมมีพระวิญญาณของพระเยซูคริสต์อยู่ในชีวิต และเข้าสนิทอยู่ในพระองค์ เพราะวิญญาณชั่ว เผชิญกับความสว่างของพระเจ้าไม่ได้

ชีวิตของเราเมื่อได้บังเกิดใหม่ พระสิริของพระเจ้าจะออกมาจากชีวิตของเราอย่างอัตโนมัติ นี่แหละเป็นเสน่ห์ของคริสเตียน เพียงแค่เราติดสนิทกับพระองค์ อ่านพระคัมภีร์ อธิษฐานเท่านั้น แม้ว่าเราจะหน้าตาไม่ดี แต่พระสิริของพระเจ้าจะเฉิดฉายออกมา และพระเจ้าก็ต้องการที่จะให้เรามีชีวิตเช่นนี้



ทำไมชีวิตจึงไม่ได้สำแดง ไม่ได้เป็นความสว่าง
1. เราไม่มีวินัยของชีวิต ในเรื่องของฝ่ายวิญญาณ จัดลำดับความสำคัญในชีวิตไม่ถูกต้อง

บ่อยครั้งเราเป็นคริสเตียน เรามั่นใจในพระเจ้า แต่เรากลับเอาตัวเองมาก่อน เอาความสนุกสนานมาก่อน เอาเรื่องปากเรื่องท้องมาก่อนพระองค์

"ไม่มีผู้ใดเมื่อจุดตะเกียงแล้ว จะเอาภาชนะครอบไว้ หรือวางไว้ใต้เตียง แต่ตั้งไว้ที่เชิงตะเกียง เพื่อคนทั้งหลายที่เข้ามา จะเห็นแสงสว่างได้" (ลูกา 8:16)

เราบางครั้งก็เอาตะเกียงไว้ใต้เตียงโดยไม่คาดคิด เตียงนอน หมายถึง ความสะดวกสบาย

บางครั้งเราเอาถังครอบตะเกียง ถังหมายถึงเครื่องตวงวัด ซึ่งก็คือ เรื่องปากเรื่องท้อง ถ้าเราสนใจเรื่องปากท้อง เรื่องการงานมากกว่าพระเจ้า นั่นแหละ เราก็จะเอาถังครอบตะเกียง ซ่อนเอาไว้ นอกจากนี้ บางครั้งเราเอาความบาป ปิดบังแสงจากตะเกียง บางครั้งเราผิดปกติโดยไม่รู้ตัว

ในสายพระเนตรของพระเจ้า ของใช้ อาหาร เป็นเรื่องเล็กน้อย ถ้าเราสนใจในเรื่องเหล่านั้นก่อน ชีวิตของเราก็จะไม่มีอะไรเลย ถ้าเราให้พระเจ้ามาก่อน แล้วทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับเรา พระองค์ก็จะประทานให้

"แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้" (มัทธิว 6:33)

ถ้าใจของเรารักโลก ความรักต่อพระบิดาก็จะไม่มีเลย นี่แหละ คริสเตียนมากมายจึงมีพระคัมภีร์ แต่ไม่ได้อ่าน ไปโบสถ์ แต่ใจไม่ไป

"เพราะว่าทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ไหน ใจของท่านก็อยู่ที่นั่นด้วย" (มัทธิว 6:21)

ถ้าเรามีชีวิตเช่นนั้น ชีวิตเราก็จะไม่มีกำลัง ความสว่างจะไม่สามารถออกมาจากชีวิตของเราได้เลย เพราะความสว่างเหล่านั้นถูกปิดบัง

ดังนั้น จึงขอที่เราจะสร้างวินัยชีวิตในเรื่องวิญญาณจิต โดยการทุ่มเทกับพระวจนะ ทุ่มเทกับการอธิษฐาน เพื่อที่ชีวิตเราจะสามารถฉายแสง มีอิทธิพลเหนืออำนาจวิญญาณชั่วได้

2. ชีวิตเข้าแค่เปลือกของศาสนา ไม่ได้เข้าถึงแก่น

บางคนเข้าถึงแค่เปลือกของศาสนา เพราะศาสนาคริสต์เป็นแค่เปลือก แต่องค์พระเยซูคริสต์เป็นแก่น

