Custom Search By Google

Custom Search

วันอังคารที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2552

เกิดมาใหญ่

www.thaisermons.com
ข้อความ:
เกิดมาใหญ่
มัทธิว ๑๘.๑-๑๔



“ในเวลานั้นเหล่าสาวกมาเฝ้าพระเยซู และทูลว่า ‘ใครเป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์?’ พระเยซูจึงเรียกเด็กเล็กๆคนหนึ่งมาให้ยืนท่ามกลางเขา แล้วตรัสว่า ‘เรากล่าวความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าพวกท่านไม่กลับใจเหมือนเด็กเล็กๆ ท่านจะเข้าในแผ่นดินสวรรค์ไม่ได้เลย เหตุฉะนั้น ถ้าผู้ใดถ่อมจิตใจลงเหมือนเด็กเล็กคนนี้ ผู้นั้นจะเป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์ ถ้าผู้ใดจะรับเด็กเล็กเช่นนี้ในนามของเรา ผู้นั้นก็รับเราด้วย แต่ถ้าผู้ใดจะทำให้ผู้เล็กน้อยเหล่านี้สักคนหนึ่งที่วางใจในเราให้หลงผิด ถ้าเอาหินโม่ก้อนใหญ่ผูกคอผู้นั้นถ่วงเสียที่ทะเลลึกก็ดีกว่า’”

“เติบใหญ่ขึ้นขอให้เจ้าได้เป็นเจ้าคนนายคน” นี่คือคำอวยพรแบบไทยๆ
มนุษย์เราตั้งแต่เกิดมาก็มีความคิดอยากเป็นใหญ่เป็นโตและต้องการอยู่เหนือคนอื่น เรานิยมชมชอบยอดมนุษย์หรือซุปเปอร์แมน (แม้ว่ามันจะเป็นเพียงในหนังก็ตาม) เรายกนิ้วให้คนที่เก่งกว่าและดีกว่า นับถือคนพวกนี้ว่าเป็นวีรบุรุษ “เก่ง เฮง ดี” เรื่องนี้ไม่เว้นแม้กระทั่งคนที่เป็นคริสเตียนแล้วและอยู่ในระดับผู้นำ อาจารย์และศิษยาภิบาลหลายคนปรารถนาได้รับการสถาปนาเป็นศาสนาจารย์ สวมเสื้อครุยยาวอันศักดิ์สิทธิ์และดูอลังการ!
อาจารย์คนหนึ่งบอกแก่เราว่า “ตอนที่ผมไม่ได้รับการสถาปนาเป็นศาสนาจารย์นั้น เวลาไปร่วมงานอะไรผมจะใส่สูท พวกเขามองไม่เห็นหัวผมเลย แต่หลังจากได้รับการสถาปนาแล้ว พอเขาเห็นผมใส่เสื้อครุยศาสนาจารย์ ก็รีบกุลีกุจอเข้ามาพินอบพิเทา และเชื้อเชิญให้ผมขึ้นไปนั่งบนเวที”

ในเรื่องความมักใหญ่ใฝ่สูงนั้น สมัยเริ่มแรกพวกสาวกก็เอากับเขาด้วย พากันมาทูลถามพระเยซูว่า “ใครเป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์?” ยังดีนะที่พวกเขาไม่ได้เสาะแสวงหาเกียรติและศักดิ์ศรีในโลกนี้ และต้องเป็นใหญ่ทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจ
หลายปีก่อนผมไปติดต่อธุระกับเสมียนราชการคนหนึ่งในอำเภอ ขณะที่นั่งรออยู่นั้นก็สังเกตเห็นมีข้อความเขียนติดไว้ที่มุมโต๊ะของเขาว่า “ใหญ่แค่ไหน ก็เล็กกว่าโลง!” ผมอ่านแล้วชอบมากเพราะมันเป็นคติเตือนใจมนุษย์เราได้เป็นอย่างดี
วันหนึ่งผมขับรถตามสิบล้อคันหนึ่ง ที่กระบะท้ายเขียนข้อความติดไว้ว่า “เก่งกว่าพี่ก็มี แต่เขาได้ตายไปเสียแล้ว!” แม้ว่าจะเป็นคำพูดแบบประชดประชัน แต่ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราเก็บเอามาคิดเป็นบทเรียนสอนใจได้เหมือนกัน

ผู้เป็นใหญ่
“พวกสาวกทูลถามพระเยซูว่า ‘ใครเป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์?” (คำตอบง่ายนิดเดียวคือ พระเจ้า) สาเหตุที่พวกเขาถาม อย่างแรก เพราะมีความต้องการใคร่รู้จริงๆ อย่างที่สองเพราะพวกเขามีความทะเยอทะยาน พยายามชิงดีชิงเด่นกันเองในกลุ่ม พระเยซูทรงตอบคำถามด้วยการกวักมือเรียกเด็กเล็กๆคนหนึ่งมายืนต่อหน้า เพราะเด็กมีธรรมชาติของความใสซื่อและบริสุทธิ์ ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม แต่มีความจริงใจและไว้วางใจทุกคน

ในภาษากรีก paidion (ไพดิออน) คำนี้แปลว่ากุมาร(มธ. ๒.๘) เด็กเล็กๆ (มก. ๙.๓๗) หรือเด็กทารก (ลก. ๑.๘๐) ไม่ว่าจะเป็นกฏหมายของยิว โรมันหรือกรีก เด็กเล็กๆจะไม่มีสิทธิ์ไม่มีเสียงอะไรเลย ความคิดของพระเยซูสวนกระแสของสังคมในสมัยนั้นที่คิดว่า ผู้ใหญ่ที่มีผลงานดีเด่นเท่านั้นจะมีอำนาจและเป็นใหญ่ แต่พระองค์ต้องการเปลี่ยนความคิดของพวกสาวกเสียใหม่ว่า ความยิ่งใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับผลงานที่ยอดเยี่ยม หรือคำพูดหลักแหลมใดๆ แต่ขึ้นอยู่กับความถ่อมใจ จริงใจ ใสซื่อและบริสุทธิ์เหมือนเด็กเล็กๆ
มีเรื่องเล่าว่า ในชั้นเรียนเช้าวันหนึ่ง ครูหญิงได้ถามนักเรียนว่า ใครชอบเลี้ยงอะไร? บางคนชอบเลี้ยงสุนัข บางคนเลี้ยงปลา กระต่าย...ทุกคนตอบหมดยกเว้นเด็กชายบอย ครูหญิงจึงถามว่า “บอย ที่บ้านชอบเลี้ยงสัตว์อะไร?”
“ไม่เห็นชอบเลี้ยงสัตว์อะไร” บอยตอบ “แต่คุณพ่อมักจะพูดเสมอๆว่า คุณแม่ชอบแรด!”
“???!!”

ในบทต่อมาเราพบว่า มีคนพาเด็กเล็กๆมาหาพระเยซูเพื่อขอให้พระองค์ทรงวางมืออธิษฐาน แต่เหล่าสาวกกลับห้ามปราม พระองค์ทรงรักเด็กมากจึงตรัสว่า “จงยอมให้เด็กเล็กๆเข้ามาหาเรา อย่าห้ามเลย เพราะว่าชาวแผ่นดินสวรรค์เป็นของคนเช่นเด็กเล็กเหล่านั้น” (๑๙.๑๓-๑๔)

พระเยซูตรัสว่า ไม่มีใครสามารถเข้าไปสู่สวรรค์ได้ด้วยผลงานและคุณงามความดีของตนเอง แต่เขาจะต้องทำดังต่อไปนี้
- ต้องกลับใจเหมือนเด็กเล็กๆ (ข้อ ๓)
- ต้องถ่อมใจลงเหมือนเด็ก (ข้อ ๔)
- ต้องรับเด็กในพระนามของพระเยซู (ข้อ ๕)
- ต้องการความช่วยเหลือเหมือนกับเด็กเล็กๆ (๑๙.๑๓-๑๕)