ถ้าหากเราเชื่อวางใจพระเจ้า รับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราก็จะเป็นธรรมิกชน เป็นผู้บริสุทธิ์ เป็นเครื่องบูชาถวายแด่พระเจ้า

ถ้าเราไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ เราก็จะประพฤติตามอย่างคนในยุคนี้ แต่ถ้าหากเราได้รับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ เราก็จะไม่ประพฤติตามอย่างคนในโลกนี้

"1 พี่น้องทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้ โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้ถวายตัวของท่านแด่พระองค์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอันบริสุทธิ์ และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการโดยวิญญาณจิตของท่านทั้งหลาย
2 อย่าประพฤติตามอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบน้ำพระทัยของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัย และอะไรดียอดเยี่ยม" (โรม 12:1-2)

ถ้าชีวิตเราไม่บริสุทธิ์ การดีของเรา ก็จะเป็นเหมือนเพียงผ้าขี้ริ้ว เพราะพระเจ้าไม่สามารถรับอะไรจากคนบาป ศัตรูของพระเจ้าได้ พระองค์ไม่รับแม้แต่คำสรรเสริญ แม้เราจะทำดีขนาดไหน ก็จะไม่มีความหมาย

"23 ในทันใดนั้น มีชายคนหนึ่งในธรรมศาลาของเขามีผีโสโครกเข้าสิง
24 มันร้องอึงว่า "พระเยซูชาวนาซาเร็ธ ท่านมายุ่งกับเราทำไม ท่านมาทำลายพวกเราหรือ เรารู้ว่าท่านเป็นผู้ใด ท่านคือองค์บริสุทธิ์ของพระเจ้า"
25 พระเยซูจึงตรัสห้ามมันว่า "จงนิ่งเสีย ออกมาจากเขาซิ" (มาระโก 1:23-25)

"16 เมื่อเรากำลังออกไปยังที่สำหรับอธิษฐาน มีทาสสาวคนหนึ่งที่มีผีหมอดูเข้า ได้มาพบกับเรา เขาทำการทายให้นายของเขาได้เงินเป็นอันมาก
17 หญิงนั้นตามเปาโลกับพวกเราไป ร้องว่า "คนเหล่านี้เป็นทาสของพระเจ้าสูงสุด มากล่าวประกาศทางรอดแก่ท่านทั้งหลาย"
18 เขาทำอย่างนั้นหลายวัน ฝ่ายเปาโลก็งุ่นง่านใจ หันหน้าสั่งผีนั้นว่า "ในนามของพระเยซูคริสต์ เอ็งจงออกมาจากเขา" ผีนั้นก็ออกมาในเวลานั้น" (กิจการ 16:16-18)

การที่เราจะมอบชีวิตให้กับพระเจ้า ชีวิตของเราจะต้องเป็นผู้บริสุทธิ์ จะต้องบังเกิดฝ่ายวิญญาณ ต้องได้ชื่อว่า ธรรมิกชน

"15 แต่เพราะพระองค์ผู้ทรงเรียกท่านทั้งหลายนั้นบริสุทธิ์ ท่านทั้งหลายจงประพฤติให้บริสุทธิ์พร้อมทุกประการ
16 ดังที่มีพระวจนะเขียนไว้แล้วว่า ท่านทั้งหลายจงเป็นคนบริสุทธิ์ เพราะเราบริสุทธิ์" (1เปโตร 1:15-16)

ถ้าหากเราเราบังเกิดแล้ว เมื่อเราถวายชีวิตของเรา โดยพระคุณของพระองค์ พระองค์ก็รับชีวิตของเรา

พระเจ้าได้ให้พระวจนะแก่เรา นี่คือพระคุณ เพราะถ้าปราศจากพระวจนะของพระเจ้า เราก็จะไม่รู้จักพระเยซู และเราก็จะไม่สามารถที่จะได้รับการชำระได้

พระวิญญาณของพระองค์ได้ทรงเป็นเครื่องมัดจำในชีวิตของเรา ถ้าปราศจากพระวิญญาณ เราก็ไม่สามารถที่จะมาเชื่อในพระเยซูคริสต์

ดังนั้น ขอที่เราจะทุ่มตัวเข้าหาพระคำ พึ่งพาในพระวิญญาณ

ถ้าเราไม่ได้บังเกิดในฝ่ายวิญญาณ เราก็จะไม่ได้เข้าถึงแก่นของศาสนา สิ่งที่เราทำ แม้ว่าเราจะมีของประทานต่าง ๆ มากมาย ทำการอัศจรรย์ได้ พระองค์ก็จะปฏิเสธเรา และ เราก็จะไม่สามารถนมัสการพระเจ้าโดยวิญญาณจิตได้

ตั้งแต่ผมได้รับชีวิตใหม่ในพระเจ้า ผมอ่านพระวจนะของพระเจ้า จากเดิมที่เคยโกหก เคยติดยาเสพติด เมื่อชีวิตของผมทุ่มกับพระวจนะของพระเจ้า ชีวิตก็ได้รับการเปลี่ยนใหม่ ได้รับการเปลี่ยนโดยอัตโนมัติ เกิดผลโดยอัตโนมัติ และชีวิตก็จะได้อวดพระเยซูคริสต์

ดังนั้น ขอที่เราจะสำรวจชีวิตของเรา ถ้าหากว่าเรารู้สึกว่าเราพยายามทุ่มเทแล้ว รู้สึกเหนื่อย ก็ขอที่จะให้เราได้ทบทวนชีวิตของเรา



ลักษณะของการกำเนิดฝ่ายวิญญาณ
เรารู้ว่ากำเนิดฝ่ายวิญญาณเมื่อ

1. แน่ใจว่าบาปทั้งหมดในชีวิตได้ถูกยกแล้ว ถ้าหากว่าเราสารภาพบาปซ้ำอีก ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ทำ นั่นแหละ แสดงว่าเรายังไม่ได้วางใจว่าบาปของเราถูกยก ซึ่งก็คือการที่ยังไม่บังเกิด เพราะแสดงว่าเราไม่เชื่อ แสดงว่าเราไม่แน่ใจ

2. แน่ใจว่า พระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย ถ้าหากเราต้อนรับพระเยซูคริสต์อย่างถูกต้อง เราจะได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในชีวิตตลอด

3. แน่ใจว่า เราเป็นลูกของพระเจ้า แม้ว่าถูกทดลอง ถ้าหากเราสงสัยอยู่ในใจเสมอว่า เราเป็นลูกของพระเจ้าหรือไม่ นี่เป็นความผิดปกติของความเชื่อ เพราะถ้าเราบังเกิดใหม่ จะไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้เราขาดจากความรักของพระเจ้าได้เลย

4. แน่ใจว่า ตายแล้วจะได้ไปอยู่กับพระเจ้าที่สวรรค์ ถ้าเราสงสัย นี่ก็เป็นอาการผิดปกติ แสดงว่าเรายังมิได้บังเกิด

ถ้าหากว่าเราไม่แน่ใจใน 4 ข้อนี้ ขอที่เราจะลองใคร่ครวญว่า เราสารภาพบาปถูกหรือไม่ เรากลับใจถูกหรือไม่ เราต้อนรับพระเยซูคริสต์อย่างถูกต้องหรือไม่

การสารภาพบาป การกลับใจจากบาปที่ทำ เป็นเรื่องของคนที่เป็นลูกแล้ว แต่การกลับใจเพื่อต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นการสารภาพบาปที่เราเป็น เป็นการกลับใจจากสิ่งที่เราเคยเป็น สิ่งที่เราเคยยึดในชีวิตของเรา เป็นการกลับใจที่เราเป็นคนบาป และจะขอพึ่งพระเยซูคริสต์แต่องค์เดียว

เป้าหมายในการต้อนรับพระเยซูคริสต์ ก็คือ เพื่อที่จะเป็นลูก เพื่อที่จะได้กลับคืนดีกับพระเจ้า เพื่อที่จะได้กลับไปหาพระเจ้าเมื่อเราจากโลกนี้ไป นี่แหละจึงจะเป็นเป้าหมายที่ถูกต้อง ถ้าหากว่าเราต้อนรับพระองค์เพียงเพื่อที่จะเป็นคนดี เพื่อจะหายโรค เท่านั้น ก็จะเป็นการเข้าสู่เปลือกของศาสนาเท่านั้น



ศจ. สมศักดิ์ ชูสงฆ์

เทศนาฟื้นฟู 1, ค่าย Youth Challenge 2009

เมื่อวันที่ 03/04/2009