“แต่ผู้ที่เป็นเหตุให้เด็กน้อยเล่านี้สักคนหนึ่งที่เชื่อในเราทำบาป ให้เอาหินโม่ก้อนใหญ่ผูกคอ โยนผู้นั้นลงทะเลลึกเสียก็ยังดีกว่า” (ข้อ ๖) ในสมัยโบราณตามบ้านเรือนของคนยิวจะหินโม่แป้งเพื่อทำขนมปัง “โม่หินประกอบด้วยหินกลมๆสองก้อน ก้อนล่างใหญ่กว่าและมีเดือยเสียบเข้าไปตรงกลางของหินก้อนบนซึ่งหมุนได้ โดยจะกรอกข้าวลงไปในรูหินก้อนบน มีผู้หญิงสองคนจับด้ามไม้หมุน แป้งก็จะไหลออกมาตามช่องระหว่างหินสองก้อน ซึ่งเป็นงานที่หนักเอาการ”
โดยธรรมชาติเด็กเป็นผู้ที่ไว้วางใจในผู้ใหญ่ และโดยความไว้วางใจนี่เองทำให้เขาไว้วางใจพระเจ้ามากยิ่งขึ้น พ่อแม่และผู้ที่มีความรับผิดชอบต่อเด็กๆต้องรายงานเรื่องนี้ต่อพระเจ้า พระเยซูทรงเตือนว่า ใครก็ตามที่ชักนำเด็กเหล่านี้ให้ห่างไปจากความเชื่อ จะถูกลงโทษอย่างรุนแรง โดยเอาหินโม่ผูกคอถ่วงน้ำเสีย ตัดทิ้งเสีย

ถ้ามือหรือเท้าทำให้ท่านหลงผิด จงตัดทิ้งเสีย ซึ่งจะเข้าในชีวิตนิรันดร์ด้วยมือและเท้าด้วนหรือพิการก็ยังดีกว่ามีสองมือสองเท้า และต้องถูกทิ้งในไฟซึ่งไหม้อยู่เป็นนิตย์ ถ้าตาของท่านทำให้หลงผิด จงควักออกทิ้งเสีย ซึ่งจะเข้าในชีวิตด้วยตาข้างเดียว ก็ยังดีกว่ามีสองตาและต้องถูกทิ้งลงในบึงไฟ” (ข้อ ๘-๙)

ข้อคิด พระเยซูตรัสว่า ถ้าใครอยากจะเป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์ จะต้อง “ตัดบางสิ่งบางอย่างในชีวิตทิ้งไป” เพื่อเขาจะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า ในพระคัมภีร์ตอนนี้พระองค์บอกว่ามีหลายอย่างทำให้หลงผิด ผู้ที่เป็นต้นเหตุทำให้หลงผิดคือมารซาตาน ซึ่งนำไปสู่ความ “วิบัติ” (ข้อ ๗)
ภาษากรีก ouai (อูไอ) หมายถึงความพินาศย่อยยับ

มือที่หลงผิด ต้องตัดทิ้งเสีย หมายถึงการกระทำของเราที่ไม่ถูกต้องตามน้ำพระทัยของพระเจ้า
เท้าที่หลงผิด หมายถึงวิถีทางที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งเราดำเนินชีวิตในแต่ละวัน ให้เราเหมือนกับผู้เขียนสดุดีที่กล่าวว่า “พระวจนะของพระเจ้าเป็นโคมสำหรับเท้าของข้าพเจ้า”
ตาที่หลงผิด จงควักทิ้งเสีย (ข้อ ๙) หมายถึงสิ่งที่เรามองเห็นและทำให้หลงผิด เช่น การดูภาพยนตร์ ทีวีละคร หนังสือ (ที่ไม่เหมาะสม)
การควักทิ้งคือการปิดสวิทซ์ หรือทิ้งไปเสีย

แกะหลงคอก
“จงระวังให้ดี อย่าดูหมิ่นผู้เล็กน้อยเหล่านี้สักคนหนึ่ง” (ข้อ ๑๐) ในภาษากรีก micros (มิครอส)แปลว่าผู้ต่ำต้อยที่สุด (ลก. ๗.๒๘) คนตัวเตี้ยๆ (ลก. ๑๙.๓) ผู้น้อย (วว. ๑๙.๑๘) และคนที่ไม่มีความสำคัญอันใด

พระเยซูทรงให้ความสำคัญต่อเด็กเล็กๆ โดยบอกว่ามีทูตสวรรค์เฝ้าดูแลเด็กเหล่านั้นอยู่ ตามที่ผู้เขียนสดุดีได้ยืนยันไว้ (สดด. ๙๑.๑๑) คนยิวและคริสเตียนในสมัยแรกก็เชื่อว่ามีทูตสวรรค์เฝ้าดูแลคนของพระเจ้าอยู่เสมอ (กจ. ๑๒.๑๕)

จากนั้นพระองค์ทรงรีบตรัสคำอุปมาเรื่องแกะหายทันที “ผู้หนึ่งที่แกะอยู่ร้อยตัว ตัวหนึ่งหลงหายไปจากฝูง ผู้นั้นจะไม่ละเก้าสิบเก้าตัวไว้บนภูเขา แล้วไปเที่ยวหาแกะตัวที่หายนั้นหรือ” (ข้อ ๑๒) แกะตัวเดียวดูเหมือนจะไร้ค่าและไม่มีความสำคัญ แต่ผู้เลี้ยงที่แท้จริงจะไม่ยอมสูญเสียมันไปอย่างเด็ดขาด พระเจ้าทรงเป็นผู้เลี้ยงและเอาใจใส่มนุษย์ทุกคน แม้ว่าคนนั้นจะคนต่ำต้อยด้อยค่าที่สุด แต่พระองค์ “ไม่ทรงปรารถนาให้ผู้เล็กน้อยเหล่านี้สักคนหนึ่งต้องพินาศไป” (ข้อ ๑๔) เปโตรได้ยืนยันเรื่องนี้ว่า “พระองค์ไม่ประสงค์ให้ผู้หนึ่งผู้ใดพินาศเลย” (๒ ปต. ๓.๙)

บทเรียน คริสเตียนแท้เป็นผู้ที่ให้ความสำคัญต่อเด็กๆ เขาจะต่อต้านการทำแท้ง และปกป้องเด็กที่ถูกกระทำทารุณกรรมและถูกล่วงเกินทางเพศ เขาจะพิทักษ์มิให้มีการใช้แรงงานเด็ก ฯลฯ

คริสตจักรของเรา ให้ความสำคัญต่อเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เราสนับสนุนให้คริสตจักรในเครือตั้งสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่อำเภอแม่อาย เราไปเยี่ยมเยียนและเลี้ยงอาหารเด็กกำพร้าบ้านส่องสว่างที่อำเภอแม่ริม (ซึ่งมีเด็กอยู่ในความดูแล ๒๗ คน) พร้อมกับซื้อเตียง ที่นอน เสื้อผ้า และข้าวของเครื่องใช้ให้ นอกจากนั้นเรายังไปช่วยพัฒนาบุคลากรของบ้านเด็กกำพร้าสานรัก (ซึ่งมีเด็ก ๒๓ คน) บ้านขวัญเวียง เชียงใหม่ สัปดาห์ละสองวันตลอดทั้งปี เราได้หนุนใจให้ทีมงานและสมาชิกในคริสตจักรมีสายตาแบบพระเยซูคริสต์ ที่มองเห็นว่าเด็กเล็กๆเหล่านี้เป็นใหญ่ในสวรรค์อย่างแท้จริง.

ขอพระเจ้าอวยพรครับ
ไทยเซอร์มอน

ไม่มีความคิดเห็น:

My Blog

  • วินัยของน้องหมา (ข้างถนน) - วันที่ 18/8/2011 เช้านี้ขณะที่รถติดไฟแดงอยู่บริเวณสี่แยกสามย่าน ซึ่งเบื้องหน้าเป็นจามจุรีสแควร์นั้น พลันก็เหลือบเห็นน้องหมาตัวหนึ่งเดินข้ามทางม้าลายด้วยอ...
    12 ปีที่ผ่านมา
  • บทความคริสเตียน - บทความคริสเตียน http://www.gracezone.org/index.php/christian-articles บทความทางด้านจิตวิญญาณ หลักข้อเชื่อ พระเจ้า พระคัมภีร์ พระเจ้า พระคัมภีร์ แนวทางในการ...
    15 ปีที่ผ่านมา
  • คริสเตียนกับการรับใช้พระเยซู - คริสเตียนกับการรับใช้พระเยซู วัน พุธ 08 ต.ค. 08@ 17:47:37 ICT หัวข้อ: สรุปคำเทศนาประจำอาทิตย์ ดร.ทะนุ วงค์ธนานุกุล วัน อาทิตย์ ที่ 21 กันยายน 2008 พระธร...
    15 ปีที่ผ่านมา
  • - แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้องจะนมัสการพระบิดา ด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้...
    15 ปีที่ผ่านมา

Christian Blog

บล็อกวาไรตี้

เทคโนโลยี

ดาวน์โหลดโปรแกรมมาใหม่ล่าสุด |

วาไรตี้

ข่าวประจำวัน

สารบัญเว็บไทย

กินลม ชมทะเล ที่มาร์คเฮ้าส์บังกะโล เกาะกูด จ.ตราด

Thailand Map